วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย
บรรพที่ 14 ห่างลักษณ์ นิโรธ
เนื้อหา :
ครั้งนั้นแล สุภูติได้สดับพระสูตรนี้ จนได้เกิดความซาบซึ้งแจ่มชัดในธรรมอรรถ และเกิดอาการสะอื้นไห้ จึงกราบทูลพระสุคตว่า "หาได้ยากหนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระสูตรอันลุ่มลึกเช่นนี้ ตั้งแต่อดีตที่ข้าพระองค์ได้ปัญญาจักษุมา ยังมิเคยได้สดับฟังพระสูตรเช่นนี้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! หากได้มีบุคคลสดับฟังพระสูตรนี้ จนเกิดจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์ เช่นนี้ก็กบังเกิดลักษณ์แท้ ควรรู้ว่าบุคคลนี้ ได้บรรลุในบุญกุศลอันยอดเยี่ยมที่หาได้ยากหนักหนา "ข้าแต่พระสุคต ! อันว่าลักษณ์แท้มิใช่ลักษณะ ฉะนั้นพระตถาคตจึงตรัสนามว่าลักษณ์แท้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! วันนี้ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรนี้ เกิดกระจ่างเชื่อถือและนำปฏิบัติ บุคคลนี้นับวายอดเยี่ยมชนิดหาได้โดยยากทีเดียว เพราะเหใด ! บุคคลนี้ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวลักษณะ ชีวลักษณะ ทั้งนี้พราะเหตุใด ! อาตมะลักษณะก็คือมิใช่ลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวลักษณะ ก็คือมิใช่ลักษณะ เพราะเหตุใด ! ห่างจากเหล่าลักษณะจึงจะได้ชื่อว่าพระพุทธทั้งหลายแล" พระสัมพุทธเจ้าตรัสแก่สุภูติว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น" หากมีบุคคลได้สดับฟังพระสูตรนี้ โดยไม่วิตก ไม่หวั่น ไม่กลัว ควรรู้ว่บุคคลนี้หาได้ยากหนักหนา เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ตถาคตกล่าวว่า บารมีอันยอดเยี่ยม มิใช่บารมีอันยอดเยี่ยม เป็นเพียงนามว่าบารมีอันยอดเยี่ยม" "สุภูติ ! ขันติบารมี ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ขันติบารมี เป็นเพียงนามว่าขันติบารมี เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ดั่งที่เราในอดีตถูกกลิราชาห้ำหั่นกายา เราในขณะนั้น ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ เพราะเหตุใด ? ขณะที่เราในอดีตได้ถูกห้ำหั่นเป็นชิ้น ๆ หากได้มีอาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะชีวะลักษณะแล้ว ควรเกิดความโกรธพยาบาทสุภูติ ! หวนระลึกกลับไป 500 ชาติก่อน สมัยเมื่อเราเป็นกษานติวาทีดาบส ขณะอยู่ในชาตินั้น ไร้ตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ" ด้วยเหตุนี้สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ควรต่างจากลักษณทั้งปวง และบังเกิอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ไม่ควรดำรงรูปบังเกิดจิต ไม่ควรดำรงเสียง กลิ่น รสสัมผัส ธรรมารมณ์บังเกิดจิต แต่ควรบังเกิดจิตที่ไร้สิ่งดำรง หากใจมีการดำรง ก็คือมิใช่ดำรง ดังนั้น พระสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าจิตของพระโพธิสัตว์ไม่ควรดำรงรูปบริจาคทาน สุภูติ ! พระโพธิสัตว์เพื่อยังประโยชน์สุขแก่เวไนยสัตว์ พงบริจาคทานด้วยประการเช่นนี้" "ตถาคตกล่าว่าลักษณะทั้งปวง มิใช่ลักษณะและกล่าวว่าเวไนยสัตว์ทั้งปวงมใช่เวไนยสัตว์สุภูติ ! ตถาคตคือผู้กล่าว สัจจวาจา ภูตวาจา ตถาวาจา อวิตถวาจา อนัญญะถวาจา สุภูติ ! ธรรมที่ตถาคธรรมนี้ไร้การเต็มเปี่ยมไร้การว่างสูญ" สุภูติ ! หากใจของพระโพธิสัตว์ดำรงในพระธรรมและบริจาคทานก็จะเปรียบดั่งคนสู่ที่มืดที่จะไร้การมองเห็นอย่างสิ้นเชิง แต่หากใจของพระโพธิสัตว์ไม่ดำรงในธรรมและบริจาคทาน เปรียบดั่งคนมีดวงตาที่ยามสงสุรีย์สาดส่อง ก็เห็นสรรพสีสันนานา สุภูติ ! ในอนาคตกาล หากได้มีกุลบุตร กุลธิดา สามารถอาศัยพระสูตรนี้ปฏิบัติสวดท่อง ก็คือพระตถาคตด้วยพุทธปัญญา เราล้วนเห็นบุคคลนี้ ต่างจักได้บรรลุในบุญกุศลอันไร้ขอบเขตที่มิอาจประเมินปริมาณได้"