คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ๔
บทที่ ๘
ราชวงศ์ถังกราบนิมนต์
(ถัง เฉา เจิง เจ้า)
จิตญาณตัวแท้นั้น ไม่ขาดสาย ไม่เนื่องนำ ไม่มา ไม่ไป ไม่อยู่ระหว่างกลางหรืออยู่ภายในภายนอก ไม่เกิดไม่ดับ สภาพแห่งญาณเป็นอยู่อย่างนั้นเอง ภาวะแห่งญาณคงอยู่อย่างนั้นโดยไม่แปรผัน อันเป็นภาวะที่เรียกได้ว่าเป็น "ธรรมะ"
พิจารณา
พระธรรมาจารย์โปรดไว้ว่า "หนึ่งแท้จริง ทุกสิ่งล้วนแท้จริง ทุกสภาพสรรพสิ่งจะเป็นอยู่อย่างนั้นเอง จิตญาณอันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง ก็คือสิ่งอัน "จริงแท้" ดังโศลกว่า : เมื่อ "หนึ่ง" จริง สรรพสิ่ง ล้วนจริงแท้
ล้วนนิ่งแน่ แท้เที่ยง ณ ตถตา
จิตญาณตน ไม่พ้น "เป็น" เช่นนั้น "หนา"
จึงชื่อว่า ตถตา แท้เที่ยงจริง
อี้เจินอี๋เซี่ยเจิน อวั้นจิ้งจื้อหยูหยู
หยูหยูจือซิน จี๋ซื่อเจินซึ
เซวี่ยเจี่ยนกราบเรียนถามอีกว่า "ที่พระอาจารย์โปรดว่า "ไม่เกิดไม่ดับ" นั้น ความหมายนิยามนั้น ต่างกับความหมายนิยามแห่งสายธรรมอื่นอย่างไร" พระธรรมาจารย์ตอบว่า "สายธรรมอื่นกล่าวถึงไม่เกิดไม่ดับนั้นคือเอาความดับระงับความเกิด เอาความเกิดแสดงให้เห็นถึงความดับ เช่นนี้เป็นความดับที่ยังมิดับ เป็นความเกิดแต่กลับกล่าวว่าไม่เกิด" "ที่อาตมากล่าวว่าไม่เกิดไม่ดับนั้น คือแท้จริงมิได้มีการเกิดนั้นเลยแต่เดิมที บัดนี้ก็มิได้มีการดับ ฉะนั้น คำกล่าวนี้จึงต่างจากสายธรรมอื่น
พิจารณา
ได้รับวิถีธรรมแล้ว จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด การพ้นเวียนว่ายตายเกิดของชีพกาย สำหรับผุ้ได้รับวิถีธรรม เป็นการพ้นเกิด-ตาย ใน "ช่วงแบ่ง" หนึ่งเท่านั้น ช่วงแบ่งเป็นระดับหนึ่ง เป็นขั้นตอนหนึ่ง ระยะหนึ่ง ของการเกิด-ตายสำหรับกายชีพนั้นเท่านั้น อย่าสำคัญผิดคิดว่าจบสิ้น หากมุ่งหมายให้จบสิ้น จะต้องยกระดับปรับเปลี่ยน จิตที่ยึดหมายต่อไปจนกว่าจิตจะหลุดพ้นเป็นอิสระโดยสิ้น อย่างที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นให้ได้ จึงจะเป็นการหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์
หากท่านต้องการจะรู้หัวใจของพุทธธรรม เพียงอย่าได้ประเมินหมาย หรือคำนึงการต่อความ ดี-ชั่ว บาป-บุญ ทั้งปวงก็จะเข้าถึงได้เอง จะเข้าถึงแก่นใสบริสุทธิ์สงบสันติเป็นธรรมชาติ คุณประโยชน์วิเศษที่จะก่อเกิด จะมากมายดุจเม็ดทรายในคงคามหานทีนั่นทีเดียว
พิจารณา
บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรมคือบำเพ็ญเช่นนี้ ธรรมประกาศิตในพิธี อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมกล่าวแทนอมตะพุทธะจี้กงอย่างชัดเจนว่า "ปราศจากเกิด-ตาย ฝึกในแสงญาณทุกเวลา" อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ จงยื่อเลี่ยนเสินกวง ปราศจากเกิดตายมิใช่เพียงกายชีพ แต่เป็นจิตญาณอันสมบูรณ์ ฝึกฝนแสงญาณคือ ให้เข้าสู่สูญญตา ภาวะว่างเปล่า
ขันทีเซวียเจี่ยน ข้าราชสำนักได้สดับคำสอนนี้แล้วเกิดการรู้แจ้งฉับพลันครั้งใหญ่ในบัดนั้น จากนั้น ขันทีเซวียเจี่ยนก็กราบลาพระธรรมาจารย์เดินทางกลับเข้ามหานคร กราบทู,ถวายพระธรรมวจนะอันได้สดับจากพระธรรมาจารย์ แต่องค์จักรพรรดิจงจงและจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน (เพื่อเป้นแนวทางในการปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป)
พิจารณา
การนี้หากเซวียเจี่ยน เป็นผู้ทำหน้าที่นำพระราชสาส์นมานิมนต์พระธรรมาจารย์เข้าวัง แม้หากจะจำเป็นต้องเก็บพุทธธรรมคำสอนจากพระธรรมาจารย์ไปฝากพระแม่เจ้าอู่เจ๋อเทียน โดยที่ตนเองไม่มีพื้นฐานจิตใจใฝ่ธรรม การนำไปฝากก็จะได้แต่ข้อความที่จดจำไป แต่เซวียเจี่ยนเกิดการรู้แจ้งเมื่อได้ฟัง ฉะนั้น แน่นอนผู้ฟังเองได้รับมหากุศล การกลับไปถ่ายทอดบอกกล่าวก็จะเปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ และจะมิใช่สิ้นสุดอยู่เพียงการถ่ายทอดบอกกล่าวเพียงครั้งเดียวอีกทั้งมิได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะบุคคลเท่านั้น การสดับสัจธรรมโดยเข้าถึงพุทธวจนะจึงเป็นสิ่งล้ำเลิศประเสริฐสุดเกินประมาณ จึงเป็นขอบเขตอันอาจแผ่ไพศาลเกินประมาณต่อไป
สามค่ำเดือนเก้าปีเดียวกันนั้น มีพระราชสาส์นสรรเสริญบารมีธรรมส่งมาถึงพระธรรมาจารย์อีกว่า "พระอาจารย์ท่านมีเหตุจำเป็นจากการอาพาธและชราภาพ (ปฏิเสธที่จะเข้าวังรับการอุปัฏฐาก ปรารถนาจะบรรลุธรรมท่ามกลางป่าเขา) ท่านบำเพ็ญธรรมเพื่อข้าพเจ้า (ก็เท่ากับ) เป็นเนื้อนาบุญของบ้านเมืองโดยแท้แล้ว" พระอาจารย์ขัดด้วยความอาพาธ เช่นเดียวกับพระมหาเถระเจ้าวิมลเกียรติในกาลก่อน ที่ต้องเก็บตัวอยู่ ณ เมืองไพศาลี เผยแพร่พุทธธรรมมหายานถ่ายทอดวิถีจิตแห่งเหล่าพุทะะ ประกาศเอกะธรรมความเป็นหนึ่งเดียวแห่งสัจธรรม เซวียเจี่ยน ได้ถ่ายทอดความรู้ชอบ เห็นชอบ ของพระตถตาเจ้าแก่ข้าพเจ้าตามที่พระอาจารย์ได้โปรดสั่งสอนมา ขัาพเจ้าคงได้สร้างสมบุญบารมีมา ได้ปลูกฝังรากฐานแห่งกุศลมูลไว้ ในชาตินี้จึงเกิดมาทันพระคุณเจ้า เข้าถึงวิถีฉับพลันแห่งมหายาน จึงสำนึกในบารมีคุณพระอาจารย์เป็นล้นพ้นเหนือเศียรเกล้าฯ
พิจารณา
วันนี้เราโชคดี ที่ได้เกิดมาในธรรมกาลที่พระวิสุทธิอาจารย์ปรกโปรด ชะรอยจะเป็นบุญบารมีเก่าที่ได้สร้างสมมา ได้ปลูกฝังรากฐานแห่งกุศลมูลไว้เช่นกัน
เราจึงต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์ ขอเทิดพระคุณไว้เศียรเกล้า ตลอดไปชั่วกาลนานเช่นกัน
(และพร้อมกันนี้ ข้าพเจ้าจักรพรรดิจงจงพร้อมด้วยจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน) ขอถวายกาสาวพัสตร์ผ้าโมรี (ผ้าสีแสดแดง จีวรสงฆ์ของเกาหลี) อีกทั้งบาตรแก้วผลึก ให้ผู้ตรวจการเมืองเสาโจว (ศิษย์รุ่นแรกของพระธรรมาจารย์) นำมากราบพระคุณเจ้า อีกทั้งมอบหมายให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระอาราม (ที่จำพรรษาปัจจุบัน ขยายการก่อสร้างทั่วปริมณฑล) พร้อมกับขอถวายชื่อแก่ถิ่นฐานบ้านกำเนิดของพระคุณเจ้า ซึ่งเดิมชื่อว่าซินโจว ให้เป็นพระอารามหลวงทั้งหมดโดยรอบว่า "พระอารามหลวงคุณาปฏิการาม" กั๋วเอินซื่อ
- จบบทที่ ๘ -