คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง) ๔
บทที่ ๑๐
กำชับให้แพร่หลาย ฟู่จู่หลิวทง
ขณะนั้น สงฆ์ทุกรูปเมื่อได้สดับโศลกจบลง ต่างพร้อมกันก้มกราบสาธุการ ด้วยความเข้าใจเจตนาของพระธรรมาจารย์ ต่างซึ้งซาบประทับใจ บำเพ็ญธรรมตามนั้น มิกล้าที่จะวิตกวิจารณ์กันต่อไป เมื่อทราบว่าพระธรรมาจารย์จะอยู่ในโลกนี้อีกไม่นาน ฝ่าไห่เจ้าคณะสงฆ์ จึงกราบเรียนถามอีกว่า "เมื่อพระเถระเจ้าเข้าสู่ปรินิพพานไป ในภายหลัง จีวรพงศาธรรมกับธรรมจักษุครรภนิพพาน (วิถีจิต) จะโปรดมอบหมายแก่ผู้ใดต่อไป" พระธรรมาจารย์โปรดว่า "อาตมาอรรถาธรรมที่วัดมหาพรหมเป็นต้นมาจนถึงวันนี้ จงบันทึกคักลอกเผยแผ่ และให้ชื่อว่า "ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ฝ่าเป่าถันจิง" ท่านทั้งหลายจงปกป้องรักษาไว้ ฉุดนำเหล่าเวไนยฯ หากแสดงธรรมตามนัยนี้ ได้ชื่อว่าสัทธรรม วันนี้แสดงธรรมให้ไว้แก่พวกท่าน แต่ไม่มอบหมายจีวรพงศาธรรมนั้น ด้วยเหตุอันท่านทั้งหลายรากฐานแห่งศรัทธามั่นคงได้ที่ ไม่มีข้อสงสัยใดเป็นแน่แท้ สามารถรับภาระใหญ่ได้ แต่ทว่าสมเด็จพระโพธิธรรมพระบรรพจารย์เคยมอบโศลกโปรดไว้ว่า " จีวรพงศาธรรมไม่เคยถ่ายทอดต่อไป"
โศลกที่สมเด็จพระโพธิธรรมโปรดไว้มีดังนี้ว่า
อาตมา จาริกสู่ แดนนี้นา
เพื่อธรรมา ถ่ายทอดสู่ ผู้หลงใหล
หนึ่งดอกไม้ บานปริศนา ห้ากลีบใบ
ภายหน้าไป ได้ผลงาม ตามมาเอง
พิจารณา
สมเด็จพระโพธิธรรมพระบรรพจารย์ ปฐมธรรมาจารย์สายฌานธยานะ โปรดจาริกสู่ประเทศจีนปี พ.ศ.1063 เพื่อถ่ายทอดสัทธรรม ฉุดช่วยเวไนยฯ ให้รู้้ตื่นฉับพลันด้วยวิถีธรรมสู่จิต ในสมัยนั้น ผู้คนที่เข้าใจยังมีไม่มาก พระองค์จึงฝากธรรมพยากรณ์เป็นโศลกไว้ดังกล่าว คำว่า "หนึ่งดอกไม้บานปริศนาห้ากลีบใบ" หมายถึง ภายหน้า คือ นับจากพระองค์ ดอกไม้จะเบ่งบาน หมายถึงธรรมะจะเบ่งบานขยายดอกออกเป็นห้ากลีบ กลีบที่สองต่อจากพระองค์คือ พระธรรมาจารย์เสินกวง กลีบที่สาม คือ พระธรรมาจารย์เซิงชั่น กลีบที่สี่ คือ พระธรรมาจารย์เต้าซิ่น กลีบที่ห้า คือ พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น
พอมาถึงสมัยพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงลิ่วจู่สมัยที่หก ดอกทั้งห้ากลับใบได้ผลึกผล จึงมิพึงแคลงใจเลยว่า ในสมัยนี้ ธรรมะวิถีจิตรุ่งเรืองเฟื่องฟู ได้ผลงามตามมาเองเช่นนี้ โดยเฉพาะยุคสมัยนี้ต่อมา ธรรมะวิถีจิตถ่ายทอดสู่ครัวเรือน ซึ่่งใครจะคาดคิดได้ว่า บัดนี้ พุทธะวจนะของพระธรรมาจารย์ที่ว่า "ในบ้านเรือนครัวไฟ มีธรรมราชาผู้เป็นใหญ่ในท่ามกลาง" ได้ปรากฏเป็นจริงแล้ว "ธรรมราชาผู้เป็นใหญ่ในธ่ามกลาง" ก็คือจิตญาณอันทรงศักยภาพของชาวธรรมผู้รู้แจ้งจิตญาณตนทุกคน ที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้โปรดอรรถาธิบาย ชี้ให้เห็น "จิตธรรมราชาแห่งตน" มาตั้งแต่ต้นนั่นเอง
พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านจงต่างทำใจให้หมดจด (หยุดความคิดทั้งปวง) ฟังอาตมากล่าวธรรม จิตของท่านทั้งหลายล้วนเป็นพุทธะ (มีพุทธภาวะ) ยิ่งอย่าได้แคลงใจสงสัยเลย ภายนอกจิตญาณไม่มีแม้สักสิ่งเดียวอันอาจก่อเกิด ล้วนเป็นด้วยจิตแห่งตนเท่านั้นที่ก่อเกิดธรรมทั้งปวง พุทธธรรมจึงมีคำว่า "ใจเกิด ธรรมทั้งปวงเกิด" (จิตปรุงแต่งรู้เห็นเป็นจริง จึงก่อเกิดยึดหมายว่ามีสิ่งนั้น) "ใจดับ ธรรมทั้งปวงดับ) จิตไม่ปรุงแต่งยึดหมาย ทุกอย่างเงียบหายสงบนิ่ง)
พิจารณา
เมื่อจิตมิได้สอดส่ายวุ่นวายไป อีกทั้งสงบนิ่งอยู่ ณ ฐาน "ตัวแท้" ของจิต สงบนิ่งอยู่ด้วยภาวะปกติเคยชินเป็นเนืองนิจ เมื่อนั้น ภาวะนั้นคือ "ดับ" แม้หากปรารถนาทำความสำเร็จในพุทธปัญญา (มหาปัญญาบริสุทธิ์แห่งพุทธะ) พึงเข้าถึงต่อการบรรลุเห็น "เอกะลักษณ์สมาธิ" (สมาธิแน่วแน่สงบนิ่งด้วยธรรมลักษณะ เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่เปลี่ยนแปร) พึงเข้าถึงภาวะ "เอกะสังขารสมาธิ" (สมาธิแน่วแน่สงบนิ่งด้วยกายสังขาร เป็นหนึ่งเดียวทุกสภาวะอาการโดยไม่เปลี่ยนแปร) หากดำรงอยู่อย่างนั้นในทุกสภาวะโดยมิได้ยึดหมายต่อรูปลักษณ์ใด (ดำรงอยู่ท่ามกลางเอกะลักษณ์สมาธิที่แน่วแน่ เป็นอย่างนั้นโดยตัวเอง) มิได้ก่อเกิดรักชิง (ท่ามกลางเอกะลักษณ์สมาธิโดยตัวเองนั้น) ปราศจากใฝ่ได้ ใฝ่ละวาง (ท่ามกลางเอกะลักษณ์สมาธินั้น) มิได้ระลึกคุณโทษดีร้าย (ท่ามกลางเอกะลักษณ์สมาธิที่แน่วแน่อยู่อย่างนั้นโดยตัวเอง) สมาธิเช่นนั้นเป็นความสงบนิ่งเบาสบาย ผ่อนคลาย ราบเรียบ เวิ้งว่าง ได้ชื่อว่า "เอกะลักษณ์สมาธิ)