collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย  (อ่าน 57791 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

         20   ห่างรูป   ห่างลักษณ์

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  ตถาคตสามารถเห็นได้ด้วยเหล่าลักษณะลักษณะที่พร้อมมูลหรือไม่ ?"  "ไม่แล  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ตถาคตไม่ควรเห็นได้ด้วยเหล่าลักษณะที่พร้อมมูล เพราะเหตุใด ? ตถาคตตรัสว่า เหล่าลักษณะพร้อมมูล  มิใช่เหล่าลักษณะพร้อมมูล  เป็นเพียงนามว่าเหล่าลักษณะพร้อมมูล

        21   มิได้กล่าวในสิ่งที่กล่าว

        "สุภูติ !  เธออย่ากล่าวว่า  ตถาคตได้มนสิการว่า เราได้มีการแสดงธรรม อย่าได้นมสิการเช่นนั้น  เพราะเหตุใด ? หากมีคนกล่าวว่าตถาคตได้มีการแสดงธรรม  ก็จะเป็นการกล่าวหาพระพุทธเจ้า เพราะเขาผู้นั้นคือผู้ที่ไม่เข้าใจในพระวจนะของเรา  สุภูติ !  อันว่าแสดงธรรมนั้น  ไม่มีธรรมที่จะแสดง  เป็นเพียงนามว่าแสดงธรรมเท่านั้น"  ก็โดยสมัยนั้นแล  สุภูติผู้มีปัญญาชีพได้ทูลถามพระสุคตว่า  "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ยังจักจะมีเวไนยสัตว์ในอนาคตกาลที่ได้สดับฟังพระสูตรนี้แล้วบังเกิดศรัทธาจิตหรือไม่ ?"  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  "สุภูติ ! ที่กล่าวนั้นไม่ใช่เวไนยสัตว์  มิไม่ใช่เวไนยสัตว์  เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! อันว่าเวไนยสัตว์นั้นตถาคตกล่าวว่ามิใช่เวไนยสัตว์ เป็นเพียงนามว่าเวไนยสัตว์"

        22   ไร้ธรรมที่จะรับได้

        สุภูติได้ทูลถามพระพุทธโลกนาถว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  พระพุทธเจ้าได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิเป็นการไร้การได้อย่างนั้นหรือ ?" พระพุทธองค์ตรัสว่า  "อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ! สำหรับเราในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แม้ธรรมเพียงน้อยนิดก็ไม่มีได้ เป็นเพียงนามว่าอนุตตรสัมมาสัมโพธิ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        23   ชำระใจ   ปฏิบัติความดี

        "อนึ่ง  สุภูติ !  ธรรมนั้นเสมอภาค  ไม่มีสูงต่ำ  จึงจะนามว่า  อนุตตรสัมมาสัมโพธิ  เนื่องด้วยไร้อาตมะ  ไร้บุคคละ  ไร้สัตวะ  ไร้ชีวะมาบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งปวง  ก็จะได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ  สุภูติ !  กุศลธรรมที่ได้กล่าว  ตถาคตกล่าวว่า มิใช่กุศลธรรม เป็นเพียงนามว่ากุศลธรรม"

        24   บุญปัญญา  มิอาจเปรียบ

        "สุภูติ !  ถ้ามีบุคคลนำเอากองแห่งสัปตรัตนะสูงเท่าเหล่าขุนเขาพระสุเมรุในมหาตรีสหัสโลกธาตุ มาบริจาคทาน แต่หากมีบุคคลอาศัยปรัชญาปารมิตาสูตรนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท  มารับสนองปฏิบัติสวดท่อง และกล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น  บุญวาสนาแรกเมื่อเทียบกับบุญหลังจะไม่ถึงแม้นหนึ่งส่วนร้อย ไม่ถึงแม้นหนึ่งในร้อยพันแสนโกฏิส่วน กระทั่งมิอาจใช้ตัวเลขอุปมาเปรียบเทียบได้"

        25   แปร   ไร้สิ่งที่ได้แปร

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  เธอทั้งหลายอย่าได้คิดว่าตถาคตมนสิการว่า เราเป็นผู้ฉุดช่วยเวไนยสัตว์  สุภูติ !  อย่าได้เข้าใจเช่นนั้น  เพราะเหตุใด ? ความจริงไม่มีเวไนยสัตว์ที่ตถาคตฉุดช่วย  หากมีเวไนยสัตว์ที่ตถาคตได้ฉุดช่วย  ตถาคตก็จะมีอาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  ชีวะลักษณะ"  "สุภูติ !  ตถาคตมักกล่าวว่า  มีเรา ! มีเรา !  แท้จริงมิใช่มีเรา  แต่ปุถุชนกลับคิดว่ามีเรา สุภูติ  ! อันปุถุชนนั้น  ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ปุถุชน  เป็นเพียงนามว่าปุถุชน""

        26  ธรรมกาย   มิใช่ลักษณะ

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?"  สุถูติทูลตอบว่า  "อย่างนั้น  อย่างนั้น สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้" พระพุทธเจ้าตรัสว่า  "สุภูติ  !  หากสามารถเห็นตถาคตด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็คือพระตถาคตซิ"  สุภูติทูลตอบพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตามที่ข้าพระองค์ได้เข้าใจในความหมายที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไปนั้น ไม่ควรที่จะเห็นตถาคตได้ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เลย"  โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นโศลกว่า 
     หากอาศัยรูปเห็นเรา                อาศัยเสียงวอนเรา
     บุคคลนี้คือผู้เจริญมิจฉาธรรม   ไม่อาจเห็นตถาคตได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        26   ธรรมกาย  มิใช่ลักษณะ

        "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?" สุภูติทูลตอบว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุภูติ ! หากสามารถเห็นตถาคตด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็คือตถาคตซิ" สุภูติทูลตอบพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตามที่ข้าพระองค์ได้เข้าใจในความหมายที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไปนั้น ไม่ควรที่จะเห็นตถาคตได้ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เลย"

         โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นโศลกว่า 

หากอาศัยรูปเห็นเรา                  อาศัยเสียงวอนเรา
บุคคลนี้คือผู้เจริญมิจฉาธรรม     ไม่อาจเห็นตถาคตได้

        27   ไร้การตัด   ไร้การดับ

        "สุภูติ ! หากเธอมีความคิดเช่นนี้ว่า ตถาคตไม่อาศัยลักษณะพร้อมมูลเป็นเหตุ  ให้ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ  สุภูติ !  หากเธอมีความคิดเช่นนี้ ผู้ที่บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ก็จักกล่าวว่า ธรรมทั้งปวงขาดสูญ อย่าได้คิดเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุใด ? ผู้ที่บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตนั้น ในธรรมจักไม่คิดว่ามีลักษณะแห่งการขาดสูญ"

        28   ไม่เวทนา (ไม่รับ) ไม่โลภ

        "สุภูติ !  หากพระโพธิสัตว์ได้นำสัปตรัตนะปูเต็มทั่วจำนวนโลกธาตุที่มีปริมาณเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานที เพื่อบริจาคทาน หากแต่ได้มีบุคคลแจ่มแจ้งในธรรมทั้งปวงว่าไร้อััตตา จนได้สำเร็จในขันติ พระโพธิสัตว์องค์นี้จะได้รับบุญกุศลมากยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์องค์แรก เพราะเหตุใด ? สุภูติ !  นั่นเป็นเพราะปวงพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนานั่นเอง" สุภูติทูลถามพระพุทธองค์ว่า  "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เหตุไฉนพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนา ?"  "สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ไม่ควรมีความโลภยึดต่อบุญวาสนาที่ได้สร้าง ดังนั้นจึงกล่าวว่าพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนา"

        29   อิริยาบทสง่า   เงียบสงบ

        "สุภูติ !  หากมีบุคคลกล่าวว่า ตถาคตบ้างมาบ้างไป บ้างนั่งบ้างนอน บุคคลนี้คือผู้ที่ไม่เข้าใจในความหมายของเรากล่าว เพราะเหตุใด ? อันตถาคตนั้นคือ ไร้การมา  ทั้งไร้การไป  จึงจะนามว่าตถาคต"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        30   หลักการเอกฆนลักษณะ

        "สุภูติ !  หากกุลบุตร  กุลธิดา  นำมหาตรีสหัสโลกธาตุมาป่นเป็นฝุ่นละออง ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? เหล่าฝุ่นละอองนี้นับว่ามากมายหรือไม่ ? " สุภูติกราบทูลว่า "มากยิ่งนัก  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ? หากเหล่าฝุ่นละอองนี้มีอยู่จริง พระสุคตจักไม่ตรัสว่า คือเหล่าฝุ่นละออง ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? พระสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เหล่าฝุ่นละออง มิใช่เหล่าฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าเหล่าฝุ่นละออง ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! มหาตรีสหัสโลกธาตุที่ตถาคตตรัสถึงมิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ เพราะเหตุใด ? หากโลกธาตุมีอยู่จริง ก็คือเอกฆนลักษณะ  มิใช่เอกฆนลักษณะเป็นเพียงนามว่าเอกฆนลักษณะ"
        "สุภูติ !  เอกฆนลักษณะนั้น คือสิ่งที่มิอาจกล่าว แต่ผู้ที่เป็นปุถุชนมักโลภยึดในเรื่องราวดังกล่าว"

        31   รู้เห็น   ไม่เกิด

        "สุภูติ !  หากมีบุคคลกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวอาตมะทัศนะ  บุคคละทัศนะ  สัตวะทัศนะ  ชีวะทัศนะ   สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  บุคคลนี้ถือว่าเข้าใจในความหมายที่เรากล่าวหรือไม่ ?"   "ไม่แล !  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  บุคคลนี้ถือว่าไม่เข้าใจในความหมายที่พระตถาคตตรัส เพราะเหตุใด ?  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอาตมะทัศนะ  บุคคลทัศนะ  สัตวะทัศนะชีวะทัศนะ  มิใช่ อาตมะทัศนะ  บุคคลทัศนะ  สัตวะทัศนะ  ชีวะทัศนะ"   "สุภูติ !  ผู้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตนั้น ในธรรมทั้งปวง ควรที่จะรู้เช่นนี้ ควรที่จะเห็นเช่นนี้  ด้วยการเชื่อมั่นเข้าใจเช่นนี้ ก็จะไม่บังเกิดธรรมะลักษณะ  สุภูติ !  ธรรมลักษณะที่ได้กล่าว ตถาคตกล่าวว่า มิใช่ธรรมลักษณะ เป็นเพียงนามว่าธรรมลักษณะ"

        32   สนองแปลง   มิใช่จริง

        "สุภูติ !  หากมีบุคคลได้นำสัปตรัตนะมาเติมเต็มอสงไขยโลกธาตุอันไร้จำกัด ใช้ในการบริจาคทาน แต่หากมีกุลบุตร กุลธิดาได้บังเกิดในโพธิจิต ปฏิบัติในพระสูตรนี้ แม้ที่สุดจะเป็นเพียงแค่โศลก 4 บาท  มารับสนองปฏิบัติสวดท่องกล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น บุญนี้ยังจะมากยิ่งกว่าอย่างแรก แต่ควรกล่าวสาธยายแก่บุคคลอื่นอย่างไร ?  ไม่ยึดในลักษณะ ตั้งมั่นอยู่ในตถตาภาพโดยไม่หวั่นไหวเพราะเหตุใด ?
                          สังขธรรมทั้งปวง                ดุจฝันมายาฟองน้ำรูปเงา
                          ดุจนิศาชลและอสนี            ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้
        เมื่อพระสัมพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบ  ผู้อาวุโสสุภูติ รวมทั้งเหล่าภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา  ตลอดจนปวงเทพ  มนุษย์  อสูรในโลกทั้งหลาย  ได้สดับซึ่งพระพุทธพจน์นี้แล้ว  ก็พากันอนุโมทนาชื่นชมยินดี  มีความศรัทธาน้อมรับไปปฏิบัติด้วยประการฉะนี้แล
                                                          จบพระสูตร     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ  พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                            บรรพที่  ๑

                             ความเป็นมาของการประชุมธรรม

อธิบายบท  :  

        การที่พระตถาคตจะสนองมหาเหตุปัจจัยในการเทศนาโปรดสรรพสัตว์ จำเป็นต้องเหมาะสมด้วยปัจจัยจากสถานที่ เวลาและผู้ฟังหากมิเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะไม่ตรัสเทศนาโดยง่าย  ฉะนั้น  หากไม่มีบุญวาระอันเหมาะสมก็จะไม่ตรัสเทศนานั่นเองแล  ที่ว่าอันปัจจัยจากสถานที่นั้น  หมายถึงต้องมีธรรมอาณาจักรที่สง่า  ที่ว่าอันปัจจัยจากผู้ฟังนั้น  หมายถึงผู้ฟังต้องมีปัญญาเข้าถึงในการฟังธรรม  และที่ว่าอันปัจจัยจากเวลานั้น  หมายถึงต้องมีบุญวาระที่เหมาะสมนั่นเอง  และเมื่อยามที่มีปัจจัยทั้ง  3  นี้แล้ว  พระองค์จึงจะสามารถเทศนาธรรมได้  สรุปแล้วก็คือ  การที่จะมีการเปิดประชุมธรรมนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายดายเลย

เนื้อหา  :  

        ดั่งที่เรา  (หมายถึงอันธรรมนี้  ผู้ที่สดับและถ่ายทอดพระสูตรนี้  ซึ่งก็คือพระอานนท์)  สมัยหนึ่ง  (เป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาพระสูตร)  พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เมืองสาวัตถี (เป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศลที่พระเจ้าปแสนทิโกศลทรงปกครองอยู่ ) ที่เชตวนาราม (เชตเป็นพระนามของเจ้าชายเชตะ ซึ่งเป็นผู้บริจาคพืชพันธุ์ต้นไม้ในเขตอารามถวายแด่พระพุทธเจ้า) ของท่านอนาถบัณฑิกเศรษฐี ( เป็นขุนางผู้ใหญ่ของพระเจ้าปแสนทิโกศล ซึ่งมีนามว่าสุทัตตะ  ท่านเป็นคนชอบทำบุญสุนทานและช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากที่สวนดอกไม้ของเจ้าชายเชตะเป็นประจำ  ดังนั้นผู้คนจึงเรียกท่านว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐี และด้วยประการนี้  อารามเชตะจึงมีชื่อว่าอนาถบิณฑิก - วนาราม ท่านสุทัตตะเป็นผู้ซื้อที่ดินของเจ้าชายเชตะถวายแด่พระพุทธเจ้า ด้วยการนำทองคำแท่งมาปูจนเต็มทั่วบริเวณนั้น  ฉะนั้น  เชตวนารามจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า อนาถบิณฑิกวนาราม (ผู้แปล) ในขณะเดียวกัน ) พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ( หมายถึงผู้ปฏิบัติธรรมที่ทรงคุณธรรม  หากจะแปลตามความหมายอักษร ก็จะมีความหมายว่า ผู้ขอทาน  ซึ่งก็คือต่อบนจะขอแสวงธรรมเพื่อเลี้ยงชีพปัญญา  ต่อล่างจะขอทานอาหารเพื่อเลี้ยงชีพกาย) หมู่ใหญ่ 1,250  รูป  เวลานั้นเป็นเวลาฉันภัตตา (พระพุทธเจ้าจะมีเวลาฉันภัตตาที่แน่นอน ซึ่งหากไม่ถูกต้องต่อเวลาแล้ว พระองค์จะไม่ทรงฉัน กล่าวคือเวลา 03 .00 - 09.00 เป็นเวลาฉันอาหารของเหล่าเทพ ช่วงเวลา 09.00 - 15.00 เป็นเวลากินอาหารของเหล่ามนุษย์ ช่วงเวลา 15.00 - 21 .00เป็นช่วงเวลากินอาหารของสัตว์เดรัจฉาน  ซึ่งเวลาฉันภัตตาที่ได้กล่าวถึงในที่นี้ จะหมายถึงเวลากินอาหารของมนุษย์ ) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองจีวร  ทรงบาตร  และเสด็จสู่มหานครสาวัตถีบิณฑบาต อยู่ในเมืองนี้ บิณฑบาตโดยลำดับจนครบถ้วน  ครั้นแล้วเสด็จกลับมายังเชตวนาราม ฉันภัตกิจเสร็จ เก็บบาตรจีวร ชำระพระบาท  จัดแต่งอาสนะแล้วประทับนั่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30/03/2554, 03:33 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ  พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                            บรรพที่  ๑

                             ความเป็นมาของการประชุมธรรม

ความสังเขป  :  

        สำหรับบรรพนี้ ถือว่าเป็นบทนำของพระสูตร โดยเป็นการประกาศให้สาะุชนได้ทราบว่า งานประชุมธรรมที่เชตวนารามได้เริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้ จากคำดังที่เราได้สดับ จนกระทั่งถึงพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ 1,250  รูปนี้ ถือว่าเป็นบทนำสามัญ ซึ่งได้กล่าวถึงพิธีการตรัสเทศนาธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนตอนตั้งแต่เวลานั้น  จนถึง จัดแต่งอาสนะแล้วประทับนั่ง นี้ ถือว่าเป็นบทนำริเริ่ม ซึ่งหมายถึงว่า การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้ริเริ่มการประชุมธรรมในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะพระองค์มีพระประสงค์จะให้เวไนยสัตว์ได้กระจ่างในใจจริงที่เป็นองค์แท้  ดังนั้น  พระองค์จึงได้อาศัยออกบิณฑบาตเป็นการริเริ่มพระสูตร เพื่อให้เวไนยสัตว์ได้มีความเข้าใจว่า โดยแท้จริงแล้ว เวไนยสัตว์ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกับพระพุทธะเลย ซึ่งเราจะสามารถเห็นได้จาก พระอริยาบทในชีวิตประจำวัน คือ เดิน  ยืน  นั่ง  นอน  การกิน  การสวมใส่  ที่พระองค์ได้แสดงออกในพระสูตรนี้นั่นเอง
        หากเราตั้งใจในการพินิจสักนิด ก็จะสามารถเข้าใจว่า  การที่พระพุทธองค์ได้ทรงจีวรและทรงบาตรเช่นนี้ คือการแสดงให้เห็นถึงความเคร่งครัดของการถือศีลของพระองค์เอง การที่พระพุทธองค์ทรงออกบิณฑบาต ก็คือการสอนให้เวไนยสัตว์รู้จักการบริจาคทาน  การที่พระพุทธองค์ทรงออกบิณฑบาตโดยลำดับจนครบจำนวน ก็คือการแสดงถึงขันติโดยไม่มีการแบ่งแยกยากดีมีจน ซึ่งก็คือการเมตตาต่อทุกสิ่งด้วยความเสมอภาค การที่พระพุทธองค์ทรงเก็บบาตรจีวรอย่างเรียบร้อย ก็คือการหยุดไขว่คว้าต่อแสงสีสัมพันธ์ภายนอก เพื่อไม่ให้ใจเกิดความกลัดกลุ้มทุกข์กังวล  การที่พระพุทธองค์ทรงชำระพระบาท  ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการละทิ้งจากฝุ่นโลกีย์และชำระกายกรรมให้หมดไป  การที่พระพุทธองค์ทรงจัดแต่งอาสนะนั้น หมายถึงฌานสมาธิ  คือดำรงด้วยสัมมาทิฏฐิโดยไม่หวั่นไหว และจากนั้นก็ถือว่าได้เตรียมพร้อมสู่การประกาศพระธรรมแล้วนั่นเอง
        จากตรงนี้ก็ทำให้เราเข้าใจได้อีกประการหนึ่งว่า  โลกุตรธรรม (ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก...(พ.ป.) ) ไม่อาจที่จะห่างออกจากโลกียธรรมได้ ดังนั้น  สำหรับพวกเราที่เป็นศิษย์ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ทั้งหลาย  จะต้องศึกษาในศีลวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด  โดยห้ามกินดีอยู่สบาย และปล่อยปละอารมณ์กิเลสของตนเองอย่างเด็ดขาด

อธิบายพระสูตร  :  

        พระอานนท์ได้กล่าวขึ้นว่า  "สำหรับวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรฉบับนี้ คือ พระสูตรที่เราได้ฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนามาด้วยตนเอง สำหรับช่วงเวลาที่พระพุทธองค์ตรัสเทศนาพระสูตรฉบับนี้  ก็เป็นช่วงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ เชตวนารามแห่งเมืองสาวัตถี ซึ่งในเวลานั้นมีองค์ประชุม ที่ประกอบด้วยพระโพธิสัตว์  อรหันต์  และเหล่าสาวก  เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,250  ท่าน  และในขณะนั้นก็เป็นช่วงที่ใกล้เวลาฉันภัตตา  พระพุทธองค์จึงทรงครองจีวร  ทรงบาตร  และเสด็จออกจากเชตวนารามเข้าสู่มหานครสาวัตถีเพื่อออกบิณฑบาต  หลังจากที่ได้บิณฑบาตโดยลำดับจนครบจำนวนแล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จกลับสู่อารามเพื่อฉันภัตตา  หลังจากฉันภัตตาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงเก็บบาตร จีวร  ชำระพระบาท  จัดแต่งอาสนะให้เรียบร้อยแล้วจึงประทับนั่ง        

คำศัพท์  :

เวลาฉันภัตตา     :  พระพุทธเจ้าจะมีเวลาฉันภัตตาที่แน่นอน  ซึ่งหากไม่ถูกต้องต่อเวลาแล้ว พระองค์จะไม่ทรงฉัน กล่าวคือ เวลาจาก         03.00 - 09.00   เป็นเวลาฉันอาหารของเหล่าเทพ
ช่วงเวลา  09.00 - 15.00  เป็นเวลากินอาหารของเหล่ามนุษย์
ช่วงเวลา  15.00 - 21.00  เป็นเวลากินอาหารของเหล่าภูตผี
ช่วงเวลา  21.00 - 03.00  เป็นช่วงเวลากินอาหารของสัตว์เดรัจฉาน

พระผู้มีพระภาคเจ้า   :  เป็นคำสรรเสริญพระพุทธเจ้า  ซึ่งคำสรรเสริญพระนามของพระพุทะเจ้าจะมีอยู่ 10 พระนามด้วยกันคือ
1.  ตถาคต              :  ผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น
2.  อรหันต์              :  ผู้ห่างไกลจากกิเลสและควรแก่บูชา
3.  สัมมาสัมพุทโธ        :  ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
4.  วิชชาจรณสัมปันโน  :  ผู้สมบูรณ์ด้วยความรู้ และความประพฤติ
5.  สุคต                 :  ผู้เสด็จไปดีแล้ว
6.  โลกวิทู             :  ผู้รู้แจ้งโลก
7.  อนุตตร             :  ผู้ยอดเยี่ยมหาผู้อื่นเสมอเหมือนมิได้
8.  ปุริสธัมสารถิ            :  ผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึก
9.  เทวามนุษย์สาสน์     :  ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
10. พุทธโลกนาถติ       :  ผู้ตื่นแล้วและเป็นที่พึ่งแห่งโลก

บาตร   :  จะมีอยู่  3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ

1. ด้านสีสัน            :  บาตรจะมีลักษณะสีเทาดำ  ซึ่งเป็นการเตือนคนเราไม่ให้เกิดอาการแห่งความรักนั่นเอง
2. ด้านเนื้อสัมผัส     :  บาตรจะมีเนื้อหยาบ           ซึ่งเป็นการเตื่อนคนเราไม่ให้เกิดอาการแห่งความโลภนั่นเอง
3. ด้านขนาดบรรจุ    :  บาตรจะมีขนาดพอเหมาะ  ซึ่งหมายถึงอย่าฉันจนเกินกำลัง
นอกจากนี้  การออกบิณฑบาตในแต่ละครั้งจะไม่สามารถเกิน 7 ครัวเรือนได้  ซึ่งถือว่าเป็นการเตือนระงับไม่ให้เกิดจิตละโมภเพื่อปากท้องนั่นเองแล

คำอธิบายแห่งพระนามของพระพุทธเจ้าทั้ง 10 ข้อนี้ ได้อ้างจาก พ.จ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสนา  จีน  สันสกฤต  อังกฤษ  ไทย  จัดพิมพ์โดย คณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย 2519  ชาญพัฒนาการพิมพ์ กรุงเทพ ฯ ...(ผู้แปล)

พ.ป.  หมายถึง  พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุต.โต) 2538 โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.กรุงเทพ ฯ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31/03/2554, 10:02 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ  พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                            บรรพที่  ๒

                                      สุภะ  ประกาศอันเชิญ

อธิบายบท  :

        สุภะ  ก็คือนามของสุภูตินั่นเองแล  เนื่องจากสุภูติได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังจะตรัสสอนปรัชญาธรรม  ดังนั้น  สุภูติจึงได้สนองต่อโอกาสและทำการประกาศอันเชิญพระสูตรนี้ขึ้น  เราจะเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าจะทำการเทศนาธรรม ก็จะต้องเป็นรูปแบบของการตั้งปุจฉาวิสัชนา กับเหล่าสาวก ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดเป็นแนวทางมาไขความกระจ่างต่อสัจธรรมจนเป็นที่เข้าใจได้ และก็เนื่องด้วยวัชรสูตรฉบับนี้มีความว่างเป็นธรรมประสงค์ อีกทั้งสุภูติยังเป็นเอกในด้านศูนยตา  ฉะนั้น  สุภูติ จึงได้สนองต่อบุญวาระนี้มาประกาศอันเชิญพระสูตรนั่นเองแล

เนื้อหา  : 

        ขณะนั้น  อาวุโสสุภูติที่อยู่ท่ามกลางประชุมสงฆ์ ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ เฉวียงจีวรเปลือยแขนบนไหล่ขวา  คุกเข่าขวาลงพื้น ประคองอัญชลีพลางกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า "หาได้ยากหนักหนา  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ตถาคตทรงคุ้มครองห่วงใยอันดีต่อเหล่าพระโพธิสัตว์  ทรงอบรมสั่งสอนอันดีต่อเหล่าพระโพธิสัตว์  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อกุลบุตร กุลธิดาบังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตแล้ว  ควรดำรงให้คงอยู่อย่างไร ? และควรสยบจิตนี้อย่างไร ?" พระพุทธองค์ตรัสว่า "เจริญพร เจริญพร สุภูติ ! ดังที่เธอกล่าว ตถาคตทรงค้มครองห่วงใยอันดีต่อเหล่าพระโพธิสัตว์ และอบรมสั่งสอนอันดีต่อเหล่าพระโพธิสัตว์ เธอจงตั้งใจฟัง เราจักแสดงแก่เธอ" "กุลบุตร กุลธิดา  เมื่อบังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตแล้ว ควรดำรงจิตของตนให้คงอยู่เช่นนั้น ควรสยบจิตของตนเช่นนั้น"  "สาธุ  พระสุคต !  ข้าพระองค์ก็จะปลาบปลื้มยินดีเฝ้าคอยสดับอยู่"

คำศัพท์  :

1. หาได้ยากหนักหนา  :  เป็นคำอุทานสรรเสริญพระพุทะเจ้า ซึ่ง ณ  ที่นี้จะมีอยู่ 4 ความหมายด้วยกัน
เวลายากจะมี        :  ยากที่จะมีเวลาเช่นนี้ในการเทศนาธรรม
สถานที่ยากจะมี    :  ยากที่จะมีอาณาจักรธรรมอันสง่าโอฬารเช่นนี้
บุญบารมียากจะมี  :  ไม่เพียงแต่พระพุทธองค์เท่านั้นที่มีพระบารมีอันสูงส่ง  แม้แต่ผู้ฟังก็ล้วนแต่เป็นผู้มีคุณธรรมบารมีอันสูงส่งด้วยเช่นกัน
เหตุการณ์ยากจะมี  :  เหตุการณ์ที่ว่าี้นี้หมายถึง มหาเหตุปัจจัยที่ได้มาเทศนาโปรดสัตว์นั่นเอง

2. พระโพธิสัตว์  :  หากลำพังบำเพ็ญแต่ปัญญาเรียกว่า โพธิ  และหากลำพังบำเพ็ญแต่บุญวาสนาเรียกว่าสัตว์  แต่สำหรับผู้ที่บำเพ็ญพร้อมด้วยบุญและปัญญา ก็จะเรียกว่าพระโพธิสัตว์  คำว่าพระโพธิสัตว์ ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ เป็นผู้ที่โปรดสัตว์โดยให้ทั้งตนและผู้อื่นรู้แจ้งด้วยดุจกัน

3. อนุตตรสัมมาสัมโพธิ  :  " อ " มีความหมายว่า  ไร้   "นุตตร" มีความหมายว่า สูงส่ง  "สัม" มีความหมายว่า เที่ยง  "มา" มีความหมายว่า เสมอ  "สัม" คือเที่ยง  "โพธิ"มีความหมายว่า แจ้ง   หากรวมอักษรทั้งหมดก็มีความหมายว่า เป็นความรู้แจ้งและความเสมอยุติธรรมที่เที่ยงตรง โดยไม่มีสิ่งใดจะสู่ส่งเทียบเท่าได้อีกแล้ว  หรือก็คือธรรมญาณของเรานั่นเอง ซึ่งธรรมญาณของเรานี้สามารถครองคลุมทั่วทั้งสากล หากใครรับรู้ก็คือผู้สูงส่ง ฉะนั้น จึงเรียกว่าอนุตตร  แต่ทั้งนี้นั้น เริ่มตั้งแต่ปวงพระพุทธะ  ตลอดจนถึงเหล่าหนอนที่ชอนไชทั้งหลาย ทั้งหมดก็ล้วนได้มีธรรมญาณที่เสมอเหมือนกันทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเรียกว่าสัมมา  และก็เนื่องด้วยเป็นความกลมใสอำไพ ไม่บกพร่อง ไม่ลำเอียง  ดังนั้นจึงเรียกว่าสัมโพธิ

ความสังเขป  : 

        ในบรรพนี้  เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ส่วนของบทสาระแห่งพระสูตรโดยได้กล่าวถึงอาวุโสสุภูติที่ได้กราบบังคมทูลถามคำถาม 2 ข้อต่อพระพุทธองค์ คือข้อที่หนึ่งได้ถามว่า  ควรทำอย่างไรจึงจะดำรงโพธิจิตไม่ให้เสื่อมถอย ?  ส่วนอีกข้อหนึ่งได้ถามว่า ควรจะทำอย่างไรจึงจะสยบอกุศลจิตได้ ? (โพธิจิต ก็คือจิตอันรู้แจ้งที่ได้เป็นมาแต่เดิม)  สำหรับเหตุปัจจัยที่สุภูติได้ทูลถามคำถาม 2 ข้อนี้นั้นก็เป็นเพราะภาพแห่งอริยาบทของการทรงจีวร  ฉันภัตตา  ชำระพระบาท และ ปูอาสนะ  อันเป็นพระอริยาบทอันธรรมดาของพระพุทธองค์นี้นั้น  ได้ทำให้สุภูติเกิดความแจ่มแจ้งในศักยะอันแยบยลแห่ง  ใจที่ไร้ยึดดำรง  นี้ว่า  ไม่สามารถที่จะขาดหายออกจาก องค์แท้แห่งปรัชญา (อันปรัชญาก็คือปัญญาแยบยลนั่นเอง...ผู้แปล) ลักษณ์แท้ ได้เลย  ดังนั้น  จึงได้เกิดความปลายปลื้มและกล่าวอุทานสรรเสริญว่่า "หาได้ยากหนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !" และก็เนื่องจากได้มาบรรจบกับเหตุปัจจัยที่ได้สุกงอมเช่นนี้ี่เองสุภูติจึงได้ทูลถามคำถาม 2 ข้อนี้ขึ้นมา
        โดยที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ทรงร่วมอยู่กับศิษย์สาวกทั้งหลายเป็นเวลาถึง  30 ปี  ซึ่งศิษย์สาวกทุกคนล้วนแต่ยังไม่ทราบถึงพระเจตนาของพระองค์ได้โดยตลอด โดยต่างยังมีใจคิดว่าพระองค์ก็เหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป ดังนั้น  จึงยังคงมีความสงสัยในพุทธคำสอนของพระองค์อยู่  แต่ในเวลานั้น  สุภูติได้มีความแจ่มแจ้งเข้าใจโดยตลอด  จึงทำให้สุภูติได้เกิดอาการปลาบปลื้มปิติอย่างมิอาจระงับ และนี่จึงเป็นเหตุที่สุภูติได้กราบทูลคำถาม 2 ข้อนี้ขึน  ด้วยเหตุผลประการนี้ คำว่า "หาได้ยากหนักหนา" ที่สุภูตอได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธองค์นั้น จะมิใช่แค่คำสรรเสริญแบบผิวเผินแต่อย่างใด หากแต่เป็นการสรรเสริญแบบปิติในการรู้แจ้ง  ฉะนั้น แก่นสาระแห่งพระสูตรนี้ทั้งฉบับ  ก็คือคำ ๆ นี้นี่เอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ  พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                            บรรพที่  ๒

                                      สุภะ  ประกาศอันเชิญ

อธิบายพระสูตร  :

        ในขณะที่พระตถาคตกำลังจะประทับนั่งนั้น  สุภูติผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุด  ทั้งด้านวัยวุฒิและคุณวุฒิในหมู่พุทธสาวกทั้งหลาย ก็ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งซึ่งอยู่ท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์หมู่มาก  สุภูติได้เปลือยไหล่ขวา (เป็นการแสดงถึงการไม่กล้าลบหลู่อาจารย์) คุกเข่าขวาลงกับพื้น (เป็นการแสดงถึงการไม่กล้าผันแปรไปสู่พวกนอกรีต)  มือประคองอัญชลี (เป็นการแสดงถึงสรณะ) และได้กราบต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า (เป็นการแสดงถึงความสำรวม) พร้อมทั้งกล่าวสรรเสริญพระพุทะองค์ว่า "ช่างหาได้ยากหนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธเจ้าทรงคุ้มครองห่วงใยอันดีต่อเหล่าศิษย์ที่ยังไม่บรรลุธรรม และก็ยังทรงมีความทะนุถนอมบ่มสอนต่อเหล่าศิษย์ที่ได้บรรลุธรรมแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! หาก กุลบุตร กุลธิดา ได้บังเกิดโพธิจิตแล้ว ควรทำอย่างไรจึงจะทำให้โพธิจิตดำรงอย่างมั่นคงไม่เสื่อมถอย ? และหากยามที่เขาเหล่านั้นได้บังเกิดอกุศลจิตแล้ว ควรทำอย่างไรจึงจะสยบจิตใจของเขาได้ ?"
        พระพุทะเจ้าตรัสตอบไปว่า "สำหรับคำถาม 2 ข้อที่เธอได้ถามมา ช่างตรงใจของเราเสียจริง ๆ " (ที่แท้แล้ว การที่พระพุทะเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก ก็เพื่อที่จะชี้ทางสว่างให้สัตว์โลกสามารถรู้ถึงจิตเดิมแห่งตน  แต่ก็ช่างน่าเสียดายที่ยังไม่สามารถประสบโอกาสเหมาะเสียที  แธนั้น  นับตั้งแต่ได้ตรัสรู้ธรรมจวบจนถึงบัดนี้ ก็มีอยู่หลายสิ่งที่อยากจะกล่าว แต่ก็ยังมิอาจสบโอกาสที่เหมาะสมได้เลย และ  ณ  บัดนี้ที่มณฑลพิธีแห่งเชตวนาราม  ก้เนื่องด้วยคำถาม  2 ข้อของสุภุูตินี้นี่เอง ที่ได้ทำให้พระพุทะองค์ทรงมีพระหฤทัยที่ปลาบปลื้มปิติเพราะได้คนที่รู้ใจ ดังนั้น  พระพุทธองค์จึงตรัสชมสุภูติว่า "ถามได้ดียิ่งนัก" )  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่สุภูติต่อไปอีกว่า  "ดังที่เธอได้กล่าวไว้นั้นว่า  "ตถาคตทรงคุ้มครองห่วงใยต่อปวงศิษย์ที่ยังไม่บรรลุธรรม และยังคงคอยอบรมสั่งสอนแก่บรรดาศิษย์ที่ได้บรรลุธรรม" แล้วนั้น  ช่างเป็นคำกล่าวที่ได้กล่าวในสิ่งที่เราอยากจะพูดมานานแล้วหนักหนา  ในเมื่อเธอได้เข้าใจเช่นนี้แล้ว เราก็จะกล่าวแก่พวกเธอเอง  แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอเตือนทุกท่านก่อนว่า จะต้องมีความตั้งใจอย่างยิ่งยวดในการฟัง แล้วเราจึงจะแสดงแก่พวกเธอได้"
        "สำหรับกุลบุตร  กุลธิดา  ที่ได้บังเกิดโพธิจิตแล้วนั้น  ก็เท่ากับว่าเขาได้เผยธรรมชาติเดิมแห่งตถาคตออกมาแล้ว  เมื่อเป็นเช่นนี้  เขาก็ควรที่จะดำรงจิตเช่นนี้ไว้  และก็ควรที่จะสยบอกุศลจิตทั้งปวงด้วยประการนี้ด้วยเช่นกัน" ( ดั่งที่ว่าจิตธรรมเกิดจิตมนุษย์ถอย   แสงตะวันฉายมืดมิดหาย  ก็คือฉะนี้เองแล) พอกล่าวจบถึงตอนนี้  พระพุทธองค์ยังมีคำที่จะตรัสต่อไปอีก  ซึ่งสุภูติได้เข้าใจจุดนี้ดี จึงได้รับคำว่า  "สาธุ"  พร้อมทั้งยังเป็นตัวแทนของที่ประชุมสงฆ์กล่าวอันเชิญให้พระองค์ตรัสเทศนาต่อ  ซึ่งก็คือไม่ต้องคอยให้พระพุทธองค์ได้ตรัสจบเสียก่อน ก็รีบรับคำว่ายินดีที่จะสดับฟังพระอาจารย์ตรัสต่อไปอีกนั่นเอง

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”