คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔
บทที่ ๑๐
กำชับให้แพร่หลาย ฟู่จู่หลิวทง
ความเดิม
คริสตศักราช 502 ก่อนที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจะอุบัติมาหนึ่งร้อยยี่สิบหกปี พระคุณเจ้าไภษัชย์ปัญญปิฏก พระมหาเถระเจ้าจากอินเดีย ได้ดปรดจาริกอำเภอเฉาซี เมื่อมาถึงริมแม่น้ำเฉาซี ท่านได้ก้มลงดื่มน้ำในแม่น้ำ และแล้วก็ต้องอุทานด้วยความประหลาดใจว่า "เหตุไฉน น้ำในแม่น้ำเฉาซี จึงได้หอมหวานดุจเดียวกับน้ำในป่าพุทธคยาที่อินเดีย อีกทั้งทิวทัศน์ในปริมณฑลนี้ ก็ช่างสวยสงบร่มรื่น งดงามนัก" จนต้องเปล่งวาจาว่า "ช่างเหมือนป่าพุทธคยาเสียนี่กระไร ดั่งไม้กลับไปยังบ้านเมือง (อินเดีย) แท้เทียว" ท่านยังได้กล่าวแก่ชาวบ้านแถบนั้นว่า "จงสร้างวัดไว้ที่นี่สักวัดหนึ่งเถิด อีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปี ภายหน้า จะมีพระสัทธรรมรัตน์รูปหนึ่งมาแสดงพุทธธรรมที่นี่..... และเมื่อนั้น ผู้ที่สดับธรรมจากท่าน จะมากมายดั่งต้นไม้ในป่าเขานี้ทีเดียว" วัดที่สร้างขึ้นนั้น ท่านได้ตั้งชื่อให้ว่า " วัดป่ารัตนาราม เป่าหลินซื่อ"
ปีถัดมา วันแรมยี่สิบห้าค่ำเดือนเจ็ด อันเชิญพระสรีระร่างออกจากห้องฐานที่ประทับนั่ง สงฆ์ฟังเปี้ยน ศิษย์ของพระธรรมาจารย์ ใช้ดินหอมพอกเนื้อกายอริยะของพระธรรมาจารย์ไว้ เพื่อรักษาพระมังสาไว้ให้คงสภาพเดิม (บัดนี้ เกือบหนึ่งพันสามร้อยปีผ่านมายังคงสภาพเดิม และยังคงประดิษฐานอยู่ในสถูปมหาเจดีย์ในวัดป่ารัตนาราม) ศิษย์ทั้งหลาย นึกถึงคำพยากรณ์ของพระธรรมาจารย์ที่ว่า จะมีผู้มาตัดเอาพระเศียรไป จึงเอาแผ่นเหล็กบาง ๆ พันด้วยผ้าอาบยางนิ่ม ๆ แต่แข็งแรงมาก หุ้มพระศอของพระธรรมาจารย์ไว้ แล้วจึงอันเชิญเข้าประดิษฐานในสถูปต่อไป และทันใดนั้น ก็ปรากฏแสงสว่างขาวเป็นลำยาวพยวพุ่งจากภายในสถูปขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงนั้นคงอยู่เป็นเวลานานติดต่อกันสามวัน จึงค่อยจางหายไป ผู้ว่าราชการเมืองเฉาโจว ผู้ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์กับชาวเมือง กราบทูลรายงานถึงราชสำนัก มหาจักรพรรดิมีพระบรมราชโองการรับสั่งให้สร้างศิลาจารึกอริยประวัติของพระธรรมาจารย์ แสดงไว้เบื้องหน้ามหาเจดีย์นั้น
พระธรรมาจารย์อุบัติมาในปี ค.ศ. 638 ละสังขารปีค.ศ. 713 รวมเจริฐพระธรรมายุได้เจ็ดสิบหกปี
ได้รับสืบทอดบาตรกับจีวร ลำดับที่หกแห่งพงศาธรรมาจารย์ยุคหลัง ลำดับตามพงศาธรรมแห่งชมพูทวีปยุคต้น สืบต่อมาเป็นองค์ที่สามสิบสาม เมื่อพระธรรมายุได้ยี่สิบสี่ปี
ได้ปลงพระเกศาบรรพชา เมื่อพระธรรมายุได้สามสิบเก้าปี อรรถาพระธรรมนำพาเวไนยฯได้สามสิบเจ็ดปี
ธรรมทายาทหลักคาน ผู้สืบทอดธยานะปฏิสัมภิทา อันรอบรู้แตกฉาน รวมสี่สิบสามรูป
ศิษย์ผู้รู้แจ้งต่อวิถีธรรม ล่วงพ้นโลกีย์วิสัย มีมากมายมิอาจคณานับ
บาตรกับจีวรอันเป็นสัญญลักษณ์ ของพงศาธรรมาจารย์ที่สมเด็จพระโพธิธรรม โปรดมอบหมายถ่ายทอดสืบต่อมาทุกสมัย
จีวรผ้าโมรี บาตรแก้วผลึก พร้อมด้วยพระธรรมสาทิสลักษณ์จากฝีมือปั้นของสงฆ์ฟังเปี้ยน รวมทั้งเครื่องอัฏฐบริขารของพระธรรมาจารย์ ล้วนประดิษฐานและเก็บรักษาไว้ที่อาณาจักรธรรมวัดป่ารัตนารามตลอดไป โดยมีผู้เฝ้ามหาเจดีย์ พิทักษ์รักษาไว้ใกล้ชิด
ส่วน "ธรรมรัตนบัลลังก์สูตร" นั้น ให้เผยแผ่แพร่หลายต่อไป เพื่อให้วิถีธรรมสายธยานะปรากฏเป็นเครื่องจรรโลงพระรัตนตรัยให้เฟื่องฟูสถาวร เป็นกุศลประโยชน์ยิ่งแก่ปวงชนสืบไป
~ จบบทที่ ๑๐ ~
~ จบเล่มที่ 4 ~