collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย  (อ่าน 57792 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ  พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                            บรรพที่  ๓

                                      มหายาน ศาสตร์แท้

อธิบายบท  :

        สาวกโพธิสัตว์คือหีนยาี  ปัจเจกโพธิสัตว์คือมัชฌิมยาน   แต่สำหรับมหายานที่ได้กล่าวถึงในที่นี้  หมายถึงธรรมแห่งพระโพธิสัตว์มหายาน  โดยที่สาวกยานคือผู้ที่รู้แจ้งในอริยสัจ 4   ปัจเจกพุทธยานคือผู้ที่รู้แจ้งในปฏิจจสมุปบาท 12   มหายานโพธิสัตว์ คือผู้ที่รู้แจ้งในปารมิตา  6  ซึ่งแม้จะมีความแตกต่างเป็นหลายแขนงสาขา  แต่ความหมายของศาสตร์แท้ที่ได้กล่าวถึง ณ  ที่นี้จะหมายถึงธรรมอันแยบยลยิ่งแห่งปรัชญา  โดยปรัชญาถือว่าเป็นมารดาของปวง

เนื้อหา  :

        พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า  "เหล่าพระโพธิสัตว์  มหาสัตว์  ควรสยบใจเช่นนี้  สรรสัตว์ทั้งปวง  ไม่ว่าจะเกิดจากอัณฑชะ ก็ดีเกิดจากชลาพุชะ ก็ดี  เกิดจากสังเสทชะ ก็ดี  เกิดจากอุปปติกะ ก็ดี    หรือ  จักมีรูปก้ดี  ไม่มีรูปก้ดี   มีสัญญาหรือไร้ (สิ้น) สัญญาก็ดีหรือจักมิมีสัญญาหรือมิไร้ (สิ้น) สัญญาก็ดี  เราล้วนชักนำเข้าสู่อนุปาทิเสลนิพพาน  และขจัดฉุดช่วย  ด้วยการขจัดฉุดช่วยสรรพสัตว์ที่จำนวนมิอาจประมาณนับได้นี้ ความจริงแล้วหาได้มีสรรพสัตว์ใด ๆ ได้รับการขจัดฉุดช่วยเลย เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !  หากพระโพธิสัตว์มีอาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  แล้วก็จะมิใช่พระโพธิสัตว์"

ความสังเขป  : 

        สำหรับบรรพนี้  จะเป็นการกล่าวถึงวิธีสยบใจ  ซึ่งพระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์จะสานต่อคำถามที่สุภูติได้ถามเอาไว้ในบรรพที่แล้ว  คือ  จะดำรงจิตนี้อย่างไร ?  และจะสยบจิตนี้อย่างไร ? แต่ในบรรพนี้จะกล่าวเฉพาะเรื่องของการสยบใจ โดยไม่กล่าวถึงเรื่องของการดำรงใจเลย  ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการสยบใจด้วยเช่นกัน  ก็คือการดำรงใจด้วยเช่นนี้ดุจกัน ซึ่งก็คือเมื่อสามารถสยบอกุศลจิตนี้ได้แล้ว เรื่องของการดำรง ก็คือการดำรงที่ใจนี้นี่เอง  ดังนั้น พระตถาคตจึงทรงตักเตือนผู้บำเพ็ญเสมอว่า  ยามเมื่อได้บังเกิดอกุศลจิตขึ้นแล้ว ก็จะไม่สามารถดำรงโพธิจิตให้เป็นนิจได้ แต่ถ้าหากประสงค์ที่ดำรงโพธิจิตนี้ไว้เป็นนิจละก็ ก็ควรที่จะหลีกพ้นจากลักษณะ  หากประสงค์จะหลีกพ้นออกจากลักษณะ ก็ควรที่จะแยกแยะลักษณะต่าง ๆ ในแวดล้อมของเราได้
        ในบรรพนี้  ถึงแม้จะเป็นการกล่าวถึงวิธีการสยบใจก็จริง แต่ก็ยังคงเน้นถึงความสำคัญในการแยกแยะปวงลักษณะ อีกทั้งการออกห่างจากลักษณะทั้ง 4  คือ  อาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  และชีวะลักษณะ  นอกจากนี้  ในบรรพนี้มิได้กล่าวถึงกุลบุตร กุลธิดา แต่กลับกล่าวถึงพระโพธิสัตว์ มหาสัตว์  ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพระโพธิสัตว์คือผู้ที่มีใจกว้างใหญ่ อีกทั้งที่ยังเป็นศิษย์ที่ได้บรรลุธรมแล้วนั่นเอง  อนึ่ง  การที่พระพุทะองค์ทรงแสดง วิธีการสยบใจแก่พระโพธิสัตว์นั้น ก็เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า กุลบุตร  กุลธิดาก็สามารภที่จะปฏิบัติตามวิธีการสยบใจเช่นนี้มาสยบใจของตนเองได้  และด้วยวิธีการปฏิบัติเช่นนี้นี่เอง ก็สามารถที่จะดำรงโพธิจิตให้เป็นนิจได้แล้วแล

อธิบายพระสูตร  :

        พระพุทะองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "พระโพธิสัตว์  มหาสัตว์ทุกพระองค์ควรที่จะปฏิบัติตามวิธีที่เราได้กล่าวดังต่อไปนี้มาสยบอกุศลจิต  เช่นนี้จึงจะสามารถดำรงโพธิจิตเอาไว้ได้  ส่วนวิธีการสยบจิตใจก็คือต้องหลีกพ้นจาก 4 ลักษณะ  หากจะหลีกพ้นจากลักษณะ ก็ควรที่จะแยกแยะลักษณะทั้งปวงได้ และตอนนี้เราจะขอสรุปลักษณะของเวไนยสัตว์  ซึ่งมีอยู่  10 ประการด้วยกันคือ มีแบบเกิดจากอัณฑชะ  เกิดจากชลาพุชะ  เกิดจากสังเสทชะ  เกิดจากอุปปติกะ  แบบมีรูป  แบบไม่มีรูป  แบบมีสัญญา  แบบไร้ (สิ้น)สัญญา  แบบมิมีสัญญา  แบบมิไร้(สิ้น)สัญญา  ทั้งหมดที่ได้กล่าวไปนี้ล้วนแต่เป็นอกุศลจิตของเวไนยสัตว์ที่ไม่ใช่ใจจริงแห่งพระโพธิสัตว์ และเราก็จักทำการขจัดซึ่งกรรมของพวกเขา อีกทั้งยังจะฉุดช่วยพวกเขาให้พ้นจากการเวียนว่ายในคติทั้ง  6  โดยมิต้องมีการเกิดการตายและเข้าสู่ดินแดนอันวิสุทธิ์ที่อสังขตะไป  และถึงแม้เราจะได้ขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์อันเหนือคณานับเช่นนี้ก็ตาม แต่โดยความจริงแล้วไม่มีเวไนยสัตว์ใดเลยที่ได้รับการขจัดฉุดช่วยจากเรา นี่เป็นเพราะสาเหตุใดหละ ?  นั่นเป็นเพราะเวไนยสัตว์กับพระโพธิสัตว์ต่างก็มีจิตโพธินี้ดุจกัน แต่สำหรับการขจัดอกุศลจิตและฉุดช่วยเขาให้ย้อนสู่ความวิสุทธิ์ของเขาในตอนนี้นั้น แท้จริงก็คือการย้อนกลับสู่โฉมเดิมที่เคยมี ควรรู้ไว้ว่า ธรรมญาณตนเท่านั้นที่ฉุดช่วยตน มิใช่ตถาคตเราเป็นผู้ฉุดช่วยแต่อย่างใดเลย และ้ช่นนี้จึงจะทำให้ได้รับในสิ่งอื่นได้"
        พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "สุภูติ !  หากพวกเขาได้มีความคิดว่าได้รับการขจัดฉุดช่วยจากเราแล้ว เช่นนี้ก้เท่ากับว่ายังมีความยึดติดในอาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  ชีวะ  อันเป็นลักษณะทั้ง 4 นี้อยู่  ซึ่งนั่นก็หมายความว่ายังคงเป็นเวไนยสัตว์แห่งธรรมญาณตนที่ยังไม่ได้ขจัดฉุดช่วยสู่อนุปาทิเลสนิพพานอยู่ดี และก้แน่นอนว่ายังไม่ใช่พระโพธิสัตว์  สำหรับเหตุผลเช่นนี้ หากพระโพธิสัตว์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ ก็ยังคงเป็นเวไนยสัตวือยู่ดี แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ที่ได้รู้แจ้งเข้าใจเช่นนี้แล้ว จึงจะเป็นพระโพธิสัตว์ได้ กล่าวคือ โดยแท้จริงแล้วธรรมญาณตนเท่านั้นที่แฉุดช่วยตน โดยที่พระตถาคตไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรกับเขาเลย  และพวกเขาก็ไม่ควรที่จะมีความคิดว่าได้รับการขจัดฉุดช่วยจากพระตถาคต ซึ่งหากพวกเขายังมีความคิดเช่นนี้อยู่ ก็คือยังมีความยึดติดใน 4 ลักษณะ และเช่นนี้ก็จะยังมิใช่พระโพธิสัตว์นั่นเองแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ  พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                            บรรพที่  ๓

                                      มหายาน ศาสตร์แท้

คำศัพท์  : 

๑ อริยสัจ 4   :  ทุกข์  สมุทัย  นิโรธ  มรรค   (พ.จ.)

๒ ปฏิจจสมุปบาท  12    มีรายละเอียดดังนี้

1  อวิชชา     (เป็นปัจจัยที่เกิดสังขาร)                   2  สังขาร     (เป็นปัจจัยที่เกิดวิญญาณ)
3  วิญญาณ   (เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป)                 4  นามรูป     (เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ)
5  อายตนะ 6 (เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ)                  6  ผัสสะ       (เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา)
7  เวทนา      (เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา)                 8  ตัณหา      (เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน)
9  อุปาทาน   (เป็นปัจจัยให้เกิดภพ)                     10  ภพ         (เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ)
11  ชาติ       (เป็นปัจจัยให้เกิดชรามรณะ)             12  ชรามรณะ (เป็นปัจจัยให้เกิดอวิชชา)---(พ.จ.)

ปารมิตา  6  :  ทานบารมี  ศีลบารมี  ขันติบารมี  วิริยบารมี  ฌานบารมี  ปัญาบารมี  ----(พ.จ.)

อัณฑชะ      :   เกิดจากครรภ์ ----(พ.จ.)
ชลาพุชะ     :  เกิดจากฟองไข่ ----(พ.จ.)
สังเสทชะ    :  เกิดจากเถ้าไคลความชื้นแฉะ  ----(พ.จ.)
อุปปติกะ      :  เกิดแบบผุดขึ้น  (ไม่ว่าจะเป็นเทวดาก็ดี  สัตวนรกก็ดี  เมื่อเกิดผุดขึ้นก็ใหญ่โตในทันที โดยไม่ต้องผ่านช่วงของทารกเลย และก้เมื่อถึงคราวจุติก็หายวับไปโดยไม่ทิ้งซากไว้ ----(พ.จ.)

1  มหาสัตว์     :  มหา  มีความหมายว่าใหญ่หลวง หมาสัตว์ก็คือพระโพธิสัตว์ที่เปี่ยมด้วยฌานแห่งการรู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่

2  อนุปาทิเลสนิพพาน     :  หมายถึงการไม่หลงเหลือลักษณะมายาแห่งการเกิดดับแม้แต่น้อย  นิพพาน  ก็คือญาณแห่งการรู้แจ้ง  ซึ่งแต่เดิมนั้นก็ไร้การเกิดการดับ  ฉะนั้น  อนุปาทิเลสนิพพานก็คือ มหานิพพานนั่นเอง

3  ขจัดฉุดช่วย    :  ขจัดก็คือการขจัดแห่งลักษณะมายา   ฉุดช่วยก็คือการฟื้นฟูญาณแห่งการรู้แจ้ง  ความหมายของการขจัดฉุดช่วยก็คือ การอาศัยปัญญาอันอำไพมาขจัดความลุ่มหลงอันเป็นความมืดมิดให้หมดไป  ( ขออุปมาดังเช่น การรักษาโรคสายตาของผู้ป่วยหลังจากที่ผู้ป่วยได้ผ่านการรักษาบำบัดจนได้หายขาดจากโรคตานี้แล้ว สายตาของเขาก็ได้ย้อนกลับสู่ความแจ่มชัดใหม่อีกครั้ง ซึ่งคุณหมอก็คือผู้รักษาสายตาโรคของเขา  แต่คุณหมอไม่ได้เป็นผู้ที่ให้ความแจ่มชัดของสายตาแก่เขา ดังนั้นเราจึงทราบได้ว่า ความแจ่มชัดคือสิ่งที่สายตาได้มีอยู่แต่เดิม  ส่วนโรคสายตานั้นคือสิ่งที่แต่เดิมไม่เคยได้มีมาก่อน  ก็เพราะแต่เดิมไม่เคยมีมาก่อน ฉะนั้นจึงสามารถขจัดได้ และก็เนื่องด้วยเป็นสิ่งที่มีมาแต่เดิมแล้ว ฉะนั้นจึงสามารถฉุดช่วยได้แล)

4  อาตมะลักษณะ     :  ลักษณะก็คือรูปลักษณ์   และเมื่อได้ยึดติดในรูปลักษณ์ ใจก็จะไม่ว่างเปล่า  ซึ่งจะเกิดเป็นความติดข้องและไม่สามารถสลาย เช่นนี้เรียกว่าลักษณะ   สำหรับอาตมะลักษณะนั้น  ก็คือสิ่งใดก็แล้วแต่ที่รักแต่ตัวและเอาแต่ดิ้นรนขวนขวายกับมันตลอดทั้งวัน มีความอยากในทางแก่งแย่งชื่อเสียงฐานะและผลประโยชน์เพื่ออนาคตของตัวเอง อีกทั้งเพื่ออนาคตของลูกหลาน ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นอาตมะลักษณะทั้งสิ้น

5  บุคคละลักษณะ     :  หมายถึงทุกสิ่งที่เป็นการแบ่งแยกเขาเรา  เช่นเมื่อเห็นอำนาจทรัพย์สินของผู้อื่นก็จะประจบไขว่คว้าเสียไม่หยุด และเมื่อยามที่เห็นคนอื่นเขาอ่อนแอกว่าก็จะเกิดความรังเกลียดดูแคลนอยู่ตลอดเวลา อิจฉาในสิ่งที่เขามี  ตระหนี่ในสิ่งที่เขาขอ  ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นบุคคละลักษณะทั้งสิ้น

6  สัตวะลักษณะ     :  อันสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดจากรูป  เวทนา  สัญญา  สังขารมาผสมและเกาะกุมกัน หรือเป็นรัก  โลภ  โกรธ  หลง ที่ได้กลบฝังความประภัสสรแห่งญาณเดิม  ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสัตวะลักษณะทั้งสิ้น

7  ชีวะลักษณะ     :  อันสิ่งต่าง ๆ ที่ได้แก่การปักธูปภาวนาวอนขอเพื่อให้ได้บุญวาสนา หรือการปรุงยาเสกฤทธิ์เพื่อให้มีอายุที่วัฒนะ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นชีวะลักษณะทั้งสิ้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                               บรรพที่ ๔

                  สังขาร  (ดำเนิน) แยบยล  ไร้ดำรง

อธิบายบท  :

        อันว่าดำเนิน (สังขาร) แยบยลนั้นก็คือ ไร้สิ่งที่สามารถดำเนิน และไร้สิ่งที่ได้ดำเนิน  สำหรับความหมายของการดำเนินโดยไร้สิ่งที่ได้ดำเนินนั้นนั้นก็คือ แม้จะดำเนินแต่ก็ไร้การยึดติดดำเนิน  ซึ่งโดยแท้แล้ว วิญญาณที่ 7  ของเราก็คือคำว่า ดำเนิน  หากยังมีสิ่งที่ได้ดำเนิน เช่นนี้ก็มิอาจไร้ดำรงได้ และหากยังมีการดำรง เช่นนี้ก็จะไม่มีการย้อนกลับสู่ความเดิมที่บริสุทธิ์ และแผ่ซ่านไปทั่วทั้งธรรมธาตุได้นั่นเอง  ฉะนั้น  สำหรับหลักอันแยบยลของการ ดำเนินโดยไร้ดำเนิน  ดำรงโดยไร้ดำรง  เช่นนี้  หากมิใช่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 9 ระดับ 10 แล้วหละก็ ก็มิอาจที่จะเข้าใจความแยบยลเช่นนี้ได้เลย ด้วยเหตุนี้  สำหรับผู้ที่บำเพ็ญอยู่ในฌาน 4 สมาธิ 4 นั้น  ก็ยังเป็นผู้ที่ไม่สามารถพ้นออกจากภาวะแห่งความทุกข์ของการติดอยู่ในขันธ์ 5 ได้อยู่ดี  สำหรับการดำเนินแยบยลไร้ดำรง ที่ได้กล่าวถึงในบรรพนี้นั้น จะหมายถึงการบริจาคทานโดยไม่ยึดติดในลักษณะ เพราะลักษณะทั้งปวงล้วนแต่เป็นมายา การที่ยึดติดในลักษณะก็คือการยึดติดในมายา  หากไม่ยึดติดในลักษณะ ก็จะไม่ถูกสภาวะแห่งมายาจากภายนอกสั่นคลอนเราได้ เมื่อไม่ถูกสภาวะแห่งมายามาสั่นคลอน เช่นนี้ก็จะไม่เกิดไม่ดับ ซึ่งก็คือร่างเดิมแท้ที่วิสุทธิ์อันเป็นการย้อนกลับสู่โฉมเดิมที่เด่นสง่านั่นเอง และด้วยการดำรงที่ไร้ดำรงเช่นนี้ จึงจะเป็นการดำรงอันแยบยลที่แท้จริงแล

เนื้อหา  :

        "อนึ่ง  สุภูติ !  ในธรรมนั้น พระโพธิสัตว์ควรบริจาคทาน โดยไร้ดำรงกล่าวคือ จักบริจาคทานโดยไร้ดำรงในรูป ไร้ดำรงในเสียงกลิ่น  รส  สัมผัส  และ  ธรรมารมณ์  สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ควรบริจาคทานเช่นนี้  โดยไร้ดำรงในลักษณะ เพราะเหตุใด ?  หากพระโพธิสัตว์ไร้ดำรงในลักษณะบริจาคทาน บุญวาสนาที่ได้รับก็จักมิอาจคิดคำนวนได้เลย  สุภูติ !  "ไม่แล   ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! "  "สุภูติ !  ทิศทักษิณ  ปัจฉิม  อุดร  ตลอดจนความว่างเปล่าในบนล่างสารทิศสามารถคะเนได้หรือไม่ ?"  "ไม่แล ข้าแต่พระผุ้มีพระภาคเจ้า ! "  "สุ๓ุติ !  พระโพธิสัตว์ไร้ดำรงในลักษณะบริจาคทาน บุญวาสนาที่ได้ย่อมไม่อาจคะเนได้ดุจกัน  สุภูติ !  พระโพธิสัตว์พึงดำรงตามคำสอนเช่นนี้แล"

ความสังเขป  :

        สำหรับบรรพนี้ จะเป็นบรรพที่ได้กล่าวถึงวิธีการดำรงจิตนั่นเองแล อันว่าไร้ดำรงที่ได้กล่าวถึงในที่นี้นั้น หมายถึงภายในไม่ดำรงในอาตมะ ภายนอกไม่ดำรงในบุคคละ ท่ามกลางไม่ดำรงในสิ่งที่บริจาค  ซึ่งจะสามารถอุปมาได้ดั่งกระจกที่ฉายส่องวัตถุ  กล่าวคือ ยามที่วัตถุมาก็ปรากฏภาพ ยามที่วัตถุไปก็ละวางเฉย ซึ่งหมายถึงต้องหลีกพ้นจากอายตนะลักษณะแห่งเวไนยสัตว์ที่มีอยู่ 6 ประการด้วยกันคือ รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์  นั่นเอง  แต่เหตุใดจึงได้กล่าวเฉพาะบริจาคทานที่ไม่ได้ยึดติดในลักษณะก่อนหละ ? นั่นก็เป็นเพราะในพุทธธรรมนั้นจะมีอยู่ 6 บารมี คือ ทานบารมี  ศีลบารมี  ขันติบารมี  วิริยะบารมี  ฌานบารมี  ปัญญาบารมี  โดยที่ทานบารมีจะขจัดความโลภ ตระหนี่  ศีลบารมีจะขจัดความราคะ  ขันติบารมีจะขจัดความโกรธแค้น  วิริยะบารมีจะขจัดความเกียจคร้าน   ฌานบารมีจะขจัดความฟุ้งซ่าน   ปัญญาบารมีจะขจัดความโง่เขลา  และเป็นที่ยอมรับกันทุกคนว่า งานที่ดีที่สุดในโลกก็คืองานการกุศล และ การบริจาคทาน ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากงานการกุศลได้อีกด้วย ดังนั้น การบริจาคทานจึงถือว่าเป็นที่หนึ่งของบารมี 6  อย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ  และด้วยการมีทัศนะต่อการบริจาคทานเช่นนี้ ประการหนึ่งคือสามารถให้ความสุขแก่ผู้อื่นได้ ส่วนอีกประการหนึ่งคือสามารถขจัดความตระหนี่ของตนเองให้หมดไปได้นั่นเอง  แต่ทว่า  การที่พระโพธิสัตว์เจริญทานนั้น
ก็ควรที่จะไม่ยึดในลักษณะ เพราะหากได้ยึดในลักษณะก็เท่ากับได้ตกสู่สภาวะแห่งอายตนะที่ตาหลงในรูป  หูหลงในเสียง  จมูกชอบในกลิ่น  ปากติดในรส  กายใคร่ในสัมผัส  อีกทั้งใจที่เกิดการแยกแยะเปรียบเทียบได้  ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้อยู่ ก็เท่ากับว่ายังคงเป็นเวไนยสัตว์แห่งธรรมญาณอยู่ดี  และก็ด้วยการที่มีความโลภเช่นนี้นี่เอง ที่ได้เป็นเหตุให้หลงลืมไปจากโพธิอันเป็นความแจ้งเดิมแท้ของตนไป  แล้วเหตุใดจึงต้องกล่าวถึงรูปก่อนหละ ? นั่นก็เป็นเพราะกรรมของรูปแห่งจักษุอินทรีย์จะมีความหนักหนาเป็นพิเศษ ซึ่งพระตถาคตก็ทรงเป็นห่วงผู้บำเพ็ญในอนาคตกาลจะเกิดใจระแวงที่คิดว่า "แท้จริงแล้ว ก็เพราะต้องการบุญจึงให้บริจาคทาน และหากบอกว่าไม่ให้ดำรงในลักษณะบริจาคทานหละก็ เช่นนี้ก็ต้องเป็นความว่าง  ก็ในเมื่อเป็นความว่างแล้วจะให้มีบุญอย่างไรได้ ?" ด้วยเหตุผลดังนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสเทศนาต่อไปว่า "หากพระโพธิสัตว์ได้บริจาคทานโดยไม่ดำรงในลักษณะแล้ว  บุญที่ได้ก็จะมีความมหาศาลกว่าอย่างมากมายนัก"
        โดยสรุปแล้วก็คือ มาตรว่าการบริจาคทานของพระโพธิสัตว์จะเป็นการทำโดยมุ่งหวังในบุญวาสนาก็จริง  แต่หากจิตใจที่มุ่งหวังในบุญวาสนานี้ได้เกิดยึดติดในลักษณะแล้ว แม้นว่าจะได้รับบุญวาสนาอย่างไร ๆ ก็ตาม  แต่บุญวาสนานี้ก็จะมีไม่มากนัก ในทางตรงกันข้าม หากพระโพธิสัตว์ท่านนี้ได้บริจาคทานโดยหลีกพ้นจากลักษณะ  บุญวาสนาที่ได้รับก็จะมีความยิ่งใหญ่อย่างสุดคณาได้นั่นเอง  นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ตรัสถึงบุญวาสนาที่ยิ่งใหญ่มโหฬารแบบนี้ว่า มีความมโหฬารดุจความว่างเปล่าในสากลทิศที่มิอาจคะเนได้ดุจกัน (หากเราได้มองจากทิศบูรพาก็จะมีแต่ทิศปัจฉิม หากเรามองจากทิศทักษิณก็จะมีแต่ทิศอุดร  หากเรามองจากบนก็จะเห็นแต่ล่าง  หากเรามองล่างก็จะเห็นแต่บน  จากตรงนี้ก็ทำให้เราทราบได้ว่า  ทิศทั้ง  4  ล้วนเป็นเพียงแค่นามบัญญัติที่มนุษย์ได้กำหนดขึ้นเท่านั้น  ซึ่งแต่เดิมนั้นก็ไม่ได้มีขอบเขต ไม่ได้มีท่ามกลางอย่างที่ได้บัญญัติขึ้นแต่อย่างใด และเช่นนี้ก็คือความหมายของ"อินทรีย์ 6 ที่กลมกระจ่าง 4 ทิศโปร่งไร้ขวางกั้น" นั่นเอง)

อธิบายพระสูตร  :

        พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทศนาต่อไปว่า "สุภูติ !  สำหรับธรรมแห่งอนุตตรสัมมาสัมโพธินั้น พระโพธิสัตว์ไม่ควรที่จะยึดติดลักษณะบริจาคทาน และการที่จะไม่ยึดติดในลักษณะที่บริจาคทานได้นั้น ก็จักต้องมีอินทรีย์ 6  มีความวิสุทธิ์ ให้หลีกพ้นออกจากอายตนะลักษณะ  คือ รูป  เสียง กลิ่น รส สัมผัส  กามารมณ์" (ผู้ให้ลืมการให้  ผู้รับลืมการรับ  อีกทั้งยังต้องลืมถึงสิ่งของที่ได้ให้ไป ด้วยการที่การให้ว่าง  การรับว่าง  สิ่งที่ให้ว่างเช่นกัน จึงจะเรียกได้ว่าเป็น " 3ปัจจัยจักรว่าง")  พระพุทธองค์ได้ตรัสต่อไปว่า  "สุภูติ !พระโพธิสัตว์ควรจะไม่ดำรงลักษณะบริจาคทาน ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใดหละ ?  นั่นก็เป็นเพราะการดำรงบริจาคทาน ก็จะกลายเป็นกรอบที่ได้ถูกผุกมัดจากการมีัลักษณะเท่านัน เพราะโดยแท้จริงแล้ว อันลักษณะต่าง ๆ ของเวไนย์สัตว์นั้นก็เป็นเหมือนเช่นฝุ่นธุลีซึ่งแม้จะได้รับบุญก็จริง แต๋ก็มิอาจที่จะยั่งยืนได้ และถ้าหากพระโพธิสัตว์ไม่ยึดในลักษณะบริจาคทาน อีกทั้งยังสามารถปฏิบัติใน 3 ปัจจัยจักรว่างนี้ได้แล้ว เช่นนี้ก็จะไม่มีลักษณะที่จะดำรงได้อีกต่อไป และด้วยบุญที่ไร้ดำรงในลักษณะเช่นนี้ก็จะไม่มีลักษณะที่จะดำรงได้อีกต่อไป และด้วยบุญที่ไร้ดำรงในลักษณะเช่นนี้ จึงจะเป็นบุญที่มิอาจประเมิณปริมาณได้นั่นเองแล"   พระพุทะองค์ทรงแสดงต่อไปว่า "สุภูติ !  เธอคิดว่าความว่างเปล่าของทิศบูรพาอันไพศาลนี้สามารถคะเนได้หรือไม่ ?" สุภูติทูลตอบว่า  "ไม่สามารถที่จะคะเนได้เลย ข้าแต่พระผุ้มีพระภาคเจ้า !"  พระพุทธองค์ทรงถามต่อไปว่า " สุภูติ !  สำหรับทิศปัจฉิม  อุดร  ทักษิณ  ตลอดจนทั้งบนล่างทุกสารทิศนี้สามารถที่จะคะเนได้หรือไม่ ?"  สุภูติทูลตอบว่า " ไม่สามารถที่จะคะเนได้เลย ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! " พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อไปว่า  "สุภูติ !  พระโพธิสัตว์ควรที่จะปฏิบัติตามคำสอนแห่งความคุ้มครองห่วงใยอันดี อบรมสั่งสอนอันดีของเราในการสยบจิตใจเช่นนี้  ในการดำรงเป็นนิจในจิตใจเช่นนี้  โดยมิต้องไปไขว่คว้าการดำรงจิตใจในแบบอื่นอีกเลย"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                               บรรพที่ ๔

                  สังขาร  (ดำเนิน) แยบยล  ไร้ดำรง

                                คำศัพท์

สังขาร   :  หนึ่งในขันธ์ 5 ...(ผู้แปล) 
 
วิญญาณ  7 (กลิสตมนวิญาณ)  :  คือหนึ่งใน 8 วิญญาณ  โดย  8 วิญญาณมีรายละเอียดดังนี้  1.จักษุวิญญาณ   2.โสตวิญญาณ   3.ฆานวิญญาณ   4. ชิวหาวิญญาณ   5. กายวิญญาณ  6.มโนวิญญาณ  7.กลิสตมนวิญญาณ  8.อาลยวิญญาณ ...(พ.จ.)

ฌาน 4   :  ปฐมฌาน   ทุติยฌาน   ตติยฌาน   จตุตถฌาน

การบำเพ็ญฌานสมาธิ  4  จะส่งผลให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นรูปธาตุ คือ ปฐมฌานภูมิ   ทุติยฌานภูมิ   ตติยฌานภูมิ   จตุตถฌานภูมิ...(พ.พ.จ.)

พ.พ.จ.  หมายถึง  พจนานุกรมพุทธศาสนาฉบับภาษาจีน (ฝอเสวียฉางเจี้ยนฉือฮุ่ย) เฉินอี้เซี่ยว .สำนักพิมพ์ ฝอเจี้ยวซูปั่นเซ่อ.พิมพ์ที่ฝูฟงพลิ้นติ้ง (ไต้หวัน)

ขันธ์ 5  คือ  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  ...(พ.จ.)

บริจาคทาน   :  เป็นหนึ่งในบารมี  6 แห่งพุทธธรรม ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น  3 ประเภทคือ  1.ทรัพย์เป็นทาน   2.ธรรมเป็นทาน คือการแสดงธรรมโดยมีความวิริยะไม่เหนื่อยหน่าย  อยู่ในฌานสมาธิโดยไม่ฟุ้งซ่าน  ดำรงในปัญญาโดยไม่ตาลปัตร   3.แรงกายเป็นทาน คือ หากได้มีคนตกอยู่ท่ามกลางความวิตกเดือดร้อน อีกทั้งอยู่ในขอบเขตความสามารถที่เราช่วยเหลือได้ สิ่งที่เราได้ทำลงไปในการคลายความวิตกเดือดร้อนโดยไม่ย่อท้อต่อความยากนั้น เรียกว่าแรงกายเป็นทาน

ความว่างเปล่า   :  ดุจดั่งมิติอันเคว้งคว้างว่างเปล่าในสากลจักรวาลที่ไร้แม้สิ่งขวางกั้นอย่างอณูผง  โดยจะเป็นความปรุโปร่งแจ่มชัด ที่มิใช่สิ่งที่ความคิดจะสามารถคาดเดาเอาได้เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
               วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                               บรรพที่ ๕

                            ดั่งแท้เห็นจริง   

อธิบายบท   :

        อันว่า "ดั่ง"  นั้น  คือดั่งตถตาแล  ในทั่วทั้งทศภูมิ  ไม่ได้มีธรรมใดที่เที่ยงแท้แม้แต่นิดเดียว เพราะหากว่ามีธรรมที่เที่ยงแท้หละก็ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพียงแค่มายาลักษณะทั้งสิ้น  อันว่าดั่งแท้นั้น  หมายถึงอย่าได้มีลักษณะแห่งมายามาเห็นตถาคต  แต่ควรที่จะเห็นตถาคตโดยไร้ลักษณะ  มิไร้ลักษณะต่างหาก (อะไรคือ ไร้ลักษณะ ? กล่าวคือ ลักษณะทั้งปวงในโลกนี้ล้วนแต่เป็นภาวะแห่งมายา ซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้มีอยู่แล้ว ฉะนั้น จึงเรียกว่าไร้ลักษณะ และอะไรคือมิไร้ลักษณะ ? กล่าวคือ ธรรมทั้งหลายแห่งทศภูมิ  ก็สามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร้ขอบเขตและมีความเสรีโดยไร้ความขัดข้องได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงเรียกว่า มิไร้ลักษณะ) สำหรับการเห็นจริงนั้นคือ เห็นตถาคตแห่งธรรมญาณ  ซึ่งได้มีความแจ้งในธรรมญาณแล้วว่า แท้จริงแล้ว ธรรมญาณมีความว่างเป็นธรรมชาติฉะนั้นจึงไม่ควรที่จะเห็นตถาคตด้วยลักษณะ  สำหรับคำว่า ดั่งแท้เห็นจริง ก็คือ ไม่ควรที่จะยึดติดลักษณะ อีกทั้งไม่ควรที่จะหลีกพ้นจากลักษณะ เพราะการยึดติดลักษณะนั้น  โดยแท้แล้วก็ล้วนแต่เป็นมายา แต่ถ้าหากคิดจะหลีกพ้นจากลักษณะ การปฏิบัติเช่นนี้ก็จะตกสู่การดับสูญอีก  ฉะนั้น  จึงควรที่จะไม่ยึดและไม่ละ กล่าวคือ ถึงแม้จะมีลักษณะ แต่ไม่เกิดอาการของการดำรงในลักษณะ  เช่นนี้ก็จะเห็นปวงลักษณะ  ซึ่งก็จะพบเห็นตถาคตได้เองแล

เนื้อหา   : 

        "สุภูติ  !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  สามารถอาศัยกายลักษณะเห็นตถาคตได้หรือไม่ ?"   "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ไม่สามารถอาศัยกายลักษณะเห็นตถาคตได้ เพราะเหตุใด ?  กายลักษณะที่พระตถาคตได้ตรัส มิใช่กายลักษณะ"  พระสุคตตรัสแก่สุภูติว่า "ลักษณะที่มีอยู่ทั้งหลายล้วนเป็นมายาหากเห็นเหล่าลักษณะมิใช่ลักษณะ ก็จะเห็นตถาคต

ความสังเขป   :   

        ในบรรพนี้ จะกล่าวถึงการทำลายลักษณะแห่งมายา ซึ่งในบรรพก่อน ๆ ก็ได้กล่าวถึงวิธีการสยบใจไปแล้ว ทั้งนี้  ก็เพราะต้องการให้พระโพธิสัตว์บังเกิดโพธิจิตเช่นนี้นั่นเอง ส่วนกุลบุตร  กุลธิดา โดยทั่ว ๆ ไป ก็ควรที่จะบังเกิดโพธิจิตเช่นนี้ด้วยดุจกัน และถึงแม้พระตถาคตจะทรงสอนไว้เช่นนี้แล้วก็ตาม แต่พระองค์ก็ยังทรงเป็นห่วงศิษย์สาวกทั้งหลายอยู่ กล่าวคือ ในขณะที่พูดนั้นดูเหมือนจะเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ภายในใจก็ยังคงมีความหลงใหลต่อสภาวะภายนอกอยู่ ดังนั้น จึงลองถามสุภูติว่า "สามารถที่จะอาศัยกายลักษณะเห็นตถาคตได้หรือไม่ ?" ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการทดสอบสุภูติว่าจะมีความเข้าใจ "การสยบใจหลีกพ้นลักษณะ" แล้วหรือยัง ครั้งสุภูติถูกถามเช่นนี้ สุภูติก็สามารถเข้าในทันทีได้ว่า นี่คือการลองถามความเข้าใจของสุภูติเอง ดังนั้นจึงกราบทูลพระตถาคตว่า "ไม่สามารถที่จะใช้กายลักษณะ  (รูปกาย) เห็นตถาคตได้"  แท้จริงแล้ว พุทธกายมิได้หมายถึงรูปกายเลย  ซึ่งโดยความจริงนั้นคือ ธรรมกายที่เป็นความว่างแท้อันไร้ลักษณะต่างหาก และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไหนเลยที่จะใช้มังสะจักษุมาเป็นรูปกายแห่งพระตถาคตได้ ?  และไม่เพียงแต่ปุถุชนที่ไม่สามารถเห็นได้เท่านั้น แม้แต่พระโพธิสัตว์แห่งหีนยานก็ไม่อาจเห็นตถาคตได้ด้วยเช่นกัน ในบันทึกแห่งฌานได้กล่าวไว้ว่า "ไผ่หยกเขียวขจี มิต่างไยกับธรรมกายมาลีเหลืองอันเสียดแน่น แท้ก็คือปรัชญาบาน"  ในประโยคได้หมายถึงว่าธรรมกายสามารถแผ่ซ่านไปทั่วทั้งความว่างเปล่าในสากล ซึ่งทุกต้นไม่หย่อมหญ้าล้วนอยู่ในทะเลญาณแห่งตถาคต  สำหรับข้อความประโยคนี้ ได้นำเอาไผ่หยกที่เขียวขจีมาอุปมาให้เกิดความเข้าใจถึง องค์ ที่เป็นธรรมกาย  แต่มิใช่หมายความว่าไผ่หยกนั้นคือธรรมกาย นอกจากนี้ ก็ยังได้เปรียบมาลีเหลืองอันเสียดแน่นมาแสดงให้เห็นถึง ศักยะ  ของปรัชญา  แต่มิใช่หมายความว่ามาลีสีเหลืองก็คือปรัชญา   สำหรับการตอบคำถามสุภูติในขณะนั้น  ก็ได้ทำให้พระตถาคตทรงเข้าพระทัยแล้วว่า สุภูติได้มีความเข้าใจ การสยบใจหลีกพ้นลักษณะ แล้ว  จึงทำให้พระองค์ทรงรู้สึกว่า สุภูติได้มีความคิดที่ตรงกับพระองค์ดีแล้ว ดังนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่สุภูติต่อไปว่า "ไม่เพียงแต่ลักษณะแห่งพระพุทธะที่เป็นเช่นนี้เท่านั้น  แม้กระทั่งลักษณะทั้งปวงในโลกนี้ทั้งหมดก็ล้วนแต่เกิดจากการผสมและการแปรผันจากปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นมายาเฉกเช่นกัน แต่หากสามารถเห็นเหล่าลักษณะ ดุจดั่งการเห็นแจ้งในโฉมเดิมแท้อันมิใช่อัตตาทัศน์แล้ว เช่นนี้ก็จักไม่เกิดความบกพร่องแห่งการยึดในลักษณะและหลงจากโฉมเดิมได้ และหากยิ่งได้ย้อนมองส่องตนด้วยแล้ว ก็จักรู้ได้ว่าในรูปกายของเราเองนั้น ก็ยังมีกายแห่งธรรมญาณที่ยังคงเปล่งปรากฏในทุกเวลาได้"
        ในบันทึกแห่งคันติ้งได้กล่าวไว้ว่า "ยึดลักษณะหลงจากจริงแท้ ดุจดั่งไกลพันลี้แม้เพียงแค่เอื้อม แต่หากถ่อมใจสัมผัสสรรพสิ่ง ก็จักรู้ว่าทั่วหล้าล้วนชายคาเดียวกัน"  เราจึงทราบได้ว่า ตถาคตมิใช่สิ่งที่ได้มาจากภายนอกเลย  อนึ่ง  ในบรรพนี้ได้ใช้คำว่าเหล่าลักษณะจะมีทั้งมี มีทั้งไร้ มีทั้งมิมี  มีทั้งมิไร้ต่าง ๆ นานา ซึ่งหากจะนับกันแล้วก็จะมีจำนวนเป็นนับร้อย  ดังนั้น  เหล่าลักษณะในที่นี้จึงหมายถึงลักษณะอันมากมายนั่นเองแล

อธิบายพระสูตร   :   

        พระสุคตตรัสต่อไปว่า  "สุภูติ !  เธอมีความเห็นเป็นเช่นไร ? คือผู้บำเพ็ญนั้น สามารถที่จะเห็นรุปกายของตถาคตได้หรือไม่ ?"สุภูติทูลตอบว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ไม่สามารถที่จะเห็นรูปกายของตถาคตได้เลย  ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลใดหละ ? นั่นก็เป็นเพราะกายลักษณะที่พระองค์ตรัสนั้นจะมิใช่กายลักษณะ หากแต่เป็นธรรมกาย ฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะเห็นได้" พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น สำหรับลักษณะทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ล้วนแต่เป็นมายาแล้ว เช่นนี้ก็จะสามารถพบลักษณะธรรม (ธรรมสัณฐาน) แห่งตถาคตได้นั่นเองแล"

คำศัพท์   : 

กายลักษณะ         :    หมายถึงรูปกายสังขาร
มิใช่กายลักษณะ   :    หมายถึง ธรรมกาย
ตถาคต               :    ก็คือพุทธญาณของเราเอง
ทศภูมิ                :    พระพุทธภูมิ   พระโพธิสัตว์ภูมิ  พระปัจเจกพุทธภูมิ  พระสาวกภูมิ  เทวภูมิ  มนุษยภูมิ  อสูรภูมิ  นรกภูมิ  เปรตภูมิ  เดรัจฉานภูมิ ......(พ.จ.)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                     วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                               บรรพที่  ๖

                      ศรัทธาเที่ยงตรงยากจะมี

อธิบายบท   :

        ในบรรพก่อนได้กล่าวถึงการไม่ควรเห็นตถาคตด้วยกายลักษณะ  ซึ่งกถาธรรมข้อนี้เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจยิ่งนัก  ดังนั้น  พระพุทธองค์จึงทรงเป็นห่วงเวไนยสัตว์ว่าจะเกิดความสงสัย และสรุปความคิดไปเองว่า  "แท้จริงแล้วไม่ได้มีพระพุทธะเลย"  ด้วยเหตุฉะนี้ พระองค์จึงใช้ปรัชญาอันแยบยลที่ไม่ดำรงในลักษณะมาตรัสสอนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะให้เวไนย์สัตว์ได้ขจัดความสงสัยและเกิดความศรัทธาเที่ยงตรงขึ้นมา  ซึ่งความสงสัยนี้จะเกิดจากสองบรรพที่่แล้ว และการ มิใช่ลักษณะมาเห็นตถาคต นั่นเอง  สำหรับสาเหตุแห่งปัญญาที่ได้ก่อให้เกิดความสงสัยเหล่านี้  ก็ล้วนเป็นเพราะปุถุชนมักบริจาคโดยดำรงในลักษณะ หรือแม้กระทั่งการอยากพบพระพุทธะก็ยังเป็นการดำรงในลักษณะมาพบพระพุทธะเลย ซึ่งปุถุชนไม่เข้าใจว่าการไม่ใช่ดำรงลักษณะบริจาคทานนั้น ปัญญาจะมีความลุ่มลึกมากยิ่งกว่า  ดังนั้น  พระพุทธองค์จึงทรงสอนผู้คนด้วยเหตุ แห่งการไร้ลักษณะเพื่อให้ซึมซาบเข้าสู่ผลแห่งการไร้ลักษณะ และด้วย เหตุ ที่ลึกซึ้ง และผล ที่ลึกซึ้งเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อและยากจะเข้าใจยิ่ง ดังนั้นจึงกล่าวว่า "ศรัทธาเที่ยงตรงยากจะมี" แล

เนื้อหา   :

        สุภูติทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  ยังจะมีเวไนยสัตว์ที่ได้สดับพระธรรมบรรยายฉะนี้  แลัวบังเกิดศรัทธาอันเที่ยงแท้หรือไม่ ?"  พระพุทธองค์ตรัสตอบสุภูติว่า "อย่าได้กล่าวเช่นนั้น หลังจากตถาคตดับขันธ์ปรินิพพาน หลัง 500 ปี มีผู้ถือศีลบำเพ็ญบุญที่อาศัยพระธรรมนี้ จนสามารถเกิดใจศรัทธา และถือสิ่งนี้เป็นจริง ควรรู้ว่าคนนี้ ไม่เพียงแต่ปลูกฝังกุศลมูลเฉพาะ 1 พุทธะ   2 พุทธะ,  3, 4, 5  พระพุทธะเท่านั้น  หากแต่เขาได้ปลูกฝังกุศลมูลต่อพระพุทธะอันมิอาจประมาณได้เลย และเมื่อเขาได้สดับฟังพระธรรมดังกล่าว กระทั่งเกิดศรัทธาบริสุทธิ์ สุภูติ !  ตถาคตนั้นรู้หมด เห็นหมด คือ เหล่าเวไนยสัตว์ที่ยึดธรรมฉันนี้  จักได้รับบุญวาสนา อันไร้ขอบเขต เพราะเหตุใด ?  เป็นเพราะเหล่าเวไนยสัตว์ฉันนี้จะไม่กลับไปมี  อาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  ไร้ธรรมลักษณะ  อีกทั้งไร้อธรรมลักษณะ  เพราะเหตุใด ? เพราะเหล่าเวไนยสัตว์ฉันนี้ หากมีใจเกิดติดในลักษณะ  ก็คือติดยึดใน อาตมะลักษณะ บุคคละ  สัตวะ  และชีวะลักษณะ  หากติดในธรรมลักษณะ  ก็คือ ยึดติดในอาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  และชีวะลักษณะ เพราะเหตุใด ? หากติดในอธรรมลักษณะ ก็คือติดในอาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  และชีวะลักษณะ  ฉะนั้น  จึงไม่ควรติดยึดในธรรม ไม่ควรติดยึดในอธรรม  ด้วยความหมายเช่นนี้ ตถาคตมักกล่าวเป็นเสมอว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พึงรู้ว่าธรรมที่เราแสดง  อุปมาดั่งแพ
แม้แต่ธรรมยังต้องละ   นับประสาอะไรกับอธรรมเล่า"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                               บรรพที่  ๖

                      ศรัทธาเที่ยงตรงยากจะมี

ความสังเขป   :

        สำหรับเหตุปัจจัยของบรรพนี้ ก็เป็นเพราะสุภูติได้ฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "หากเห็นปวงลักษณะมิใช่ลักษณะ ก็จะเห็นตถาคต" ซึ่งประโยคนี้ได้ทำให้สุภูติเกิดความเข้าใจว่า "จักไม่มีพระโพธิสัตว์องค์ใดที่จะสนองรับปฏิบัติโดยไม่มีความศรัทธาได้เลย" และเมื่อสุภูติคิดได้เช่นนี้ ก็ทำให้เกิดความห่วงใยเวไนยสัตว์ในยุคท้ายว่า "หากได้ฟังหลักธรรมอันแยบยลเช่นนี้แล้ว อาจจะทำให้เกิดความคลางแคลงใจและไม่เชื่อถือเอาได้" ที่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหละ ?  นั่นเป็นเพราะในบรรพที่ 4  พระพุทธองค์ได้ตรัสถึง "พระโพธิสัตว์ควรที่จะไม่ดำรงลักษณะบริจาคทาน"  และในบรรพที่ 5 ก็ยังตรัสว่า "พระพุทธะมิใช่รูปลักษณะ" อีก  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้เวไนยสัตว์ในยุคท้ายเกิดความสงสัยว่า "ทั้งพระพุทธะและธรรมล้วนไร้รูปลักษณะ  ซึ่งหากพระพุทธะและธรรม ล้วนไม่ได้มีอยู่แล้ว นั่นมิใช่หมายความว่าทั้งบุคคละและธรรมล้วนได้ดับสิ้น กฏแห่งกรรมล้วนว่างเปล่าหรอกหรือ ?"  ด้วยเหตุผลดังนี้ จึงทำให้สุภูติเกิดความห่วงใยเวไนยสัตว์ในยุคท้ายว่า หลังจากได้สดับหลักธรรมอันว่างแท้และไร้ลักษณะนี้แล้ว อาจจะทำให้ยากแก่การเกิดศรัทธาได้ ดังนั้น  สุภูติจึงเจาะจงต่อปัญหานี้มากราบทูลพระผู้มีพระภาค ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ทรงตอบสุภูติไปว่า "ไฉนจะไม่มีคนประเภทนี้ไปได้ เพียงแต่ผู้ทีบังเกิดจิตใจศรัทธาแน่วแน่ฉันนี้จะมิใช่เป็นบุคคลธรรมดาเลย เพราะบุคคลเหล่านี้ต้องเป็นผู้ที่ "บาปทั้งปวงมิยอมทำ (ถือศีล) บุญทั้งปวงเร่งสร้างสรรค์" ด้วยประการเช่นนี้ จึงจะทำให้เกิดความศรัทธาแน่วแน่ได้ แต่ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใดหละ ?"  "นั่นก็เป็นเพราะความคิดของคนเรานั้น ในทุกห้วงความคิดจะมีอยู่ 4 รูปแบบคือ เกิด  ดำรง  แปรผัน  ดับสิ้น  โดยที่ความคิดเหล่านี้จะไม่มีการหยุดนิ่งได้เลย หรือก็คือในหนึ่งการดีดนิ้วจะมีอยู่ 90 ขณะ  และสำหรับความคิดในหนึ่งขณะจะมีการเกิดดับ  900 ครั้ง  ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก แต่เวไนยสัตว์ไม่เพียงแต่จะไม่เข้าใจในจุดนี้ได้เท่านั้น มิหนำซ้ำยังกลับไปหันหลังให้กลับความแจ้งและคลุกอยู่กับโลกีย์ โดยในทุกห้วงความคิดล้วนแต่เป็นลักษณะแห่งโลกีย์พันธะ จึงได้ทำให้ถูก 18 ธาตุ  ซึ่งเป็นอินทรีย์อายตนะและวิญญาณนี้มามอมเมา และเกิดความหลงใหลอยู่ในความสุขแห่ง 5 ตัณหา  ซ้ำยังได้ถูกขันธ์ 5 มาบดบังจนอับแสงอีก  ฉะนั้น  การที่จะหวังให้เกิดความศรัทธาบริสุทธิ์ได้  ก็ช่างเป็นเรื่องที่ยากเสียเหลือเกิน  แต่สำหรับผู้ที่ได้สดับพระสูตรนี้จนสามารถเกิดความศรัทธาบริสุทธิ์ได้นั้น  บุคคลนี้จักต้องเป็นผู้มีพื้นฐานแน่นลึกที่เปี่ยมด้วยบุญญาธิการอันสูงส่ง จึงจะทำให้เกิดความศรัทธามั่นคงในธรรมะนี้ได้  ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเมล็ดกุศลพันธุ์ ได้ปลูกกุศลมูลในอาลยวิญญาณซึ่งเป็นวิญญาณที่ 8 แล้ว ดังนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม เมล็ดพันธุ์นี้ก็ยังต้องเจริญงอกบงามอยู่ดี"  ฉะนั้น  ดังคำโบราณที่ได้ว่าไว้คือ "บาปที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ช่างหายากยิ่งที่จะมีคำว่าศรัทธานี้ได้" ก็เพราะว่าศรัทธาเป็นมารดาแห่งบุญกุศล ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นปวงพระพุทธะหรือพระโพธิสัตว์องค์ใดก็ตาม นับตั้งแต่สมัยที่เริ่มบำเพ็ญจนกระทั่งมาถึงสมัยแห่งการสำเร็จธรรมนี้ ก็ล้วนแต่ต้องมีความศรัทธาเป็นที่ตั้งเสียก่อน และเมื่อยามที่เวไนยสัตว์ได้เกิดหนึ่งความคิดที่ศรัทธาแล้วก้เท่ากับได้ปลูกกุศลผลที่จะได้งอกงามขึ้นมาในอนาคตกาลนั่นเอง ดังนัน  ด้วยหนึ่งความคิดที่เกิดความศรัทธานี้ จึงนับได้ว่าเป็นบุญวาสนาที่ยากจะคะเนเอาได้ ด้วยเหตุฉะนี้พระตถาคตจึงทรงแสดงโดยตรงว่า "แม้เวไนยสัตว์จะมีมากมายก็จริง แต่พระองค์ก็ทรงรู้หมดและเห็นหมด นั่นก็เป็นเพราะเวไนยสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ล้วนได้อยู่ในทะเลญาณแห่งพระตถาคต โดยที่ทุกกิริยาการเคลื่อนไหว ล้วนแต่อยู่ในการรู้การเห็นของพระตถาคตทั้งสิ้น" นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ตรัสประทานแก่เวไนยสัตว์อีกว่า "ยามที่บุคคลใดได้เกิดจิตศรัทธาบริสุทธิ์ขึ้นแล้ว 4 ลักษณะ ( อาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  ชีวะ) ธรรมลักษณะ (คือการยึดติดในบทอักษรของพระสูตรนี้)  อธรรมลักษณะ (ผูกติดอยู่กับความว่างจนเป็นเหมือนกับสิ่งที่ได้ตายและไปปิดกั้นการรู้การเห็น) ก็จะไม่เกิดขึ้นในใจของเขาอีกต่อไป นั่นก็เป็นเพราะลักษณะต่าง ๆ ที่เขาได้เห็นเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในญาณอันรู้แจ้งในตัวของเขาเลย และหากเวไนยสัตว์ฉันนี้ได้มีใจที่ยึดเกาะในลักษณะแล้ว ก็เท่ากับว่าเขายังมีความผูกพันธ์ต่อลักษณะทัง 4 นี้อยู่ และหากเวไนยสัตว์ได้ยึดอยู่ในธรรมลักษณะแล้ว นั่นก็ยังคงเป็นการยึดติดอยู่ใน 4 ลักษณะนี้เช่นกัน หรือหากเขาได้ยึดอยู่ในอธรรมลักษณะ  นั่นก็ยังเป็นความลำเอียงไปในความว่างเสียเกินไป จนกระทั่งได้ตกสู่สภาวะแห่งการดับ การรู้ การเห็น ไปแล้วนั่นเอง  โดยสรุปแล้วก็คือ การที่จะแจ่มแจ้งในหลักแห่งความว่างแท้อันไร้ลักษณะได้นั้น จะต้องมิเกิดการยึดในธรรม อีกทั้งมิเกิดการยึดในอธรรม ทั้งสองสุดขั้วล้วนไม่ควรเกิดการยึกติด นั่นเป็นเพราะการยึดติดในธรรมก็จะเป็นการตรึงติดในธรรม เพราะธรรมญาณของเราแต่เดิมก็ไร้ธรรมอันใดอยู่แล้ว แต่หากจะยึดในอธรรม ก็จะเป็นการยึดติดในความว่างไปเสียอีก เพราะโดยความจริงเราก็ไม่ควรที่จะละจากการอาศัยธรรมให้เกิดความรู้แจ้งในธรรมญาณได้ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงใช้แพรมาทำการอุปมาให้เราเข้าใจ กล่าวคือ  หลังจากที่เราได้อาศัยแพข้ามไปถึงฝั่งแล้ว ก็ควรที่จะสละแพและขึ้นสู่ฝั่งไป นั่นหมายความว่า หลังจากที่เราได้รู้แจ้งในธรรมญาณแล้ว  ก็จะไม่มีสิ่งใดที่เป็นธรรมได้อีกต่อไป แต่หากยังไม่ได้รู้แจ้งในธรรมญาณ และลำพังเอาแต่ยึดติดในการเห็นแห่งอธรรม (ความว่างแท้ที่ไร้ลักษณะ) นี้หละก็ เช่นนี้ก็ยังคงไม่สามารถพ้นออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อยู่ดี
        ในบันทึกแห่งฌานได้กล่าวถึงว่า " เธอไม่มีไม้เท้า ฉันก็ให้ไม้เท้าแก่เธอ  แต่ยามที่เธอมีไม้เท้าแล้ว ฉันก็จะชิงไม้เท้าจากเธอไป"  ซึ่งสิ่งนี้ก็คือ การสอนเราให้ละจากธรรมเพื่อทำลายธรรมทิฐินั่นเอง  ท่านฟู่ต้าซื่อ (พระภาคหนึ่งของพระศรีอริย์ที่ทรงอุบัติในประเทศจีน....(ผู้แปล) ) ก็เคยกล่าวไว้ว่า "การข้ามน้ำจำเป็นต้องอาศัยแพ แม่เมื่อยามที่ได้ถึงฝั่งแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันอีก" สำหรับจุดนี้ ก็เป็นคำสอนที่สอนเราให้อาศัยธรรมในการแจ้งในธรรมญาณนั่นเองแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                               บรรพที่  ๖

                      ศรัทธาเที่ยงตรงยากจะมี

อธิบายพระสูตร   :

        สุภูติได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สิ่งที่พระองค์ตรัสสอนเกี่ยวกับการ "ไม่ดำรงในลักษณะบริจาคทาน" อีกทั้งยังตรัสถึงเรื่องของการ "หากเห็นปวงลักษณะมิใช่ลักษณะ ก็จะพบตถาคตได้" นั้น  ทั้งสองประเด็นนี้ช่างเป็นหลักธรรมอันแยบยลที่ว่างแท้และไร้ลักษณะเสียจริง ๆ  และ เมื่อผู้ที่มีพื้นฐานแห่งมหายานได้สดับพระธรรมฉันนี้แล้ว  ก็จักต้องมีความศรัทธาและสนองรับปฏิบัติเป็นแน่ แต่สำหรับเวไนยสัตว์อีกมากมายที่จะได้สดับฟังพระสูตรนี้ มิทราบว่าจะเกิดความศรัทธาแท้ได้หรือไม่ ?" พระผู้มีพระภาคทรงตอบคำถามสุภูติว่า "เธออย่าได้กล่าวเช่นนั้น สำหรับพระธรรมที่เราได้แสดงไปนั้น ถึงแม้จะมีความแยบยลลึกซึ้งก็จริง แต่ไฉนจะไม่มีผู้ที่เชื่อศรัทธาอย่างเต็มที่ไปได้ ? เพราะไม่เพียงแต่ในปัจจุบันเท่านั้นที่จะมี แม้แต่ในอนาคตกาล หรือกระทั่งหลัง 500 ปี  อันเป็นเวลาหลังจากที่เราได้ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  ก็ยังคงมีผู้บำเพ็ญศีลและปลูกเนื้อนาบุญที่ยังสามารถเกิดความศรัทธามั่นคงต่อพระสูตรนี้ได้ ด้วยมาตรว่าจะเป็นแค่เพียงหนึ่งประโยคหรือหนึ่งถ้อยคำก็ตาม ซึ่งก็จะรู้ได้ว่าบุคคลฉันนี้คือ บุคคลที่มีรากบุญอันแน่นลึก โดยไม่เพียงแต่เป็นรากบุญที่เคยปลูกฝังกับ 1, 2, 3, 4, 5  พระพุทธะเท่านั้น หากแต่เป็นรากบุญที่เคยปลูกฝังกับพระพุทธะอันเป็นจำนวนที่มิอาจนับได้เลย และหากเขาซึ่งเป็นผู้ที่มีรากบุญอันฝังลึกเช่นนี้ได้สดับพระสูตร มาตรว่าจะเป็นแค่เพียงหนึ่งประโยคหรือหนึ่งถ้อยคำก็ตาม ก็จะสามารถทำให้จิตใจเขาบังเกิดความสงบไม่ฟุ้งซ่าน และมีความมั่นคงในศรัทธาอย่างไม่เสื่อมถอยได้ สุภูติ !  ด้วยพุทธปัญญาและปัญญาจักษุจองเราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า บุคคลที่มีความศรัทธาอันบริสุทธิ์ประเภทนี้จักมีความแจ่มแจ้งในพุทธญาณ ซึ่งจะสามารถได้รับบุญวาสนาอันเหลือคณนาที่เป็นดั่งความว่างเปล่าแห่งสากลทิศ ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใดหละ ?"  พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "นี่ก็เป็นเพราะเวไนยสัตว์ที่มีรากบุญอันสุกงอมฉันนี้จักได้รู้แจ้งหลักธรรมอันแยบยลที่เป็นสิ่งว่างแท้และไร้ลักษณะ และเขาไม่เพียงแต่จะได้พ้นจากอาตมะ  บุคคละ สัตวะ ชีวะ อันเป็น 4 ลักษณะนี้ได้เท่านั้น หากแต่เขายังไม่มีธรรมลักษณะ (ยึดติดในอักษรของพระสูตรนี้ โดยเชื่อถือในข้อความของอักษรนี้อย่างหัวปักหัวปำ จนตกสู่สภาวะของการ ได้เห็น นี่ก็คือธรรมลักษณะ)  อธรรมลักษณะ (ยึดติดอยู่ในความว่างที่ขาดสูญ และ จมปลักอยู่ในภาวะของการ ไร้การเห็น  เช่นนี้คืออธรรมลักษณะ) และก็เวไนยสัตว์ประเภทนี้นี่เอง ที่หากยังมีใจยึดมั่นถือมั่นอยู่  ก็เท่ากับว่าเขาได้เกิดความยึดติดในอาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  ชีวะลักษณะ   และหากได้ยึดอยู่ในวาจาอักษรของพระสูตรนี้ ก็ยังคงเป็นการติดอยู่ใน 4 ลักษณะ หรือหากเขายังมีใจที่ยึดมั่นลำเอียงอยู่ในความว่างก็เท่ากับว่าเขามีความคิดที่ดื้อรั้นเกี่ยวกับการตายว่า  คือกายและใจล้วนได้ดับสูญ โดยคิดว่าความว่างคือไร้แม้สิ่งเดียว ซึ่งถือว่าเป็นทัศนะที่ผิดพลาดอย่างฉกรรจ์ยิ่ง เพราะความคิดทัศนะเช่นนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการยึดติดอยู่ใน 4 ลักษณะนั่นเอง ดังนั้นจึงต้องปล่อยวางความคิดอันเป็นแบบสุดขั้วทั้งสอง ไม่ควรยึดติดการมี อีกทั้งไม่ควรยึดติดการไร้ เช่นนี้ก็จะสามารถแจ่มแจ้งในความว่างแห่งธรรมญาณ และห่างละออกจากธรรมไปได้ ก็เนื่องด้วยมันเป็นหลักอันแยบยลเช่นนี้นี่เอง เราจึงจำใจตรัสเทศนาธรรม ก็เพื่อต้องการให้เธอทั้งหลายห่างลักษณะแจ้งในธรรมญาณกระทั่งข้ามพ้นสู่ฝั่งโน้นไป ด้วยเหตุผลประการนี้ จึงจำเป็นต้องอาศัยธรรมนี้มาช่วยให้เธอได้พ้นจากทะเลทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าหากเธอทั้งหลายได้แจ่มแจ้งในธรรมญาณของตน และได้บรรลุสู่ความสุขอันนิรันดร์แห่งนิพพานแล้ว ธรรมของเราก็สามารถที่จะละไปได้ เพราะมันไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป สำหรับการอุปมานั้น ก็อุปมาได้ดั่งสานไม้ไผ่ให้เป็นแพที่ได้พาคนให้ข้ามแม่น้ำไปสู่ฝั่ง หลังจากที่ได้ถึงฝั่งแล้ว แพนี้ก็จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป และในเมื่อแม้แต่สัทธรรมแห่งพระพุทธะยังสามารถที่จะละไปได้ แล้วพวกสิ่งที่ไม่ใช่พุทธวจนะอันเป็นอักษรโวหารแห่งทัศนะของชาวโลกนั้น ทำไมจึงจะไม่สามารถละได้หละ ?"

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”