ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 5
ข่งชิวเดินออกจากอารามหลวงด้วยอารมณ์สุนทรีย์ แต่เขายังไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ดังนั้นจึงเดินเรียบไปตามถนนใหญ่จนถึงสี่แยก ข่งชิวกวาดสายตาไปทางทิศอุดร เห็นแท่นดินที่ตั้งอยู่บนทุ่งกว้างที่ห่างไปไม่ไกลนัก บริเวณนั้นร่มรื่นด้วยทิวสน ทุ่งหญ้าปลิวพลิ้วไปตามกระแสคลื่นแห่งสายลม ข่งชิวสาวเท้าก้าวมุ่งไปที่แท่นดินแห่งนั้น จำได้ว่านี่คือแท่นคอยพ่อแห่งป๋อฉิน ป๋อฉิน คือพระโอรสองค์โตของโจวกง ทรงเป็นเจ้าเมืองพระองค์แรกของรัฐหลู่ ในตอนนั้น ข่งชิวได้เดินวนแท่นดินหนึ่งรอบ ได้เห็นแท่นดินแห่งนันถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และกอวัชพืช แม้แท่นดินนี้จะไม่เป็นที่สดุดตาของคนทั่วไป แต่มันก็ได้สกิดอารมณ์ความรู้สึกที่โหยหาบิดาของป๋อฉินในมโนภาพของข่งชิวขึ้น ป๋อฉินได้ทรงสร้างแท่นดินแห่งนี้เพื่อบ่ายหน้าไปทางวังหลวง ณ ทิศประจิมเพื่อเป็นการคลายความเจ็บปวดจากความคิดถึงที่ทรงมีต่อพระบิดา แต่บัดนี้ เจ้าเมืองหลู่ที่เป็นอนุชนของโจวกงกลับลืมบรพบุรุษไปเสียสิ้น ความเสื่อมโทรมแห่งแคว้นหลู่จึงสามารถเห็นได้จากจุดนี้อย่างมิอาจปิดบัง เพราะแม้แต่พิธีอย่างี้ยังเป็นที่ลืมเลือน แล้วจะมีคุณค่าอะไรหลงเหลืออยู่อีกเล่า? หลังจากกลับถึงบ้าน ข่งชิวยังมุ่งมั่นในปณิธาน และตั้งใจเล่าเรียน ๖ วิทยาอีกต่อไป อย่างไม่ย่อท้อ แต่นั้นไม่นาน เรื่องประหลาดขนาดที่ข่งชิวคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น คือหลังจากข่งชิวได้กลับจากพิธีบูชาโจวกงที่วัดหลวงแล้ว ชาวเมืองหลู่น้อยใหญ่ต่างร่ำลือเรื่องข่งชิวมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพียงแต่ครั้งนี้ได้วิจารย์ข่งชิวว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีความรู้คสามสามารถอะไรเลย วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวกำลังฝึกปรือวิชาธนูกับบรรดาสหายที่สนามเจวี๋ยเซี่ยงผู่ ได้มีมาณพคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของข่งชิวว่า "ข่งชิว ทุกคนต่างลือเรื่องอขงเจ้าใหญ่เลย" ข่งชิวถามด้วยความประหลาดใจว่า "ลือข้าว่าเป็นอย่างไรหรือ ?" "พวกเขาลือว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไปที่วัดหลวงแล้วยังต้องซักไซร์เรื่องพิธีบูชาอีก" "แล้วพวกเขายังว่าอย่างไรอีก" "พวกเขาว่าเจ้าไม่มีความรู้เลยสักนิด" ครั้นข่งชิวได้ฟังก็พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า "พวกเขาไม่เข้าใจข้าเลยสักนิด คนเราควรคล่องแคล่วใฝ่ศึกษา ไม่ละอายในการไต่ถามผู้ที่มีความรู้ดอยกว่า ข้าคิดว่าในโลกนี้มีคนที่มีความรู้อยู่มากมาย สามคนร่วมเดินทางก็ยังต้องมีสักคนหนึ่งที่สามารถเป็นครูของเราได้อย่างแน่นอน มาตรว่าเราจะมีอัจฉริยภาพจนมีใครเทียมได้ก็จริง แต่ก็ยังต้องมีความถ่อมตนในการศึกษาวิชา เพราะขอบเขตความรู้ไม่มีที่สิ้น การศึกษาจึงไม่ควรมีการหยุดด้วยเช่นกัน" มาณพคนนั้นฟังแล้วรู้สึกเห็นด้วย จึงได้พยักหน้ารับคำเป็นการใหญ่ ส่วนชายหนุ่มคนอื่น ๆ ก็ยังคงทยอยกันมาฟังคำปราศรัยของข่งชิวอย่างคับคั่งตามเดิม กาลนทีว่องไวดุจกระสวยแล่น เพียงไม่นานก็ผ่านไปอีก ๑ ปี ซึ่งตอนนั้น ข่งชิวมีอายุได้ ๑๙ ปีแล้วส่วนชื่อเสียงของท่านก้เริ่มโด่งดังจนสะพัดไปทั่วรัฐหลู่น้อยใหญ่ เช้าวันหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีออกขุนนางเช้า หลู่เจากง ได้มีรับสั่งให้เรียกจี้ผิงจื่อ สูซุนเฉิงจื่อ และเมิ่งสีจื่อเข้าเฝ้า ได้ตรัสขึ้นอย่างสราญพระทัยว่า "ท่านเสนาทั้งสาม ข้าได้ทราบมาว่า บุตรชายของสูเหลียงเฮ่อที่โจวอี้เป็นผู้ที่มีความรู้สูงส่ง มิทราบว่าจริงเท็จเป็นเช่นไร? " จี้ผิงจื่อ เป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยและชอบมองคนด้วยหางตา ส่วน สูซุนเฉิงจื่อ เป็นบุคคลที่มีรูปร่างปานกลาง หน้าตาแห้งตอบ เป็นคนที่ไม่ชอบแสดงความคิดเห็น แต่ในตอนนั้นทั้งสองคนต่างจ้องมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แววพระเนตรอันกระหายคำตอบของหลู่เจากง ยังคงสอดส่ายไปมาที่บุคคลทั้งสองอยู่มิขาด เมิ่งสีจื่อทูลขึ้นว่า "กระหม่อมก็เคยได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ยังมิได้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงมิกล้าด่วนสรุปเร็วไปนัก" หลู่เจากงตรัสว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลองเรียกตัวเข้าวังสักครา หากว่าเป็นจริงตามที่ล่ำลือก็จะได้มอบหมายตำแหน่งราชการให้" ครั้งจี้ผิงจื่อได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก ส่วนสูซุนเฉิงจื่อก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียเลย เมิ่งสีจื่อทูลว่า "ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระทัยเช่นนี้แล้ว กระหม่อมก็จะให้คนไปเบิกตัวข่งชิวมาเข้าเฝ้าในทันที"