collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย  (อ่าน 57785 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

 4. สังขาร (ดำเนิน) แยบยล  ไร้ดำรง

        "อนึ่ง  สุภูติ !  ในธรรมนั้น  พระโพธิสัตว์ควรบริจากทานโดยไร้ดำรงกล่าวคือ จักบริจาคทานโดยไร้ดำรงในรูป  ไร้ดำรงในเสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  และธรรมารมณ์  สุภูติ !  พระโพธิสัตว์ควรบริจาคทานเช่นนี้  โดยไร้ดำรงในลักษณะ  เพราะเหตุใด ?  หากพระโพธิสัตว์ไร้ดำรงในลักษณะบริจาคทาน  บุญวาสนาที่ได้รับก้จักมิอาจคิดคำนวนได้เลย  สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  ทิศบูรพาอันว่างเปล่าสามารถคะเนได้หรือไม่ ?"  "ไม่แล   ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! "  "สุภูติ !  ทิศทักษิณ  ปัจฉิม  อุดร  ตลอดจนความว่างเปล่าในบนล่างสารทิศสามารถคะเนได้หรือไม่ ?"  "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !"    "สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ไร้ดำรงในลักษณะบริจาคทาน  บุญวาสนาที่ได้ย่อมไม่อาจคะเนได้ดุจกัน  สุภูติ !  พระโพธิสัตว์พึงดำรงตามคำสอนเช่นนี้แล"

 5. ดั่งแท้  เห็นจริง

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  สามารถอาศัยกายลักษณะเห็นตถาคตได้หรือไม่ ?   "ไม่แล  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ไม่สามารถอาศัยกายลักษณะเห็นตถาคตได้  เพราะเหตุใด ? กายลักษณะที่พระตถาคตได้ตรัส  มิใช่กายลักษณะ"  พระสุคตตรัสแก่สุภูติว่า  "ลักษณะที่มีอยู่ทั้งหลายล้วนเป็นมายา  หากเห็นเหล่าลักษณะมิใช่ลักษณะ  ก็จะเห็นตถาคต"

 6. ศรัทธาเที่ยงตรง  ยากจะมี

        สุภูติทูลถามพระพุทธองค์ว่า  "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  ยังจักจะมีเหล่าเวไนยสัตว์ที่ได้สดับพระธรรมบรรยายฉะนี้  แล้วบังเกิดศรัทธาอันเที่ยงแท้หรือไม่ ?"  พระพุทธองค์ตรัสตอบสุภูติว่า  "อย่าได้กล่าวเช่นนั้น  หลังจากตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน  หลัง 500 ปี  มีผู้ถือศีลบำเพ็ญบุญที่อาศัยพระธรรมนี้  จนสามารถเกิดใจศรัทธา  และถือสิ่งนี้เป็นจริง  ควรรู้ว่าคน ๆ นี้ ไม่เพียงแต่ปลูกฝังกุศลมูลเฉพาะ 1 พุทธะ  2 พุทธะ, 3,4,5  พระพุทธะเท่านั้น  หากแต่เขาได้ปลูกฝังกุศลมูลต่อพระำพุทธะอันมิอาจประมาณได้เลย  และเมื่อเขาได้สดับพระธรรมดังกล่าว กระทั่งเกิดศรัทธาบริสุทธิ์  สุภูติ !  ตถาคตนั้นรู้หมด  เห็นหมด  คือ  เหล่าเวไนยสัตว์ที่ยึดธรรมฉันนี้  จักได้รับบุญวาสนาอันไร้ขอบเขต  เพราะเหตุใด ?  เป็นเพราะเหล่าเวไนยสัตว์ฉันนี้จะไม่กลับไปมี  อาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  ไร้ธรรมลักษณะ  อีกทั้งไร้อธรรมลักษณะ  เพราะเหตุใด ? เพราะเหล่าเวไนยสัตว์ฉันนี้  หากใจเกิดติดในลัดษณะ  ก็คือติดยึดใน  อาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  และชีวะลักษณะ  หากติดในธรรมลักษณะ  ก็คือ  ติดยึดใน  อาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  และชีวะลักษณะ  เพราะเหตุใด  หากติดในอธรรมลักษณะ ก็คือ ติดยึดในอาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  และชีวะลักษณะ  ฉะนั้นจึงไม่ควรติคยึดในธรรม  ไม่ควรติดยึดในอธรรม  ด้วยความหมายเช่นนี้  ตถาคตมักกล่าวเป็นเสมอว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พึงรู้ว่าธรรมที่เราแดสง  อุปมาดั่งแพ  แม้แต่ธรรมยังต้องละ  นับประสาอะไรกับอธรรมเล่า"   

 7. ไร้รับ  ไร้วาจา

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  ตถาคตได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิฤา ?  ตถาคตได้แสดงธรรมฤา ?" สุภูติตอบว่า  "ตามความเข้าใจในความหมายที่พระองค์ตรัสของข้าพระองค์นั้นคือ ไม่มีธรรมที่แน่นอน  ที่ชื่อว่าอนุตตรสัมมาสัมโพธิ  และไม่มีธรรมที่แน่นอนที่ตถาคตได้แสดง  เพราะเหตุใด ?  ธรรมที่ตถาคตได้แสดงเทศนา  ล้วนมิอาจยึด  มิควรกล่าว  ไม่ใช่ธรรม  ไม่ใช่อธรรม  ทั้งนี้เพราะเหตุใด ?  เมธีอริยะทั้งหลาย  ล้วนเนื่องด้วยอสังขตธรรมและเกิดความแตกต่าง"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

 8. อาศัยธรรม  ก่อเกิด

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  ถ้าหากบุคคลนำสัปตรัตนะปูทั่วมหาตรีสหัสโลกธาตุ  เพื่อใช้บริจาคทาน  บุญวาสนาที่ได้รับของบุคคลนี้นับว่ามากมายหรือไม่ ? " สุภูติทูลตอบว่า "มากมายยิ่งนัก  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ? บุญวาสนานี้ แท้จริงไร้แก่นแท้ของบุญวาสนา ดังนั้นตถาคตตรัสว่า บุญวาสนามากมาย"  "แต่หากได้มีบุคคลสนองรับตามในพระสูตรนี้ ที่สุดแม้เพียงโศลกแค่ 4 บาท  และประกาศสาธยายกับคนอื่น  บุญนี้ยังมากมายเหนือกว่าบุญชนิดแรก  เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !  พระพุทธะทั้งปวง  อีกทั้งเหล่าพระพุทธอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรมทั้งหลาย ล้วนเกิดจากพระสูตรนี้  สุภูติ !  สิ่งที่เรียกว่าพุทธธรรมนั้น  แท้จริงมิใช่พุทธธรรม"

 9. ไร้แม้หนึ่งลักษณะ
 
        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? พระโสดาบันจะสามารถมนสิการว่า ตนได้บรรลุโสดาปัตติผลได้ฤา ?"  สุภูติทูลตอบว่า  "ไม่แล   ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ? พระโสดาบันนามว่าเข้าสู่กระแส แต่ไม่ได้มีการเข้า การไม่เข้าสู่ รูป  รส  กลิ่น  เสียง  สัมผัส  ธรรมารมณ์  จึงได้ชื่อว่าพระโสดาบัน"  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  พระสกทาคามีจะสามารถมนสิการว่า  ตนได้บรรลุสกทาคามิผลได้ฤา ?" สุภูติตอบว่า  "ไม่แล  ขัาแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ?  พระสกทาคสมีมีนามว่าไปมาหนึ่งครั้ง แต่โดยความจริงไม่มีการไปมาหนึ่งครั้ง  จึงได้ชื่อว่าพระสกทาคามี"  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? พระอนาคามีจะสามารถมนสิการว่า  ตนได้บรรลุอนาคามิผลได้ฤา ?"  สุภูติทูลตอบว่า  "ไม่แล  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ? พระอนาคามีนามว่าไม่มา  แต่โดยความจริงไม่มีการไม่มา จึงได้ชื่อว่าพระอนาคามี"   "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? พระอรหันต์จะสามารถมนสิการว่า ตนได้บรรลุอรหัตตมรรคได้ฤา ?"   สุภูติตอบว่า  "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ?  โดยความจริงแล้วไม่มีธรรมที่เรียกว่าพระอรหันต์  ขัาแต่พระสุคต !  หากพระอรหันต์ได้มนสิการว่า ตนได้บรรลุอรหัตตมรรค  ก็คือติดใน  อาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  ชีวะลักษณะ  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! พระองค์ตรัสว่า ข้าพระองค์ได้บรรลุอารัณยิกในสมาธิ  เป็นที่หนึ่งในกลุ่มคน  เป็นพระอรหันต์องค์แรกที่ได้พ้นจากกิเลส ข้าแต่พระองค์ผู้ควรบูชา !  ข้าพระองค์ไม่นมสิการเช่นนี้ว่า  ข้าพระองค์ก็คือพระอรหันต์ผู้พ้นจากกิเลส  ข้าแต่พระสุคต !  หากข้าพระองค์ได้มนสิการเช่นนี้ว่า  ข้าพระองค์ได้บรรลุอรหัตตมรรค  พระองค์ก็จะไม่ตรัสว่า  สุภูติคือผู้ยินดีในอารัณยิกปฏิปทา  แต่เนื่องด้วยความจริงแล้วสุภูติไร้ซึ่งปฏิปทาจึงได้ชื่อว่า สุภูติคือผู้ยินดีในอารัณยิกปฏิปทา"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

            10  อลังการ วิสุทธิเกษร

        พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคต ประทับอยู่ในสำนักพระทีปังกรพุทธเจ้าเมื่อครั้งอดีต มีธรรมที่ได้อันใดฤา ?"  "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตประทับอยู่ในสำนักของพระทีปังกรพุทธเจ้า ความจริงไร้ธรรมที่ได้"   "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  พระโพธิสัตว์ได้ตบแต่งอลังการพุทธเกษรหรือไม่ ?"   "ไม่แล  ข้าแต่พระสุคต !  เพราะเหตุใด ?  อันว่าตบแต่งอลังการพุทธเกษร คือมิใช่อลังการ เป็นเพียงว่านามอลังการ"  "เพราะฉะนั้นแล  สุภูติ !  ปวงพระโพธิสัตว์  มหาสัตว์  พึงยังจิตให้สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้ ไม่ควรดำรงรูปบังเกิดจิต  ไม่ควรดำรงเสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์บังเกิดจิต  แต่ควรที่จะไร้สิ่งดำรงและบังเกิดจิตต่างหาก  สุภูติ !  อุปมาว่ามีบุคคล  กายดุจเจ้าแห่งขุนเขาพระสุเมรุ  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? กายนี้ถือว่ามโหฬารหรือไม่ ? "  สุภูติตอบว่า  "ช่างมโหฬารยิ่งนัก  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ? พระพุทธองค์ตรัสว่ามิใช่กาย  เป็นเพียงนามว่านามว่ากายมโหฬาร"

          11  อสังขตะ  บุญเหลือคณนา

        "สุภูติ ! อุปมาดั่งจำนวนเม็ดทรายทั้งหมดในคงคานที  จำนวนเม็ดทรายเหล่านี้ ให้เปรียบเป็นแม่น้ำคงคาอีกที ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? เหล่าเม็ดทรายในคงคานทีนี้ นับว่ามากมายหรือไม่ ?"  สุภูติตอบว่า "มากมายยิ่งนัก  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพียงแค่คงคานทีเหล่านี้ ก็เป็นจำนวนที่มิอาจนับได้แล้ว จึงนับประสาอะไรกับเม็ดทรายที่ได้เทียบเท่า"  "สุภูติ !  วันนี้เราขอกล่าวถึงความจริงต่อเธอ  หากมีกุลบุตร  กุลธิดา  อาศัยสัปตรัตนะเต็มจำนวนมหาตรีสหัสโลกธาตุ อันได้มีจำนวนเทียบเท่าเม็ดทรายในคงคานทีที่เปรียบดังกล่าวเพื่อใช้บริจาคทาน  บุคคลนี้จะได้รับบุญมากมายหรือไม่ ?"  สุภูติทูลตอบว่า "มากมายยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !"  พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "หากกุลบุตร  กุลธิดา รับสนองปฏิบัติตามพระสูตรนี้  แม้ที่สุดจะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท และประกาศกล่าวแก่บุคคลอื่น บุญวาสนานี้ ยังจะเหนือยิ่งกว่าบุญวาสนาอย่างแรก"

          12  บูชา ศาสตร์แท้
   
        "อนึ่ง  สุภูติ !  ณ ที่ใดที่ได้กล่าวพระสูตรนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท  ควรรู้ว่า ณ สถานที่นี้ เหล่าเมพ  มนุษย์ อสูรทั้งหลายในโลกนี้ล้วนจะกระทำสักการะดุจพระพุทธสถูปวิหาร จึงนับประสาอะไรกับการที่มีบุคคลล้วนสามารถรับสนองปฏิบัติสวดท่อง  สุภูติ !  ควรรู้ว่าบุคคลนี้ได้ยังความสำเร็จแล้วในอนุตตรธรรมอันเป็นยอดสูงสุดที่หาได้โดยยาก หากว่าพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ ณ สถานที่ใด ที่นั้นก็จะมีพระพุทธเจ้าและอัครสาวกพำนักอยู่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                 13  ดั่งธรรมวิธี ยึดถือปฏิบัติ

        สมัยนั้นแล สุภูติได้กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  อันพระสูตรนี้ควรมีนามว่าอะไร ? ข้าพระองค์ทั้งหลายพึงสนองปฏิบัติอย่างไร ?" พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "พระสูตรนี้มีนามว่าวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร อาศัยชื่อนามนี้ เธอพึงรับไปปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! พระพุทธเจ้าตรัสว่าปรัชญาปารมิตา มิใช่ปรัชญาปารมิตา เป็นเพียงนามว่าปรัชญาปารมิตา สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตได้แสดงพระธรรมฤา ?" สุภูติทูลตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมิได้แสดงพระธรรมอันใดเลย"  "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ฝุ่นละอองทั้งหมดในมหาตรีสหัสโลกธาตุ จำนวนถือว่ามากหรือไม่ ? " สุภูติทูลตอบว่า "มากมายยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !"  "สุภูติ ! ฝุ่นละอองทั้งหลายเหล่านี้ ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าฝุ่นละออง ตถาคตกล่าวว่าโลกธาตุ มิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ" "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?"  "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ไม่สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้  เพราะเหตุใด ? ตถาคตตรัสว่า มหาปริสลักษณะ 32 มิใช่ลักษณะ เป็นเพียงนามว่ามหาปุริสลักษณะ 32"  "สุภูติ ! หากมีกุลบุตร กุลธิดา ได้ใช้ชีวิตเปรียบเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน แต่หากไม่มีบุคคล รับสนองปฏิบัติตามพระสูตรนี้ ที่สุดแม้เพียงแค่โฉลก 4 บทมาประกาศสาธยายแก่ผู้อื่น บุญวาสนาดังกล่าวจะมากมายยิ่งกว่านัก"  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

          14  ห่างลักษณ์  นิโรธ

        ครั้งนั้นแล สุภูติได้สดับพระสูตรนี้ จนได้เกิดความซาบซึ้งแจ่มชัดในธรรมอรรถ และเกิดอาการสะอื้นไห้ จึงกราบทูลพระสุคตว่า "หาได้ยากหนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธเจ้าทรงได้ตรัสพระสูตรอันลึกซึ้งลุ่มลึกเช่นนี้ ตั้งแต่อดีตที่ข้าพระองค์ได้ปัญญาจักษุมา ยังมิเคยสดับฟังพระสูตรเช่นนี้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  หากได้มีบุคคลสดับพระสูตรนี้ จนเกิดจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์ เช่นนี้ก็จะบังเกิดลักษณ์แท้ ควรรู้ว่าบุคคลนี้ ได้บรรลุในบุญกุศลอันยอดเยี่ยมที่หาได้ยากหนักหนา"  ข้าแต่พระสุคต !  อันว่าลักษณ์แท้ มิใช่ลักษณะ ฉะนั้นพระตถาคตจึงจตรัสนามว่าลักษณ์แท้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  วันนี้ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรนี้ เกิดกระจ่างเชื่อถือและนำปฏิบัติ ยังไม่นับว่ายาก แต่ในอนาคตกาลหลัง  500 ปี  ได้มีเวไนยสัตว์ที่ได้สดับฟังพระสูตรฉบับนี้จนเกิดความกระจ่างและนำปฏิบัติ บุคคลนี้นับว่ายอดเยี่ยมชนิดหาได้โดยยากทีเดียว เพราะเหตุใด ?  บุคคลนี้ไร้อาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ  ทั้งนี้เพราะเหตุใด ?  อาตมะลักษณะก็คือมิใช่ลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  ก็มิใช่ลักษณะ เพราะเหตุใด ? ห่างจากเหล่าลักษณะ  จึงจะได้ชื่อว่าพระพุทธะทั้งหลายแล"  พระสัมพุทธเจ้าตรัสแก่สุภูติว่า  "อย่างนั้น  อย่างนั้น  หากมีบุคคลได้สดับฟังพระสูตรนี้ โดยไม่วิตก ไม่หวั่น ไม่กลัว ควรรู้ว่าบุคคลนี้ หาได้ยากนักหนา เพราะเหตุใด ? สุภูติ !  ตถาคตกล่าวว่า บารมีอันยอดเยี่ยม มิใช่บารมีอันยอดเยี่ยม เป็นเพียงนามว่าบารมีอันยอดเยี่ยม"  "สุภูติ !  ขันติบารมี ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ขันติบารมี เป็นเพียงนามว่าขันติบารมี เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ดั่งที่เราในอดีตถูกกลิราชาห้ำหั่นกายา เราในขณะนั้น ไร้อาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  เพราะเหตุใด ?  ขณะที่เราในอดีตได้ถูกห้ำหั่นเป็นชิ้น ๆ หากได้มีอาตมลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะแล้ว ควรเกิดความโกรธพยาบาท  สุภูติ !  หวนระลึกกลับไปเมื่อ 500 ชาติก่อน สมัยที่เราเป็นกษานติวาทีดาบส ขณะอยู่ในชาตินั้น ไร้อาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ "  "ด้วยเหตุนี้  สุภูติ !  พระโพธิสัตว์ควรห่างจากลักษณะทั้งปวง และบังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ไม่ควรดำรงรูปบังเกิดจิต ไม่ควรดำรงเสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์บังเกิดจิต แต่ควรบังเกิดจิตที่ไร้สิ่งดำรง หากใจมีการดำรง  ก็คือมิใช่ดำรง  ดังนั้น  พระสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าจิตของพระโพธิสัตว์ไม่ควรดำรงรูปบริจาคทาน  สุภูติ ! พระโพธิสัตว์เพื่อยังประโยชน์สุขแก่เวไนยสัตว์ พึงบริจาคทานด้วยประการเช่นนี้"  "ตถาคตกล่าวว่าลักษณะทั้งปวง มิใช่ลักษณะ  และกล่าวว่าเวไนยสัตว์ทั้งปวง มิใช่เวไนยสัตว์  สุภูติ !  ตถาคตคือผู้กล่าว สัจจวาจา  ภูตวาจา  ตถาวาจา อวิตถาวาจา  อนัญญถวาจา  สุภูติ !  ธรรมที่ตถาคตได้รับ  ธรรมนี้ไร้การเต็มเปี่ยม  ไร้การว่างสูญ"   "สุภูติ !  หากใจของพระโพธิสัตว์ดำรงในธรรมและบริจาคทาน ก็จะเปรียบดั่งคนสู่ที่มืดที่จะไร้การมองเห็นอย่างสิ้นเชิง แต่หากใจของพระโพธิสัตว์ไม่ดำรงในธรรมและบริจาคทาน เปรียบดั่งคนที่มีดวงตาที่ยามแสงสุรีย์สาดส่อง ก็จะเห็นสรรพสีสันนานา  สุภูติ !  ในอนาคตกาล หากได้มีกุลบุตร กุลธิดา สามารถอาศัยพระสูตรนี้ปฏิบัติสวดท่อง ก็คือพระตถาคต  ด้วยพุทธปัญญา เราล้วนเห็นบุคคลนี้ ต่างจักได้บรรลุในบุญกุศลอันไร้ขอบเขตที่มิอาจประเมินปริมาณได้ "     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        15  บุญกุศลของการถือสูตร

        "สุภูติ ! หากได้มีกุลบุตร  กุลธิดา 
ยามเช้า    ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน 
ยามเที่ยง  ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน
ยามเย็น    ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจากทาน  และได้กระทำเช่นนี้นับร้อยพันหมื่น กระทั่งร้อยล้านกัลป์ จนไม่อาจประมาณได้ แต่หากได้มีบุคคลรับสดับพระสูตรนี้ จนบังเกิดจิตศรัทธาไม่คัดค้าน บุญที่ได้ยังเหนือยิ่งกว่าบุญแรก จึงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงได้มีการคัดเขียนและถือปฏิบัติสวดท่อง ทั้งประกาศสาธยายแก่บุคคลอื่นเลย  สุภูติ ! โดยสรุปความสำคัญแล้ว พระสูตรนี้เป็นบุญกุศลอันไร้ขอบเขตและมิอาจคาดคะเนได้ ซึ่งตถาคตจะกล่าวแก่ผู้มุ่งในมหายาน  และจะกล่าวแก่ผู้มุ่งต่ออนุตตรยาน และหากมีบุคคลที่รับสนองปฏิบัติสวดท่อง ทั้งประกาศสาธยายแก่ผู้คนอย่างกว้างขวาง ตถาคตล้วนรู้บุคคลนี้ ล้วนเห็นบุคคลนี้  ต่างได้ประสพความสำเร็จในบุญกุศลที่มิอาจคะเน  มิอาจประมาณ  ไร้ขอบเขตและมิอาจจินตนาการ บุคคลดังนี้เป็นต้น ก็จะเป็นผู้แบกรับอนุตตรสัมมาสัมโพธิของพระตถาคต เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !  หากบุคคลใดเป็นผู้ยินดีในธรรมวิธีอันคับแคบยึดติดในอาตมะทัศนะ  บุคคละทัศนะ  สัตวะทัศนะ  ชีวะทัศนะ  ก็จะมิอาจจะสนองรับสดับสวดท่องในพระสูตรนี้  เหล่าเทพมนุษย์อสสูรในโลก ล้วนต้องบูชาสักการะ ควรรู้ว่าสถานที่นี้ ก็คือสถูปเจดีย์  ล้วนควรเคารพนบไหว้ กระทำประทักษิณ และนำบุปผชาตินานาพรรณมาเกลี่ยบูชา" 

        16  สามารถบริสุทธิ์ผลกรรม

        อนึ่ง  สุภูติ !  หากมีกุลบุตร  กุลธิดา  รับสนองปฏิบัติสวดสาธยายพระสูตรนี้  และยังได้ถูกบุคคลอื่นหมิ่นประมาท อันบาปกรรมบุคคลนี้แต่อดีตชาติ ควรต้องตกสู่ทุคติภูมิ แต่ด้วยเหตุที่ถูกดูหมิ่นย่ำยีจากผู้คนในชาตินี้ อันบาปกรรมในอดีตชาติ ก็จะดับสูญไป และจะได้รับอนุตตรสัมมาสัมโธิ"   "สุภูติ !  เราได้ย้อนระลึกไปในอดีตนับด้วยอสงไขยกัปอันจักประมาณมิได้ ที่เป็นกาลก่อนสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า เราได้เฝ้าปฏิบัติบูชาต่อจำนวนพระพุทธเจ้านับแปดร้อยสี่พันร้อยล้านโกฏิอายุตะองค์โดยมิเคยละเลยว่างเว้น  แต่หากมีบุคคลอื่น ในยุคปลายแห่งอนาคต ที่สามารถรับสนองสวดท่องพระสูตรนี้ บุญกุศลที่ได้รับ จักมากมายยิ่งกว่าบุญกุศลที่เราได้บูชาพระพุทธเจ้า แม้เป็นหนึ่งในร้อยก็มิอาจได้ หรือกระทั่งหนึ่งในพันหมื่นร้อยล้านก็ยังมิอาจเทียม จนกระทั่งเป็นสิ่งที่จำนวนตัวเลขมิอาจกล่าวบรรยายได้เลย"  "สุภูติ !  หากมีกลุบุตร  กุลธิดาในยุคปลายแห่งอนาคต ได้มีการสดับสนองสวดท่องพระสูตรนี้ บุญกุศลที่ได้รับ หากเราจะกล่าวให้ชัดเจน และมีบุคคลใดที่ได้รับฟัง ก็จะเกิดความวุ่นวายแก่จิต มีวิจิกิจฉาไม่เชื่อถือเลย  สุภูติ ! ควรรู้ความหมายของพระสูตรนี้มิอาจจินตนาการ ผลานิสงส์ก็มิอาจจินตนาการด้วยเช่นกัน"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        17   ที่สุดคือไร้อาตมะ

        โดยสมัยนั้นแล สุภูติได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! กุลบุตร กุลธิดา เมื่อได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตแล้ว ควรดำรงจิตอย่างไร ? และควรสยบจิตอย่างไร ?  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก้สุภูติว่า "กุลบุตร กุลธิดา  เมื่อได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ควรบังเกิดจิตใจดั่งนี้ว่า เราจะขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งปวง เมื่อได้ขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งปวงเสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีเวไนยสัตว์แม้นเพียงหนึ่งที่ได้รับการขจัดฉุดช่วย เพราะเหตุใด ? สุภูติ !  หากพระโพธิสัตว์มีอาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  ก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ความจริงไม่มีธรรมที่ได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตเลย"  "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นใด ? ตถาคตประทับอยู่ ณ สำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า ได้มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิฤา ?"  "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ตามที่ข้าพระองค์เข้าใจในความหมายแห่งธรรมอรรถของพระพุทธองค์ ขณะพระองค์ประทับอยู่ ณ สำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า ไม่มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิเลย "  พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ! ความจริงไม่มีธรรมที่ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! หากมีธรรมที่ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้วไซร์ พระทีปังกรพุทธเจ้าก็จะไม่ทรงประทานจุดแก่เรา และตรัสพยากรณ์ว่าเราในอนาคตกาล จักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระศากยมุนี  ก็เพราะว่าไม่มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ฉะนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าจึงได้ประทานจุดแก่เรา และพยากรณ์ว่าเราในอนาคตกาลจักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระศากยมุนี เพราะเหตุใด ? อันว่าตถาคตนั้น ก็คือสหธรรมทั้งปวงดั่งความหมายแห่งตถตา หากมีบุคคลกล่าวว่า ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! อนุตตรสัมมาสัมโพธิที่ตถาคตได้รับ ในความจริงไร้ความเต็มเปี่ยม ไร้ความว่างสูญ  ด้วยเช่นนี้ ธรรมทั้งปวงที่ตถาคตกล่าว ล้วนเป็นพุทธธรรม  สุภูติ !  ธรรมทั้งปวงที่ได้กล่าวมิใช่ธรรมทั้งปวงเป็นเพียงนามว่าธรรมทั้งปวงเท่านั้น"
        สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ก็ควรเป็นเช่นนี้ หากกล่าวกันเช่นนี้ว่า เราจักขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์อันไม่อาจคะเนนี้ได้ ก็จะไม่มีนามว่าพระโพธิสัตว์ เพราะเหตุใด ? สุภูติ !  แท้จริงไม่มีธรรมเรียกพระโพธิสัตว์  ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ธรรมทั้งปวง ไร้อาตมะ ไร้บุคคละ ไร้สัตวะ ไร้ชีวะ"  สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์มีวาทะกล่าวเช่นนี้ว่า เราจักตบแต่งอลังการพุทธเกษร ก็จะไม่มีนามว่าพระโพธิสัตว์ เพราะเหตุใด ? ตถาคตกล่าวว่า ตบแต่งอลังการพุทธเกษร มิใช่อลังการ เป็นเพียงนามว่าอลังการเท่านั้น สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์แจ่มแจ้งแทงตลอดในธรรมอันไร้อาตมะแล้ว ตถาคตจึงจะกล่าวว่า เป็นนามพระโพธิสัตว์จริง"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        18  กายเดียวร่วมทัศนะ  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีมังสจักษุฤา ?"   "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีมังสจักษุ"  "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีทิพยจักษุฤา ? "  "ถ้าอย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีทิพย์จักษุ"  "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ตถาคตมีปัญญาจุกษุฤา ?"  "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีปัญญาจักษุ"  "สุภูติ !  ในความหมายน้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีธรรมจักษุฤา ?"  "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีธรรมจักษุ"  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร  ? ตถาคตมีพุทธจักษุฤา ?"  "ถ้าอย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีพุทธจักษุ"
        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? อุปมาดั่งเม็ดทรายทั้งหมดในคงคานที  ตถาคตกล่าวว่าคือทรายฤา ?"  "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตตรัสว่าเป็นทราย "  "สุภูติิ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? อุปมาให้เม็ดทรายทั้งหมดในหนึ่งสายคงคานที เปรียบให้เป็นคงคานทีอีก และให้จำนวนเม็ดทรายในคงคานทีเหล่านี้ คือะพุทธโลกธาตุ ด้วยจำนวนนี้ถือว่ามากหรือไม่ ? " "มากยิ่งนักข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า  "ในอาณาดินแดนของเธอ  ปวงเวไนยสัตว์ทั้งหลายมีใจในประเทศต่าง ๆ กันตถาคตล้วนแจ่มแจ้งภายในใจต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะเหตุใด ? ตถาคตกล่าวว่าใจเหล่านี้ล้วนมิใช่ใจ เป็นเพียงนามว่าใจ ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใด ? "สุภูติ ! ใจอดีตไม่ควรมีใจปัจจุบันไม่ควรมี ใจอนาคตไม่ควรมี "

        19  แจ้งในความแปรแห่งธรรมชาติ   "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? หากมีบุคคลนำสัปตรัตนะที่มีปริมาณเปี่ยมมหาตรีสหัสโลกธาตุมาบริจาดทาน บุคคลนี้ ด้วยเหตุปัจจัยเช่นนี้ ได้รับผลบุญมากมายหรือไม่ ?"  "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! บุคลนี้ด้วยเหตุปัจจับเช่นนี้ ได้รับบุญมากมายยิ่ง "  "สุภูติ !  หากบุญวาสนามีจริงตถาคตจะไม่กล่าวว่า ได้รับบุญวาสนามากมาย แต่เนื่องด้วยบุญวาสนาไม่มี ตถาคตจึงกล่าวว่า ได้รับบุญวาสนามากมาย"

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”