collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)  (อ่าน 71977 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ๔   

                                           บทที่  ๘

                                   ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์
 
                                      (ถัง เฉา เจิง เจ้า)

        ขันทีเซวียเจี่ยน (ผู้อันเชิญพระราชสาส์น) กราบเรียนพระธรรมาจารย์ว่า "ธยานะจารย์ในเมืองหลวงต่างกล่าวว่า "จะเข้าถึงวิถีธรรมแห่งธรรมญาณตถตาได้จำเป็นจะต้องนั่งฌานฝึกสมาธิ" "ผู้หลุดพ้นได้ โดยมิได้ปฏิบัติฌานสมาธินั้นหามีไม่" คำกล่าวนี้ มิทราบว่าหลักธรรมของพระมหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง กล่าวเช่นไร" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ธรรมะเข้าถึงรู้แจ้งได้ด้วยจิต จะเป็นได้ด้วยการนั่งกระนั้นหรือ"  ในพระคัมภีร์ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร จินกังจิง จารึกว่า "หากผู้ใดกล่าวว่า ภาวะตถตา เกิดด้วยการนั่ง การนอน เพื่อเข้าถึงภาวะตถตา ผู้นั้นดำเนินมิจฉาวิถี" เหตุอันใดหรือ ก้ด้วยเหตุว่า ตถตาแห่งตถาคตนั้นปราศจากที่อันได้มา ปราศจากที่อันได้ไป ปราศจากการเกิดดับ เป็นภาวะตถตาฌานอันบริสุทธิ์ ด้วยธรรมทั้งปวงอยู่ในภาวะว่าง ภาวะว่าง เป็นภาวะอันได้ "นั่ง" อย่างบริสุทธิ์ของตถตา เมื่อถึงที่สุดแห่งความปราศจากโดยสิ้น ดั่งนี้แล้ว ยังจะติดอยู่กับลักษณะอาการนั่งหรือไม่นั่งอีกกระนั้นหรือ
        พิจารณา  
        เหตุใดจึงกล่าวว่า "ตถตา" ตัวแท้ของจิตญาณ หรือ ภาวะความเป็นอย่างนั้นเอง ของจิตญาณ ปราศจากที่มา ปราศจากที่ไป  ก้ด้วยเหตุที่ ตถตา เป็นภาวะที่มิอาจหยั่งรู้ "การไปมาแล้วอย่างนั้น" ได้ แต่เป็นสิ่งที่ประจุอยู่เต็มในความวว่างแห่งมหาจักรวาล ดุจอากาศธาตุ มิอาจประมาณ มิอาจประมาณได้ นั่นคือความเป็น "ฉันสภาวะใหญ่" ต้าหว่อ  ตัวอย่าง "ฉันสภาวะใหญ่" ของชาวโลกทั่วไปเช่น ภาวะจิตของคนที่ทำหน้าที่กู้ภัยใหญ่หลวงสุดฤทธิ์สุดใจสุดกำลังขณะนั้น "ฉันสภาวะใหญ่"  ของชาวโลกทั่วไป เช่น ภาวะจิตของคนที่อยู่กลางเวหา  กลางทะเลเวิ้งว้าง โดยปราศจากจิตยึดหมายต่อภาวะใด ๆ เฉพาะหน้าขณะนั้น "ฉันสภาวะเล็ก" ของชาวโลกเช่น ภาวะจิตของคนที่ทุบประตูจะเข้าห้องน้ำด่วน เพราะห้องน้ำไม่ว่างขณะนั้น  "ฉันสภาวะเล็ก" ของชาวโลก เช่น ภาวะจิตของคนที่อยู่ในห้องแคบขังตัวเองอยู่กับความทุกข์ขณะนั้น แต่ฉันสภาวะใหญ่ในความเป็นตถตานั้น เป็นภาวะว่างจากตนเองเกินกว่ากล่าวอ้างได้ จึงได้แต่อุทานว่า "มิอาจประมาณ มิอาจประมาณได้"  ขันทีข้าราชสำนักผู้อันเชิญพระราชสาส์นนิมนต์มา กราบเรียนพระธรรมาจารย์ว่า "เมื่อศิษย์กลับถึงพระนคร พระมหาจักรพรรดิทั้งสองพระองค์จะต้องถามว่า พระธรรมาจารย์ได้โปรดธรรมประการใด จึงขอพระธรรมาจารย์ได้โปรดเมตตากรุณา ชี้แนะหลักสำคัญอันเป็นหัวใจแห่งพุทธะ เพื่อศิษย์จะได้ถวายสู่พระราชฐานทั้งสอง อีกทั้งถ่ายทอดแก่ผู้ศึกษาพระธรรมทั้งหลายในพระนคร อุปมาดั่ง "หนึ่งโคมไฟกระจายจุดมิหยุดยั้ง ผู้มืดบอดล้วนได้ใสสว่าง ใสสว่าง  ใสสว่างต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด"  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ธรรมะปราศจากความสว่าง มืด  สว่าง มืด เป็นความหมายของการเกิด ดับ ปรับเปลี่ยน สว่างใสไม่สิ้นสุด ก็คือมีที่สิ้นสุด  มืด สว่าง เป็นเพียงชื่อเรียกขานประจัน อันเป็นความตรงกันข้ามเท่านั้น" ฉะนั้น ในคัมภีร์ "วิมลเกียรตินิเทศสูตร" จึงได้จารึกไว้ว่า "ธรรมะปราศจากสิ่งอันเปรียบเทียบกัน ปราศจากการประจันตรงข้าม"
        พิจารณา
        ปราศจากสิ่งอันเปรียบเทียบ  เช่นทางโลกว่า นั่นดีกว่า นั่นแย่กว่า  ปราศจากสิ่งอันตอบโต้ตรงข้าม เช่นทางโลกว่า รัก-ชัง  ให้-รับ  ในคัมภีร์คุณธรรมเต้าเต๋อจิงของท่านอริยปราชญ์เหลาจื่อ จึงกล่าวตั้งแต่เบื้องต้นว่า "ธรรมะอันอาจกล่าวขานได้ มิใช่ธรรมะอันเป็นธรรมะ เต้าเข่อเต้า เฟยฉังเต้า" และประโยคที่ว่า"คำพูดวาจาทำให้ธรรมะขาดความเป็นธรรมะไป" เอี๋ยนอวี่เต้าต่วน  พุทธธรรมว่า ปัญญาบริสุทธิ์พ้นหากรูปลักษณ์อักษร  พ้นหากจากรูปลักษณ์วาจา  พ้นหากจากรูปลักษณ์ปัจจัย (คิดคำนึง) พระพุทธองค์ทรงประกาศสัจธรรมอยู่สี่สิบเก้าปี กล่อมเกลานำพาเวไนยฯ ตามเหตุปัจจัยของแต่ละคนด้วยวิธีอันชอบด้วยอุบาย สัจคัมภีร์มิได้อยู่บนกระดาษ กล่าวอ้างด้วยวาจาได้ก็มิใช่ "ตัวแท้" ของธรรมะ เพื่อมิให้เวไนยฯเข้าใจผิด เอาวิธีอันชอบด้วยอุบายที่ให้ไปตามจริตของแต่ละคนยึดเป็นเป้าหมายไว้ ฉะนั้น ในคัมภี์วัชรญาณสูตรจึงจารึกไว้ว่า "หากผู้ใดกล่าวว่า ตถาคตได้แสดงธรรม เขาผู้นั้นกล่าวโทษพุทธะ" พระพุทธองค์ยังตรัสอีกว่า "ตถาคตมิได้แสดงธรรมประการใดเลย เพราะธรรมะคือสิ่งที่มีอยู่แล้วในมหาจักรวาลหมื่นโลกธาตุ"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 7/09/2554, 07:56 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ๔

                                         บทที่  ๘

                                  ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์
 
                                      (ถัง เฉา เจิง เจ้า)

        เซวียเจี่ยนกล่าวว่า "สว่างใสเปรียบได้ดั่งปัญญา ความมืดประดุจดั่งกิเลส" ผู้บำเพ็ญธรรมแม้หากมิเอาแสงแห่งปัญญาส่องทำลายกิเลสให้สิ้นไป ความเกิดตายจากบูรพกาลมา จะอาศัยสิ่งใดเล่าเป็นตัวพาให้พ้นหาก" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "กิเลสก็คือโพธิ ทั้งสองนี้มิแตกต่างกัน"
        พิจารณา
        ดังที่เคยแจงไว้แต่ต้นแล้วว่า "ขณะหลงเรียกว่ากิเลส รู้แจ้งพลันเรียกว่าโพธิ" แท้จริงกิเลสกับโพธิอยู่ในจิตใจเดียวกัน อุปมาน้ำกับระลอกที่เป็นหนึ่งเดียวกัน หากกล่าวว่ากิเลสกับโพธิแตกต่างกันไป จะเท่ากับไม่เข้าใจพุทธธรรม จึงอาจกล่าวได้ว่า ขณะเกิด "ระลอก" โพธิก็อยู่ในระลอก (ระลอกอยู่ในน้ำ) ขณะเป็น"โพธิ" ระลอกอยู่ในโพธิ (น้ำอยู่ในระลอก) 
        หากจะต้องเอาปัญญาส่องทำลายกิเลส ดังนี้ก็จะเท่ากับเป็นผุ้บำเพ็ญในระดับสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน ซึ่งก็จะเป็นรถเทียมแพะเทียมกวาง (ที่ "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" ได้เปรียบเทียบไว้)
        พิจารณา
        ด้วยเหตุที่เข้ายังไม่ถึง "ฉัน" สภาวะใหญ่ จึงไม่อาจบรรทุกได้มาก จึงเป็นรถเทียมแพะเทียมแกะเท่านั้น ขอทบทวนในบทที่สองสักเล็กน้อยว่า "พึงใช้มหาปัญญา (ปัญญาบริสุทธิ์) ทำลายกิเลสตัณหาขันธ์ห้าเสีย หากบำเพ็ญเช่นนี้ ย่อมบรรลุพุทธวิถีแน่แท้ ย่อมแปรเปลี่ยนสามพิษร้าย (โลภ โกรธ หลง) ให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา" แต่ในที่นี้ พระธรรมาจารย์ปฏิเสธความคิดของเซวียเจี่ยนที่จะ "เอาปัญญาส่องทำลายกิเลส"  กรณีนี้เป็นการสอนที่ชอบด้วยกลอุบายอีกเช่นกัน เพราะผุ้พึงเจริญธรรมในครั้งก่อนนั้น คือ ข้าหลวงเอว๋ย ผู้ซึ่งห่างไกลโอกาสเจริญธรรม แต่สำหรับเซวียเจี่ยนข้าราชสำนัก ผู้แสดงธรรมด้วยตรงหน้าขณะนั้น อยู่กับบรรยายกาศในพระราชฐานที่พุทธธรรมเฟื่องฟูยิ่งนัก  หากบ่มเพาะอยู่กับภาวะเปรียบเทียบเช่นนี้ต่อไป ด้วยความคิดว่า "จะต้องเอาปัญญาส่องทำลายกิเลส" นานวันเข้า ก็จะยึดหมายอยู่กับวิธีการตอบโต้ เปรียบเทียบ ใช้สิ่งตรงข้ามทดแทนเรื่อยไป ทำให้ยากต่อการที่จะเข้าถึงสัจธรรมบริสุทธิ์ใสได้
        ผู้มีปัญญาระดับสูงกุศลมูลใหญ่ ล้วนมิใช่ความคิดเห็นเช่นนี้ เซวียเจี่ยนจึงกราบเรียนถามอีกว่า "อย่างไรเล่าจึงจะเป็นความเข้าใจสมบูรณ์ฉับพลันของมหายาน" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ปัญญากับอวิชชา" ปุถุชนจะแยกเห็นเป็นสอง ผู้ทรงปัญญาจะเข้าถึงรู้แจ้ง จิตญาณนั้นปราศจากความเป็นสอง จิตญาณที่ปราศจากความเป็นสอง จึงเป็น "จิตญาณตัวแท้"  จิตญาณตัวแท้ แม้อยู่กับปุถุชนคนโง่ จิตญาณนั้นมิได้ลดส่วนลง อยู่กับอริยเมธาก็มิใช่ว่าจะมีส่วนมากขึ้น อยู่กับกิเลส (เหมือนคนดีในสภาพแวดล้อมคนเลว) ก็มิได้วุ่นวายสับสน อยู่ในฌานสมาธิก็มิได้ดับสูญ 
        พิจารณา
        จากธรรมสาระท่อนนี้ จึงทำให้เราเข้าใจภาวะของสี่อริยะกับหกสามัญเป็นอย่างไร  สี่อริยะ คือ พระพุทะเจ้า   พระโพธิสัตว์   พระปัจเจกพุทะเจ้า   พระสาวกยานพุทธเจ้า   หกสามัญ คือ ผู้ยึดธรรมยึดรูป   ยึดเสียง กลิ่น รส สัมผัส  เป็นอารมณ์ เมื่อเป็นอารมณ์จึงมีเกิดดับ แม้อริยะจะอยู่ในสภาวะใด ไปสวรรค์ ไปนรก นั่ง นอน เดิน ยืน จิตญาณเป็นอยู่ในฌาน ส่วนสามัญชนนั้นตรงกันข้ามอริยะโดยสิ้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร  ๔

                                         บทที่  ๘

                                  ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์
 
                                      (ถัง เฉา เจิง เจ้า)

        จิตญาณตัวแท้นั้น ไม่ขาดสาย ไม่เนื่องนำ  ไม่มา ไม่ไป  ไม่อยู่ระหว่างกลางหรืออยู่ภายในภายนอก ไม่เกิดไม่ดับ  สภาพแห่งญาณเป็นอยู่อย่างนั้นเอง ภาวะแห่งญาณคงอยู่อย่างนั้นโดยไม่แปรผัน อันเป็นภาวะที่เรียกได้ว่าเป็น "ธรรมะ" 
        พิจารณา
       พระธรรมาจารย์โปรดไว้ว่า "หนึ่งแท้จริง ทุกสิ่งล้วนแท้จริง ทุกสภาพสรรพสิ่งจะเป็นอยู่อย่างนั้นเอง จิตญาณอันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง ก็คือสิ่งอัน "จริงแท้" ดังโศลกว่า :   เมื่อ "หนึ่ง" จริง     สรรพสิ่ง     ล้วนจริงแท้
ล้วนนิ่งแน่                          แท้เที่ยง    ณ ตถตา
จิตญาณตน             ไม่พ้น "เป็น"     เช่นนั้น "หนา"   
จึงชื่อว่า                 ตถตา              แท้เที่ยงจริง

อี้เจินอี๋เซี่ยเจิน                 อวั้นจิ้งจื้อหยูหยู
หยูหยูจือซิน                   จี๋ซื่อเจินซึ

        เซวี่ยเจี่ยนกราบเรียนถามอีกว่า "ที่พระอาจารย์โปรดว่า "ไม่เกิดไม่ดับ" นั้น ความหมายนิยามนั้น ต่างกับความหมายนิยามแห่งสายธรรมอื่นอย่างไร" พระธรรมาจารย์ตอบว่า "สายธรรมอื่นกล่าวถึงไม่เกิดไม่ดับนั้นคือเอาความดับระงับความเกิด เอาความเกิดแสดงให้เห็นถึงความดับ เช่นนี้เป็นความดับที่ยังมิดับ เป็นความเกิดแต่กลับกล่าวว่าไม่เกิด"  "ที่อาตมากล่าวว่าไม่เกิดไม่ดับนั้น คือแท้จริงมิได้มีการเกิดนั้นเลยแต่เดิมที บัดนี้ก็มิได้มีการดับ ฉะนั้น คำกล่าวนี้จึงต่างจากสายธรรมอื่น
        พิจารณา
        ได้รับวิถีธรรมแล้ว จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด การพ้นเวียนว่ายตายเกิดของชีพกาย สำหรับผุ้ได้รับวิถีธรรม เป็นการพ้นเกิด-ตาย ใน "ช่วงแบ่ง" หนึ่งเท่านั้น  ช่วงแบ่งเป็นระดับหนึ่ง เป็นขั้นตอนหนึ่ง  ระยะหนึ่ง  ของการเกิด-ตายสำหรับกายชีพนั้นเท่านั้น อย่าสำคัญผิดคิดว่าจบสิ้น หากมุ่งหมายให้จบสิ้น จะต้องยกระดับปรับเปลี่ยน จิตที่ยึดหมายต่อไปจนกว่าจิตจะหลุดพ้นเป็นอิสระโดยสิ้น อย่างที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นให้ได้ จึงจะเป็นการหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ 
        หากท่านต้องการจะรู้หัวใจของพุทธธรรม เพียงอย่าได้ประเมินหมาย หรือคำนึงการต่อความ ดี-ชั่ว  บาป-บุญ ทั้งปวงก็จะเข้าถึงได้เอง จะเข้าถึงแก่นใสบริสุทธิ์สงบสันติเป็นธรรมชาติ คุณประโยชน์วิเศษที่จะก่อเกิด จะมากมายดุจเม็ดทรายในคงคามหานทีนั่นทีเดียว
        พิจารณา
        บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรมคือบำเพ็ญเช่นนี้  ธรรมประกาศิตในพิธี อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมกล่าวแทนอมตะพุทธะจี้กงอย่างชัดเจนว่า "ปราศจากเกิด-ตาย ฝึกในแสงญาณทุกเวลา"  อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ     จงยื่อเลี่ยนเสินกวง  ปราศจากเกิดตายมิใช่เพียงกายชีพ แต่เป็นจิตญาณอันสมบูรณ์ ฝึกฝนแสงญาณคือ ให้เข้าสู่สูญญตา ภาวะว่างเปล่า
        ขันทีเซวียเจี่ยน ข้าราชสำนักได้สดับคำสอนนี้แล้วเกิดการรู้แจ้งฉับพลันครั้งใหญ่ในบัดนั้น  จากนั้น ขันทีเซวียเจี่ยนก็กราบลาพระธรรมาจารย์เดินทางกลับเข้ามหานคร กราบทู,ถวายพระธรรมวจนะอันได้สดับจากพระธรรมาจารย์ แต่องค์จักรพรรดิจงจงและจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน (เพื่อเป้นแนวทางในการปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป)
        พิจารณา
        การนี้หากเซวียเจี่ยน เป็นผู้ทำหน้าที่นำพระราชสาส์นมานิมนต์พระธรรมาจารย์เข้าวัง แม้หากจะจำเป็นต้องเก็บพุทธธรรมคำสอนจากพระธรรมาจารย์ไปฝากพระแม่เจ้าอู่เจ๋อเทียน โดยที่ตนเองไม่มีพื้นฐานจิตใจใฝ่ธรรม การนำไปฝากก็จะได้แต่ข้อความที่จดจำไป แต่เซวียเจี่ยนเกิดการรู้แจ้งเมื่อได้ฟัง ฉะนั้น แน่นอนผู้ฟังเองได้รับมหากุศล การกลับไปถ่ายทอดบอกกล่าวก็จะเปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ และจะมิใช่สิ้นสุดอยู่เพียงการถ่ายทอดบอกกล่าวเพียงครั้งเดียวอีกทั้งมิได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะบุคคลเท่านั้น  การสดับสัจธรรมโดยเข้าถึงพุทธวจนะจึงเป็นสิ่งล้ำเลิศประเสริฐสุดเกินประมาณ จึงเป็นขอบเขตอันอาจแผ่ไพศาลเกินประมาณต่อไป 
        สามค่ำเดือนเก้าปีเดียวกันนั้น มีพระราชสาส์นสรรเสริญบารมีธรรมส่งมาถึงพระธรรมาจารย์อีกว่า "พระอาจารย์ท่านมีเหตุจำเป็นจากการอาพาธและชราภาพ (ปฏิเสธที่จะเข้าวังรับการอุปัฏฐาก ปรารถนาจะบรรลุธรรมท่ามกลางป่าเขา) ท่านบำเพ็ญธรรมเพื่อข้าพเจ้า (ก็เท่ากับ) เป็นเนื้อนาบุญของบ้านเมืองโดยแท้แล้ว" พระอาจารย์ขัดด้วยความอาพาธ เช่นเดียวกับพระมหาเถระเจ้าวิมลเกียรติในกาลก่อน ที่ต้องเก็บตัวอยู่ ณ เมืองไพศาลี  เผยแพร่พุทธธรรมมหายานถ่ายทอดวิถีจิตแห่งเหล่าพุทะะ ประกาศเอกะธรรมความเป็นหนึ่งเดียวแห่งสัจธรรม  เซวียเจี่ยน ได้ถ่ายทอดความรู้ชอบ เห็นชอบ ของพระตถตาเจ้าแก่ข้าพเจ้าตามที่พระอาจารย์ได้โปรดสั่งสอนมา ขัาพเจ้าคงได้สร้างสมบุญบารมีมา ได้ปลูกฝังรากฐานแห่งกุศลมูลไว้ ในชาตินี้จึงเกิดมาทันพระคุณเจ้า เข้าถึงวิถีฉับพลันแห่งมหายาน จึงสำนึกในบารมีคุณพระอาจารย์เป็นล้นพ้นเหนือเศียรเกล้าฯ
        พิจารณา
        วันนี้เราโชคดี ที่ได้เกิดมาในธรรมกาลที่พระวิสุทธิอาจารย์ปรกโปรด ชะรอยจะเป็นบุญบารมีเก่าที่ได้สร้างสมมา  ได้ปลูกฝังรากฐานแห่งกุศลมูลไว้เช่นกัน
เราจึงต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์ ขอเทิดพระคุณไว้เศียรเกล้า ตลอดไปชั่วกาลนานเช่นกัน
        (และพร้อมกันนี้ ข้าพเจ้าจักรพรรดิจงจงพร้อมด้วยจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน) ขอถวายกาสาวพัสตร์ผ้าโมรี (ผ้าสีแสดแดง จีวรสงฆ์ของเกาหลี) อีกทั้งบาตรแก้วผลึก ให้ผู้ตรวจการเมืองเสาโจว (ศิษย์รุ่นแรกของพระธรรมาจารย์) นำมากราบพระคุณเจ้า  อีกทั้งมอบหมายให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระอาราม (ที่จำพรรษาปัจจุบัน ขยายการก่อสร้างทั่วปริมณฑล) พร้อมกับขอถวายชื่อแก่ถิ่นฐานบ้านกำเนิดของพระคุณเจ้า ซึ่งเดิมชื่อว่าซินโจว  ให้เป็นพระอารามหลวงทั้งหมดโดยรอบว่า "พระอารามหลวงคุณาปฏิการาม" กั๋วเอินซื่อ
                                                     
                                   - จบบทที่ ๘ -    

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                          บทที่ ๙

                         วิถีธรรมแสดงความแสดงความตรงข้าม

                                  (ฝา  เหมิน  ตุ้ย  ซื่อ)

        วันหนึ่ง  พระธรรมาจารย์เรียกศิษย์ฝ่าไห่ จื้อเฉิง  ฝ่าต๋า  เสินฮุ่ย  จื้อฉัง  จื่อทง  จื่อเช่อ  จื่อเต้า  ฝ่าเจิน  ฝ่าหยู เป็นต้น  เข้าพบโดยเฉพาะแล้วโปรดว่า"ท่านทั้งหลายแตกต่างจากศิษย์อื่นๆ (ศิษย์ที่ไม่ได้เรียกให้เข้าพบ) ภายหลังที่อาตมาดับขันธ์นิพพานแล้ว จงออกต่างแพร่ธรรม จงจ่างแยกย้ายไปเป็นผู้นำธยานะในแต่ละปริมณฑลทิศ"
        พิจารณา
     ศิษย์ผู้รู้แจ้งเห็นจริงต่อภาวะจิตใจใสสว่าง หรือจิตพุทธะแห่งตนนั้น มีอยู่สี่สิบสามรูป ซึ่งอยู่ในสถานภาพเหมาะสมกับความเป็นครูอาจารย์แห่งมนุษย์และเทวดาได้ การบรรยายธรรมในอาณาจักรธรรม นอกจากญาติธรรมหญิงชายร่วมสดับสัทธรรมพร้อมกันแล้ว ในอีกมิติหนึ่ง ปรากฏเทวดากับเหล่าวิญญาณก็มาร่วมฟังธรรมด้วย
        บัดนี้ อาตมาจะสอนให้ท่านประกาศสัทธรรมวิถีฉับพลัน มิให้ผิดเพี้ยนไปจากพงศาธรรมาจารย์ได้โปรดอบรมมา" เบื้องต้นจะต้องยกเอา "วถีธรรมสามกอง" มาชี้นำตามด้วยการใช้สามสิบหก "คู่ธรรมคำตรงข้าม" การ (แสดงธรรม) นำเข้าหรือออกหากให้พ้นจากคำสุดโต่งตรงข้าม แต่การพูดธรรมทั้งปวงมิให้ออกห่างจากจิตญาณตน เช่น ทันทีที่มีผู้ถามหลักพุทธธรรมต่อท่าน จะต้องใช้คำพูดสองความหมาย (พึงชี้แนะ นำทางให้เขารู้จักคิดพิจารณา ไม่ใช่ให้เขาเป็นผู้รับคำตอบสำเร็จรูปอย่างเดียว หากมิได้ใช้ปัญญา จะมิอาจรู้แจ้งฉับพลัน) ล้วนจะต้องใช้ "คู่ธรรมคำตรงข้าม" ให้เขาได้เห็นเหตุเนื่องนำแห่งรูปธรรมนั้น (เช่น มากับไป  มีกับไม่มี...) สุดท้ายเมื่อถึงที่สุดก็ให้เพิกถอนเสียจาก "คู่ธรรมคำตรงข้าม" นั้นให้หมด (ได้ผลแล้วหยุดเหตุ) เมื่อถึงแก่นแท้แห่งผลแล้ว มิพึงยกเหตุที่มาที่ไปอีก  วิถีธรรมสามกองคือ  กองขันธ์   กองอายตนะ   และกองธาตุ   กองข้นธ์มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ   กองอายตนะ มีอายตนะภายใน ได้แก่รูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์  มีอายตนะภายนอก ได้แก่นัยน์ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
      สิบแปดกองธาตู  ได้แก่ อายตนะภายในหก   อายตนะภายนอกหก   มโนวิญญาณหก  รวมเป็นสิบแปดกองธาตุ  ภายในจิตญาณแฝงไว้ด้วยธรรมทั้งปวง(ธรรมทั้งปวงเกิดจากจิตญาณ) จึงเรียกว่า ขุมคลังมโนวิญญาณ (อาลยะวิญญาณ) หากเิกิดความคิดคำนึงก็คือ เกิดการปรับแปรเคลื่อนไหวมโนวิญญาณ มโนวิญญาณทั้งหก (การรับรู้จากหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ) สนองรับกับอายตนะภายในหก (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
        พิจารณา
     กลไกของการปรุงแต่งปรับแปรเหมือนฟันเฟือง ของเครื่องจักรกล ฟันเฟืองกลุ่มแรกขยับเคลื่อนตัว กลุ่มที่สองสนองรับขยับตาม ฟันเฟืองกลุ่มที่สามทำงานด้วยต่อเนื่องกันไป อายตนะจึงได้ชื่ออีกว่า "เครื่องต่อ" รวม (กระบวนการ) ทั้งหมดสิบแปดธาตุธรรม ล้วนเริมขึ้นจากจิตญาณ (อันมีตัวมโนวิญญาณสำแดงการ) หากจิตญาณเป็นอกุศล สิบแปดธาตุธรรมก็สำแดงอกุศลกรรม (กลไกสามกลุ่มสิบแปดฟันเฟืองเนื่องกัน จะสำแดงอาการ "รวน" ตามกันไป ) หากจิตญาณเที่ยงตรง สิบแปดธาตุธรรมก็สำแดงกุศลกรรม (กลไกปกติ)  จิตญาณแฝงความชั่วร้าย เมื่อสำแดงการใช้ ก็เป็นการใช้ด้วยลักษณะอาการหรือพฤติกรรมของปุถุชน หากจิตญาณแฝงความดีงาม ก็จะสำแดงการใช้ด้วยลักษณะอาการ หรือพฤติกรรมปราณีตสูงส่ง คือพุทธะ การใช้ดังนี้เกิดได้อย่างไร เกิดมีได้จากภายในจิตญาณ
        พิจารณา
     ผู้ได้รับวิถีธรรมแล้ว พึงพิจารณา ลัญจกรที่ได้รับมา มิใช่เพียงสื่อถึงเบื้องบนคุ้มครองรักษา แต่เป็นปริศนาธรรมให้เห็นชัด ๆ ว่าให้ "เหอถง สมานจิตญาณกับพฤติกรรม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                          บทที่ ๙

                         วิถีธรรมแสดงความแสดงความตรงข้าม

                                  (ฝา  เหมิน  ตุ้ย  ซื่อ)

        "คู่ธรรมคำตรงข้ามเกี่ยวกับสภาวะธรรมภายนอกห้าคู่อันปราศจากจิตญาณผูกพัน" เช่น ฟ้ากับดิน  ตะวันกับเดือน  สว่างกับมืด  อินกับหยาง  น้ำกับไฟ  นี่คือห้าคู่ตรงข้ามที่อยู่ภายนอก อันปราศจากจิตญาณผูกพัน   "คู่ธรรมตรงข้ามเกี่ยวกับภาษา  คำพูด  นิยามธรรม  หรือธรรมะลักษณะสิบสองคู่" เช่น คำพูดกับธรรมะ  มีกับไม่มี  รูปกับอรูป  สาระกับไร้สาระ  อาสวะกับสิ้นอาสวะ  มีอยู่กับว่างเปล่า  เคลื่อนไหวกับสงบนิ่ง  บริสุทธิ์กับมลทิน  ปุถุชนกับอริยชน   บรรพชิตกับฆราวาส  ชรากับเยาว์วัย  ใหญ่กับเล็ก  นี่คือธรรมลักษณะกับคำพูด สิบสองคู่ธรรมคำตรงข้าม "คู่ธรรมคำตรงข้าม ที่สำแดงสภาวะความ "เป็น" สำแดงการดำเนินใช้จิตญาณตนสิบเก้าคู่ธรรม" คือ ยาวกับสั้น  ผิดกับถูก  หลงกับปัญญา  โง่กับฉลาด  สับสนกับสมาธิ  เมตตากับพิษร้าย  ศีลกับทุจริต  ตรงกับคด  แน่นตันกับว่างกลวง  ผาดโผนกับราบเรียบ  กิเลสกับโพธิ  นิจจังกับอนิจจัง  กรุณากับทำร้าย  ปิติกับโมหะ  สละกับตระหนี่  ขึ้นหน้ากับถอยหลัง  เกิดกับดับ  กายธรรมกับกายเนื้อ  นิรมาณกายกับสัมโภคกาย  ทั้งหมดนี้คือคำตรงข้ามที่สำแดงสภาวะความเป็นสำแดงการดำเนินใช้จิตญาณตน สิบเก้าคู่ธรรม   พระธรรมาจารย์โปรดว่า "สามสิบหกคู่ธรรมคำตรงข้ามเหล่านี้ หากเข้าใจใช้ได้ถูกต้อง ธรรมะก็จะเป็นเอกะภาวะอันปรุโปร่ง ที่รู้แจ้งแทงตลอดพระธรรมคัมภีร์ทั้งปวง  การเข้าออกในธรรมนั้น ก็จะพ้นจากการ "ออกหาก" หรือ "เข้าสู่" อย่างสุดขั้ว  (ซึ่งมิใช่ทางสายกลาง) (เพราะแก่นแท้แห่งธรรม แม้แต่ทางสายกลาง...ถึงที่สุดก็จะปลาสนาการหายไปโดยสิ้น) จิตญาณสำแดงการใช้ จะกล่าวอันใดต่อใคร (อย่าต้องตกอยู่ในสุดขั้วสองข้าง) ภายนอกแม้อยู่กับรูปลักษณ์ก็ให้ออกห่าง (มิให้ยึดหมาย) ในรูปลักษณ์ ภายในแม้อยู่กับความว่าง ก็ให้ออกหาก (มิให้ยึดหมาย) ในความว่าง หากยึดหมายในรูปลักษณ์ทั้งหมดก็คือ "เห็นผิด" หากยึดหมายในความว่างทั้งหมดก็จะตกสู่อวิชชาความเป็นผู้ไม่รู้แท้อย่างยาวนาน  ผู้ยึดหมายในความว่าง จึงมักจะกล่าวโทษต่อพุทธธรรม เช่นว่า "ศึกษาธรรมไม่ต้องใช้อักษรภาษา"
        พิจารณา
     เหตุใดการกล่าวว่า "ศึกษาธรรมไม่ต้องใช้อักษรภาษา" นั้น เป็นการกล่าวโทษต่อพุทธธรรม ด้วยเหตุว่า เข้าใจผิดและทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดต่อความหมายในพุทธธรรม พงศาธยานะมักกล่าวว่า "ชี้ชัดจิตโดยตรง เห็นจิตญาณบรรลุพุทธะ" จื๋อจื่อเหยินซิน   เจี้ยนซิ่งเฉิงฝอ  กล่าวว่า "ไม่กำหนดอักษรไว้ ศาสน์อื่นใดมิให้ถ่ายทอด"  ปู๋ลี่เอวิ๋นจื้อ   เจี๋ยวไอว้เปี๋ยฉวน  ที่ว่า "ไมกำหนดอักษรไว้" นั้น มิใช่ไม่ต้องใช้อักษร พึงรู้ว่า "อักษร" คือเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่ง  ที่ว่า "ไมกำหนดอักษร" หมายถึง มิให้ยึดติดอยู่กับอักษรเครื่องบ่งชี้ เหมือนโดยสารเรือ เมื่อถึงฝั่งได้ ไม่ต้องอุ้มเรือไว้ ...ชี้ชัดจิตโดยตรง...  ก็มิได้หมายความว่า ไม่ต้องกำหนดอักษร เพราะการชี้ชัดก็เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างหนึ่งแทนการใช้อักษรบ่งชี้ ยังมีคำว่า "ชี้จันทร์เพ็ญเห็นญาณตถตา" อิ่นจื่อเจี้ยนเอวี้ย  อาการชี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกแทนการใช้อักษรเช่นกัน (แต่บางคนแทนที่จะมองดูดวงจันทร์ กลับลังเลอยู่กับมือที่ชี้นั้น)  ทุกหนแห่งทุกสภาวะ ล้วนมีปริศนาธรรมนำทางให้จิตญาณกำหนดรู้ และเข้าสู่ภาวะญาณตถตาได้ทั้งนั้น โดยมิต้องอาศัยอักษรภาษา การอ่านตำรา พระคัมภีร์  หากยึดหมายในอักษรภาษาไว้ไม่ปล่อย จะเหมือนอาหารที่คั่งค้างไม่ย่อย อัดอยู่ในกระเพาะลำใส้ ฉะนั้น "พงศาธยานะ" จึงไม่เนื่องนำให้หัวปักหัวปำ อ่านพระธรรมคัมภีร์ แต่ให้เข้าถึงจิตญาณตนโดยฉับพลัน     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                          บทที่ ๙

                         วิถีธรรมแสดงความแสดงความตรงข้าม

                                  (ฝา  เหมิน  ตุ้ย  ซื่อ)

        ในเมื่อกล่าวว่าไม่ต้องใช้อักษร คนก้ไม่ต้องพูดจากัน เพราะวาจาเป็นรูปลักษณ์ของอักษร อีกกล่าวว่า "ธรรมะตรงแท้ไม่ต้องกำหนดด้วยอักษร" คำว่า "ไม่ต้องกำหนด" นั้น ก็คืออักษร (อีกกรณีหนึ่งคือ) เมื่อได้ยินใครพูดธรรม ก็กล่าวโทษแก่เขาว่า "ที่พูดนั้นท่องจำมา"  หรือกล่าวว่าเขา "ยึดหมายในอักษร"  ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า ตนเองเป็นคนหลงยังพอว่า ยังกล่าวโทษพุทธธรรมคัมภีร์เสียอีก จงอย่ากล่าวโทษแก่พระธรรมคัมภีร์ โทษบาปนี้หนักหนายิ่งนัก มิอาจประมาณได้เลย หากยึดหมายในรูปลักษณ์ภายนอก สร้างธรรมลักษณะ สร้างวิธีการ  เพื่อขอสัจธรรม  หรือสร้างอาณาจักรธรรม (วัดวาอาราม) กว้างใหญ่ไพศาล แต่อรรถาธรรมแสดงความีและไม่มีแห่งธรรมนั้นผิด ๆ บุคคลเช่นนี้ อีกอนันตกัปก็มิอาจรู้แจ้งจิตญาณตน
        พิจารณา
     จากข้อความนี้ จะเห็นได้ว่า "ศีล" จะทำลายมิได้ความ "รู้ชอบเห็นชอบ" จะทำลายมิได้ ทำลายศีล ยังอาจสำนึกขอขมากลับตัวกลับใจ แต่หากทำลายความรู้ชอบเห็นชอบแห่งจิตญาณตน ซ้ำยังเห็นผิดเป็นถูก ดั่งนี้ จะต้องได้รับผลกรรมหนักหนา ผู้บำเพ็นไฉนจึงไม่เกิดความรู้ชอบเห็นชอบเล่า ฉะนั้น อมตะพุทธะจี้กงจึงโปรดว่า "ไม่เข้าใจหลักธรรม จะเรียกว่าบำเพ็ญเช่นไรได้"  จงอาศัยหลักธรรม ทำตามบำเพ็ญไป แต่ก็มิใช่ไม่คิดคำนึงถึงอะไรไปเสียหมด เพราะจัเป็นอุปสรรคขัดข้องต่อทางธรรม ต่อการบรรลุสัมมาสัมโพธิ แต่หากเอาแต่ฟัง ไม่บำเพ็ญจิตญาณตน กลับจะก่อเกิดความคิดผิดเป็นมิจฉาสติ ระลึกผิดไป  จงบำเพ็ญตนตามหลักธรรม  ให้วิทยาธรรมเป็นทาน ด้วยการไม่ยึดหมายในรูปลักษณ์  ท่านทั้งหลายหากรู้แจ้ง พูดตามหลักนี้ สำแดงการใช้ดังนี้  ดำเนินการตามดังนี้  ปฏิบัติตามนี้  ก็จะไม่ผิดเพี้ยนต่อพงศาธรรมาจารย์ท่านสอนสั่งมา  หากมีผู้ถามท่านถึงความหมายแห่งหลักธรรม ถามว่ามี จงตอบด้วยไม่มี  ถามว่าไม่มี จงตอบด้วยมี  ถามความแห่งสามัญ จงตอบด้วยความแห่งอริยะ  ถามแห่งความอริยะ จงตอบด้วยความแห่งสามัญ  ธรรมะ (คำถาม - คำตอบ) สองด้านอันตรงข้ามกัน เป็นเหตุปัจจัยเนื่องนำต่อกัน (ให้เกิดการพิจารณาความเป็นกลาง)  หากนำทางให้เกิดการพิจารณาด้วย "คู่ธรรมคำตรงข้าม" เพียงแต่อย่าให้สุดขั้ว เช่นนี้ ทางสายกลางย่อมเกืิดขึ้นท่านจงให้ "คู่ธรรมคำตรงข้าม" เมื่อเขาถาม คำถามอื่น ๆ ก็ทำตามนี้ ก้จะไม่ผิดต่อหลักธรรม  หากมีผู้ถามว่า "อย่างไรได้ชื่อว่ามืด" จงตอบว่า "ความสว่างเป็นตัวเหตุ ความมืดเป็นปัจจัยเนื่องนำ ความสว่างลับหายจึงมืด"  เอาความสว่างแสดงให้เห็นความมืด เอาความมืดแสดงให้เห็นความสว่าง มากับไปเป็นเหตุซึ่งกัน ก็จะได้ความหมายของธรรมะที่เป็นทางสายกลาง คำถามอื่น ๆ ก็ให้เป็นทำนองนี้เดียวกันทั้งหมด  ท่านทั้งหลายจะถ่ายทอดวิถีธรรมต่อไปในภายหน้าอาศัยหลักนี้ถ่ายทอดสอนสั่งแก่กัน อย่าให้ผิดต่อหลักของพงศาธนายะ"
                                                               - จบบทที่ ๙ -

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐ 

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        ณ ปฐมรัชสมัยไท่จี๋ ราชวงศ์ถัง ใรัชกาลพระเจ้าถังยุ่ยจงฮ่องเต้ ตรงกับปีชวด เดือนเจ็ด (ค.ศ.712) พระธรรมาจารย์โปรดให้สานุศิษย์ไปจัดการสร้างมหาเจดีย์ในพื้นที่พระอารามหลวงคุณาปฏิการาม  "กั๋วเอินซื่อ" เมืองซินโจว อีกทั้งโปรดกำชับให้เร่งสร้างโดยด่วน พอถึงปีถัดมา ปลายฤดูร้อนก็สร้างเสร็จ
พิจารณา
        สถูปหรือมหาเจดีย์องค์นี้ ใช้ประโยชน์สำหรับเก็บอัฐิที่พระธรรมาจารย์ดปรดให้เร่งสร้างด่วนนั้น เท่ากับเป็นการเตือนศิษย์ว่า ท่านใกล้จะถึงกาลดับขันธ์แล้ว
        หนึ่งค่ำเดือนเจ็ด ได้เรียกประชุมมวลศิษย์และโปรดว่า "ถึงเดือนแปด อาตมาจะไปจากโลกนี้ พวกท่านมีข้อธรรมใดสงสัยอยู่ พึงรีมมาถามเสียแต่เนิ่น ๆ จะแก้ข้อกังขาแก่ท่าน ให้ท่านสิ้นความหลงผิดเสีย เมื่ออาตมาจากไปแล้ว จะไม่มีใครสอนท่าน" สงฆ์ฝ่าไห่พร้อมกับศิษย์ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนี้ ต่างสะอื้นไห้ด้วยความอาดูร มีแต่สงฆ์เสินฮุ่ย (แต่ก่อนคือสามเณรเจ้าปัญญา) เท่านั้นที่อยู่ในอาการปกติ และมิได้หลั่งน้ำตาสะอื้นไห้  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "พระอาจารย์น้อยเสินฮุ่ย พรรษาบวชยังไม่ถึงสิบปี กลับเป็นผุ้เข้าถึงภาวะจิตอันไม่ยินดียินร้าย ไมีสะเทือนต่อคำทำลายหรือให้เกียรติ ความโศกเศร้าและสุขสมก็ไม่เกิด ท่านอื่น ๆ
ยังใช้ไม่ได้ อยู่ในป่าเขา (วัดป่า) กันมาหลายปี บำเพ็ญธรรมอะไรกันหรือ"
พิจารณา
        แท้ที่จริง ศิษย์ท่านอื่นต่างก็บำเพ็ญถึงขั้นแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ได้อยู่ปรนนิบัติวัฏฐากใกล้ชิดพระอาจรย์ทุกค่ำเช้ามานานปี ปุปปับเมื่อได้ยินคำสั่งเสียเช่นนี้ ใครเลยจะอดใจได้  อีกทั้งพระธรรมาจารย์ ก็อาศัยโอกาสจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าให้ธรรมะ ให้ข้อคิดแก่ศิษย์ที่จะรับงานใหญ่ในอาณาจักรธรรมต่อไป
        วันนี้ที่ท่านโศกเศร้าสะอื้นไห้ ด้วยเหตุห่วงใยผู้ใดหรือ หากเป็นด้วยห่วงใยอาตมา ว่าไม่รู้จะต้องไปยังที่ใด อาตมารู้ที่ไปของตนเอง หากอาตมาไม่รู้ที่ไปคงจะบอกกล่าวพวกท่านล่วงหน้าอย่างนี้ไม่ได้เป็นแน่  ท่านทั้งหลายโศกเศร้าสะอื้นไห้  ล้วนด้วยเหตุไม่รู้ที่ไปของอาตมา หากรู้ที่ไปของอาตมา จะมิพึงโศกเศร้าสะอื้นไห้
พิจารณา
        ครั้งหนึ่ง อมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์โปรดว่า "ผู้สูงอายุที่ป่วยหนักใกล้จะตาย ลูกหลานเสียดายไม่ยอม พากันถวายธูปกำใหญ่ วิงวอนเบื้องบน ขอได้โปรดรักษาชีวิตของพ่อไว้  ลูกหลานเข้าใจว่านี่เป็นความกตัญญู แต่เราได้คิดถึงตัวผู้ป่วยบ้างไหม  การไปจากกายสังขารตัวนี้คือการหลุดพ้น จบสิ้นจากความทุกข์ทรมาน เช่นนี้จะไม่ไดีกว่าหรือ" การไม่รู้ที่ไป ทำให้หวาดกลัวไม่อยากไป ไม่อยากให้คนที่เรารักเดินทางไกล ต้องจากพรากไป แต่หากเรารู้ชัดเจนว่า ที่ ๆ จะไปคือพุทธาลัยสวรรค์ชั้นดุสิต จะได้ไปใกล้ชิดพระอริยเมตไตรย  ซึ่งเป็นภาวะที่วิเศษยิ่ง หากรู้ชัดเจนดังนี้ เราจะวางทุกอย่างลง เรายินดีที่จะไป ยินดีให้ผู้เป็นที่รักเราไป กล่าวโดยหลักสัจธรรมคือ  "การเกิด - ดับ ของกายสังขาร เป็นเพียงภาพลวงตา ที่เคลื่อนโคจรเข้ามาบรรจบกันอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หรือชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น จากนั้น ก็ต้องแยกหากออกจากันเหมือนอย่างเดิม" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔

                                             บทที่ ๑๐

                                กำชับให้แพร่หลาย   ฟู่จู่หลิวทง

        อันที่จริงธรรมญาณนั้นปราศจากการเกิดดับ ไปมา ท่านทั้งหลายจงนั่งไว้ อาตมาจะให้โศลกแก่ท่านทั้งหลายบทหนึ่ง ชื่อว่า "โศลกเคลื่อนไหว -สงบนิ่งจริงเท็จ"  ท่านทั้งหลายท่องโศลกนี้ไว้ ให้ความคิดเห็นเป็นเช่นเดียวกับอาตมา บำเพ็ญตามนี้ ก็จะไม่ผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรมแห่งพงศาธยานะ มวลศิษย์น้อมกราบอาราธนาพระคุณเจ้า พระธรรมาจารย์โปรดแสดงโศลกว่า :

ทุกสิ่งสรรพ              ปราศจาก             ความมีจริง
อย่าเอาสิ่ง               ที่เห็นจริง             ว่าจริงแท้
หากหมายว่า             ที่ข้าเห็น              เป็นจริงแน่
ที่เห็นแท้                 แต่แท้จริง            ไม่จริงเลย
หากเห็นญาณ           อันตนมี                ที่เป็นจริง
พ้นสรรพสิ่ง              ไม่จริงไป              ใจจริงแน่
ใจของตน                แม้ไม่พ้น              สิ่งปรวนแปร
ใจไม่แท้                 ที่ใดแล                ฤาแท้จริง       
สัตว์โลกนั้น              มันเคลื่อนไหว        ด้วยใจรู้
ปราศจากรู้               จะอยู่นิ่ง               ไม่ติงไหว
หากบำเพ็ญ             เช่นไม่รู้                อยู่นิ่งไว้
ไม่ต่างไป               คล้ายวัตถุ              อยู่นิ่งงัน
หากจะหา               สิ่งที่เป็น               ไม่วิ่งไหว
นั่นคือใจ                ไม่ไหววิ่ง               ตามสิ่งไหว 
ธาตุวัตถุ                 อยู่แน่นิ่ง               นิ่งเรื่อยไป
ไม่มีใจ                  ไม่อาจปลูก             พุทธญาณ
รู้จำแนก                 แยกธรรม -             ลักษณ์ไซร์
เบื้องต้นให้             สงบใน                  ไม่เคลื่อนหนา
จงรู้เห็น                 เป็นจิตญาณ             มั่นคงนา
คือตถตา               มรรคาธรรม               สำแดงคุณ
จงบอกกล่าว          เหล่าศึกษา               พระธรรมนั้น
ให้บากบั่น             หมั่นเพียรไป             ตั้งใจมั่น
มหายาน               ประตูทาง                 ไม่ผิดผัน
อย่ายึดมั่น             การเกิดตาย               ไร้ปัญญา
หากเขาสดับ          ยอมรับไว้                  ใจสอดคล้อง
ร่วมครรลอง           ของพุทธา                  มาสมาน
แต่หากไม่             เข้าใจเป็น                  เช่นเดียวกัน
จงสาธุการ             สมานมิตร                  จิตยินดี
พงศาฌาณ            มีหลักการ                  ไม่พาลแข่ง
หากขัดแย้ง            แข่งธรรมผิด               บิดธรรมส่าย
หากยึดมั่น             พาลขัดธรรม               ดำเนินไป
ญาณจิตใจ             เวียนเกิดตาย              ไม่พ้นทาง

พิจารณา  :  สรุปความหมายของโศลกดังนี้
        สรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนเที่ยงแท้ อย่าเห็นผิดคิดว่ามันเป็นจริง  หากหลงผิดคิดหมายว่าที่เห็นนั้นมันเป็นจริง ซึ่งแท้จริงทั้งหมดที่เห็นล้วนไม่เป็นจริงสักสิ่งเดียว แต่เราอาจรู้แจ้งว่า เจ้าตัวตนไม่เที่ยงแท้ของเรานี้มีสิ่งจริงอยู่ภายใน  สิ่งจริงนั้นจะรู้ได้เมื่อใจของเราออกหาก สลัดละไปจากสรรพสิ่งอันเป็นมายาสมมุติ เราก็จะเห็นได้ในใจจริงของตน  หากใจจริงของตนยังไม่พ้นไปจากสรรพมายาสมมุติ ก็จะไม่มีสิ่งจริงที่ไหนให้หาได้ สัตว์โลกที่มีชีวิตจิตใจ ย่อมเคลื่อนไหว และมีความเข้าใจได้ สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ก็จะไม่เคลื่อนไหว หากเราบำเพ็ญ แต่เป็นเหมือนสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่เคลื่อนไหว ได้แต่นั่งนิ่ง เราก็จะไม่ต่างจากสรรพสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่หากจะหาสิ่งจริงที่ไม่เคลื่อนไหว นั่นคือใจที่สงบนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวแม้อยู่ในกายสังขารอันเคลื่อนไปก็ตาม ส่วนสรรพสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่เคลื่อนไหว ก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว มันเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจ จึงไม่อาจสืบต่อเผ่าพันธุ์แห่งพุทธะได้ หากเราจะจำแนกธรรมลักษณะได้ รู้ว่ามโนวิญญาณตัวรู้คิดของเรามันเป็นอย่างไร "จิตญาณตัวแท้" อันสงบนิ่ง ของเรามันเป็นอย่างไร เราก็จะรู้ว่าสิ่งสำคัญประการแรกคือ ความสงบนิ่งของมโนวิญญาณ จงทำความรู้เห็นเช่นนี้ สิ่งที่สำแดงคุณก็จะเป็นบทบาทของตถตา ความเป็นอย่างนั้นเองโดยดุษณี โดยสงบราบเรียบ เช่นนี้จึงจะเรียกว่าบำเพ็ญจริง จงบอกกล่าวแก่ผู้ศึกษาธรรมว่า จะต้องเพียรพยายามตั้งใจให้เข้าถึงจิตญาณแท้แห่งตน เข้าถึงภาวะรู้แจ้ง มิใช่เข้าสู่ประตูธรรมมหายานอันรู้แจ้งฉับพลันแล้ว ยังคงยึดหมายการเกิดตายอยู่อีก หากบอกกล่าวให้เขาเข้าใจ เขาสนองตอบความเข้าใจสอดคล้องกัน ก็ให้ร่วมศึกษาพิจารณาความหมายในพุทธธรรมต่อไป แต่ถ้าหากเขารับไม่ได้ ไม่เห็นพ้องต้องกันกับธยานะธรรมวิถีจิตอันรู้แจ้งฉับพลันนี้ ก็จงสาธุการ รักษาท่าทีให้เขามีความยินดี มิให้ร้าวฉานต่อกัน ธรรมะวิถีจิตหรือพงศาธยานะนี้ ไม่มีสิ่งขัดข้องต่อวิถีธรรมอื่นใด เป็นหลักสัจธรรม เป็นหลักสัทธรรม เป้าหมายคือ การหลุดพ้นด้วยจิตของตนเองโดยฉับพลัน หากจะยังต้องถกเถียง วิจารณ์ขัดแย้งกัน เหมือนบิดธรรมให้อยู่ในฝ่ายตน เมื่อถูกบิด ความหมายแห่ง "ธรรมอันบริสุทธิ์สงบ" ทุกวิถีทาง ก็จะสิ้นสูญไป ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น ขัดฝืน ถกเถียง ด้วยว่าธรรมวิถีอันผิดแผกแตกต่างกัน จิตญาณของผู้นั้นย่อมเข้าสู่กระแสแห่งการเกิดตายต่อไป             

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”