(โปรดอีกว่า) "ชาวโลกหลงติดอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก" "(ชาวธรรม) หลงอยู่กับความว่างภายใน" หากแม้นอยู่ท่ามกลางรูปลักษณ์ แต่พ้นหากจากรูปลักษณ์ได้ อยู่ท่ามกลางความว่าง แต่พ้นหากจากยึดหมายในความว่างได้ นั่นคือ มิหลงไปทั้งภายในภายนอก หากรู้แจ้งแห่งธรรมนี้ เกิดหนึ่งรำลึกพลัน จิตเบิกบานกว้างไกล นั่นคือ เปิดโลกใหญ่แห่งการรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะ "พุทธะ คือ ผู้ตื่น ผู้รู้แจ้งเห็นจริง"
พิจารณา
"รู้แจ้งเห็นจริง" เห็นสัจธรรมความเป็นจริงของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสลายสิ้นไป วนเวียนไม่จบสิ้น อันเป็นวัฏจักรซ้ำซากอย่างนี้ รู้แจ้งต่อวิธีการเปลี่ยนแปลงมิให้เวียนไปในวัฏจักรนั้น "การรู้แจ้งเห็นจริง" แบ่งออกเป็น สี่ช่องทางคือ เปิดทาง "รู้แจ้งเห็นจริง" แสดงความ "รู้แจ้งเห็นจริง" สำนึก "รู้แจ้งเห็นจริง" เข้าถึง "รู้แจ้งเห็นจริง" หากได้สัดบการแสดงความ ก็อาจสำนึก เข้าถึง "รู้แจ้งเห็นจริง" จิตญาณเดิมแท้ก็จะปราฏกได้ ท่านจงระวัง อย่าได้เข้าใจความหมายของพระสูตรผิดไป ได้ยินใครเขากล่าวว่า "เปิดทาง แสดงความสำนึกกับเข้าถึง" คิดเสียเองว่า เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะที่พวกเราไม่มีส่วน หากเข้าใจดังนี้คือ กล่าวเท็จต่อพระสูตรคัมภีร์ใส่ไคล้พุทธธรรม ในเมื่อพระองค์คือพระพุทธะแล้ว รู้แจ้งเห็นจริงเต็มบริบูรณ์แล้ว ไฉนยังจะต้องเปิดทางให้รู้แจ้งเห็นจริงอีก ณ บัดนี้ ท่านจงเชื่อเถิดว่า ความเป็นพุทธะอันได้รู้แจ้งเห็นจริงนั้น อยู่ที่ใจของท่านเองเท่านั้น ไม่มีพุทธะอื่นใด
พิจารณา
"ท่านเองเท่านั้น" หมายถึงทุกคนต่างรู้ได้ในจิตตน จะไปรู้ภาวะจิตความเป็นพุทธะของผู้อื่นได้อย่างไร พุทธพจน์ว่า "ตนหากปราศจากจิตพุทธะ จะเสาะหาพุทธะแท้จริงจากที่ใด" ด้วยมวลเวไนยฯ บดบังแสงสว่างของตนเอง รักโลกอยู่ในสภาพโลกีย์ ปัจจัยภายนอกเข้ารบกวนจิตภายใน จึงต่างยินดีถูกขับต้อนให้โลดเต้นอยู่ในสภาพนั้น เป็นเหตุอันทำให้ต้องเหนื่อยยากแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า เริ่มจากให้รู้ในสัมมาสมาธิ (อีกทั้งต้องทรง) เหนื่อยยากแจกแจงแสดงธรรม เตือนใจให้หยุดหลงใหล ดับกิเลสไฟให้มอดไป
พิจารณา
พุทธพจน์ว่า " หยุด คือ โพธิ (เซียจี๋ผูถี)" "หยุดเติมเชื้อไฟ เพลิงหยุดโหมไหม้ เชื้อเก่าหมดไป ไฟมอดดับลง