คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 3
บทที่ 6 : กราบนิมนต์บุญวาระ
สงฆ์จื้อทงรู้แจ้งฉับพลันต่อจิตญาณปัญญา จึงถวายโศลกความว่า
สามกายเดิมแท้ แน่ในกายฉัน
สี่ญาณแท้นั้น ใจอันกระจ่าง
กายญาณร่วมตน พ้นสิ่งกีดขวาง
ภาวะทุกอย่าง ตอบรับปรับแปร
มั่นหมายบำเพ็ญ เป็นจิตเคลื่อนไหว
ยึดถือมั่นไว้ มิใช่ตถตา
หลักวิเศษเหตุ เฉกเช่นท่านว่า
จนชั่วชีวาจะไม่ขอผิด ไม่ติดเปื้อนนาม
พิจารณา
โศลกท่อนที่หนึ่งหมายถึง สามกายสี่ญาณเป็นสิ่งที่มีพร้อมอยู่แล้ว อันนี้เป็นอยู่อย่างนั้นเอง จงรู้ไว้ แต่ไม่ต้องมั่นหมายจงใจค้นหาความมีอยู่ หากค้นหาก๋จะเคลื่อนจิต ผิดทางบำเพ็ญจริง แต่หากรู้อยู่ในความมีนั้นแล้วถือมั่นไว้ ก็จะมิใช่ความเป็นอยู่อย่างนั้นเองโดยธรรมชาติอีกเช่นกัน ฉะนั้นจึงพึงละจากความ "รู้มี" "รู้เป็น" เสีย เมื่อพระธรรมาจารย์ได้โปรดแจกแจงให้เข้าใจแล้ว ศิษย์ก็จะไม่บำเพ็ญผิด ไม่ติดนามรูปกายสามญาณสี่อีกต่อไป
สงฆ์จื้อฉัง เป็นชาวเมืองซิ่นโจว อำเภอกุ้ยซี มณฑลเจียงซี ออกบวชตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อเป้าหมายรู้แจ้งจิตญาณ วันหนึ่งได้เข้ามากราบพระธรมาจารย์ (มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง) พระธรรมาจารย์ถามว่า "ท่านมาแต่ใด ใคร่ถามสิ่งใด " สงฆ์จื้อฉังกราบเรียนถามว่า "พระเถระเจ้าต้าทง" บนบรรพตยอดขาว ที่เมืองหงโจวเมื่อไม่นานมานี้ ได้รับโปรดให้ความหมายแห่งกานเห็นจิต บรรลุพุทธะ แต่ยังกังขาอยู่มิรู้แจ้ง ใคร่กราบวอนมหาเถระเจ้าได้โปรดเมตตากรุณาชี้แจง"
พิจารณา
มหาเถระเจ้าเสินซิ่ว ผู้เป็นศิษย์พี่มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง มีธรรมฉายาว่า "ต้าทง" แต่จากการตรวจสอบพระประวัติแล้ว ไม่ปรากฏว่าท่านเคยจาริกสู่ "บรรพตยอดขาวที่เมืองหงโจว" ฉะนั้น ที่สงฆ์จื้อฉังกล่าวถึงนั้น จึงน่าจะเป็นมหาเถระรูปอื่นที่มีฉายาธรรมพ้องกันกับมห่เถระเจ้าเสินซิ่ว
พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ท่าน (ต้าทง) กล่าวคำอันใดหรือ ท่าน (สงฆ์จื้อฉัง) ลองยกตัวอย่างมาให้ดู" สงฆ์จื้อฉังกราบเรียนว่า "จื้อฉังไปอยู่ที่น่นประมาณสามเดือน ยังไม่ได้รับการอบรมชี้นำ คืนวันหนึ่งจึงเข้าไปในห้องของพระอาจารย์ต้าทงตามลำพัง กราบเรียนถามท่านว่า "อย่างไรจึงจะป็นจิตแท้ญาณแท้ของจื้อฉังศิษย์เอง" พระอาจารย์ต้าทงโปรดว่า " ท่านเห็นห้วงเวหาหรือไม่"ศิษย์ตอบว่า "เห็น" ท่านโปรดว่า "ท่านเห็นห้วงเวหา มีรูปร่างหน้าตาหรือไม่" ศิษย์ตอบว่า "ห้วงเวหาปราศจากรุปลักษณ์จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรได้" ท่านโปรดว่า "จิตญาณของศิษย์ ดุจดั่งห้วงเวหา ย้อนมองจิตญาณตน ปราศจากสิ่งหนึ่งใดให้เห็นได้ นั่นคือ "เห็นชอบ" แล้ว ปราศจากหนึ่งสิ่งใดให้รู้ได้ ชื่อว่า "รู้ทัน" แล้ว ปราศจากเขียวเหลือง ยาวสั้น เห็นแต่ต้นกำเนิดเดิมอันหมดจด เห็นแจ้งในความสว่างกลมใส เรียกได้ว่า "เห็นจิตญาณบรรลุพุทธะ" อีกได้ชื่อว่า ""โลกสุขาวดี" อีกได้ชื่อว่า "ความรู้ชอบ เห็นชอบ แห่งพุทธะ" ศิษย์จื้อฉังผู้ศึกษา แม้สดับคำสอนนี้ แต่มิอาจแก้ข้อข้องใจได้ จึงกราบขอมหาเถระเจ้าได้โปรดวิสัชนา" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ที่อาจารย์ท่านนั้นกล่าวมา ยังตกค้างด้วยทิฐิของการรู้เห็น จึงทำให้ท่าน (จื้อฉัง) ไม่สิ้นกังขาอาตมาจะแสดงด้วยโศลกบทหนึ่งแก่ท่านบัดนี้ว่า
"ไม่เห็น" หนึ่งธรรมใด ใจยังค้างความ "ไม่เห็น"
ประหนึ่งเมฆใหญ่เป็น เช่นกางกั้นสุริยา
"ไม่รู้" หนึ่งธรรมใด ใจยึดหมายว่างเวหา
ดุจดั่งท้องนภา เกิดสายฟ้าไม่แจ้งจริง
ทิฐิรู้เห็น เช่นสายฟ้า พ้นซึ่งผิดได้
ปัญญาแสงใส ในตนเรืองโรจน์ จะปรากฏมิวาย