collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)  (อ่าน 71930 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       (โปรดอีกว่า) "ชาวโลกหลงติดอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก"  "(ชาวธรรม) หลงอยู่กับความว่างภายใน" หากแม้นอยู่ท่ามกลางรูปลักษณ์ แต่พ้นหากจากรูปลักษณ์ได้ อยู่ท่ามกลางความว่าง แต่พ้นหากจากยึดหมายในความว่างได้ นั่นคือ มิหลงไปทั้งภายในภายนอก  หากรู้แจ้งแห่งธรรมนี้ เกิดหนึ่งรำลึกพลัน จิตเบิกบานกว้างไกล นั่นคือ เปิดโลกใหญ่แห่งการรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะ "พุทธะ คือ ผู้ตื่น ผู้รู้แจ้งเห็นจริง"
พิจารณา
        "รู้แจ้งเห็นจริง" เห็นสัจธรรมความเป็นจริงของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสลายสิ้นไป วนเวียนไม่จบสิ้น อันเป็นวัฏจักรซ้ำซากอย่างนี้  รู้แจ้งต่อวิธีการเปลี่ยนแปลงมิให้เวียนไปในวัฏจักรนั้น  "การรู้แจ้งเห็นจริง" แบ่งออกเป็น สี่ช่องทางคือ เปิดทาง "รู้แจ้งเห็นจริง"  แสดงความ "รู้แจ้งเห็นจริง"  สำนึก "รู้แจ้งเห็นจริง"  เข้าถึง "รู้แจ้งเห็นจริง"  หากได้สัดบการแสดงความ ก็อาจสำนึก เข้าถึง "รู้แจ้งเห็นจริง" จิตญาณเดิมแท้ก็จะปราฏกได้ ท่านจงระวัง อย่าได้เข้าใจความหมายของพระสูตรผิดไป  ได้ยินใครเขากล่าวว่า "เปิดทาง แสดงความสำนึกกับเข้าถึง" คิดเสียเองว่า เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะที่พวกเราไม่มีส่วน หากเข้าใจดังนี้คือ กล่าวเท็จต่อพระสูตรคัมภีร์ใส่ไคล้พุทธธรรม ในเมื่อพระองค์คือพระพุทธะแล้ว รู้แจ้งเห็นจริงเต็มบริบูรณ์แล้ว ไฉนยังจะต้องเปิดทางให้รู้แจ้งเห็นจริงอีก  ณ บัดนี้ ท่านจงเชื่อเถิดว่า ความเป็นพุทธะอันได้รู้แจ้งเห็นจริงนั้น อยู่ที่ใจของท่านเองเท่านั้น ไม่มีพุทธะอื่นใด
พิจารณา
        "ท่านเองเท่านั้น" หมายถึงทุกคนต่างรู้ได้ในจิตตน จะไปรู้ภาวะจิตความเป็นพุทธะของผู้อื่นได้อย่างไร พุทธพจน์ว่า "ตนหากปราศจากจิตพุทธะ จะเสาะหาพุทธะแท้จริงจากที่ใด" ด้วยมวลเวไนยฯ บดบังแสงสว่างของตนเอง รักโลกอยู่ในสภาพโลกีย์ ปัจจัยภายนอกเข้ารบกวนจิตภายใน จึงต่างยินดีถูกขับต้อนให้โลดเต้นอยู่ในสภาพนั้น เป็นเหตุอันทำให้ต้องเหนื่อยยากแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า เริ่มจากให้รู้ในสัมมาสมาธิ (อีกทั้งต้องทรง) เหนื่อยยากแจกแจงแสดงธรรม เตือนใจให้หยุดหลงใหล ดับกิเลสไฟให้มอดไป
พิจารณา
       พุทธพจน์ว่า " หยุด คือ โพธิ  (เซียจี๋ผูถี)" "หยุดเติมเชื้อไฟ  เพลิงหยุดโหมไหม้  เชื้อเก่าหมดไป ไฟมอดดับลง     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        จิตใจอย่าได้ฝักใฝ่โลภอยากจากภายนอก ก็จะมิต่างจากพุทธะ เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะ" อาตมาก็จะเตือนคนทั้งหลายให้เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะในจิตของตนเป็นประจำ
พิจารณา
        ในศูรางคมสูตร (เหลิงเอี๋ยนจิง) พระอวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์กวนอิม ได้สาธยายความเป็นมาหลังจากที่พระองค์ได้ "แก้ปมทั้งหก" คือ ผ่านพ้นการทดสอบเคี่ยวกรำแล้วว่า "ฉับพลันล่วงพ้นโลก ออกไปจากโลก อากาศธาตุทั่วทั้งสิบทิศสว่างกลมใส" ได้รับความวิเศษยิ่งสองประการ "ประการที่หนึ่ง ทิศเบื้องหน้าบรรจบเหล่าพุทธะทั่วสิบทิศ จิตเข้าถึงความรู้แจ้งอันวิเศษแยบยลแห่งตน ร่วมกระแสพลังมหาเมตตากับพระยูไลพุทธเจ้า  ประการที่สอง ทิศเบื้องล่างสิบทิศบรรจบเหล่าเวไนยฯมวลชีวิตทั้งหกวิถีปฏิสนธิ ได้ร่วมกระแสหวังวอนกรุณาธรรมกับเหล่าเวไนยฯ" นี่คือภาวะของการหลุดพ้น จากพระกระแสดำรัสของพระโพธิสัตว์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จะเห็นได้ว่า พุทธะในจิตตนนั้นเป็นภาวะบริสุทธิ์ยิ่งเพียงไร  ชาวโลกจิตใจทุคติ โง่หลงสร้างบาปเวร ปากดี ใจร้าย โลภ โกรธ ริษยา สอพลอจองหอง  ล่วงเกินเอาเปรียบผู้อื่น ทำลายสรรพสิ่ง "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีชีวิตเวไนยฯให้แก่ตนเอง" (เป็นผลให้พอใจหลงใหลเกลือกกลั้วกับสิ่งชั่วร้าย) แม้อาจใจตรงด้วยสัมมาคติ ก่อเกิดปัญญาอยู่เสมอ สอดส่ายส่องมองใจตน หยุดชั่ว ทำดี ก็จะเป็น "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะให้แก่ตนเอง"
พิจารณา
        เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมาถึงวัดตงฉันซื่อ ได้กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นว่า "ในใจศิษย์มักเกิดปัญญาอยู่เสมอ"  ก็คือจิตนั้นกำลัง "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ"  ภาวะเช่นนี้จะเกิดขึ้นแก่จิตใจของใครได้นั้น ก่อนอื่นจะต้องปราศจาก "ยึดมั่น"  "ภาชนะจิตเืมื่อว่างจากอาสวะ ไม่มีกิเลสวิสัยใส่ไว้เต็ม จึงจะเติมเต็มได้ด้วยธรรมะ"  ปัญญาที่เกิดขึ้นเองนั้นเรียกว่า "ปัญญาที่ปราศจากอาจารย์โน้มนำ เป็นปัญญาจากความเป็นธรรมชาติ สรุปว่า "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีเวไนยฯ ไปสู่การเวียนว่าย"  "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ ไปสู่การหลุดพ้น" ท่านจึงพึง "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะอยู่ทุกขณะจิต อย่าได้เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีชีวิตเวไนยฯ"
พิจารณา
        การกราบขอรับวิถีธรรม นั่นคือก้าวแรกของการเข้าสู่วิถีพุทธะ พิธีศักดิ์สิทธิ์ช่วงต้น หลังจากเผา "ใบคำขอ" ถอนชื่อจากบัญชีเบื้องล่างถวายขึ้นจารึกยังเบื้องบน นั่นคือ จุดเบื้องต้นของการ "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ"ให้แก่ผู้ขอกราบรับวิถีธรรม ด้วยพิธีการอย่างเป็นทางการโดยนิตินัย หลังจากนั้น ทุกคนจะต้องไปเปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ "ให้แก่ตนเองด้วยจิตของตัวเองจริง ๆ อันเป็นพฤตินัย เช่นนี้ไซร์ ความเป็นไปได้จึงจะสมบูรณ์" เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีพุทธะ คือ พ้นโลก "  "เปิดทางรู้แจ้งเห็นจริงวิถีเวไนยฯ คือเห็นโลก"
พิจารณา
        เห็นโลกก็คือ ชีวิตที่คลุกคลีรู้เห็นอยู่กับทางโลก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        หากท่านต้องเหนื่อยยากอยู่กับการยึดหมายสวดท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตร โดยคิดว่าเป็น "ทำการบ้าน" เช่นนี้ก็จะต่างอะไรกับ "จามรีรักหาง" หรือ
พิจารณา
        พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงไม่รู้หนังสือ ไม่เคยเดินทางท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง ไม่เคยเสวนาเรื่องราวทางโลกกับใคร จิตใจมีแต่ความบริสุทธิ์สงบ แต่ท่านสามารถเปรียบเทียบอ้างอิงถึงสิ่งที่อยู่แดนไกลโพ้น เช่น ตัว "จามรี" ที่อยู่ในแถบทิเบต ฉะนั้น  จึงไม่แปลกใจเลยว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู รู้ไปหมดได้  "จามรี" สัตว์เคี้ยวเอื้อง ขนละเอียดอ่อนยาวมากเกือบถึงพื้น มีสีน้ำตาล เวลาเดิน จามรีจะมีทีท่ายักย้ายส่ายสะโพก ขนก็จะพริ้วสยาย จนเจ้าตังเองอดที่จะเหลียวไปดูลีลาความงามนั้นไม่ได้ เปรียบไปก็คล้ายสตรีผมยาวสลวย ชอบสบัดผมจนเป็นนิสัย เหมือนภูมิใจในความงามนั้น พระธรรมาจารย์เปรียบเทีบยว่า สงฆ์ฝ่าต๋าสะสมสถิติท่องพระสูตรมานานสามพันเล่มครั้ง หลงภูมิใจตนเหมือนจามรีชื่นชมขนงามของตน สงฆ์ฝ่าต๋ากล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้น เพียงแต่เข้าใจความหมายของพระคัมภีร์พระสูตร ไม่ต้องเหนื่อยยากสวดท่องกระนั้นหรือขอรับ" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "พระธรรมคัมภีร์มีโทษผิดอย่างไรหรือเป็นอุปสรรคขวางกั้นจิตรู้แจ้งของท่านกระนั้นหรือ  ความหลง ความรู้แจ้ง อยู่ที่บุคคล โทษและคุณประโยชน์เกิดจากตน ปากท่องใจดำเนินตามคือ การเคลื่อนเวียนพระคัมภีร์ (เวียนคัมภีร์) ปากท่องใจไม่ดำเนิน คือ ถูกพระคัมภีร์เคลื่อนเวียนไป"
พิจารณา
        "เคลื่อนเวียนพระคัมภีร์" ให้พระคัมภีร์เหมือนสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ เพื่อเพิ่มพูนสรรค์สร้างปัญญาของเราให้แตกฉาน ยิ่งอ่าน ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งรู้จัก ยิ่งสนิทชิดใกล้ เหมือนกายใจเดียวกัน ดังนี้ คัมภีร์ยิ่งจะมีคุณค่า มิฉะนั้นจะเป็นคัมภีร์ตายตัว เป็นเพียงอักษรที่ชืดแข็งไม่เคลื่อนไหว ผู้สวดท่องจะกลายเป็นคนหลงเฉื่อย เรื่อยเปื่อยท่องไปไม่รู้ตัว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        พระธรรมาจารย์โปรดอีกว่า "จงฟังโฉลกจากอาตมา"
ใจหลงอยู่        ดูปุณฑริก ฯ        เวียนคนท่อง
ตื่นใจตรอง       คนสวดท่อง        เวียนปุณฑริกฯ
ท่องนานไป      ไม่สว่าง             กระจ่างจิต
เป็นอมิตร         กับความหมาย     ในคัมภีร์
ไม่ตริตรึก         รำลึกไป             ใจจะเที่ยง
จิตส่ายเอียง      เบี่ยงเบนเห็น       เป็นมิจฉา
ไม่ยึดมั่น          ทั้งที่มี               ไม่มีนา
ทุกเวลา           กระบือขาว          เราควบคุม
หมายเหตุ  "กระบือขาว" อุปมาใจบริสุทธิ์ที่ดื้อรั้น
        สงฆ์ฝ่าต๋าสดับโศลกจบลง สะอื้นไห้เสียใจไม่รู้ตัว เกิดจิตสำนึกรู้ครั้งใหญ่ทันทีที่ฟังความ  จึงกราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ว่า  "ฝ่าต๋าตั้งแต่ก่อนนานมา ยังไม่เคยเวียนปุณฑริกสูตรเลยจริง ๆ ได้แต่ปุณฑริกสูตรเวียนไป" กราบเรียนอีกว่า ในพระสูตรจารึกว่า "เหล่ามหาสาวกยานจนถึงโพธิสัตว์ ต่างได้ร่วมกันพยายามพิจารณาคำนวนการ แต่ก็มิอาจคาดคำนวนพระปัญญาของพระพุทะเจ้าได้"
พิจารณา
        "เหล่าสาวกยาน" จนถึง "โพธิสัตว์" นั่นหมายถึงปัจเจกพุทธยานด้วย หลังจากสดับธรรม ฝ่าต๋ารู้แจ้้งกระจ่าง เกิดปัญญารู้ความหมายในพระสูตรที่เคยท่องอ่านมา แต่เหตุที่แสดงปุจฉา (คำถาม) ก็เพื่อให้ได้วิสัชนาธรรม (คำตอบ) จากมหาเถระเจ้าอย่างชัดเจน อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาธรรมท่านอื่น ๆ ต่อไป จึงได้กราบเรียนถามข้อสงสัยสามประการดังกล่าว (ที่มหาเถระเจ้าโปรดกล่าวมานั้น) วันนี้ก็เพื่อให้สามัญชนได้สำนึกรู้แจ้งในจิตตน จึงได้ชื่อว่า ความรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะ  ศิษย์ (ฝ่าต๋า) เองมิใช่อินทรีย์ระดับสูง จึงมิพ้นที่จะสงสัยกล่าวค้าน (ศิษย์ฝ่าต๋ากราบเรียนถามอีกว่า) ในพระคัมภีร์จารึกอีกว่า รถสามประเภทคือ รถเทียมแพะ  รถเทียมกวาง  กับรถเทียมวัวขาว  แตกต่างกันอย่างไรหรือ ขอพระมหาเถระเจ้าโปรดแจกแจง
พิจารณา
        มีคำกล่าวว่า "สามรถเป็นหนึ่งรถ" มีตำนานความเป็นมาดังนี้  ""เศรษฐีคนหนึ่งมีคฤหาสน์ บริเวณที่อยู่อาศัยกว้างใหญ่ไพศาลมาก วันหนึ่งกลับมาจากนอกบ้าน เห็นไฟกำลังไหม้บ้านด้านนอกอยู่ แต่ลูก ๆ ของเศรษฐีที่กำลังเล่นสนุกสนานอยู่ด้านในไม่รู้เลย ด้วยเหตุที่บ้านใหญ่นัก ถ้าจะเข้าไปบอกให้หนีไฟ เด็ก ๆ คงไม่เชื่อ จะไม่ไปพ้นจากที่สนุกสนานนั้น เศรษฐีจึงออกอุบายบอกแก่เด็ก ๆ ว่า ได้ซื้อรถมาให้เล่นกันสามคัน  มีรถเทียมแพะ  เทียมกวาง  เทียมวัวขาว  ให้รีบออกมาดู เด็ก ๆ ดีใจพากันวิ่งออกมา เศรษฐีมิได้ให้รถทั้งสามแก่เด็ก ๆ แต่กลับให้รถเทียมวัวขาวที่พิเศษกว่า...นี่คือธรรมอุปมา   รถเทียมแพะ คือสาวกยาน (เซิงเอวิ๋นเฉิง)  รถเทียมกวาง คือปัจเจกพุทธยาน (เอวี๋ยนเจวี๋ยเฉิง)   รถเทียมวัวขาว คือโพธิสัตว์ยาน (ผูซ่าเฉิง) บ้านกำลังถูกไฟไหม้คือ สามโลกตกอยู่ในเพลิงผลาญ พระพุทธะจึงใช้กุศโลบายให้สาวก ปัจเจก โพธิสัตว์ ใช้วิธีการอันชอบด้วยอุบายมาฉุดนำสาธุชนให้พ้นจากเพลิงไฟ  พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ความหมายในพระสูตรนั้นชัดเจนกระจ่าง แต่ท่านเองต่างหากที่หลงทางหันหลังให้ ผู้บรรลุอยู่ในสามระดับยาน มิอาจร่วมกันคำนวน การปัญญาของพระพุทธะได้นั้น ก็ด้วยใช้มโนวิญญาณมาคำนวนการ"
พิจารณา
        ศึกษาพุทธธรรมหากใช้มโนวิญญาณ  มโนวิญญาณเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะธรรมารมณ์เกิดกับใจจึงคิดไปตามธรรมารมณ์ ก็คือด้วยใจนึกคิดนั้น แต่ปัญญาแห่งพุทธะ เป็นความรู้ที่อยู่เหนือการคาดคิด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        พระธรรมาจารย์โปรดอีกว่า "ปล่อยให้เขาไปร่วมกันคาดคิดคำนวนการกันเถิด ยิ่งคิดก็ยิ่งห่างไกล  อันที่จริงนั้น พุทธะโปรดแก่ (เพื่อ) สามัญชน มิใช่โปรดแก่ หลักธรรมนี้หากมีผู้ไม่ยอมเชื่อ ก็ปล่อยให้เขาถอนตัวออกไป ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่า ได้นั่งอยู่แล้วบนรถเทียมวัวขาว แต่ละไปจากรถเทียมวัวขาว อีกทั้งยังออกไปหารถสามคันภายนอกประตู
พิจารณา
        ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงสัทธรรมปุณฑริกสูตรอยู่ มีภิกษุห้าพันรูปถอนตัวไปจากที่ประชุม พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ถอนไปก็ดี"  ทั้งห้าพันรูปที่ถอนตัวไปนั้นไม่มีกิ่งใบอะไรไปแสดงหนทางแห่งการบรรลุธรรมได้อีกเลย บุคคลเหล่านี้มิรู้ตัวว่า กำลังนั่งอยู่บนรถเทียมวัวสีขาว นั่นก็คือมิรู้ว่า จิตญาณตนมีภาวะรู้แจ้งเห็นจริงของพุทธะ ซึ่งสมบูรณ์พร้อมเป็นอย่างนั้นเองอยู่แล้ว  เมื่อได้รับฟังสัจธรรมดังนี้ กลับไม่ยอมรับความเป็นจริงนี้  แต่กลับพอใจที่จะไปหารถเทียมแพะ เทียมกวาง เทียมวัวอื่น ๆ
        ยิ่งกว่านั้น ข้อความตามอักษรในพระสูตรก็ได้บอกแก่ท่านไว้ชัดเจนแล้วว่า "พุทธยานมีหนึ่งเดียว หามียานอื่นใดไม่ หากมีพุทธยานเป็นสองเป็นสาม จนถึงนับไม่ถ้วนยานอันชอบด้วยอุบาย มีเหตุปัจจัย มีถ้อนคำอุปมาต่าง ๆ นานา พุทธธรรมนั้น ก็ล้วนเป็นไปเพื่อเอกะพุทธยาน คือ  "พุทธยานหนึ่งเดียว"  เป็นสำคัญ
พิจารณา
        พุทธยาน  ยานแห่งพุทธะ  ยานเพื่อการขนถ่ายมวลเวไนยฯ ให้คืนสู่พุทธภูมิ หรืออีกนัยหนึ่งคือ พระธรรมคำสอนจากพระตถาคตเจ้าซึ่งทรงแสดงมาดีแล้วนั้น เป็นพุทธธรรมล้ำเลิศประเสริฐสุด เพื่อการฉุดนำเวไนยฯให้พ้นจากทะเลทุกข์ และบรรลุความเป็นพุทธะในที่สุดดุจเดิมที่เคยเป็นมา จึงไม่ว่าจะเป็นวิธีการ ด้วยกุศโลบายต่างกัน จะเป็นรูปแบบแจกแจงอรรถาธิบายขยายควมอย่างไร  ด้วยจุดหมายเพื่อการขนถ่ายเวไนยฯให้บรรลุพุทธะ ก็ล้วนเป็นพุทธยานเดียวกัน  พระธรรมาจารย์จึงโปรดว่า "ล้วนเป็นไปเพื่อพุทธยานหนึ่งเดียว"  เป็นสำคัญ  พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "เหตุใดท่านจึงไม่ตรึกคิดพิจารณาเล่า รถทั้งสามคันอันได้อุปมานั้นเป็นสมมุติ เป็นอดีตกาลที่ผ่านเลยไป แต่อีกหนึ่งคันรถ ด้วยความเป็นไปในปัจจุบันกาล (ขณะนี้) "
พิจารณา
        บันไดกี่ขั้น        ที่ต้องเหยียบย่าง   ถ่อร่างขึ้นไป
        ล้วนเป็นฐานให้   ถึงจุดหยุดหมาย    ในขั้นสูงสุด
        (อุปมาอุปมัย) เพียงเพื่อสอนให้ท่าน ละทิ้งสิ่งสมมุติ คืนสู่ความเป็นจริง  เมื่อคืนสู่ความเป็นจริงได้แล้ว (เข้าถึงความเป็นจริงแล้ว) แม้ "ความเป็นจริง" ก็ปราศจากชื่อว่า "ความเป็นจริง" อีกต่อไป ( สิ้นสุดการยึดหมายในนามรูปนั้น)
พิจารณา
        ภาษาพูดสื่อความระหว่างคน จะแยกสูงต่ำดำขาว แยกพุทธะกับเวไนยฯ แต่ทันทีที่เข้าถึงพุทธะแห่งตน พุทธะจะเห็นทุกคนเสมอภาค หามีพุทธะกับเวไนยฯไม่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        พึงรู้ว่าสิ่งล้ำค่่ามหาศาลบรรดามี (พุทธญาณแห่งตน) ล้วนเป็นของท่าน (อยู่กับตน) โดยท่านจะเป็นผู้รับประโยชน์ใช้การเอง โดยมิต้องคิดเลยว่า ฐานะตนคือพ่อ หรือโดยมิต้องคิดเลยว่าฐานะตนคือลูก อีกทั้งมิต้อง (กำหนด)คิดว่าจะต้องใช้มหาสมบัติล้ำค่าบรรดามีนั้น ภาวะเช่นนี้จึงจะได้ชื่อว่า ปฏิบัติ "สัทธรรมปุณฑริกสูตร"
พิจารณา
        มีเรื่องอุปมาไว้ในสัทธรรมปุณฑริกสูตรว่า "กาลครั้งหนึ่งนาน ยังมีเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกชายที่หายไปจากบ้านหลายปี บัดนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว เขาเร่ร่อนขอทานอยู่นอกบ้าน วันหนึ่งเขาได้ขอทานจนมาถึงบ้านพ่อ โดยไม่รู้ว่าพ่อจำต้องมาพักอยู่ ณ บ้านนี้เพื่อการตามหาลูก เพื่อให้ได้ลูกกลับคืนบ้านเดิมไป ลูกได้แต่เตร็ดเตร่ชะเง้อดูภายในกำแพงบ้านนั้น โชคดีที่พ่อจำลูกได้ จึงให้คนใช้ออกไปพาให้ลูกเข้ามารื้อฟื้นความทรงจำต่อกันในบ้าน แต่ลูกกลับตกใจวิ่งหนี เศรษฐีจึงใช้กุศโลบาย ส่งคนรับใช้สองนายไปตีสนิทชิดใกล้กับลูกชาย จากนั้น จึงค่อย ๆ โน้มนำใกล้ชิดกับทางบ้าน เศรษฐีให้งานแก่เขา เป็นตำแหน่งหน้าที่ต่ำสุด ภายหลังจึงค่อย ๆ ยกตำแหน่งให้สูงขึ้น สุดท้ายเขาได้เป็นผู้จัดการดูแลทรัพย์สินทั้งหมด  วันหนึ่งเมื่อเห็นเป็นโอกาสเหมาะ เศรษฐีจัดงานเลี้ยงเชิญญาติพี่น้องเพื่อนพ้องมางานสำคัญ ระหว่างงาน เศรษฐีประกาศแนะนำตัวลูกชายที่หลงหายไปหลายปีให้ทุกคนรู้จัก พร้อมทั้งประกาศยกทรัพย์สินจำนวนมหาศาลทั้งหมดให้แก่ลูกชายคนนี้ ขณะนั้น ฉับพลันทันที ลูกชายเศรษฐีที่เร่ร่อนขอทานกลับกลายเป็นเจ้าของมหาสมบัติล้ำค่าบรรดามีของพ่อไปทันที...
        ธรรมคติเรืองนี้ชี้ให้เห็นว่า มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์มหาศาล คือ "พระพุทธองค์" ลูกชาย คือ พุทธบุตรที่หลงหายไปจากมหาสมบัติมิอาจประมาณ (พุทธยานตน)  หากเศรษฐีมิใช้อุบายค่อยเป็นค่อยไป แต่เปิดเผยความจริงยกสมบัติให้ทันที ขอทานยากที่จะยอมทำใจให้รับได้ อาจมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหัวใจวาย
        สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระปรีชาญาณยอดยิ่ง ทรงทราบว่าขอทานทั้งหลายที่เร่ร่อนเตร็ดเตร่ขอทานไปตามบ้านต่าง ๆ คทอ เวไนยฯที่เที่ยวแสวงธรรมไป แต่มิได้ธรรมอันบริบูรณ์ จึงโปรดใช้กุศโลบายอันแยบยลให้ชาวเราค่อย ๆ เข้าถึงธรรม ในที่สุดเข้าถึงพุทธญาณคลังมหาสมบัติแห่งตน จากนั้นเป็นต้นไป จะใช้เท่าไหร่ก็ใช้ได้ไม่หมดสิ้น  ดั่งที่พระธรรมาจารย์โปรดว่า "เมื่อถึงสภาวะนั้น...โดยมิต้องคิดเลยว่าฐานะตนคือพ่อ (พระพุทธองค์) หรือ ฐานะตนคือลูก (พุทธบุตรสาวก) หากได้ครอบครองมหาสมบัติ (พุทธญาณ) ตนแล้ว ก็มิต้องคิดว่า มหาสมบัติจะยิ่งหย่อนกว่าเศรษฐีพ่ออย่างไร  มิต้องกำหนดคิดว่า จะต้องใช้สมบัตินั้นอย่างไร..." แต่มันจะเป็นไปเอง ถึงภาวะนั้นจิตจะอิ่มเอิบ ร่ำรวย เลิศล้นในตนเอง โดยมิต้องกำหนดรู้เป็นอย่างใด  ถึงภาวะนั้น จึงเป็นการปฏิบัติตามสัทธรรมปุณฑริกสูตรอย่างแท้จริง จะมิใช่ธรรมที่ต้องเคร่งเครียดอีกต่อไป  ในบทต้น ๆ ได้กล่าวถึงแม่ชีที่มีฉายาว่า "คลังมหาสมบัติมิประมาณ (อู๋จิ้นจั้ง) " อันหมายถึงขุมคลังปัญญาของพุทธญาณอันมิอาจประมาณ ขุมคลังปัญญาของพุทธญาณอันมิอาจประมาณในตัวตนของเรา ใช้ได้ไม่หมดสิ้น ไม่เหมือนใช้จ่ายทรัพย์สิน  การใช้นั้นก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ โดยมิต้องกำหนดหมาย ทรัพย์สินแห่งปัญญาก็จะไหลหลากพรั่งพรูออกมาเองอย่างมิรู้จบ ขณะนั้นเองจึงเรียกได้ว่า "สวดท่องปฏิบัติสัทธรรมปูณฑริกสูตร"  อันเป็นดอกบัวขาวที่รองรับมรรคผล เป็นภาวะนิพพานที่เราเข้าถึงขุมคลังปัญญาแห่งตนโดยแท้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
         สงฆ์ฝ่าต๋า  ได้รับโปรดเปิดทางปัญญาจากพระธรรมาจารย์  โลดเต้นยินดีสุดที่ประที่มาณ จึงถวายการสรรเสริญด้วยโศลกว่า

สวดท่องตาม        สามพันเล่ม        พระสูตรอ่าน
"เฉาซี" ท่าน        ขานตอบนำ        คำเดียวสิ้น
มิรู้หลัก                พ้นจากโลก        อันเคยชิน
ฤาหยุดลิ้น           สิ้นโอหัง             สั่งสมนาน

พิจารณา
        สงฆ์ฝ่าต๋ากล่าววาจาโอหังครั้งแรกที่กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์  เมื่อได้ฟังท่านที่มาจาก "เฉาซี" อรรถาธรรมเพียงคำเดียวเท่านั้น  ก็สิ้นทิฐิยึดหมายในฉับพลัน  ถ้าหากไม่เข้าใจพุทธวิสัยว่า เหตุใดอย่างไรจึงพ้นโลกฝ่าต๋าคงจะเริงโลดต่อไปอีกหลายกัปกัลป์

รถเทียมแพะ        เทียมกวางวัว        ล้วนอุปมา
เปรียบปราณว่า    เจริญธรรม            สามขั้นต่าง
ใครเลยรู้             คูหาเรือน              เป็นที่ตั้ง
ใจกลางนั่ง          องค์อร่าม              ธรรมราชา

พิจารณา
        รถเทียมแพะคือสาวกยาน  เทียมกวางคือปักเจกพุทธยาน  เทียมวััวคือโพธิสัตว์ยาน  ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นยานระดับไหน  ทุกยานล้วนร่วมอยู่บนหนทางพุทธะยานหนึ่งเดียวกันทั้งสิ้น  ประโยคหลังที่ว่า "...ใครเลยรู้..."  "ใคร" มิใช่หมายถึงผู้อื่น  แต่หมายถึงตนเองทุกตัวตน  แม้เราจะอยู่ในบ้านเรือน แต่หากรู้แจ้งพุทธยานตน สามัญชนก็คือพุทธะ  เป็นผู้ใหญ่ คือผู้เข้าใจถ่องแท้ ผู้อยู่ท่ามกลางความลุ่มลึกแยบยลแห่งพุทธธรรมอร่ามเรืองอันสูงส่ง

พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ต่อไปนี้ท่านจึงชื่อได้แล้วว่า พระสงฆ์ผู้สวดท่องคัมภีร์"  สงฆ์ฝ่าต๋าเข้าใจความนัยอันแยบยลของการสวดท่องพระคัมภีร์นับแต่นั้น และยังคงสวดท่องต่อไปมิได้ขาด  สงฆ์จื้อทง (ปัญญาปรุดปร่ง) เป็นชาวเมืองโซ่ว อำเภออันเฟิง เริ่มจากอ่าน "ลังกาวตารสูตร" มาพันกว่ารอบ แต่ยังไม่เข้าใจคำว่า "สามกายสี่ญาน" กราบขอพระธรรมาจารย์โปรดอธิบายความหมาย พระธรรมาจารย์โปรดอะิบายความหมาย "สามกายสี่ญาณ" ว่า "ธรรมกาย" บริสุทธิ์หมดจด คือจิตญาณของท่านเอง (อันมีอยู่ เป็นอยู่โดยแท้แต่เดิมที) "สัมโภคกาย" สมบูรณ์พร้อม คือปัญญาญาณของท่านเอง ร้อยพันล้าน "นิรมาณกาย" คือการกระทำของท่านเองหากพ้นจากจิตญาณตน อย่าได้กล่าวอ้างถึงสามกาย จะได้ชื่อว่า "มีกายแต่ไร้ญาณปัญญา"   แต่หากรู้แจ้งในสามกาย ว่ามิใช่ (ต่างกาย) ต่างมีจิตญาณ จะได้ชือว่า "จตุญาณโพธิ"

พิจารณา
       จิตญาณ คือ ตัวรู้  ตัวปัญญา  พ้นหากจากจิตญาณ จะเป็นผู้ไม่รู้ เท่ากับ  "มีกายแต่ไร้ญาณปัญญา" เมื่อเป็นผู้ไม่รู้ ก็จะมิอาจเข้าถึงกายธรรม  สัมโภคกายและนิรมาณกายแห่งตนได้  "รู้แจ้งในสามกาย ว่ามิใช่ (ต่างกาย) ต่างมีจิตญาณ" คือผู้เข้าถึงจิตญาณตน คือเข้าถึงจตุญาณโพธิ คือภาวะเบิกบานทั้งสี่ของญาณ อันเป็นญาณปัญญาหนึ่งเดียวกัน

จงฟังโศลกของอาตมา
จิตญาณตน       สมบูรณ์พร้อม        ด้วยสามกาย
แผ่ขยาย           ใจสมบูรณ์             พูนญาณสี่
มิห่างจาก          เหตุปัจจัย             ใต้ธรรมนี้
พ้นวิถี               คนทั่วไป               ได้พุทธภูมิ
        บัดนี้  อาตมาจะกล่าวแก่ท่านว่า จงเชื่อมั่นศรัทธา จะมิหลงตลอดไป อย่าเอาเยี่ยงอย่างผู้โลดเล่นใฝ่หาเอ่ยวาจาว่าโพธิกันทั้งวัน
พิจารณา
จงเชื่อมั่นในพุทธวจนะ พระพุทธองค์มิกล่าวเท็จเป็นแน่แท้ ผู้ใดรับวิถีธรรม จงเชื่อมั่นในพุทธวจนะ  อมตะพุทธจี้งกง มิกล่าวเท็จเป็นแน่แท้  ธรรมประกาศิตในพิธีที่พระองค์กล่าวว่า "ทุกคนล้วนได้กลับคืนหนทางบ้านเดิม (เบื้องบน)คุ้มครองเจ้าพ้นภัยไปหมื่นแปดร้อยปี (พ้นภัย พ้นหากจากเวียนว่าย (เก้อเก้อเจียเต๋อหวนเซียงเต้า  เป่าหนี่อู๋เอี้ยงอวั้นปาเหนียน) ในพระคัมภีร์ "เมตเตยยะสัมภวะสูตร" กล่าวไว้ว่า แม้หากได้สดับพระนาม "พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์" จากนั้นทันทีได้เกิดโสมนัสปิติเคารพยิ่ง เขาผู้นั้นขณะสิ้นอายุขัย จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตดินแดนแห่งพระองค์โดยมิต้องสงสัย ณ ฉับพลันทันใดในชั่วลัดนิ้วมือเดียว ด้วยจิตญาณอันโสมนัสปิตินั้น  วันที่เข้าพิธีถ่ายทอดวิถีธรรม ทุกคนล้วนได้สดับพระนามพระองค์ แต่มีคนแย้งว่า "วิถีธรรมอันบรรลุได้โดยตรงในชาตินี้ จากการเอ่ยพระนามอมิตาภะพุทธเจ้า จากการโสมนัสปิติเคารพยิ่งต่อพระศรีอริยเมตไตรย เป็นเรื่องเหลือเชื่อ  วิถีอนุตตรธรรมหรือวิถีจิตที่เบื้องบนปรกโปรดในยุคนี้ ยิ่งเหลือเชื่อไปใหญ่ แต่เหตุไฉนจึงเป็นไปได้จริง ๆ  มีสาธุชนมาขอกราบรับวิถีธรรมและร่วมเข้ารับการอบรมยังสถานธรรมที่อยู่ ณ เชิงเขาที่เป็นสวนดอกไม้ สวนพฤกษชาติ ต่างอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจว่า "ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสถานที่วิเศษสวยงามอย่างนี้ที่นี่ ! "  อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมจึงแสดงธรรมว่า "ไม่เคยคิดเพราะท่านไม่เคยมาไม่เคยรู้จัก วิถีธรรมที่ท่านได้รับและสงสัยก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงที่ท่านไม่เคยมาสัมผัส ไม่เคยมารู้จัก จึงแปลกใจ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   3 

                    บทที่ 6  :  กราบนิมนต์บุญวาระ

        สงฆ์จี้ทงกราบเรียนถามต่อว่า "ความหมายของสี่ญาณ ศิษย์จะทราบได้หรือไม่"   สี่ญาน หรือ จตุญาณ คือ
1. ญาณปัญญาใสดุจกระจกกลมบานใหญ่                   (ต้าเอวี๋ยนจิ้งจื้อ)
2. ญาณอัยส่องเห็นความเสมอภาคปราศจากเครื่องกั้น  (ผิงเติ่งซิ่งจื้อ)
3. ญาณอันอาจพิจารณาเห็นสิ่งทั้งปวงได้อย่างวิเศษ    (เมี่ยวกวนฉาจื้อ)
4. ญาณอันมีความสมบูรณ์พร้อมต่อการกระทำ              (เฉิงสั่วจั้วจื้อ)

        พระธรรมาจารย์โปรดตอบว่า "เมื่อเข้าถึง รู้เป็น สามกายในตนแล้ว ก็จะกระจ่างใจในสี่ญาณได้เอง ไฉนยังจะต้องถามอีก
พิจารณา
ทบทวนสามกาย
1. กายธรรม หรือธรรมกาย คือธาตุธรรมในกาย ซึ่งเป็นอยู่อย่างนั้นเองโดยธาตุแท้เดิมที
2. สัมโภคกาย  คือภาวะกายธรรมอันสมบูรณ์อยู่กับจิตเดิมแท้ของตน อันเรียกว่าปรีชาญาณ ปัญญาญาณ
3. นิรมานกาย  คือภาวะกายธรรมอันเปลี่ยนแปรกระทำการนับหมื่นแสนไปตามเหตุปัจจัย
        กายทั้งสามเป็นคุณสมบัติ เป็นภาวะที่ร่วมอยู่ในจิตเดิมแท้   ญาณทั้งสี่ก็เป็นคุณสมบัติ เป็นภาวะที่อยู่ร่วมในจิตเดิมแท้ด้วยเช่นกัน  พระธรรมาจารย์จึงได้โปรดว่า  "รู้สามกายก็จะกระจ่างต่อสี่ญาณได้เอง"  แม้ออกหากจากสามกาย อย่าได้ถามถึงสี่ญาณ หากเป็นเช่นนั้นไซร์ จะชื่อว่ามีญาณ แต่หามีกายไม่ และแม้มีญาณ ก็ยังนับเป็นผู้ไร้ญาณอยู่นั่นเอง

พิจารณา

         สามกายกับสี่ญาณ ไม่มีตัวตนให้ยึดหมาย เป็นภาวะ  เป็นคุณสมบัติของจิตเดิมแท้ที่ประกอบประสานเสริมส่งกันอยู่ภายใน ช่วยให้จิตเดิมแท้เข้าถึงพุทธภาวะในตนได้   โปรดด้วยโศลกอีกว่า 

ญาณคันฉ่องใหญ่   กลมใสโสภิต   คือจิตแท้นั่น
ไม่กั้นแบ่งชั้น       คือปัญญาจิต    ไม่ผิดเจ็บป่วย
ไม่ยึดสิ่งมี    วิเศษพินิจ       คือจิตอำนวย
ส่งเสริมเติมช่วย    ด้วยจิตรู้กาล     ดุจคันฉ่องกลม
ห้าแปดหกเจ็ด   เหตุผลหมุนเวียน   เปลี่ยนแลแปรไป
ชื่ออันขานไว้     มิได้เป็นสิ่ง       ตามจริงแน่แท้
แม้หากไม่ยึด        หมายต่อเยื่อใย      ในขณะแปร
อลวนยังแน่      สงบนิ่งใน   นาค (นา-คะ)   สมาธิ
 
พิจารณา

 "ห้า"  คือ  ลำดับต้นของหมวดวิญญาณทั้งหก ได้แก่  จักษุวิญญาณ  โสตวิญญาณ  ฆานะวิญญาณ  ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
(การรับรู้อารมณ์จากนัยน์ตา หู จมูก ลิ้น กาย
 "แปด"  คือ อาลยวิญญาณ (อารมณ์ความอาลัย)
 "หก"    คือ มโนวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางความคิด
 "เจ็ด"   คือ มนัสวิญญาณ ความรู้อารมณ์ทางจิตใจในส่วนลึก  (ขยายความ)
          ญาณทั้งห้า  แปด  หก  เจ็ด  จะแปรรูปเป็นปัญญา   "ปัญญา" เป็นความรู้ต่อสิ่งทั้งปวง  เป็นเครื่องรู้ต่อสิ่งทั้งปวง   เป็นเครื่องกระทำสิ่งทั้งปวง และ ปัญญาย่อมส่องสะท้อนเห็นสิ่งทั้งปวง   การแปรรูปของญาณ เป็นการแปรรูปโดยกล่าวหมาย  ดังประโยคทั้งสองของโศลกที่กล่าวว่า "ชื่ออันขานไว้มิได้เป็นสิ่งตามจริงแน่แท้"  การแปรรูปของญาณคือ การแปรเปรื้องโลกียารมณ์ ให้หมดจดเป็นอิสระ  ในขณะแปรเปลี้ยง แม้จะต้องเผชิญสภาวะแวดล้อมอลวน แต่จิตเดิมแท้จะยังคงแน่นิ่ง สงบอยู่ใน"นาคสมาธิ"นาค (นา-คะ)สมาธิหมายถึง  มหาสมาธิ สมาธิแน่วแน่เช่น พญานาคราชที่ดำดิ่งนิ่งลึกอยู่ในพิภพใต้บาดาล แท้จริงแล้ว ธาตุแท้ของพุทธญาณ หรือจิตเดิมแท้ไม่มีการแปรรูป เพียงแต่เมื่อยังเป็นสามัญชน ภาวะ "รู้" ของจิตเดิมแท้ เรียกว่า "วิญญาณ"  เมื่อรู้แจ้งแล้ว ภาวะรู้ของจิตเดิมแท้เรียกว่า "ปัญญา"  คำว่า แปรรูป  จึงเป็นเพียงเปรียบหมายให้เข้าใจในภาวะนั้นเท่านั้น มิใช่รูปเกิดการแปรไป  เพราะสามกายมิใช่รูป  สี่ญาณก็มิใช่รูป  ไม่มีรูป จึงไม่มีที่จะแปรรูปได้

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”