collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน  (อ่าน 35884 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  3

        หลังจากเมิ่งสีจื่อถึงแก่อนิจกรรม บุตรทั้งสองจึงปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบิดา
ในเวลนั้นเป็นวสันตฤดูที่อบอุ่น ขงจื่อกำลังถ่ายทอดคัมภีร์หลี่จี้ให้แก่ลูกศิษย์ทุกคนอย่างเกษมสำราญ เมิ่งซุนเหอจี้และหนังกงจิ้วสูได้เข้ามากราบฝากตัวของเป็นศิษย์ ขงจื่อรีบเข้าพยุงทั้งสองขึ้น และพูดอย่างรู้สึกลำบากใจว่า"ไยคุณชายทั้งสองจึงลงกราบเช่นนี้ด้วย?" เมิ่งซุนเหอจี้กล่าวว่า "พวกเรามาขอฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านอาจารย์" ตามระเบียบราชการในยุคซุนชิวได้บัญญัติไว้ว่า ขุนนางผู้ใหญ่มีสิทธิ์ยกตำแหน่งให้แก่ทายาทสืบต่อไป ดังนั้นหลังจากเมิ่งสีจื่อถึงแก่อนิจกรรม บุตรคนโตคือเมิ่งซุนเหอจี้จึงมีความชอบธรรมในการสืยตำแหน่งต่อจากเมิ่งสีจื่อ ปกติขงจื่อจะเกลียดชังพวกไร้ความรู้แล้วทำตัวชอบอวดฉลาดเป็นอย่างมาก แต่ครั้นได้เห็นเมิ่งซุนเหอจี้และหนันกงจิ้งสูลดตัวคุกเข่าเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ จึงรู้สึกว่ากระแสสังคมเริ่มเปลี่ยนไป ฉะนั้น จึงรับเขาทั้งสองไว้เป็นศิษย์ด้วยความดีใจ เมิ่งซุนเหอจี้กำลังไว้ทุกข์ให้แก่บิดา จึงถามขึ้นว่า "ขอเรียนถามท่านอาจารย์ มิทราบว่าอย่างไรจึงเรียกว่ากตัญญุตาธรรมฤา ?"  ขงจื่อตอบว่า "ยามบิดายังอยู่พึงสังเกตปณิธานของบิดา หลังจากบิดาได้ถึงแก่อาสัญ พึงตั้งใจศึกษาในภาระกิจที่ท่านเคยกระทำมาแต่ก่อน หากสามารถปฏิบัติตามแนวคิดและปฏิปทาอันดีงามของท่านได้โดยตลอด เช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นมรรคแห่งกตัญญูแล้วแล"  เมิ่งซุนเหอจี้ถามต่อไปอีกว่า "ถ้าเช่นนั้น ควรทำอย่างไรจึงจะถึงขั้นกตัญญุตาธรรมได้?" ขงจื่อตอบว่า "ไม่ขัดต่อจริยธรรม จึงจะถึงขั้นกตัญญุตาธรรมได้"  เมิ่งซุนเหอจี้กล่าวว่า"ศิษย์จะขอน้อมปฏิบัติโอวาทของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน" นับแต่ขงจื่อได้รับศิษย์สองคนนี้ ขงจื่อก็ยิ่งทวีความมั่นใจต่องานด้านการศึกษา และเพื่อให้ศิษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้สิ่งที่ดี ๆ แล้ว ท่านจึงยิ่งตั้งใจศึกษามากยิ่งขึ้นกว่าเก่า วันหนึ่ง ขงจื่อได้ยินกิตติศัพท์ความปราดเปรื่องของท่านเหลาจื่อ จึงมีความประสงค์จะไปขอความรู้จากเหลาจื่อ หนังจิ่งกงสูจึงขันอาสากราบทูลหลู่เจากงให้ทรงทราบ หลู่เจากงได้มีพระราชานุญาตในทันที ทั้งนี้ยังทรงมีพระบัญชาให้หนังกงจิ้งสูร่วมเดินทางไปกับขงจื่อ พร้อมทั้งยังพระราชทานรถม้าและสารถีให้แก่ขงจื่ออีกด้วย ขงจื่อและหนันกงจิ้งสูเริ่มออกเดินทางในตอนเช้าและพักแรมในยามค่ำทั้งสองต่างพูดคุยกันและชื่นชมทัศนียภาพริมทางอย่างเพลิดเพลิน ในช่วงพลบค่ำของวันหนึ่ง ทั้งหมดได้เดินทางมาถึงเชิงเขาสูงลูกหนึ่ง ได้เห็นพรานนกกำลังกางแหจับนกกระจอก ซึ่งล้วนเป็นลูกนกที่ยังสลัดขนอ่อนไม่หมดทั้งสิ้น จึงถามเหล่าพรานนกว่า "ทำไมพวกท่านจึงจับแต่นกเล็ก ๆ ล่ะ?" เหล่าพรานนกเห็นขงจื่อมีความสุภาพเรียบร้อย จึงตอบว่า "นกใหญ่มันเฉลียวฉลาดกว่า จับได้ยาก ส่วนตัวเล็กมันตะกละ จึงจับได้ง่ายกว่า" ขงจื่อสะท้านใจยิ่งนัก จึงกล่าวกับหนังกงจิ้งสูว่า "มีความฉลาดก็จะพ้นภัย หากตะกละก็จะวายชีวัน และทุกข์ภัยเหล่านี้ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเองทั้งสิ้น จากตัวอย่างนี้จึงเห็นได้ว่า คนเราไม่ควรโลภในผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยจนลืมซึ่งคุณธรรมอมตะนิรันดร คนเราหากไร้วิสัยทัศน์ที่ยาวไกล ก็จักต้องประสบภัยในกาลอันใกล้เป็นแน่ ขอให้เจ้าจดจำเอาไว้ให้มั่น"  ศิษย์อาจารย์ต่างขึ้นรถและเริ่มต้นหนทางอันวิบากต่อไป หลังจากได้เดินทางติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ทั้งหมดได้มาถึงเมืองลั้วอี้ ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของราชธานีแห่งราชวงศ์โจวบูรพา ดังนั้นเมืองลั้วอี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองบูรพา ขงจื่อมองเห็นตัวเมืองลั้วอี้แต่เพียงเลือนลาง จิตใจก็รู้สึกแช่มชื่นจนอยากรีบเข้าสู่ประตูเมืองในทันที เวลานั้นกำลังย่างสู่สนทยา ทินกรแห่งประจิมทิศสาดแสงแยงตาจนมิอาจเห็นภาพเมืองลั่วอี้ได้ถนัด ดังนั้นจึงได้แต่ใช้มือป้องตาชมมเมืองเก่าแก่ที่เฝ้าหามานาน "เห็นแล้ว สมแล้วที่เป็นกรุงเก่าแห่งราชวงศ์โจว เมืองโบราณแห่งนี้ช่างงดงามตระการตายิ่งนัก"  ม้านั้นดูเหมือนจะรู้ใจนาย แม้ไม่ต้องเร่งมันก็รีบกวดฝีเท้ามุ่งสู่ตัวเมืองไปอย่างรวดเร็ว ครั้นเหลาจื่อทราบว่าขงจื่อกำลังจะมาถึง จึงขึ้นรถม้าออกไปต้อนรับที่นอกเมือง พร้อมทั้งสั่งคนใช้รีบทำความสะอาดเรือนรับรองให้เรียบร้อย ส่วนขงจื่อครั้นทราบว่าเหลาจื่อออกมาต้อนรับถึงนอกเมือง ก็รีบลงจากรถม้าและจัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย จากนั้นนำของขวัญมอบให้เหลาจื่อ เป็นกำนัลอย่างนอบน้อม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  4

        เหลาจื่อ แซ่หลี นามว่า เอ่อ มีอีกนามว่าเหลาจัน  ชาวเมืองฉุ่ รับราชการเป็นขุนนางอารักษณ์ที่รับผิดชอบด้านหนังสือสะสมในราชสำนัก เป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวาง อีกทั้งยังมีคุณะรรมอันเป็นที่เลื่องลือ ตอนนั้นสิริอายุได้ ๗๐ กว่าปี ผมเเผ้าหนวดเคราล้วนขาวโพลน
หลังจากทั้งสองต่างโอภาปราศรัยกันพอประมาณ ทั้งคู่จึงขึ้นรถม้าสู่ในเมือง ครั้นเข้าสู่ตัวเมือง ขงจื่อถึงกับตลึงในความวิจิตรด้วยยังไม่เคยเห็นบ้านเมืองที่เจริญถึงเพียงนี้มาก่อน ผู้คนบนท้องถนนต่างมีมารยาทอ่อนโยนต่อกัน มีผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินจูงอูฐม้าสวนมาอย่างไม่รีบร้อน เสมือนหนึ่งว่าพวกเขากำลังเพลิดเพลินอยู่กับชีวิต ที่หน้าร้านข้าวสารมีพวกแบกหามกำลังเดินขวักไขว่ไปมา รถเกวียนเทียมม้าจอดเทียบริมทงแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างเป็นระเบียบ ที่ลานกว้างด้านหน้าเห็นฝูงชนกำลังห้อมล้อมปรบมือให้กับศีลปินสัญจรเป็นกลุ่ม ๆ  บ้างก็แสดงกระบี่กระบอง บ้างก็แสดงลูกดิ่งเวหา บ้างก็แสดงนาฏลีลา ส่วนร้านค้าแผงลอยก็จัดเรียงทั้งสองฟากฝั่งเป็นทิวแถว โดยบ้างก็ขายดอกไม้มาลัย บ้างก็ขายถ้วยโถโอชาม บ้างก็ขายศัตราอาวุธ บ้างก็ขายภาพวาดงานเขียน  บ้างก็ขายเกี้ยวเต๋ยวเกี้ยวนึ่ง ทั้งหมดดูดาษดื่นเจริญตายิ่ง  เหลาจื่อพักการสนทนาและส่งขงจื่อเข้าพักที่เรือนรับรอง  วันที่สอง ยามอรุณ ขงจื่อสั่งให้สารถีขับรถไปส่งที่บ้านของเหลาจื่อเพื่อคารวะทักทาย  เคหะสถานของเหลาจื่อห่างจากเรือนพักของขงจื่อไม่ไกลนัก  ดังนั้น เพียงไม่นานก็เดินทางมาถึงบ้านพักกของเหลาจื่อ  บ้านเหลาจื่อมิได้ปลูกสร้างอย่างโอ่อ่าหรูหรา  มิได้มิดชิดด้วยราวรั้วกำแพงกั้น  หากจะเปิดกว้างจนสามารถเห็นตัวบ้านได้อย่างง่ายดาย รอบบริเวณจะปลูกแซมด้วยพฤกษาชาตินานาพันธุ์จนดูร่มรื่นเจริญตา  ด้วยบ้านเป็นเรือนไม้ที่ฉลุลายอย่างเรียบง่าย  ขงจื่อเห็นเหลาจื่อเดินออกมาต้อนรับแต่ไกล จึงรีบเข้าไปคารวะว่า "ข้าน้อยข่งชิวพร้อมด้วยลูกศิษย์ขอคารวะท่านอาวุโส"  เหลาจื่อกล่าวว่า "ท่านทั้งสองรอนแรมมาแต่ไกล หวังว่าเมื่อคืนคงจะพักผ่อนได้เต็มที่นะ"   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  5

      ขงจื่อกล่าวว่า "ขงชิวรู้สึกชื่นชมท่านมานาน วันนี้จึงมาพร้อมด้วยลูกศิษย์จิ้งสู เพื่อขอคำชี้แนะจากท่านโดยเฉพาะ จึงขอให้ท่านอาวุโสได้โปรดกรุณา" เหลาจื่อกล่าวว่า "ในเมื่อท่านทั้งสองต่างให้เกียรติ ข้าจะต้องนำสิ่งที่รู้ทั้งหมดถ่ายทอดให้อย่างแน่นอน เพียงแต่ข้าพอมีความรู้ในด้านคุณธรรมและจริยธรรมเท่านั้น หากเป็นเรื่องของคีตะก็หาได้เจาะลึกมาก่อนไม่ เอาไว้จะแนะนำเพื่อนข้าที่ชื่อฉางหงให้รู้จัก เพราะบรรพชนของเขาได้รับราชการฝ่านดนตรีมาถึงสามชั่วอายุคน เชื่อว่าคงจะเป็นที่พอใจของท่านทั้งสองเป็นแน่"
ขงจื่อกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นก็จักดียิ่ง แต่ขอถามท่านอาวุโส ในปัจจับันผู้คนต่างกล่าวว่าจริยธรรมในสมัยนี้หาอาจสู้จริยธรรมในสมัยก่อนไม่ จึงขอให้ท่านได้โปรดชี้แนะจริยธรรมในสมัยก่อนให้ฟังด้วยเถิด" เหลาจื่อกล่าวว่า "ทั้งหมดนั้นเพราะราชสำนักเริ่มเสื่อมโทรม เหล่าเจ้าเมืองต่างพากันแก่งแย่งชิงดี จริยธรรมสมัยก่อนล้วนเป็นจารีตที่โจวกงได้ทรงบัญญัติไว้เมื่อสมัยที่ทรงถวายงานกษัตริย์โจวอู่หวังและโจวเฉิงหวัง ในสมัยที่ราชสำนักแห่งราชวงศ์โจวเรืองบารมี  จริยระเบียบล้วนพร้อมพรั่ง ทุก ๆ ฝ่ายต่างนำพาไม่ขัดฝืน แต่หลังจากราชวงศ์โจวตะวันออก* เป็นต้นมา ราชสำนักเริ่มระส่ำระสาย ความบ้าอำนาจของเหล่าขุนนางศักดินาเริ่มทวีความรุนแรง จริยธรรมแต่โบราณจึงถูกทำลายจนหมดสิ้น แต่โชคยังดีที่ในท้องพระโรง ศาลบูชาบรรพชนและตามวัดวาศาลเจ้ายังพอมีให้เห็นอยูบ้าง  โบราณกล่าวว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ในเมื่อท่านทั้งสองประสงค์เรียนรู้บูรพจริยา ข้าก็จะพาท่านทั้งสองไปชมศาลบูชาฟ้าดินและศาลบูชาบรรพชนต่าง ๆ พอท่านดูแล้วก็จะเข้าใจได้เอง" ครั้นพูดจบก็นำหน้าขงจื่อและหนังกงจิ้งสูเข้าสู่ศาลบูชาบรรพชน

หมายเหตุ  : ๑. แต่เดิมราชวงศ์โจว ได้ตั้งราชธานีไว้ที่ฝั่งตะวันตกของประเทศจีน แต่เนื่องจากราชสำนักเริ่มเสื่อมอำนาจ กอปรกับการถูกรุกรานจากเหล่าอริราชศัตรู ราชวงศ์โจวจึงต้องถอยร่นย้ายราชธานีไปที่ฝั่งตะวันออกของประเทศจีน ดังนั้นจึงเรียกว่า โจวตะวันออก

หมายเหตุ ๒. พระเจ้าเหยา (๒๓๕๓ - ๒๒๓๓ ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่ก่อตั้งราชวงศ์ถังสมัยโบราณ พระองค์ทรงส่งขุนนางสี่คนกระจายออกไปในดินแดนทั้งสี่ทิศเพื่อสำรวจงานด้านดาราศาสตร์  จากนั้นได้ทรงกำหนดวันวสันตวิษุวัต ราววันที่ ๒๐ มี.ค.) ศารทวัตษุวั ราววันที่ ๒๓ ธ.ต.) จากนั้นได้ทรงใช้วันที่ ๔ เหล่านี้มาคำนวณหาจำนวนวันในหนึ่งปีได้เท่ากับ๓๖๕.๒๕ วัน (มีความใกล้เคียงกับปฏิทินแบบสุริยคติในปัจจุบันมาก) ทั้งนี้ยังทรงมีผลงานด้านการปกครองแบบจัดสรรหน้าที่การบริหาร ทรงเลือกใช้ปราชญ์บัณฑิตทั่วแผ่นดินมาบริหาราชการ จึงทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข จนได้กลายเป็นสังคมอุดมคติที่ชนรุ่นหลังมักกล่าวขวัญถึงเสมอ แต่พระราชกรณียกิจที่ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างยิ่งก็คือ พระองค์ทรงเป็นกษัตรย์พระองค์แรกที่ทรงยกราชบัลลังก์ให้กับปราชญ์ผู้ทรงคุณธรรมที่สุดในแผ่นดิน  โดยทรงยกราชสมบัติให้กับซุ่น  และต่อมาพระเจ้าซุ่น (ราชวงศ์อวี๋) ได้ทรงยกให้อวี๋ (ราชวงศ์เซี่ย)  นับแต่อวี๋แล้วก็เป็นการสืบราชสมบัติแบบยกให้ทายาท ซึ่งก็ยังคงใช้อยู่นานกว่า ๔,๐๐๐ ปี จนถึงราชวงศ์ชิง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  6

     ท้องพระโรงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พระเจ้าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจวทรงประกาศราโชบายการปกครอง จึงเป็นสถานที่ที่ตกแต่งด้วยสีสันตระการตา หลังคามีลักษณะสูงโปร่งอย่างน่าเกรงขาม เสาเปขื่อคาล้วนสลักลงรักอย่างวิจิตร
ทั้งหมดต่างเดินเข้าสู่ภายใน ทุกอณูขุมขนต่างลุกซู่เสมือนว่ากำลังอยู่ในมหาพิธี ทุกคนต่างตกตะลึงกับความอลังการแห่งจิตกรรมฝาผนังรอบท้องพระโรง ทางด้านหน้าของท้องพระโรงได้วาดประดับด้วยพระบรมสาทิสลักาณ์แห่งบูรพากษัตริย์ นับจากฝั่งขวาขึ้นไปมี กษัตริย์ฝูซี  หนวี่วา  จู้หยง  เสินหนง  หวงตี้  จวนชวี่  ตี้คู่  ถังเหยา  *  อวี้ซุ่น*  ซึ่งทั้งหมดล้วนระบายเป็นภาพสีอันสดใส ในพระหัตถ์ของแต่ละพระองค์ล้วนถือพระราชกกุธภัณฑ์ประจำพระองค์ ส่วนพระราชอริยาบท ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะองค์อย่างสมจริง แต่กษัตริย์พระองค์อื่นล้วนมีพระวรกายเป็นมนุษย์ หากมีเพียงฝูซีและหนวีีวาเท่านั้นที่มีพระวรกายผิดแผกไป คือทรงมีหางมังกรติดอยู่ด้วย หนันกงจิ้งสู ชี้ไปที่หางมังกรแล้วถามว่า "ขอถามท่านอาจารย์เหตุใดฝูซีและหนวี่วาจึงมีหางมังกรล่ะ"  ขงจื่อเหลียวมองเหลาจื่อเพื่อขออนุญาตอธิบาย เหลาจื่อพยักหน้าเล้กน้อยเป็นการอนุญาต ขงจื่อกล่าวว่า "ตามที่ร่ำลือมาแต่อดีต ในสมัยที่ผีนแผ่นดินยังไม่มีมนุษย์ ฟ้าเบื้องบนทรงอนุญาตให้ฝูซีและหนวี่วาลงสู่แผ่นดินโลก ซึ่งพวกเขาต่างเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงมีรูปร่างที่แปลกออกไปคือมีพระวรกายและพระเศียรเป็นมนุษย์ หากแต่มีหางเป็นมังกร และด้วยการที่ทั้งสองพระองค์ได้ทรงร่วมอภิเษกสมรสกัน บุตรที่กำเนิดจึงมีลักษณะเป็นมนุษย์เช่นกาลปัจจุบัน ซึ่งก็คือบรรพบุรุษของเรานั่นเอง ดังนั้นจึงมีการกล่าวว่าเราคือทายาทแห่งมังกรไงล่ะ  ด้วยสำหรับพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ฝูซีก็คือการสอนผู้คนให้ถักแหจับปลา  เลี้ยงปศุสัตว์  อีกทั้งยังประดิษญ์คิดค้นปรัชญาปากั้ว* อีกด้วย และอีกคำบอกเล่าหนึ่งก็คือ หนวี่วาได้ทรงใช้ดินเหลืองปั้นรูปมนุษย์ จนในที่สุดได้เกิดมนุษย์นับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ในภายหลังฟ้าเกิดรั่ว จึงทำให้เกิดอุทกภัยไปทั่วทุกหัวระแหง อีกทั้งฝูงสัตว์ร้ายยังเข้าทำร้ายเข่นฆ่าประชาราษฏร์จำนวนมาก หนวี่วาจึงเสกหินห้าสีไปปะฟ้า ทั้งยังทรงหักกระดูกของปลาร้ายมาเป็นเสาค้ำนภาทั้งสี่ทิศ จึงทำให้แผ่นฟ้ารอดพ้นจากการพังทะลายในที่สุด จากนั้นพระองค์ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุข สังหารเหล่าสัตว์ร้าย จนทำให้ประชาราษฏร์ร่มเย็นเป็นสุขนับแต่นั้นเป็นต้นมา หนันกงจิ้งซูรู้สึกตะลึงงันด้วยเพราะได้ถูกสะกดด้วยมนตราแห่งเทพนิยายจนลืมหายใจ

หมายเหตุ  :  ๓  พระเจ้าซุ่น (๒๒๙๓ - ๒๑๘๔  ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมที่ก่อตั้งราชวงศ์อวี๋ในสมัยโบราณ เป็นกษัตริย์ที่ทรงมีพระราชบารมีและความกตัญญูเป็นเลิศ ดังนั้นจึงถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของ ๒๔ ยอดกตัญญูของจีน  มีคำกล่าวว่า การที่บุตรกตัญญูต่อบุพการีผู้เมตตายังไม่นับว่ายาก แต่หากบุตรยังสามารถกตัญญูต่อบุพการีผู้โหดร้ายด้วยความนบนอบได้ จึงนับว่าเป็นการกตัญญูโดยแท้ ในสมัยที่พระเจ้าซุ่นยังเป็นเพียงสามัญชน บิดาและมารดาเลี้ยงพร้อมด้วยน้องชายต่างมารดา ต่างเคยคบคิดวางแผนฆ่าท่านถึง ๓ ครั้ง แต่ท่านก็ยังคงกตัญญูเหมือนเดิมไม่บกพร่อง ดังนั้นคุณธรรมของท่านจึงเป็นทียอมรับของประชาและได้รับพระราชทานวโรกาสให้ทรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระเจ้าเหยา

หมายเหตุ  :  ๔  ปากั้ว (อัฏฐขันธ์) เป็นปรัชญาโบราณที่นำขีดหยิน (ขีดท่อน) และขีดหยาง (ขีดเต็ม) มาประกอบกันเป็นกลุ่ม ๘ กลุ่ม กลุ่มที่จัดเรียงกันเป็นรูปแปดเหลี่ยม เรียกว่าอัฏฐขันธ์ อันประกอบด้วย  นภาขันธ์  ธาราขันธ์  อสนีขันธ์  วายุขันธ์  วารีขันธ์  คีรีขันธ์  ธรณีขันธ์  ขันธ์ทั้ง ๘ ยังสามารถผสมเป็น ๖๔ ขันธ์  ซึ่งต่างแฝงรหัสยนัยที่สามารถไขปริศนาของโลกได้อย่างมหัศจรรย์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  7

     ณ กำแพงทิศตะวันตก มีภาพวาดอยู่สองภาพ
ต่างมีรูปร่างสันฐานอันอัปลักษณ์สุดประมาณ ขงจื่อเดินเข้าไปไกล้ จึงทราบว่าคือภาพว่าคืดภาพวาดของทรราชเซี่ยเจี๋ยและซังโจว้หวังนั่นเอง ครั้นหนันกงจิ้งสูได้เห็น ก็บันดาลโทสะจนหน้าตาแดงก่ำและส่ายหน้าเมินหนีไปอย่างไม่ไยดี ณ กำแพงทิศตะวันออกคือพระสาทิสลักษณ์ของโจวกง โจวกงในพระสาทิสลักษณ์ทรงมีพระวรกายที่สูงสง่า พระพักตร์เมตตา กำลังทรงโค้งคารวะตามพระราชพิธีอย่างนอบน้อมต่อพระยุวกษัตริย์โจวเฉิงหวังที่กำลังทรงสดับฏีกาบนพระบัลลังก์มังกร ครั้นขงจื่อได้เห็นวีรบุรุษที่ตนเคารพนับถือมานาน แม้นจะเป็นแค่เพียงภาพวาด แต่ก็มีความรู้สึกสนิทสนมจนทำให้ต้องยืนพินิจด้วยความเคารพอยู่เนิ่นนาน แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ภาพโจวกงบนฝาผนังมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับที่ตนฝันเห็นเป็นอย่างมาก ขงจื่อจึงยิ่งรู้สึกได้รับกำลังใจขึ้นมาอย่างล้นหลาม และยืนชมอย่างเคลิบเคลิ้มในพระบารมีจนเหลาจื่อต้องเดินมาเรียกจึงได้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ครั้นก้มมองดูด้านล่าง ได้เห็นเครื่องทองสัมฤทธิ์โบราณตั้งอยู่มากมาย โดยแต่ละชิ้นล้วนปราณีตและงดงามอย่างลงตัว ขงจื่อยืนชมอยู่พักใหญ่จึงเดินออกจากท้องพระโรงแล้วมุ่งหน้าไปที่ศาลบรรพชนต่อไป ศาลบรรพชนแห่งนี้เป็นศาลบรรพชนโฮ่วจี้ ซึ่งเป็นประถมบรรพบุรุษแห่งราชวงศ์โจวตามคำร่ำลือก็คือ  มารดาของโฮ่วจวี้นามว่าเจียงเอวี๋ยน ได้พบรอยเท้าขนาดใหญ่ที่นอกเมืองโดยบังเอิญ นางจึงลงไปย่ำรอยเท้านั้นด้วยความสนใจแต่จากนั้นไม่นาน นางกลับตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายโดยไม่ทราบสาเหตุ ชาวบ้านต่างเห็นเป็นสิ่งอัปมงคล จึงนำเด็กไปทิ้งที่ตรอกเล็กแห่งหนึ่ง แต่ม้าและโคต่างหลบหลีกมิได้ก่ออันตรายให้แก่ทารกแต่อย่างใด จึงนำไปทิ้งที่ป่า แต่เด็กก็ยังสามารถแคล้วคลาดจากภยันตรายของสัตว์ร้ายได้อีก จึงนำไปทิ้งที่คูน้ำที่เย็นยะเยือกจนกลายเป็นน้ำแข็ง พญาวิหคก็ยังมากางปีกให้ความอบอุ่นจนคลายหนาว เจียงเอวี่ยนรู้สึกอัศจรรย์ใจจึงได้นำทารกกลับมาเลี้ยงดูตามเดิม โฮ่วจี้ ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่มาแต่เด็ก ขณะที่เด็กอืน ๆ กำลังสนุกสนานกันตามประสาเด็ก โฮ่วจวี้กลับปลีกตัวไปปลูกพืชพันธุ์ธัญหารแต่ลำพัง และพืชพันธุ์ธัญญาหารเหล่านั้นก็ยังสามารถเจริญงอกงามอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากโฮ่วจี้เจริญวัยก็มีความตั้งใจบริหารที่นาอย่างแข็งขัน ผลผลิตจึงเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเท่า กิตติศัพย์ของท่านขจรไกลจนพระเจ้าเหยาได้ทรงทราบ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นเกษตราจารย์ที่รับผิดชอบอบรมวิธีการเพาะปลูกให้กับประชาชน ประชาชนต่างปรับปรุงวิธีการเพาะปลูกตามที่โฮ่วจี้สอน ผลผลิตของประเทศจึงอุดมสมบูรณ์อย่างไม่เคยปรากฏ ด้วยเหตุนี้พระเจ้าเหยาจึงทรงโปรดโฮ่วจี้เป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะในอดีตมักเกิดทุพภิกขภัยอยู่เสมอ แต่หลังจากประชาชนได้ปฏิบัติตามวิธีการเพาะปลูกของโฮ่วจี้แล้ว ปัญหาทั้งหมดล้วนคลี่คลายไปจนหมดสิ้น ดังนั้นโฮ่วจี้จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ไปกินเมืองที่เมืองอี๋ มีพระนามว่าโฮ่วจี้ (แต่เดิมมีนามว่าซี่ หมายความว่าทอดทิ้ง เพราะเหตุในอดีตได้ถูกทอดทิ้งนั่นเอง) ขงจื่อได้คำนับอภิวาทต่อพระสาทิสลักษณ์ของโฮ่วจี้ด้วยความเคารพจากนั้นจึงเดินผละจากศาลบรรพชนไปด้วยความอาลัย แต่ครั้นหันหลังไปก็พบว่าที่เชิงบันไดฝั่งขวาได้มีรูปมนุษย์ทองสัมฤทธิ์ตั้งอยู่รูปหนึ่ง ปากถูกปิดด้วยผ้าไหมสามผืน ขงจื่อเดินเข้าไปชมด้วยความสนใจพบว่าที่แผ่นหลังของหุ่นมนุษย์ทองคำได้ถูกสลักด้วยตัวอักษรบรรจงว่่า "โบราณกล่าวว่า การเจรจาควรตรึกตรอง อันว่าคนนั้นไซร์ จะต้องระวังนักแล มิกล่าวมาก เพราะยิ่งถูกกล่าวจะยิ่งปราชัย มิทำมากเพราะยิ่งทำจักยิ่งเป็นภัย พึงตระหนักในกองสุข ก็จักมิทุกข์ในการกระทำ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม  8

     ขงจื่อรู้สึกชื่นชมคติพจน์ข้อนี้
เป็นอย่างยิ่ง จึงถ่ายทอกให้หนันกงจิ้งสูว่า "วันนี้ได้อ่านคติพจน์จากมนุษย์ทองคำนี้แล้ว จึงรู้ว่าคนเราไม่ควรพูดมาก เพราะยิ่งพูดจักยิ่งปราชัย มิควรทำมาก เพราะยิ่งทำจักยิ่งมีภัย ในคัมภีร์ซือจิงได้กล่าวไว้อย่างดีว่า "จงตื่นตัวทุกเพลา ให้ดุจเผชิญเหวลึก ดุจย่ำน้ำแข็งบาง"เจ้าจะต้องจดจำโอวาทของบูรพชนเอาไว้ให้จงดี พึงรู้ว่าภัยทั้งมวลล้วนกำเนิดจากวาจา ฉะนั้น จะต้องระวังวาจา แลรอบคอบในการกระทำ" หลังจากได้เยี่ยมชมเป็นเวลานาน เหลาจื่อรู้สึกท้องหิวเป็นกำลัง จึงเชิญศิษย์อาจารย์ทั้งสองไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน หลังทานอิ่ม ขงจื่อได้ถามขึ้นว่า "ข้าน้อยได้มีความเข้าใจต่อระเบียบจริยธรรมแต่ละชนิดเพียงผิวเผิน หากแต่ยังไม่อาจแตกฉานทั้งหมดได้ จึงขอให้ท่านอาวุโสช่วยชี้แนะให้ด้วยเถิด" เหลาจื่อกล่าวว่า "ระบอบจริยธรรมมีความเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง ในสมัยกษัตริย์อวี่* เฉิงทัง โจวเหวินหวัง โจวอู่หวัง ตลอดจนโจวเฉิงหวังและโจวกง ล้วนทรงผลักดันระบบการปกครองโดยจริยธรรมทั้งสิ้น ดังนั้นจึงทำให้ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์อยู่เย็นเป็นสุข ทุกคนล้วนเปี่ยมด้วยความจงรักภักดี แต่ทรราชเซี่ยเจี๋ยและซังโจ้วหวังกลับทรงดำเนินในทางที่กลับกัน โดยทรงทำลายระบอบจริยธรรม ทำลายการปกครองแห่งเมตตาธรรม จนทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย ปวงชนประสบแต่ความเดือดร้อนทุกหัวระแหง จึงทำให้ประชาชนต่างพร้อมใจกันโค่นล้มพระราชอำนาจ ฉะนั้นเหล่าธีรราชแต่จำเนียรกาลมาล้วนต้องทรงดำรงการปกครองตามครรลองแห่งฟ้า เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชนให้สถาพรสืบไป" ขงจื่อกล่าวว่า "ความหมายของการบูชากลางแจ้งนั้นเป็นเช่นไร?" "การบูชาที่ประกอบพิธีที่กลางแจ้งนั้น แท้ก็คือการบูชาฟ้าและดิน โดยจะบูชาฟ้าเมื่อเหมันตฤดู และจะบูชาดินเมื่อคิมหันตฤดู" ขงจื่อถามขึ้นอีกว่า "แล้วขั้นตอนที่พระมหากษัตริย์ทรงบูชาฟ้าดินนั้นเป็นอย่างไร?" เหลาจื่อตอบ "ก่อนอื่นจะต้องประกอบพิธีอ่านบทอาราธนาในศาล บรรพชนเพื่อเลือกลัคนาฤกษ์ จากนั้นอ่านบทอาราธนาการทำนาย โดยเครื่องมือที่ใช้ในการทำนายมักจะใช้กระดองเต่าและหญ้าฉีเฉ่า ในวันที่ประกอบพิธีทำนาย พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่วังวารี ณ สนามยิงธนูเพื่อรับบทปฏิญาณตนจากผู้ประกอบพิธี หลังเสร็จสิ้นพิธี ก็จะนำบทปฏิญาณตนนี้ไปประกาศบนประตูเมือง นอกพระมหาราชวังเพื่อเป็นการประกาศแก่ข้าราชบริพารให้ทำการถือศีลกินเจ ครั้นถึงวันมหาพิธีบูชาฟ้า ผู้คนทั้งหมดจะต้องอยู่ในอาการสำรวม ด้วยมาตรว่าจะมีใครเสียชีวิตในวันนั้นญาติมิตรของผู้วายชนม์ก็ต้องห้ามแสดงอาการโศกเศร้าใด ๆ ทั้งสิ้น ในวันนั้นพระเจ้าแผ่นดินจะทรงฉลองพระองค์ชุดหนังยาว ทรงประทับพระราชรถที่ไม่มีการตกแต่ง และจะเสด็จภายใต้การนำขบวนของธงตราสัญญลักษณ์นาค พยัคฆ์ ตะวัน จันทรา ไปสู่พระแท่นบูชา จากนั้นจะทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดปักลายมังกรสำหรับจอมขัตติยะที่ใช้เฉพาะในพิธีบูชาฟ้า อีกทรงสวมพระมาลาทรงแบนที่ประดับด้วยม่านหยกที่ห้อยย้อยมาบังพระพักตร์ ๑๒ เส้น จากนั้นจะทรงถวายธูปและอ่านบทพิธีอัญเชิญ"

Tags: