collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)  (อ่าน 71964 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       สืบทอดคันธสาระ ขอขมากรรมสำนึก ( ฉวน เซียง ชั่น หุ่ย )  ครั้งนั้น มหาเถระเจ้าเห็นชาวเมืองกว่างโจว เสาโจว และที่อื่น ๆ มากมาย ทั้งข้าราชการและประชาชน มารวมตัวกันฟังธรรมในป่าเขา จึงได้ขึ้นธรรมาสน์กล่าวแก่สาธุชนทั้งหลายว่า " มาเถิดท่านผู้เจริญ เรื่องนี้จะต้องเริ่มต้นจากจิตญาณตน ในทุกขณะเวลาระลึกชำระใจตนด้วยตน บำเพ็ญจิตตนด้วยตน ปฏิบัติธรรมด้วยตน เห็นกายธรรมแห่งตน เห็นจิตพุทธะแห่งตน ฉุดช่วยชีวิตตนด้วยตน รักษาศีลด้วยตน จึงจะมิใช่เท็จ
      ความหมาย...พิจารณา...
      เรื่องนี้จะต้องเริ่มต้นจากจิตญาณตน ฟังธรรม ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ล้วนจะต้องเริ่มต้นจากจิตญาณตน จึงจะมิใช่เท็จ ความเท็จมีจุดกำเนิดจากใจ  ใจเท็จ วาจาเท็จ พฤติกรรมเท็จ เท็จต่อใคร ๆ เท็จต่อใจตนเอง แม้จะบำเพ็ญธรรมเพื่อจิตญาณตนให้พ้นจากอบายภูมิ ยังจะถือศีลเท็จกันเสียอีก อย่าลืมหนอ ความเท็จใช้ได้เฉพาะโลกมนุษย์นี้เท่านั้น
     พระธรรมาจารย์โปรดว่า บัดนี้ในเมื่อจากที่ไกลมาบรรจบกันที่นี่ ล้วนมีบุญสัมพันธ์ต่อกันมา วันนี้จงต่าง "คุกเข่าขวา" ลง จะเริ่มถ่ายทอด "คันธสาระองค์ห้า หรือ ธูปกายธรรมห้า ประการแห่งจิตญาณตน ( จื้อ ซิ่ง อู่ เฟิน ฝ่า เซิน เซียง ) ให้ก่อน จากนั้นจึงจะถ่ายทอด "นิรรูปขมากรรมสำนึก" ให้ ทุกคนต่างพร้อมกันคุกเข่าขวาลง
     ความหมาย...พิจารณา...
     คันธสาระ หรือ ธูปกายธรรมห้าประการแห่งจิตญาณตน  ( จื่อ ชิ่ง อู่ เซียง )  ธูปที่ใช้ไฟจุดบูชาพระเป็นธูปวัตถุ ไม่จริงจังยั่งยืนเพราะจะไหม้สลายหมดไป ความหมายของการจุดธูป เพื่อให้ควันหอมเป็นสัญลักษณ์แทนจิตเคารพศรัทธา แสดงจิตภาวะโปร่งเบาอันมิได้หน้กหนาด้วยกิเลสตัณหาของเรา อีกทั้งให้ควันธูปเป็นเช่นคุณธรรมบารมีปรกแผ่กระจายไปสู่โลกกว้าง
     คำว่า "คุกเข่าขวาลง" จะอธิบายต่อไปภายหลัง
     นิรรูปขอขมากรรม หมายถึง สำนึกขอขมาต่อความผิดบาปทั้ง ปัจจุบัน อดีต อนาคต อันจะได้หรือได้กระทำมา โดยมิต้องรู้เห็นการกระทำผิดนั้น ๆ เป็นรูปลักษณ์ เรื่องราว กิริยาอาการ จึงเรียกว่า "นิรรูป" คือปราศจากรู้เห็นในรูป
     พระธรรมาจารย์โปรดว่า ( ธูปกายธรรมห้าประการ ) 
      หนึ่งคือ ""ธูปศีล"" คือใจตนบริสุทธิ์ ปราศจากอกุศล ปราศจากริษยา ปราศจากชั่วร้าย ปราศจากโลภอยาก ปราศจากประทุษร้ายเภทภัย ได้ชื่อว่า ""ธูปศีล""
      สองคือ  ""ธูปสมาธิ"" แม้จะพบเห็น สัมผัสรับรู้สภาวะรูปนามความชั่วดี แต่จิตใจมิได้วุ่นวายตามไป เรียกว่า ""ธูปสมาธิ""
      สามคือ ""ธูปปัญญา"" จิตตนปราศจากขัดข้องมีปัญญาสอดส่องมองเห็นจิตญาณตน ไม่ก่อทำความผิดทั้งปวง แม้ทำความดีมากมาย ใจไม่ยึดหมายไว้ เคารพเบื้องสูง คำนึงถึงเบื้องล่าง เห็นใจสงสารกำพร้ายากเข็ญ เช่นนี้ได้ชื่อว่า ""ธูปปัญญา""
      สี่คือ ""ธูปวิมุตติหลุดพ้น"" คือใจตนปราศจากเครื่องร้อยรัด ปราศจากเกาะเกี่ยว ดิ้นรนปีนป่าย ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งกีดขวาง ได้ชื่อว่า ""ธูปวิมุตติหลุดพ้น""
      ห้าคือ ""ธูปวิมุตติญาณ"" ล่วงพ้นจากการอันรู้เห็น ในเมื่อใจตนปราศจากเครื่องร้อยรัด ดิ้นรน เกาะเกี่ยวปีนป่าย ในความดี ในความชั่ว แต่ก็จะดิ่งลงจมอยู่กับภาวะว่างอันครองวิเวกอยู่มิได้ (มิให้ดิ่งจมอยู่กับวิเวก) พึงเป็นพหูสูตเรียนรู้กว้าง ฟังมาก ทรงจำ คล่องปาก เจนใจ ขบคิดได้ เข้าถึงจิตใจตน เข้าถึงหลักพุทธธรรม สมานฉันท์โดยรวม ไม่แบ่งเขา ไม่แบ่งเรา จนจิตเข้าสู่โพธิภาวะ จิตเที่ยงแท้สัจธรรมไม่เปลี่ยนแปร เรียกว่า ""ธูปวิมุตติญาณ""
      ท่านผู้เจริญ ธูปหอมนี้จงต่างรมกรุ่นไว้ภายในจิตตน มิพึงต้องแสวงไปยังภายนอก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
       
           ความหมาย...พิจารณา...
           ""คุกเข่าขวา"" ในพิธีถ่ายทอดเบิกธรรม คนถวายผลไม้ตำแหน่งกลาง จะคุกเข่าขวา เข่าซ้ายตั้งฉากไว้ การคุกเ่ข่าถวายผลไม้ หรือการขอขมากรรมของชาวอินเดียก่อนเก่าก็เช่นกัน จีนเรียกการคุกเข่านี้ว่า หูกุ้ย แต่หากคุกเข่าเพื่อก้มกราบ ให้คุกเข่าทั้งสองข้างพร้อมกัน
         พระธรรมาจารย์เรียกให้ทุกคนในที่นั้น ""หูกุ้ย"" (คุกเข่าขวา)  เพราะจะทำพิธีขอขมากรรม
หนึ่ง  ธูปศีล       ห้ามตน เตือนตน  มิให้ละเมิดศีล มิให้ทำความผิดบาปทั้งปวง ทั้ง กาย วาจา ใจ ที่เหลือไว้คือ กุศลบุญ คุณธรรม
สอง  ธูปสมาธิ    ห้ามตน เตือนตน  กำราบจิต กำหนดใจ สำรวมไว้ มิให้ผกผัน มิให้ฟุ้งซ่านวุ่นวาย มิให้เสียหายไปตามเพลง
สาม  ธูปปัญญา   ห้ามตน เตือนตน ให้ชำระอาสวะกิเลส กำจัดอวิชชา ละกิเลสตัณหา ความเคยชิน แก้ไขจิตโลกีย์วิสัย มิให้เป็นอุปสรรคต่อการเจริญธรรม เป็นนัยเดียวกับธรรมะประกาศิต ขณะดำเนินพิธีถ่ายทอดเบิกธรรม ประโยคที่ว่า ""สองตาสะท้อนย้อนรังษี ส่องสลายมืดบอดแอบแฝง
สี่    ธูปวิมุตติหลุดพ้น  ไม่ยึดหมายในสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดในยึดหมาย ภาวะนี้เป็นนิรวาณ เป็นนิพพาน ว่างอย่างอิสระ
ห้า  ธูปวิมุตติญาณ  วิมุตติญาณทัสสนะ  จิตญาณหลุดพ้นจากการยึดหมายในสิ่งอันรู้เป็น เหล่านี้เป็นความว่างอย่างอิสระที่มิใช่ฝืนว่าง มิใช่เลื่อยลอยว่าง มิใช่ตัดใจว่าง มิใช่ว่างจม มิใช่ว่างลึก มิใช่ว่างหาย มิใช่ว่างเบื่อหน่าย มิใช่ว่างหนักหน่วง แต่เป็นว่างกว้าง ว่างเบิกบาน ว่างสว่างสดใส ในขณะได้ยินได้ฟัง ขณะทรงจำ ขณะท่องบ่น ขณะเจนใจ ขณะขบได้ด้วยทฤษฏีอันเป็นพหุสัจจะหลากหลาย
        ทั้งหมดเป็นไปด้วยปัญญาแท้จากความหมายของ ""คันธสาระองค์ห้า  หรือ  ธูปกายธรรมห้าประการ"" แห่งจิตญาณตน พึงบูชาศีล สมาธิ ปัญญา ภาวะวิมุตติ กับวิมุตติญาณ  ญาณภาวะว่างแห่งตน อย่าให้ต้องเสื่อมความเคารพศรัทธาลงได้
        จากนั้น พระธรรมาจารย์ได้โปรดต่อไปว่า บัดนี้อาตมาจะถ่ายทอด นิรรูปขมากรรมสำนึก แก่ท่านทั้งหลายให้ได้ลบล้างโทษบาปสามชาติชำระเวรกรรมจากโลภ โกรธ หลง ให้ได้กาย วาจา ใจ หมดจดกัน
       ความหมาย...พิจารณา...
       เหตุใดจึงกล่าวว่า นิรรูปขมากรรมสำนึก จะลบล้างโทษบาปสามชาติได้ ก็ด้วยเหตุที่มหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิงจะให้ขอขมากรรมสำนึกนั้นเป็น ""ขมากรรมสำนึกญาณสัจธรรม (หลี่ชั่น)  มิใช่ ""ขมากรรมสำนึกกรณี (ซื่อซั่น)  ขมากรรมสำนึกกรณี คือ ผิดด้วยเรื่องใด สารภาพต่อคู่กรณี ต่อเบื้องบนตามกรณีที่ผิด ส่วน ""ขมากรรมสำนึกญาณสัจธรรม"" นั้น กล่าวโดยตรงต่อจิตที่รู้แจ้งแห่งตน เข้าถึง ภาวะว่าง ของ อดีต ปัจจุบัน อนาคต เมื่อเข้าถึงภาวะว่างทั้งหมดแล้ว ยังจะเหลือโทษบาปอะไรติดอยู่ในชาติภพนั้น ๆ อีก ดังคำที่ว่า ""หลังรู้แจ้ง ทุกอย่างว่างเปล่าแม้สัพโลก
       ขมากรรมสำนึกญาณสัจธรรม จึงเป็นขมากรรมสำนึกภาวะลึก ว่าง กว้าง ไกล ที่ไม่เหลืออะไรค้างไว้ในจิตญาณเลย แต่ผู้ที่จะเข้าถึงการขมากรรมสำนึกเช่นนี้ได้ จะต้องเข้าถึงการรู้แจ้งจิตญาณตนเป็นเบื้องต้น จึงจะมิใช่เท็จ มิฉะนั้น ทั่วไปยังจะต้องใช้วิธี ขมากรรมสำนึกกรณี เป็นเรื่อง ๆ เป็นครั้ง ๆ เป็นประจำเสมอไป         
         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า  ท่านผู้เจริญ ต่างท่องตามพร้อมกัน ณ บัดนี้ว่า "ข้าพเจ้าศิษย์ทั้งหลาย ความรำลึกตรึกคิดแต่ก่อน ปัจจุบัน วันข้างหน้า ทุกขณะจิต จะมิแปดเปื้อนด้วยโง่หลง โทษบาปจากกรรมชั่วทั้งหมดอันเกิดแต่ความโง่หลงที่ผ่านมาเป็นต้น ขอขมากรรมสำนึกทั่วถ้วน ขอจงลบล้างมลายสิ้น ณ บัดใจ ไม่มีเกิดขึ้นอีกตลอดไป"
       ความหมาย...พิจารณา...
       ลบล้างมลายสิ้นตลอดไป ณ บัดใจ ไม่มีเกิดขึ้นอีกตลอดไป  เป็นข้อความหลักชัดเจนยิ่งของการขอขมากรรมสำนึก อดีต ปัจจุบัน มลายสิ้น ไม่มีเกิดขึ้นอีกต่อไป จึงเป็น "ขอขมากรรมสำนึกญาณสัจธรรม" ลบล้างโทษบาปสามชาติได้จริง ...ข้าพเจ้าศิษย์ทั้งหลาย ความรำลึกตรึกคิดแต่ก่อน ปัจจุบัน วันข้างหน้า ทุกขณะจิต จะไม่แปดเปื้อนด้วยระเริงหลง โทษบาปที่เกิดแต่ความระเริงหลงเป็นต้นที่ผ่านมา ขอขมากรรมสำนึกทั้งหมด ขอจงลบล้างมลายสิ้น ณ บัดใจ ไม่มีเกิดขึ้นอีกต่อไป  ...ข้าพเจ้าศิษย์ทั้งหลาย ความรำลึกตรึกคิดแต่ก่อน ปัจจุบัน วันข้างหน้า ทุกขณะจิต จะมิแปดเปื้อนด้วยอิจฉาริษยา โทษบาปที่เกิดแต่ความอิจฉาริษยาเป็นต้นที่ผ่านมาขอขมากรรมสำนึกทั้งหมด ขอจงลบล้างมลายสิ้น ณ บัดใจ ไม่มีเกิดขึ้นอีกตลอดไป
     ท่านผู้เจริญ ดังกล่าวมาคือ "นิรรูปขมากรรมสำนึก" อย่างไรเรียกว่า ขมากรรม อย่างไรเรียกว่า สำนึก  ขมากรรมคือ เสียใจ ขออภัยในความผิดบาปที่ผ่านมา กรรมชั่วแต่ก่อนทั้งโง่หลง ยโส โอ้อวด หลอกลวง อิจฉาริษยาระเริงหลง ผิดบาป เหล่านี้เป็นต้น ขอขมากรรมหมดสิ้นไม่มีเกิดขึ้นอีกตลอดไป เช่นนี้ได้ชื่อว่า "ขอขมากรรม"
    สำนึก คือ สำนึกเกรงความผิดที่จะเกิดขึ้นใหม่จากนี้เป็นต้นไป โทษผิดบาปทั้งปวงจากความอกตัญญู โง่หลง ยโส โอ้อวด หลอกลวง อิจฉา ริษยา ระเริงหลง เหล่านี้เป็นต้น บัดนี้ได้สำนึกรู้แจ้ง จะต้องกำจัดเด็ดขาดทั้งหมดโดยสิ้นตลอดไป ยิ่งกว่านั้นจะไม่กระทำอีกเลย ได้ชื่อว่า "สำนึก"จึงได้ชื่อว่า "ขมากรรมสำนึก"
     ความหมาย...พิจารณา...
     ขอขมากรรม กับ สำนึก จึงเป็นเรื่องคู่กัน เท่ากับ "ผิดแล้วจะไม่ผิดอีกเลย" ไม่ผิดอีกเลย เป็นอานุภาพของ "ขอขมากรรม" ผิดซ้ำซากต่อไปจะมีประโยชน์อันใดที่จะขอขมากรรม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ปุถุชนโง่หลง รู้จักแต่จะขอขมากรรมต่อโทษผิดบาปที่ผ่านมา มิรู้สำนึกเสียใจเกรงความผิดใหม่ในภายหลัง ด้วยเหตุมิรู้สำนึกเกรงความผิดใหม่ โทษผิดบาปที่ทำไว้ไม่ลบล้าง โทษผิดบาปภายหลังยังเกิดใหม่อีก เมื่อที่ทำไว้ไม่ลบล้าง ภายหลังยังเกิดใหม่อีก เช่นนี้จะเรียกว่า "ขอขมากรรมสำนึก"ได้อย่างไร
      ความหมาย...พิจารณา...
     พ่อแม่ลงโทษลูกที่ทำผิด ลูกร้องไห้สัญญาว่า "จะไม่ทำอีกแล้ว" พ่อแม่ใจอ่อน หยุดลงโทษ แต่หากลูกสัญญาแล้วยังทำผิดซ้ำย้ำผิด ครั้งนี้แม้ลูกจะสัญญาว่า "ไม่ทำอีกแล้ว" คำสัญญากลับจะทำให้พ่อแม่เดือดดาลหนักขึ้น
    เมื่อคนร้ายถูกตำรวจจับได้ข้อหาโจรกรรม ครั้งที่สอง ที่สาม เขาถูกซ้อมหนัก โทษฐานท้าทายไม่หลาบจำ ครั้งที่สี่คนร้ายถูกซ้อมปางตาย เขาร้องว่า"เข็ดแล้ว ! ผมจะไม่โจรกรรมท้องที่นี้อีกแล้ว" คนร้ายเข็ดจากที่นี่ ย้ายไปโจรกรรมเขตท้องที่สถานีตำรวจแห่งอื่น นี่คือสันดานอันยากที่จะ"ขอขมากรรสำนึก"ได้ พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "ท่านผู้เจริญ ในเมื่อได้ขอขมากรรมสำนึกแล้ว ก็จะให้ท่านผู้เจริญ "ตั้งมหาปณิธานสี่ (ปฏิญาณ) ต่างจะต้องตั้งใจฟังให้ดี จิตญาณเวไนยฯ แห่งตนมิอาจประมาณขอบข่าย ปณิธาน ปรารถนาจะฉุดนำ กิเลสในจิตญาณตนมิอาจประมาณ ปณิธานปรารถนาจะตัดขาด วิถีธรรมในจิตญาณตนมิจบสิ้น ปณิธานปรารถนาจะเรียนรู้อนุตตรพุทธธรรมจิตญาณตน ปณิธานปรารถนาจะบรรลุ
    ความหมาย...พิจารณา...
    การตั้งปณิธานปรารถนาสำคัญมากสำหรับผู้ปรารถนาจะบรรลุธรรมจริง มีปณิธานปรารถนาจึงจะมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายได้รับความสำเร็จลุล่วง จิตญาณตนก็คือจิตญาณทุกตัวตน ซึ่งรวมอยู่ในเหล่าเวไนยฯ จึงกล่าวว่า "เวไนยฯคือเรา เราคือเวไนยฯ" วิถีธรรมจิตญาณตนมิจบสิ้น ปณิธานปรารถนาจะเรียนรู้หมายถึงปัญญาที่ก่อเกิดความเข้าใจในธรรมยิ่งขึ้นไปไม่รู้จบนั้น เราพร้อมจะเข้าถึงให้เป็นจริง "อนุตตรพุทธธรรมแห่งจิตญาณตน ปณิธานปรารถนาจะบรรลุนั่นคือ ถึงที่สุดแห่งปัญญารู้แจ้งภาวะอนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรม เราพร้อมจะบรรลุจุดสุดยอดแห่งภาวะธรรมนั้น ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจะต้องฉุดนำตน ฉุดนำท่าน ฉุดนำมวลเวไนยฯ จะต้องบรรลุไปด้วยกัน จึงจะสมบูรณ์
    ท่านผู้เจริญ ทุกท่านมิใช่กล่าวเช่นนี้หรือว่า "เวไนยฯมิอาจประมาณ ปณิธานปรารถนาจะฉุดนำ" กล่าวเช่นนี้คือ มิใช่อาตมาฮุ่ยเหนิงฉุดนำ ทุกคนต่างจะต้องฉุดนำจิตญาณตน มิใช่ให้ใครมาฉุดนำ
    ความหมาย...พิจารณา...
    ปณิธานปรารถนาจะฉุดช่วยเวไนยฯ ผลตอบสนองก็คือฉุดช่วยตนเอง เช่น สละทรัพย์สงเคราะห์ ผลตอบสนองคือ ช่วยให้เวไนยฯเจ้าตัวโลภในตนหายไป สละเวลาแรงกายบรรยายธรรม ผลตอบสนองคือช่วยให้เวไนยฯเจ้าตัวโง่หลงในตนหายไป เหล่านี้เป็นต้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ท่านผู้เจริญ เวไนยฯในใจ คือ ที่กล่วว่า "ใจที่หลงผิด ใจที่ผกผันฟุ้งซ่านหลอกลวง ใจที่เป็นอกุศลเจตนา ใจที่อิจฉาริษยา ใจอำมหิตคิดร้าย จิตใจเหล่านี้ ล้วนเป็นจิตใจของเวไนยฯ ต่างจำเป็นจะต้องฉุดนำตนด้วยจิตญาณแห่งตนเอง จึงจะเรียกว่าฉุดนำอย่างแท้จริง
     ความหมาย...พิจารณา...
     ในบทต้นกล่าวถึงเหตุการณ์ขณะที่พระอาจารย์จะพายเรือส่งฮุ่ยเหนิงข้ามฟาก ฮุ่ยเหนิงขณะนั้นกล่าวแก่พระอาจารย์ว่า "ขณะหลงอยู่ อาจารย์ฉุดนำ รู้แจ้งพลัน ฉุดนำตนเอง ( หมีสือซือตู้  อู้เหลี่ยวจื้อตู้ ) ตรงกับธรรมประกาศิต ขณะถ่ายทอดวิถีธรรมประโยคที่ว่า "เรา ณ บัดนี้จะชี้วิถีหนึ่งแก่เจ้า" ( อวี๋จินจื๋อหนี่อี้เถียวลู่ ) การได้รับการชี้นำ ฉุดนำ ล้วนเป็นปัจจัยเพิ่มพูน นั่นคือ มีส่วนช่วยให้ แต่ส่วนที่เป็นจริงจะต้องเกิดจากตนเอง จึงมีธรรมประกาศิตประโยคต่อไปว่า"หากเจ้ามิอาจจบถ้วนปณิธาน ยากแก่การกลับบ้านเดิม" ( หนี่ยั่วเอวี้ยนปู้เหนิงเหลี่ยว  หนันป่าเซียงหวน ) ในคัมภีร์วัชรญาณสูตรบทที่สาม กล่าวถึง"จิตญาณตนฉุดนำตน" มีข้อความตอนหนึ่งว่า "แม้เกิดจากครรภ์ เกิดจากไข่ เกิดจากที่อับชื้น เกิดจากแปรสภาพ เกิดโดยมีรูปไร้รูป มีความคิด ไม่มีความคิด หรือมิใช่ทั้งมีและไม่มีความคิด "เรา" ล้วนจะให้เข้าสู่นิพพาน นิรวาณจากกองทุกข์ทั้งปวง
     ที่พระตถาคตเจ้าตรัสเช่นนี้ หมายความว่า พระตถาคตเจ้าจะทรงดลบันดาลให้ชีวิตทุกเหล่าดังกล่าวพ้นทุกข์ทั้งปวงกระนั้นหรือ หามิได้ ที่พระองค์ตรัสว่า "เรา" หมายถึงเราตัวจริงจิตญาณตนของทุกคนที่มีภาวะของชีวิตทุกเหล่าดังกล่าวแฝงเร้นอยู่ในใจ เรามีภาวะจิตเหมือนงู เหมือนแมลงเจาะไชเหมือนเสือดุร้าย เหมือนอะไรหลายอย่าง...เราต้องขจัดใจเหล่านั้นออกไปให้หมดสิ้น นำจิตตนกลับคืนสู่ภาวะนิพพานโดยพร้อมกันเถิด
    ที่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสนั้นเป็นปัจจัยเพิ่มพูนแก่เหล่าเวไนยฯ ด้วยการชี้ทางฉุดนำ ยุคนี้เบื้องบนประทานโอกาสพิเศษยิ่ง ให้ผู้ได้รับวิถีอนุตตรธรรมได้ทำหน้าที่ฉุดนำเหล่าเวไนยฯ ให้ได้โอกาสเจริญพรหมวิหารธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แก่ตน ให้ได้โอกาสเจริญทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี (ปลอดโปร่งใจ) เจริญปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เจริญเมตตา อุเบกขาบารมี ให้ได้ทำหน้าที่ฉุดนำเหล่าเวไนยฯที่แอบแฝงอยู่ในจิตตน ฉุดนำเวไนยฯภายนอกจะต้องด้วยจิตปรารถนาให้เขาได้ขึ้นสู่ฝั่งธรรมอันเกษม มิใช่วางตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เป็นผู้ครอบครองเวไนยฯได้อีกหนึ่งชีวิต หากคิดเช่นนี้ การได้ฉุดนำคนให้ได้รับวิถีธรรม จะมิเป็นการเพิ่มมวยเวไนยฯในจิตตนให้มากยิ่งขึ้นอีกหนึ่งชีวิตหรือ จึงมิให้ยึดหมายเหนียวแน่น แต่จงเป็นผู้ส่งเสริมดูแล เป็นผู้ให้ ""ปัจจัยเพิ่มพูน"" แก่เขาเหล่านั้น เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่า ""ฉุดนำเหล่าเวไนยฯ"" อย่างแท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า อย่างไรได้ชื่อว่า "จิตญาณตนฉุดนำตนเอง" นั่นคือจงใช้ความเห็นชอบคือสุคติดำริ ฉุดนำเหล่าเวไนยฯในใจตนที่เป็นผู้มีความเห็นผิดเป็นผู้มากด้วยกิเลสโง่หลง เมื่อมีความเห็นชอบแล้วจงนำเอาปัญญาจากจิตญาณบริสุทธิ์พิชิตเหล่าเวไนยฯที่โง่หลงผกผันฟุ้งซ่านในจิตตนเสียจึงเรียกว่า "จิตญาณตน ต่างฉุดนำตนเอง"
       ความหมาย...พิจารณา...
       พิชิตเหล่าเวไนยฯที่โง่หลง ผกผัน ฟุ้งซ่านในจิตตนได้หมดสิ้นแล้ว การฉุดช่วยเหล่าเวไนยฯภายนอกคือคนอื่น ๆ ก็จะเป็นได้โดยง่าย ด้วยรู้อุบาย รู้วิธี มีประสบการณ์จากตนเองมาก่อน แต่แม้จะกล่าวว่าฉุดช่วยเหล่าเวไนยฯภายนอก แท้จริงแล้วเป็นเพียงการเพิ่มพูนปัจจัย ให้เขามีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น เวไนยฯที่โง่หลงดื้อรั้น ทั้งของตนและของท่านมิใช่จะฉุดช่วยได้โดยง่ายเลย มิฉะนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าคงไม่จำแนกไว้หรอกว่า...
                                                              1.ไม่มีเหตุปัจจัยแห่งบุญมาก่อนไม่ฉุดช่วย
                                                              2.ไม่มีจิตศรัทธาความเชื่อไม่ฉุดช่วย
                                                              3.ไม่มีปณิธานเจริญธรรมไม่ฉุดช่วย
       แต่ที่ว่าไม่ฉุดช่วยนั้น แท้จริงคือฉุดช่วยจนถึงที่สุดแล้ว เมื่อสุดวิสัย สุดกำลัง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น แต่ขออย่าให้ต้องกัดฟันบอกแก่ตนเองว่า"จิตญาณตนฉุดนำตนเองยังไม่ได้เลย จะไปฉุดนำใครได้" ขณะพิธีถ่ายทอดวิถีธรรม มีธรรมประกาศิตอีกประโยคหนึ่งที่ว่า"นัยน์ตามองดูพุทธประทีป สงบใจรอจุดเบิกทวารวิเศษ ( เอี่ยนคั่นฝอเติง  จิ้งไต้เตี่ยนเสวียน)" 
       มองดูพุทธประทีป คือ มองดูจิตญาณสว่างแห่งตน เพื่อเตรียมการประหานกำจัดสิ่งแปลกปลอมในจิตบริสุทธิ์เดิมของตน ณ บัดนี้ 
      สงบใจรอจุดเบิกทวารวิเศษ คือ จงมีสมาธิตั้งใจแน่วแน่ ให้เข้าถึงจิตญาณตนในทวารวิเศษ  นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการฉุดนำตนเอง
      พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า  มิจฉามา สัมมาฉุดนำ   ลุ่มหลงมา สำนึกรู้ฉุดนำ   โง่เขลามา ปัญญาฉุดนำ   ชั่วร้ายมา ดีงามฉุดนำ   ฉุดนำดั่งนี้ได้ชื่อว่าฉุดนำแท้จริงอีกที่ว่า  กิเลสมิอาจประมาณ ปณิธานจะตัดขาด หมายถึงให้ใช้ปัญญาบริสุทธิ์ในจิตญาณตนขจัดความคิดฟุ้งซ่านขุ่นมัวเสียนั่นเอง อีกที่ว่าวิถีธรรมมิจบสิ้น ปณิธานปรารถนาจะเรียนรู้ จำต้องส่องเห็นจิตญาณตน ดำเนินสัมมาวิถีธรรมจึงได้ชื่อว่าเรียนรู้จริง
      ความหมาย...พิจารณา...
      ในอาณาจักรธรรม ท่านเฉียนเหยินได้โปรดส่งเสริม"สามมากสี่ดี" (ซันตัวซื่อห่าว) หนึ่งในสี่ดีคือ ศึกษา เรียนรู้ธรรมเรียนรู้ได้ดี (เสวียเต้าเสวียเต๋าห่าว)
ส่องเห็นจิตญาณตน ดำเนินสัมมาวิถี จึงจะเรียกว่าเรียนรู้ได้ดี  เราได้เรียน ได้รู้ข้อธรรมมากมาย แต่สิ่งที่ได้เรียนมายังคงเป็นสิ่งที่เรียน สิ่งที่ได้รู้มายังคงเป็นสิ่งที่เรียน สิ่งที่ได้รู้มายังคงเป็นสิ่งที่รู้ อยู่เท่านั้น เช่นขณะนี้ ที่เรากำลังศึกษาพระสูตรเล่มนี้ ความรู้สึกยังคงเป็นเพียงพระสูตรที่ศึกษา  หากเมื่อใดที่ส่องเห็นจิตญาณตน จะรู้สึกทันทีว่า พระสูตรเล่มนี้มิใช่เป็นเพียงพระสูตร แต่เป็นภาวะจิตของเรา เป็นพุทธธรรมจากใจของเรา จะอ่านพระสูตรคัมภีร์กี่เล่มก็เป็นเช่นนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปอีกว่า "อนุตตรพุทธธรรม ปณิธานปรารถนาจะบรรลุ" หากน้อมจิตลงได้เสมอ ดำเนินธรรมจริงแท้เที่ยงตรง พ้นจากลุ่มหลงอีกทั้งไม่ยึดหมายในความรู้ตื่น เกิดปัญญาอยู่เสมอ จริงเท็จกำจัดพ้นจากใจจะเห็นได้ในพุทธญาณตน ณ บัดนั้น พุทธธรรมสำเร็จได้ รำลึกปฏิบัติบำเพ็ญเป็นประจำ เป็นแรงธรรมปณิธาน
       ความหมาย...พิจารณา...
      เริ่มตั้งปณิธานดำเนินธรรมใหม่ ๆ อุปมาเช่นคนเดินไปบนทางเท้าคลุมเคลือที่ไม่คุ้นเคย จึงชิดขวาไว้เพราะทางซ้ายเป็นขวากหนามเดินจนคุ้นทางเดินตรงกลางดีกว่า เดินตรงกลางเห็นชัดไปไกล ไม่ชิดขวา ไม่ชิดซ้าย แม้มิได้ยึดหมายทางสายกลางก็เดินไปได้ ดั่งคำที่ว่า "ใจว่าง ทางตรง"
     ท่านผู้เจริญ บัดนี้ได้ตั้งมหาปณิธานสี่กันแล้ว ยิ่งจะเพิ่มการถ่ายทอด "ศีลไตรสรณะนิรรูป" แก่ท่านผู้เจริญต่อไป
     ความหมาย...พิจารณา...
     ไตรสรณะ ก็คือไตรรัตน์อันเป็นที่พึ่งที่กำหนดหมายการบำเพ็ญ ที่พึ่งในการบำเพ็ญของพุทธศาสนิกชนคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ที่พึ่งในการบำเพ็ญจิตญาณของชาวธรรมคือ ความเป็นผู้รู้ตื่น ความเป็นผู้เที่ยงธรรมตรงกลาง ความเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด (เจวี๋ย เจิ้ง จิ้ง) แม้จะดูอย่างกับต่างกันแต่แท้จริงเป็นจุดร่วมเดียวกัน ชาวพุทธพึ่งพาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  เพื่อการเจริญธรรมบรรลุพุทธะ
     ชาวธรรมพึ่งพาความรู้ตื่น เที่ยงธรรม หมดจด เพื่อบรรลุพุทธะ ซึ่งไม่ต่างกับการพึ่งพาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อการเจริญธรรมและอาจบรรลุพุทธะเช่นกัน จะต่างกันที่ชาวพุทธจะค่อยเป็นค่อยไป ส่วนชาวธรรมให้รู้ตื่นฉับพลัน
      ท่านผู้เจริญ เอาความ "รู้ตื่น" เป็นสรณะจะเป็น ""ผู้สูงส่งอันพร้อมด้วยวาสนาปัญญา"" เอาความ "เที่ยงธรรม" เป็นสรณะจะเป็น ""ผู้สูงส่งอันออกหากจากอยากใคร่ ""  เอาความ "บริสุทธิ์หมดจด" เป็นสรณะจะเป็น ""ผู้สูงส่งท่ามกลางมวลเวไนยฯ""  จากวันนี้ไปจงเคารพความรู้ตื่นเป็นครู ไม่พึ่งพามิจฉาศาสตร์ อาถรรพ์มารวิถีเป็นสำคัญ จงใช้ไตรรัตน์จิตญาณตน ประจักษ์จริงด้วยตนเองอยู่เสมอ
     ความหมาย...พิจารณา...
     ผู้เข้าใจไตรรัตน์รูปลักษณ์ คือเข้าใจขั้นพื้นฐานบำเพ็ญนานไปจะเข้าใจไตรรัตน์จิตญาณอันสูงส่งแห่งตน
     พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า  ขอเตือนท่านผู้เจริญ...จงพึ่งพาไตรรัตน์จิตญาณตน  พระพุทธคือรู้ตื่น  พระธรรมคือเที่ยงตรง  พระสงฆ์คือหมดจด
     ความหมาย...พิจารณา...
     ปรารถนารู้ตื่นพึงออกหากจากรูป พ้นรูปทั้งปวง ได้ชื่อว่าเหล่าพุทธะ (หลีอี๋เซี่ยเซี่ยง  เจ๋อหมิงจูฝอ) ในขณะกราบรับวิถีธรรม อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมใช้ธูปจุดนำจิตสว่างจากพุทธประทีปองค์กลาง กลับลงมาตรงกลางกระถางธูปสัญลักษณ์โลกธุลี ย้อนกลับขึ้นไปสู่พุทธประทีปองค์กลางข้างบน อันเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตสว่าง เป็นสัญลักษณ์ของอนุตตรภาวะ พร้อมกับกล่าวธรรมประกาศิตว่า ""นี่คือหนทางสว่าง จบสิ้นกลับคืนบ้านเดิม (เจ้อซื่อเจินหมิงลู่ เหลี่ยวเจี๋ยหวนกู้เซียง ) ""ไม่มีเกิดกับตาย"" (อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ) ปราศจากการเกิดดับของกิเลสวิสัย (ไม่เกิดอีกจึงไม่ต้องดับ) "หล่อหลอมแสงญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งวัน" (จงยื่อเลี่ยนเสินกวง) หมายถึง หล่อหลอมให้จิตญาณตนบรรลุความเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทุกขณะ ขอเพียงแต่มิใช่บัวใต้น้ำลึกจนเกินไป ในขณะนั้นไม่ว่าชนชาติ ศาสนาใด ทันทีที่เห็นพระพุทธะ ได้รับรู้พระธรรม ได้ใกล้ชิดพระสงฆ์ (ผู้ปฏิบัติดี) ความสงบสุข จะเกิดขึ้นในใจทันทีเรายิ่งจะได้รับความรู้สึกสุขสงบ หากจิตญาณตนจะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ในตนอย่างพร้อมมูล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปอีกว่า เอาจิตตนพึ่งพารู้ตื่นเป็นสรณะความหลงผิดมิจฉาอบายไม่เกิด ความอยากมีน้อย รู้ความพอเพียงออกห่างจากรูป รส กลิ่น เสียง ลาภสักการะ ก็คือผู้สูงส่งพร้อมด้วยวาสนาปัญญา  เอาจิตตนพึ่งพาเที่ยงธรรมเป็นสรณะทุกขณะจิตไม่เห็นผิด ด้วยจิตที่ไม่เห็นผิดนี้ จึงไม่ยึดหมายในเขา-เรา ไมายโส ไม่โลภอยาก จึงได้ชื่อว่าผู้สูงส่งอันได้พ้นจากความใคร่  เอาจิตตนพึ่งพาหมดจดเป็นสรณะจิตญาณตนล้วนไม่แปดเปื้อนสภาวะอารมณ์ตัณหาอยากใคร่ทั้งปวง จึงได้ชื่อว่าผู้สูงส่งท่ามกลางมวลเวไนย์  หากบำเพ็ญเช่นนี้คือจิตตนพึ่งพาไตรรัตน์จิตตนปุถุชนไม่เข้าใจ จากกลางวันถึงกลางคืนกล่าวติคปากว่า"รับศีลไตรสรณะ" หากถามว่าพุทธะสรณะนั้น พุทธะอยู่หนใด หากไม่เห็นพุทธะจะพึ่งพาอะไร พูดไปจึงเพ้อเจ้อ
     ท่านผู้เจริญ ต่างจงพิจารณาอย่าตั้งใจผิดไปในคัมภีร์กล่าวไว้ชัดเจนว่า ""พุทธะสรณะตน""  มิได้กล่าวว่า พุทธะสรณะเขาอื่น ไม่พึ่งพาพุทธะในตนไม่มีอื่นใดให้พึ่งพา ในเมื่อรู้ตื่นตนบัดนี้ ต่างจงพึ่งพาไตรรัตน์จิตตน ภายในปรับอารมณ์  ภายนอกเคารพใคร ๆ คือการพึ่งพาตนนั่นเอง
    ความหมาย...พิจารณา...
    ภายในปรับอารมณ์ ปรับอารมณ์ตนได้คือเริ่มกำหนดความเป็นพุทธะในตน รู้ความเป็นพุทธะในตนจนปราศจากข้อกังขาจะเห็นความเป็นพุทธะในใคร ๆ ยิ่งเคารพตนเองมากเท่าใด ก็ยิ่งจะเคารพใคร ๆ มากเท่านั้น เพราะทุกพุทธะเท่าเทียมกัน
   ท่านผู้เจริญ เมื่อพึ่งพาไตรรัตน์จิตตนถึงที่สุดแล้วต่างจงมุ่งมั่นตั้งใจ อาตมาจะกล่าว ""หนึ่งร่างสามกายพุทธญาณตน"" ให้พวกท่านเห็นสามกายเป็นเช่นนี้สำนึกรู้ในจิตญาณตน ทั้งหมดพูดตามอาตมา
 ""โดยรูปกายแห่งตน พึ่งพากายธรรมอันบริสุทธิ์แห่งพุทธะเป็นสรณะ
 ""โดยรูปกายแห่งตน พึ่งพานิรมาณกายร้อยพันล้านแห่งพุทธะเป็นสรณะ
 ""โดยรูปกายแห่งตน พึ่งพาสัมโภคกายบริบูรณ์แห้งพุทธะเป็นสรณะ
    ท่านผู้เจริญ "กายรูปคือเคหา" มิอาจกล่าวว่าพึ่งพาได้ แต่ที่หมายถึงคือ กายทั้งสามอันเป็นพุทธภาวะในจิตญาณตน ซึ่งชาวโลกล้วนมี
    ความหมาย...พิจารณา...
    กายรูปคือเคหา ร่างกายเหมือนบ้านที่ให้จิตญาณอาศัยอยู่ชั่วระยะ เพราะประกอบขึ้นด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ย่อมเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา จึงมิใช่สรณะที่พึ่งพาได้ ชาวโลกล้วนมี สาธุชนกราบไหว้บูชาพระ แต่ไม่กราบไหว้ตนเองอีกทั้งยังดูถูกตนเองด้วยไม่เชื่อนักว่าล้วนมีธาตุปห่งพุทธะ เราอาจบรรลุคืนสู่พุทธภาวะได้ในชาตินี้ เมื่อไม่เชื่อจึงไม่เคารพอุ้มชูพุทธะแห่งตน อีกทั้งปล่อยให้ตกต่ำเสียหาย คนเช่นนี้ยากจะฟื้นฟูพุทธะแท้ในตนได้เพราะไม่มั่นใจ

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”