collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน  (อ่าน 45561 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช  5

     ข่งชิวเดินออกจากอารามหลวงด้วยอารมณ์สุนทรีย์
แต่เขายังไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ดังนั้นจึงเดินเรียบไปตามถนนใหญ่จนถึงสี่แยก ข่งชิวกวาดสายตาไปทางทิศอุดร เห็นแท่นดินที่ตั้งอยู่บนทุ่งกว้างที่ห่างไปไม่ไกลนัก บริเวณนั้นร่มรื่นด้วยทิวสน ทุ่งหญ้าปลิวพลิ้วไปตามกระแสคลื่นแห่งสายลม ข่งชิวสาวเท้าก้าวมุ่งไปที่แท่นดินแห่งนั้น จำได้ว่านี่คือแท่นคอยพ่อแห่งป๋อฉิน ป๋อฉิน คือพระโอรสองค์โตของโจวกง ทรงเป็นเจ้าเมืองพระองค์แรกของรัฐหลู่ ในตอนนั้น ข่งชิวได้เดินวนแท่นดินหนึ่งรอบ  ได้เห็นแท่นดินแห่งนันถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และกอวัชพืช แม้แท่นดินนี้จะไม่เป็นที่สดุดตาของคนทั่วไป แต่มันก็ได้สกิดอารมณ์ความรู้สึกที่โหยหาบิดาของป๋อฉินในมโนภาพของข่งชิวขึ้น ป๋อฉินได้ทรงสร้างแท่นดินแห่งนี้เพื่อบ่ายหน้าไปทางวังหลวง ณ ทิศประจิมเพื่อเป็นการคลายความเจ็บปวดจากความคิดถึงที่ทรงมีต่อพระบิดา แต่บัดนี้ เจ้าเมืองหลู่ที่เป็นอนุชนของโจวกงกลับลืมบรพบุรุษไปเสียสิ้น ความเสื่อมโทรมแห่งแคว้นหลู่จึงสามารถเห็นได้จากจุดนี้อย่างมิอาจปิดบัง  เพราะแม้แต่พิธีอย่างี้ยังเป็นที่ลืมเลือน แล้วจะมีคุณค่าอะไรหลงเหลืออยู่อีกเล่า? หลังจากกลับถึงบ้าน ข่งชิวยังมุ่งมั่นในปณิธาน  และตั้งใจเล่าเรียน ๖ วิทยาอีกต่อไป อย่างไม่ย่อท้อ  แต่นั้นไม่นาน เรื่องประหลาดขนาดที่ข่งชิวคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น คือหลังจากข่งชิวได้กลับจากพิธีบูชาโจวกงที่วัดหลวงแล้ว ชาวเมืองหลู่น้อยใหญ่ต่างร่ำลือเรื่องข่งชิวมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพียงแต่ครั้งนี้ได้วิจารย์ข่งชิวว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีความรู้คสามสามารถอะไรเลย  วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวกำลังฝึกปรือวิชาธนูกับบรรดาสหายที่สนามเจวี๋ยเซี่ยงผู่ ได้มีมาณพคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของข่งชิวว่า "ข่งชิว ทุกคนต่างลือเรื่องอขงเจ้าใหญ่เลย"  ข่งชิวถามด้วยความประหลาดใจว่า "ลือข้าว่าเป็นอย่างไรหรือ ?"  "พวกเขาลือว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไปที่วัดหลวงแล้วยังต้องซักไซร์เรื่องพิธีบูชาอีก"  "แล้วพวกเขายังว่าอย่างไรอีก"  "พวกเขาว่าเจ้าไม่มีความรู้เลยสักนิด"  ครั้นข่งชิวได้ฟังก็พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า "พวกเขาไม่เข้าใจข้าเลยสักนิด คนเราควรคล่องแคล่วใฝ่ศึกษา ไม่ละอายในการไต่ถามผู้ที่มีความรู้ดอยกว่า ข้าคิดว่าในโลกนี้มีคนที่มีความรู้อยู่มากมาย สามคนร่วมเดินทางก็ยังต้องมีสักคนหนึ่งที่สามารถเป็นครูของเราได้อย่างแน่นอน มาตรว่าเราจะมีอัจฉริยภาพจนมีใครเทียมได้ก็จริง แต่ก็ยังต้องมีความถ่อมตนในการศึกษาวิชา เพราะขอบเขตความรู้ไม่มีที่สิ้น การศึกษาจึงไม่ควรมีการหยุดด้วยเช่นกัน"  มาณพคนนั้นฟังแล้วรู้สึกเห็นด้วย จึงได้พยักหน้ารับคำเป็นการใหญ่ ส่วนชายหนุ่มคนอื่น ๆ ก็ยังคงทยอยกันมาฟังคำปราศรัยของข่งชิวอย่างคับคั่งตามเดิม  กาลนทีว่องไวดุจกระสวยแล่น เพียงไม่นานก็ผ่านไปอีก ๑ ปี  ซึ่งตอนนั้น ข่งชิวมีอายุได้ ๑๙ ปีแล้วส่วนชื่อเสียงของท่านก้เริ่มโด่งดังจนสะพัดไปทั่วรัฐหลู่น้อยใหญ่  เช้าวันหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีออกขุนนางเช้า  หลู่เจากง ได้มีรับสั่งให้เรียกจี้ผิงจื่อ  สูซุนเฉิงจื่อ  และเมิ่งสีจื่อเข้าเฝ้า  ได้ตรัสขึ้นอย่างสราญพระทัยว่า "ท่านเสนาทั้งสาม ข้าได้ทราบมาว่า บุตรชายของสูเหลียงเฮ่อที่โจวอี้เป็นผู้ที่มีความรู้สูงส่ง มิทราบว่าจริงเท็จเป็นเช่นไร? " จี้ผิงจื่อ เป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยและชอบมองคนด้วยหางตา  ส่วน สูซุนเฉิงจื่อ เป็นบุคคลที่มีรูปร่างปานกลาง หน้าตาแห้งตอบ เป็นคนที่ไม่ชอบแสดงความคิดเห็น แต่ในตอนนั้นทั้งสองคนต่างจ้องมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แววพระเนตรอันกระหายคำตอบของหลู่เจากง ยังคงสอดส่ายไปมาที่บุคคลทั้งสองอยู่มิขาด  เมิ่งสีจื่อทูลขึ้นว่า "กระหม่อมก็เคยได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ยังมิได้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงมิกล้าด่วนสรุปเร็วไปนัก"  หลู่เจากงตรัสว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลองเรียกตัวเข้าวังสักครา หากว่าเป็นจริงตามที่ล่ำลือก็จะได้มอบหมายตำแหน่งราชการให้"  ครั้งจี้ผิงจื่อได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก  ส่วนสูซุนเฉิงจื่อก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียเลย  เมิ่งสีจื่อทูลว่า "ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระทัยเช่นนี้แล้ว กระหม่อมก็จะให้คนไปเบิกตัวข่งชิวมาเข้าเฝ้าในทันที"     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
        ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช   6 

     ในตอนนั้นข่งชิวกำลังท่องซือจิง
อยู่ในบ้าน ข่งชิวจะชอบซือจิงมากเป็นพิเศษ เพราะซือจิงเป็นบทเพลงพื้นบ้านที่งามพร้อมด้วยอักขระและอรรถรสอันสุนทรีย์ ขณะที่เพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ความคิด ทันใดได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉีกวนซื่อจึงรีบไปเปิดประตู ครั้นเห็นเป็นทูตหลวงมือไม้ก็สั่นเทาจนทำอะไรไม่ถูก ข่งชิวรีบแต่งอาภรณ์และรับรองทูตหลวงเข้าในบ้าน  ทูตมิได้อ้อมค้อมมากพิธี ได้กล่าวถึงจุดประสงค์การมาอย่างตรงไปตรงมาว่า "ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านรีบเข้าวังร่วมปรึกษาราชการโดยด่วน"  ครั้งข่งชิวได้ฟังก็รู้สึกปิติยินดียิ่ง จึงได้ตามทูตหลวงเข้าวังโดยมิทันได้บอกกล่าวให้มารดาและภรรยาทราบ วังหลวงเมืองหลู่ ดูโอ่อ่าอลังการ ประดับกระบวนด้วยศิลปะโบราณดูงามตา ทั้งปริมณฑลมีอาคารสูงต่ำที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน แม้นข่งชิวจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้าสู่ตำหนักรโหฐานส่วนพระองค์  ข่งชิวจึงอดที่จะใจเต้นระทึกอยู่ตลอดเวลาเสียมิได้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินตามทูตหลวงอยู่ห่าง ๆ ครั้นถึงเบื้องพระพักตร์ก็รีบคุกเข่าถวายพระพร  พระพักตร์ของหลู่เจากงเต็มไปด้วยความปิติยินดี ทรงอนุญาตให้ข่งชิวนั่งสนทนาได้  ข่งชิวกลั้นลมหายใจอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกราบทูลว่า "ขอบพระทัยฝ่าบาท" จากนั้นจึงพับแขนเสื้อและเดินสู่ที่นั่งชั้นสูงที่ตั้งอยู่ด้านข้างพระที่นั่ง หลู่เจากง ตรัสว่า " ข่งชิว ข้าได้ทราบมาว่าท่านมีความรู้ความสามารถในศิลปวิทยาทุกแขนง ข้าจึงอยากฟังทัศนะการปกครองจากท่านสักหน่อย"  ข่งชิวลุกขึ้นจากที่นั่ง และคุกเข่าลงกราบทูลว่า "กระหม่อมเป็นเพียงปุถุชนคนสามัญ จึงมิกล้าแสดงถ้อยความเห็นอันต้อยต่ำพ่ะย่ะค่ะ"  หลู่เจากงตรัสว่า "ลุกขึ้นก่อน"  ข่งชิวเพ็ดทูลว่า "ขอบพระทัยฝ่าบาท"  หลู่เจากงตรัสถามว่า แก่นการปกครองแห่ง ๓ กษัตริย์  ๕ราชันคืออะไร ?" ข่งชิวทูลว่า "ความเสมอภาพเพื่อมวลประชา"  "ผลงานหลักของท่านโจวกงคืออะไร"  "กำหนดแบบแผนจริยธรรมและคีตศาสตร์"  "ตามสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เมืองฉีเข้มแข็งอุกอาจ เมืองหลู่อ่อนล้าโรยแรง ข้ามีประสงค์จะกอบกู้ความเข้มแข็งให้เมืองหลู่เหนือเมืองฉี  แต่ควรใช้วิธีเช่นใดดี"  ข่งชิวก้มหน้าใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงทูลตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "ตามความเห็นของกระหม่อมนั้น หากเมืองหลู่ประสงค์จะเข้มแข็งขึ้นมาควรเริ่มจากการฟื้นฟูธรรมครรลองแห่งราชวงศ์โจว ดำเนินการปกครองด้วยเมตตาธรรม ใส่ใจไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน นำพาเหล่าพสกนิกรด้วยคุณธรรมความดีและรณรงค์ให้ทั้งหมดอยู่ในกรอบแห่งจริยธรรมเป็นเบื้องต้น โดยเฉพาะเหล่าขุนนางราชบุรุษทั้งปวงจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นแบบอย่าง  ด้วยฉะนี้ หากมีคำสั่งทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม หากมีข้อห้ามทุกคนก็จะต้องงดเว้น และการที่จะทำเช่นนี้ได้ ก็ควรรู้จักเลือกใช้คนดีเป็นสำคัญ  แต่งตั้งเหล่าธีระที่ถูกหลงลืมขึ้นดำรงตำแหน่ง ฉะนี้ก็จะทำให้บุคลากรในราชสำนักกอปรด้วยคุณธรรมความสามารถ ฉะนี้ก็มิไยต้องกังวลว่าเมืองหลูจะด้อยกว่าเมืองฉีอีก?"  ครั้นหลู่เจากงได้ทรงสดับก็ปิติยินดียิ่ง จึงตรัสชมขึ้นว่า "ท่านฟูจื่อเป็นอริยชนโดยแท้ มิทราบว่าท่านฟูจื่อมีประสงค์จะอยู่รับราชการเพื่อเสนอความเห็นต่อข้าสืบไปหรือไม่?" นี่มิใช่เป็นโอกาสงามที่จะประกาสศักดาและอุดมการณ์ของตนหรอกหรือ? เพียงแต่มันมาอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้ข่งชิวรู้สึกตะลึงจนตั้งตัวไม่ทัน

หมายเหตุ   :  ซือจิง เป็นหนังสือโบราณที่รวบรวมกลอนและบทเพลงที่เก่าแก่ที่สุดของจีน มีทั้งหมด ๓๐๕ บท รวบรวมโดยขงจื่อ  แต่เดิมมีชื่อว่า  ซือ  (กลอน)  อย่างเดียว แต่เนื่องจากสำนักปราชญ์ (หมายถึงสำนักขงจื่อ)  ยึดถือเป็นคัมภีร์ที่ศิษย์ทุกคนจะต้องศึกษา ดังนั้นจึงเรียกว่า  "ซือจิง" (จิง แปลว่า สูตร) ในคัมภีร์แบ่งออกเป็นสามหมวดใหญ่คือ หมวดฟง  หมวดอย่า  และหมวดซ่ง  ชนรุ่นหลังถือว่าคัมภีร์ซือจิงเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อวงการวรรณกรรมจีนมาตลอดสองพันกว่าปี อีกทั้งยังเป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่ามากเป็นอย่างยิ่ง     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
        ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 7 

     ครานั้น  จี้ผิงจื่อ
ผู้มีรูปร่างม่อต้อและมีจิตใจริษยาคนเก่งเป็นอุปนิสัย ครั้นได้เห็นความปรีชาสามารถระดับปกครองใต้หล้าได้ของข่งชิว ทั้งยังได้ยินหลู่เจากงรับสั่งว่าจะประทานตำแหน่งหน้าที่ให้แก่ข่งชิวในทันใดอีกด้วยแล้ว จี้ผิงจื่อจึงรีบฉวยโอกาสที่ข่งชิวยังมิทันตั้งตัวชิงกราบทูลก่อนว่า "ฝ่าบาท ข่งชิวมีความรู้ความสามารถด้วยวัยวุฒิเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง เพียงแต่การรับราชการประทานบรรดาศักดิ์เป็นเรื่องใหญ่แห่งบ้านเมือง ดังนั้นจึงต้องตรึกตรองอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินพระทัย เพื่อประโยชน์สุขจะได้เกิดขึ้นแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์พ่ะย่ะค่ะ"  แม้หลู่เจากงจะทรงทราบดีว่าจี้ผิงจื่อมีใจริษยาแต่ก็ติดอยู่ที่จี้ผิงจื่อเป็นอุปราชผู้มีอำนาจราชศักดิ์ อีกทั้งยังมี สูชุนเฉิงจื่อ และเมิ่งสีจื่อ  ร่วมอยู่ด้วยเหตุการณ์อีกประการหนึ่ง ดังนั้นพระองค์จึงไม่อยากโต้แย้งจนเกิดข้อบาดหมางโดยไม่จำเป็น กอปรกับพระองค์ยังไม่รู้จักข่งชิวดีพอ หากจะอาศัยคำพูดเพียงไม่กี่คำมาตัดสินประทานตำแหน่งราชการให้ ขุนนางน้อยใหญ่อาจจะไม่ยอมรับได้ จึงตรัสขึ้นว่า "คำพูดของท่านอุปราชนั้นชอบแล้ว ข้าควรตรึกตรองให้รอบคอบเสียก่อน"  ข่งชิวได้ยินกิตติศัพพ์ของ  ๓  อิทธิพลนี้มาพอสมควร รู้ว่าจี้ผิงจื่อเป็นคนยะโสโอหัง ได้กระทำการรวบอำนาจการบริหารบ้านเมืองไว้โดยอหังการ ส่วนสูซุนเฉิงจื่อเป็นคนโลเลไม่เด็ดขาด จึงมักจะโอนเอียงไปมาท่ามกลางตรกูลทั้งสอง ส่วนเมิ่งสีจื่อ เป็นคนซื่อไร้กลเหลี่ยม ไม่มีความมานะในการศึกษาเล่าเรียนวิชา ความรู้จึงดาด ๆ จนไม่สามารถบริหารราชการให้เข้มแข็ง อำนาจจึงมีน้อยที่สุดใน ๓ ตระกูล  ในสายตาของข่งชิว ตอนนี้เต็มไปด้วยแววตาที่ดูถูก เสียดายและแค้นใจระคนกัน ข่งชิวรู้สึกดูถูกพวกเหล่าขุนนางที่เอาแต่ละโมบบ้าอำนาจ ใช้แต่เล่ห์เหลี่ยมกลโกงโดยไม่นำพาในทุกข์สุขของประชาชน และรู้สึกเสียดายที่อำนาจทั้งหมดของเมืองหลู่ต้องตกอยู่กับทรชนทั้งสาม บ้านเมืองจึงมีแต่ความผุกร่อนลงทุกวัน ทั้งยังรู้สึกแค้นใจที่ฟ้าได้ปล่อยให้คนต่ำทรามเหล่านี้มาบริหารบ้านเมืองอย่างอยุติธรรม โดยเฉพาะคือจี้ผิงจื่อคนนี้  ข่งชิวอยากจะลุกขึ้นยืนปะคารมเพื่อฉีกหน้ากากอันอัปลักษณ์และตำหนิพฤติกรรมอันต่ำช้าสามานย์ของเขาให้เป็นที่ประจักษ์ แต่ทว่า ข่งชิวคือผู้ที่มีการศึกษามาดี ดังนั้นจึงกลืนคำพูดที่แทบจะหลุดออกมาและฝืนยิ้มขึ้นว่า "ข่งชิวด้อยความสามารถ คาวมรู้ตื้นเขินจึงขอให้ฝ่าบาทและใต้เท้าโปรดชี้แนะสอนสั่ง" หลู่เจากงทรงเห็นกิริยาวาจาอันสุภาพของข่งชิวจึงรู้สึกโปรดปรานเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงลุกจากพระที่นั่งและเสด็จมาทักว่า "เจ้าคืออนุชนที่สืบเชื้อสายมาแต่อริยกษัตริย์เฉิงทัง ข้าหวังให้เจ้าสามารถฝ่าฟันอุปสรรคให้ก้าวหน้าพัฒนา จนที่สุดได้เป็นอริยชนของราชสำนักในภายหน้าอย่างแท้จริง"  ข่งชิวรีบจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยและคุกเข่ากราบทูลว่า "กระหม่อมจะขอจดจำพระโอวาทฝ่าบาทใส่เกล้าตลอดไป และกระหม่อมจะขอมานะพยายามเพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ"  ครั้นได้กราบอำลาแล้ว ข่งชิวได้ก้าวออกประตูวังด้วยใบหน้าอันหนักหน่วงแต่ครั้นออกนอกประตูวัง จิตใจจึงรู้สึกปลอดโปร่งเหมือนวิหคที่สยายปีกโผบินสู่เวหา ข่งชิวรู้สึกปลื้อปิติที่ได้เข้าเฝ้าหลู่เจากง พลางคิดอยู่ใจในว่า "ต้องมีสักวันที่หลู่เจากงจะทรงรับความเห็นของเขาไปใช้ และได้กอบกู้ศักดิ์ศรีของเมืองหลู่จนเข้มแข็งทัดเทียมเหล่าอารยรัฐที่รายล้อมอย่างแน่นอน" และโดยความจริงแล้วการที่ข่งชิวได้เข้าเฝ้าหลู่เจากงในครั้งนี้ก็มีสิ่งดีอยู่ไม่น้อย เพราะหลู่เจากงได้รับสั่งเรียกข่งชิวว่า ฟูจื่อ มิใช่หรือ?. ดังนั้นผู้คนน้อยใหญ่จึงเริ่มเรียกข่งชิวว่า ฟูจื่อ  นับแต่นั้นเป็นต้นมา

หมายเหตุ   :  ฟูจื่อ เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกบุคคลที่มีคุณธรรมความสามารถ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
          ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 8 

     ครั้นข่งชิวกลับถึงบ้าน
พลันได้ยินเสียงทารกร้องอุแว้อยู่มิขาด จึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความดีใจ ได้เห็นฉีกวนซื่ออุ้มเด็กทารกชายที่ทั้งขาวและอ้วนท้วนแข็งแรงอยู่แนบอก  ข่งชิวรีบเข้าไปทักทายมารดาในเรือนแล้ววิ่งออกมาอุ้มบุตรของตนขึ้นเชยชมอย่างมิกระพริบสายตา จิตใจเจิงจ้ายตอนนี้เอ่อล้นไปด้วยความปลาบปลื้อมปิติอย่างยากจะบรรยายเพราะในที่สุดนางก็หมดห่วงลงได้เสียที เธอภาวนาต่อสามีด้วยความดีใจว่า "ท่านพี่ที่อยู่สรวงสวรรค์คงจะวางใจได้แล้ว"  ในตอนนั้น ฉีกวนซื่อได้กล่าวกับสามีว่า "รีบตั้งชื่อให้ลูกของเราเถอะ" ข่งชิวอุ้มลูกเดินวนไปมาในห้องและลานบ้านอย่างใช้ความคิด แต่ก็ยังมิอาจนึกชื่อที่ถูกใจได้สักที สุดท้ายจึงได้แต่เดินกลับเข้าบ้านนั่งคิดใคร่ครวญต่อไป ในคืนนั้น  ข่งชิวมีความรู้สึกปิติจนมิอาจข่มตาหลับลงได้ เพราะการได้ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้า การทีบุตรชายได้ถือกำเนิด เหล่านี้นับเป็นเรื่องมงคลที่ประดังเข้ามาอย่างน่ายินดี  ข่งชิวคิดกลับไปกลับมาเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองและปัญหาการอบรมบุตรให้สามารถสานปณิธานของตนต่อไปในภายภาคหน้า จวบจนพระอุทัยสาดแสงอร่ามพาดขอบฟ้า จึงค่อยสลึมสลือหลับไปในที่สุด ในความฝัน ข่งชิวขับรถม้ามุ่งตรงไปยังพระมหาราชวังแห่งราชวงศ์โจว ที่นั่นมีถนนหนทางอันโอ่อ่า ตึกรามบ้านช่องล้วนประดับด้วยศิลปะสมัยโบราณอย่างวิจิตรพิศดาร ชายหญิงต่างแยกเดินมิเบียดเสียด ผู้คนล้วนอ่อนน้อมมีไมตรี  ผู้เยาว์ให้ความเคารพแก่ผู้สูงอายุ  พ่อค้าวาณิชสุจริตมิคดโกง ข่งชิวได้เที่ยวชมอารยบุรีแห่งนี้อย่างหลงใหล จนรถม้าได้นำพาเข้าสู่เขตพระราชฐานโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ข่งชิวกำลังจะกระโดดลงจากรถม้าเพื่อกล่าวขออภัยที่ล่วงล้ำ ได้มีชายชราท่านหนึ่งเดินตรงมาหาด้วยรอยยิ้มอันเมตตา พลางใช้มือพยุงข่งชิวขึ้นและกล่าวว่า "มิเป็นไร !  มิเป็นไร !" คาดว่าท่านคงคือข่งชิวแห่งเมืองหลู่กระมัง ?. ข่งชิวรู้สึกประหลาดใจ พลางประสานมือคำนับว่า "ข้าน้อยคือข่งชิว มิทราบว่าท่านอาวุโสรู้จักข้าน้อยได้อย่างไีร?"  อาวุโสท่านนั้นตอบว่า "ข้าคือโจวกงที่ท่านเฝ้าถวิลหาอยู่ทุกวันคืนไงล่ะ ข้าได้ประมาณไว้แล้วว่าท่านจะมาในวันนี้ ดังนั้นจึงมาคอยต้อนรับอยู่ที่นี่" ข่งชิวตั้งใจพิเคราำะห์ชายชราอีกครั้ง จึงเห็นว่าเป็นชายชราผมขาวโพลนทั้งศรีษะ หากแต่สุขภาพยังดูแข็งแรงและกำลังส่งสายตาอันอารีย์มาที่ตนอยู่มิขาด จึงรีบกล่าวทันทีว่า "ข้าน้อยเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ไฉนกล้ารบกวนให้อาวุโสมาต้อนรับได้  โจวกงตอบว่า "ข้ามิใช่มาต้อนรับท่านเพียงอย่างเดียวหรอก ห่กเป็นการต้อนรับความอุดมสุขแห่งเมืองหลู่ต่างหาก ได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้มีคุณธรรมความสามารถ ดังนั้นภารกิจแห่งความมั่นคงของชาติต้องมอบให้แก่ท่านแล้วล่ะ" ข่งชิวกล่าวว่า "ข้าน้อยยินดีถวายงานรับใช้เจ้าเมืองหลู่อย่างสุดกำลังความสามารถ เพียงแต่ข้าน้อยโดดเดี่ยวเปลี่ยวกำลัง จึงไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ประการใดดี ?"  โจวกงรีบตีหน้าขึงขังขึ้นมาทันทีว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่นเสมอ" ในตอนนั้นข่งชิวมีประสงค์จะเรียนถามหลักการบริหารประเทศจากโจวกง แต่ทันใดก็ถูกเสียงเรียกของทารกปลุกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความฝัน ยามนี้แสงอุทัยได้สาดส่องเข้ามาในลานบ้านโดยเฉพาะคือต้นจามจุรีเก่า ๆที่ต้องแสงอรุณจนเปล่งประกายลายกนกที่แซมด้วยสีเขียวหยกอย่างวาววับ หลังจากข่งชิวกวาดพื้นบ้านเสร็จ ท่านยังคงยืนประหวัดถึงความฝันยามเช้าอยู่มิาด ทันใดได้มีคนมาเคาะประตูปลุกข่งชิวให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด ข่งชิวจึงรีบไปเปิดประตูบ้านแต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นผู้มาเยือน   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
        แรกประกาศศักดา   

     ที่แท้ผู้มาเยือนคือ ทูตหลวงของเจ้าเมืองหลู่
นั่นเอง ในมือขอทูตหลวงได้ถือปลาหลี่ตัวใหญ่มาด้วย 2 ตัว ขงจื่อรีบเชิญผู้แทนพระองค์เข้าไปในบ้านทูตหลวงกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงทราบว่าท่านมีบุตร จึงรับสั่งให้ข้านำปลานี้มามอบให้เพื่อเป็นศิริมงคล"   ขงจื่อกล่าวด้วยความตื้นตันว่า "ข่งชิวไร้คุณงามความดีใด ๆ จึงรู้สึกละอายใจต่อพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก" ทูตหลวงกล่าวว่า "ท่านฟูจื่อโปรดรับไว้ก่อน เรื่องตอบแทนพระคุณไว้ภายหลังค่อยหาโอกาสตอบแทนก็ได้"   ขงจื่อชูสองมือรับปลาจากทูตหลวง ส่วนทูตหลวงก็รีบขอตัวอำลากลับเพื่อนำความกราบบังคมทูลให้หลู่เจากงได้ทรงทราบ ขงจื่อยืนส่งทูตหลวงจนจากไปไกลแล้วจึงหิ้วปลาเข้าไปในบ้าน แต่แล้วพลันนึกได้ว่า "ได้แล้ว เราตั้งชื่อให้แก่ลูกชายว่า "หลี่  นามรองว่า ป๋ออวี๋  ดีกว่า"  ครั้นแล้วก็นำความคิดนี้มาร่วมปรึกษาด้วยมารดาและภรรยาว่า "เมื่อวานลูกได้บุตรชาย อีกวันนี้ยังได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทอีก สิ่งนี้จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ควรแก่การระลึกถึงยิ่ง ดังนั้นลูกจึงนึกถึงคำว่า  หลี่ นี้ขึ้นมาส่วนคำว่า ป๋อ จะมีความหมายว่า เติบโต  ดังนั้นการตั้งชื่อว่าป๋ออวี๋ จึงนับว่ามีความเหมาะสมที่สุดแล้ว"  ครั้นเจิงจ้ายและฉีกวนซื่อ ได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผลจึงพยักหน้าเห็นชอบด้วยความยินดี  การกำเนิดของข่งหลี่ ได้นำความสำราญมาให้แก่ครอบครัว นี้ได้ไม่น้อย แต่ความจริงก็ได้กลายเป็นภาระหนักสำหรับข่งชิวด้วยเช่นกัน เพราะข่งชิวจะต้องคำนึกถึงความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวทั้งหมด ในเมื่อตอนนั้นเมิ่งผีได้แยกออกไปตั้งรกรากต่างหากกับมารดาและภรรยานานแล้ว และปีนั้นก็ได้กลายเป็นจุดพลิกผันอันสำคัญบนเส้นทางชีวิตของขงจื่อ  ณ ตำบลที่อยู่ในอาณัติการปกครองของเมิ่งสีจื่อ แห่งหนึ่งได้เกิดการทุจริตอากามาเป็นเวลานานเมิ่งสีจื่อมีความคิดที่จะปลดเจ้าพนักงานที่นั่นมานานแล้ว เพียงแต่ยังมิอาจสรรหาบุคคลที่เหทาะสมไปแทนตำแหน่งได้สักที และนับแต่เมิ่งสี่จื่อได้เห็นความปรีชาสามารถของขงจื่อ ภายในใจก็รู้สึกชื่นชมในสติปัญญาของขงจื่อยิ่งนัก กอปรกับตอนนี้ได้เริ่มเข้าสู่การเก็บเกี่ยวในฤดูสารท  เมิ่งสีจื่อจึงตัดสินใจส่งขงจื่อไปรับผิดชอบการเก็บอากรที่นาแทนเจ้าพนักงานคนเก่าที่นั่น ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่สามารถปลดหัวหน้าอากรคนเก่าได้เท่านั้น หากยังสามารถทดสอบความสามารถด้านการบริหารของขงจื่อได้อีกทางหนึ่งด้วย ครั้นคิดได้ดังนี้ก็รีบส่งคนไปเชิญขงจื่อเข้าพบในทันที ครั้นผู้ส่งสาสน์ได้ถ่ายทอดเจตนาให้ขงจื่อทราบแล้ว ขงจื่อได้รีบออกเดินทางโดยมิรอช้า พลางคิดตลอดทางว่า "แม้นเมิ่งสีจื่อจะเป็นคนที่หามีความรู้ความสามารถไม่ แต่ก็เป็นบุคคลที่เคารพปราชญ์ผู้คงแก่เรียน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง หากเราได้รับการสนับสนุนจริง เราต้องตั้งใจทำงานอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อเป็นการปูหนทางในการประกาศอุดมการณ์ให้เป็นที่ประจักษ์ให้จงได้" 

หมายเหตุ   :  ป๋อ มีความหมายว่าบุตรคนโต  ส่วน  อวี๋  มีความหมายว่า ปลา  ป๋ออวี๋ จึงมีความหมายว่า ลูกชายคนโตที่มีชื่อว่าปลา เหตุที่ขงจื่อและข่งหลีมีการออกเสียงนาสกุลไม่เหมือนกัน เพราะวิธีการอ่านออกเสียงภาษาจีนได้กำหนดไว้ว่า หากอักษรสองตัวมีวรรณยุกต์เหมือนกัน อักษรตัวหน้าจะต้องลดวรรณยุกต์หนึ่งระดับ เพื่อให้มีความไพเราะในการอ่าน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
           แรกประกาศศักดา  2

        ขงจื่อคิดอย่างเพลิดเพลินจนมาถึงหน้าบ้านของเมิ่งสีจื่อ
โดยไม่รู้ตัว ตัวบ้านของเมิ่งสีจื่อดูโอ่อ่ากว้างใหญ่ ถึงแม้จะไม่มีความวิจิตรเท่าบ้านของจี้ผิงจื่อก็จริง แต่ก็นับเป็นบ้านที่มีการประดับอย่างหรูหรามากหลังหนึ่ง ในขณะที่ขงจื่อกำลังเพลิดเพลินกับความคิด เสียงคนใช้ก็มาขัดจังหวะขึ้นว่า "ขอเชิญท่านฟูจื่อเข้าข้างในก่อนเถอะ"  ทางเดินภายในบ้านปูลาดด้วยศิลาแลงที่วนเวียนคดเคี้ยวไปมาท่ามกลางรุกขชาติ ทางเดินอันลดเลี้ยวได้สิ้นสุดลงที่ห้องโถงภายใน  ขงจื่อต้องผ่านประตูใหญ่ถึง ๓ บาน จึงจะสามารถเข้าไปถึงส่วนรโหฐานของเมิ่งสีจื่อได้ ขงจื่อทราบดีว่า การที่เมิ่งสีจื่อได้ให้การต้อนรับที่หลังคฤหาสน์ นั่นหมายความว่า เมิ่งสีจื่อได้ให้เกียรติเขาเป็นแขกพิเศษแล้ว และก็หาได้ผิดจากที่คาดไว้ไม่ เพราะไม่นานนัก เมิ่งสีจื่อได้เดินออกมาต้อนรับเขาเข้าสู่ภายในเรือนด้วยความเป็นกันเอง หลังจากทั้งสองต่างคำนับให้กันตามธรรมเนียมจนเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงค่อยพากันก้าวเข้าสู่ห้องโถงภายใน ขณะที่ทั้งสองต่างโอภาปราศัยกันอย่างเพลิดเพลิน คนใช้ได้จัดแต่งโต๊ะอาหารเสร็จพอดี เมิ่งสีจื่อเชิญขงจื่อร่วมรับประทานอาหาร ขงจื่อกล่าวขอบคุณแล้วนั่งบนเก้าอี้สำหรับแขกบ้านอย่างสง่า ครั้นได้รับประทานจนพอประมาณ เมิ่งสีจื่อกล่าวขึ้นว่า "ด้วยคุณธรรมความสามารถของท่านฟูจื่อ หากจะให้ดำรงบรรดาศักดิ์เป็นพระยาก็ยังว่านับไม่ยาก เพียงแต่โอกาสยังไม่อำนวยให้เท่านั้น เหตุด้วยข้ากำลังต้องการผู้แทนตำบลที่รับผิดชอบการเก็บอากรที่นาพอดี มาตรว่าจะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ แต่มิทราบว่าท่านฟูจื่อพอจะให้เกียรติรับงานนี้ได้หรือไม่?."  ขงจื่อตอบว่า "ได้รับความกรุณาจากใต้เท้าเช่นนี้ ข้าน้อยใยกล้าขัดศรัทธาของท่านได้"  ครั้นเมิ่งสีจื่อได้รับฟังก็ปิติยินดียิ่ง จึงรีบรินสุราให้ขงจื่อเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นจึงเล่าเรื่องการทุจริตของหัวหน้าอากรคนก่อนพร้อมทั้งกำชับวิธีการจัดการแก่ขงจื่อโดยละเอียด หลังจากขงจื่อได้อำลาเมิ่งสีจื่อ กลับถึงบ้านก็ได้รายงานเรื่องการรับราชการให้มารดาทราบ จากนั้นจึงเริ่มเตรียมตัวสำหรับการรับตำแหน่งอย่างขะมักเขม้น  หัวหน้าพนักงานอากรคนก่อน เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เขาได้กระทำการทุจริตยักยอกอากรจากชาวนามาช้านาน  ดังนั้น ครั้นขงจื่อได้รับตำแหน่งนี้ก็ได้สั่งเรียกบัญชีมาตรวจดูโดยละเอียด พบว่าสมุดบัญชีได้ถูกเติมแต่งขีดฆ่าจนสับสนวุ่นวาย ขงจื่อจึงเรียกเจ้าพนักงานมาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นกันเองว่า "ข้าได้รับคำสั่งจากใต้เท้าเมิ่งซุน ให้มารับตำแหน่ง เนื่องจากเจ้าพนักงานคนก่อนทำงานไม่เรียบร้อย จุดนี้จะต้องชำระสะสาง ส่วนเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ข้ายังจะรับไว้ทำราชการต่อไป หวังว่าพวกเจ้าจะรับผิดชอบต่อหน้าที่ และร่วมแรงร่วมใจกันเก็บอากรที่นาในปีนี้ให้ลุล่วงโดยดี"  เหล่าเจ้าพนักงานต่างเห็นว่าหัวหน้าคนใหม่อายุยังน้อย จึงแสดงกิริยาดูถูกและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ไยดีว่า "ขอเพียงใต้เท้ามีคำสั่ง พวกเราก็ต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว"  แม้นทุกคนกล่าวว่าจะขอน้อมรับคำบัญชา หากกิริยากลับแสดงอาการกระด้างกระเดื่องอย่างเห็นได้ชัด แต่ขงจื่อหาได้ใส่ใจไม่ โดยยังคงทำการแบ่งสรรหน้าที่การเก็บอากาออกเป็น ๕ ส่วน เพื่อกระจายให้เจ้าพนักงานแต่ละคนออกเก็บอากรในแต่ละพื้นที่อย่างทั่วถึง หลังจากพวกเจ้าพนักงานได้ออกไปแล้ว ขงจื่อก็สวมชุดชาวบ้านออกตรวจราชการ ครั้งถึงริมท้องนาก็เดินตรงไปจับเข่านั่งคุยกับชาวบ้านที่พักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้อย่งเป็นกันเอง  ขงจื่อถามว่า "ผลผลิตปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง?"  ชาวนาตอบว่า "ผลผลิตปีนี้ดีมาก" "การเก็บอากรที่นามีปัญหาไหม?"  เพียงขงจื่อถามถึงเรื่องการเก็บอากร กลุ่มชาวนาก็หุบยิ้มและไม่ยอมพูดจาด้วยอีก  ขงจื่อได้พิจารณาสีหน้าของพวกเขาอยู่พักหนึ่งและนั่งรอคอยคำตอบจากพวกเขาด้วยความอดทน หลังจากได้เงียบเสียงอยู่พักใหญ่ ชาวนาคนหนึ่งได้จ้องสังเกตขงจื่ออย่างพิจารณา เห็นว่าขงจื่อมีลักษณะหน้าผากกว้าง  คิ้วดกตาโต  กิริยาสุภาพดูสง่าน่านับถือ จึงคิดว่าขงจื่อคงมิใช่คนที่เจ้าเล่ห์กลับกลอกเป็นแน่ จึงกล่าวว่า "โดยความจริงแล้ว หากดูตามผลผลิตสำหรับปีนี้ ถ้าจะจ่ายให้คบตามเกณฑ์อากรคงไม่มีปัญหา เพียงแต่..."     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
          แรกประกาศศักดา  3

        ชาวนานิ่งสงบอยู่พักใหญ่
สายตากวาดมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง "เพียงแต่เจ้าพนักงานอากรมันชั่วช้าจริง ๆ มันสมรู้ร่วมคิดกับลูกสมุนทุจริตโกงกิน พวกมันดัดแปลงถังตวงให้ใหญ่ขึ้น แล้วแจ้งจำนวนให้น้อยลง ขณะเดียวกันก็โกงกินพวกเราชาวนาโดยเก็บส่วนต่างไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ท่านก็คิดดูซิ แล้วอย่างนี้จะให้เรายอมจ่ายอากรได้อย่างไร?"  ชาวนาอีกคนหนึ่งสำทับขึ้นทันทีว่า "ข้าได้ข่าวว่าปีนี้ได้เปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจะตรงหรือคดกันแน่" อุว๊ะ ! ในวงราชการเห็นจะมีแต่คดมากกว่าตรงกระมัง สงสัยคนใหม่ที่มาก็คงจะไม่ผิดกันเท่าไหร่ดอก?"  "ไอ้พวกขี้โกงเห็นได้เป็นเอา สงสัยคราวนี้จะหนักกว่าคราวก่อนกระมัง"  "แต่ไม่แน่ เราอาจจะเจอตงฉินก็ได้นะ"  "หากเป็นอย่างนั้นจริง ก็ถือว่าสวรรค์ทรงโปรดแล้ว"  ขงจื่อได้บอกลาชาวนาเหล่านั้น แล้วออกเดินตรวจงานต่ออีก ๓ หมู่บ้าน แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด คำบอกเล่าก็เหมือนกับออกมาจากคนเดียวกัน เช้าวันที่สอง ขงจื่อได้เฝ้าสังเกตการเก็บอากรของเหล่าพนักงาน พบว่าถังตวงที่ใช้มีข้อพิรุธจริง ๆ จึงสั่งให้เจ้าพนักงานเปลี่ยนถังตวงลูกใหม่ต่อหน้าชาวนาที่มาจ่ายอากร แต่เมื่อลองตวงดูแล้วผลที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิม ขงจื่อจึงสั่งให้นำถังตวงของชาวนาในละแวกนั้นมาตวงใหม่ ปรากฏว่าปริมาณที่ตวงได้ยังมากกว่าถังตวงของเจ้าพนักงานมากมาย  ครั้นขงจื่อกลับถึงจวนว่าการ ได้สั่งเรียกตัวเจ้าพนักงานที่เคยรับราชการกับหัวหน้าคนก่อนมาตำหนิว่า "เมื่อก่อนพวกเจ้าก็ใช้วิธีนี้เก็บอากรอย่างนั้นรึ ?" พวกเจ้าพนักงานเริ่มวิตกกันแล้ว จึงต่างชิงกันสารภาพเพื่อขอความเห็นใจว่า "ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว ! ขอใต้เท้าโปรดยกโทษให้ด้วย"  ขงจื่อพูดเสียงเข้มว่า "คนใจคดอย่างพวกเจ้า หากไม่มีการลงโทษให้หลาบจำก็คงไม่รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมายเป็นแน่"  ขงจื่อได้สั่งลงอาญาตามความผิดของแต่ละคน อีกทั้งยังสั่งปลดพวกที่ทำความผิดร้ายแรงให้ออกจากราชการ และยังได้ส่งตัวเจ้าพนักงานอีกสองคนให้ศาลตัดสินโทษต่อไป  หลังจากพิพากษาคดีเสร็จ ขงจื่อได้ประกาศให้คณะชาวนาเลือกบุคคลที่ทุกคนให้ความเชื่อถือมากที่สุดมารับผิดชอบการเก็บอากร ทั้งยังกำหนดเวลาการเก็บอากรไว้เป็นกฏหมายว่า หากผู้ใดสามารถจ่ายอากรเสร็จก่อนเวลากำหนดก็ให้จ่ายจริงเพียง ๙ ส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย หากจ่ายตามกำหนดพอดีก็ให้จ่ายจริงเพียง ๙.๕ ส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย หากผู้ใดจ่ายค่าอากรล่วงเวลากำหนด ก็จะปรับให้จ่ายเพิ่มอีกหนึ่งส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย ส่วนผู้ใดหลบเลี่ยงการจ่ายอากร ก็ละเวนคืนที่นามาแจกจ่ายให้ผู้อื่นทำกินต่อไป และหากปีใดเกิดภัยธรรมชาติจนทำให้ผลผลิตเสียหาย ก็สามารถทำเรื่องลดหย่อนอากรที่นาได้ ครั้นกลุ่มชาวนาได้เห็นขงจื่อตรากฏหมายอย่างยุติธรรม ทั้งเจ้าพนักงานอากรยังเป็นบุคคลที่ถูกเลือกมาจากกลุ่มชาวนาด้วยกันแล้ว ทุกคนจึงทยอยกันจ่ายอากรตามเวลากำหนดอย่างคับคั่ง 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              แรกประกาศศักดา 4

        ขงจื่อได้นำเสบียงข้าวสารที่เก็บได้มามอบให้แก่เมิ่งสีจื่อ
พร้อมทั้งอธิบายว่าได้เก็บอากรน้อยกว่าปกติ ๑ ส่วน  แต่หลังจากเมิ่งสีจื่อได้เทียบทะเบียนบัญชีกับปีก่อน ๆ แล้ว ยอดข้าวสารที่เก็บได้มิเพียงแต่ไม่ได้ลดลงเท่านั้น หากแต่ยังเพิ่มมากกว่าปีก่อนถึง ๒ ส่วนด้วยกัน เมิ่งสีจื่อจึงได้สติพลางกล่าวถอนใจขึ้นว่า "ที่แท้หัวหน้าอากรคนก่อนได้ทุจริตมากถึงเพียงนี้เชียว"  ขงจื่อได้นำกลวิธีที่เหล่าเจ้าพนักงานใช้ในการโกงอากรและมาตรการลงโทษรายงานให้เมิ่งสีจื่อฟังพอสังเขป ครั้นฟังจบ เมิ่งสีจื่อได้กล่าวชมขงจื่อว่า "จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ แม้นจะแรกเข้าสู่วงราชการ แต่ก็มิได้ถูกพวกเหล่าทรชนบดบังอำพรางได้สำเร็จ ถือว่าหาได้ยากยิ่งโดยแท้"  หลังจากได้บอกลาเมิ่งสีจื่อกลับขงจื่อก็ยังคงใชเวลาว่างออกตระเวน ขอความรู้และฝึกปรือศิลปวิทยาทุกแขนงอยู่มิขาด กระทั่งวันหนึ่ง เมิ่งสีจื่อได้เรียกขงจื่อเข้าพบและพูดด้วยความสนิทสนมว่า "ปัจจุบันทางกองปศุสัตว์มีภาวะตกต่ำ สถานการณ์มีแต่เลวร้ายลงทุกวัน ท่านเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถอีกทั้งยังทำงานได้อย่างแข็งขัน ข้าจึงคิดจะแต่งตั้งท่านให้ดูแลกองเกษตรา มิทราบท่า่นมีความคิดเห็นเป็นเช่นใด?."  กองเกษตราคือตำแหน่งราชการเล็ก ๆ ที่รับผิดชอบเรื่องการเลี้ยงดูปศุสัตว์เป็นหลัก ขงจื่อจึงนั่งคิดตรึกตรองโดยมิได้ให้คำตอบแต่อย่างใด เมิ่งสีจื่อกล่าวว่า "การดูแลปศุสัตว์จะต้องคลุกคลีอยู่กับพวกม้า แกะ วัว ลาตลอดเวลามันจึงสกปรกและเสียพละกำลังมหาศาล ท่านคงจะต้องเหนื่อยขึ้นกว่าเก่าไม่น้อย"  "ข้าไม่รู้สึกหนักใจตรงนี้ เพียงแต่เกรงว่าจะบริหารได้ไม่ดีเท่านั้น"  เมิ่งสีจื่อยิ้มขึ้นว่า "ท่านมีอัจริยภาพด้านการเมืองไฉนต้องถ่อมตัวด้วยเล่า?"  ขงจื่อกล่าวว่า "ในเมื่อใต้เท้าเมิ่งเอ็นดู ข้าก็จะดูแลอย่างสุดกำลังความสามารถแน่นอน"  "แล้วท่านฟูจื่อจะเดินทางไปรับตำแหน่งเมื่อไรดี?"  "แล้วแต่ใต้เท้าจะกรุณา"  "ถ้าเช่นนั้น ก็รับตำแหน่งเสียพรุ่งนี้ไปม?."  ขงจื่อพยักหน้ารับคำ เช้าวันที่สอง ขงจื่อได้ออกเดินทางไปรับตำแหน่งที่กองเกษตรา ครั้นขงจื่อเดินเข้าไปในสนามหน้าจวนว่าการ ก็ได้เห็นกอหญ้ารกรุงรังไปทั่ว  หินกรวดดินทรายกระจัดกระจายทั่วบริเวณอย่างน่ารำคาญตา ครั้นเดินเข้าไปในจวนก็เห็นหยักไย่รุงรังไปทั่วอาคาร ทุกสิ่งรกรุงรังจนมิอาจสรรหาคำใดมาพรรณาความได้อีก ขงจื่อถึงกับต้องถอนใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่กำลังหนักใจกับสภาพที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอยู่นั้น ทันใดก็ได้ยินเสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ครั้นเหลียวหลังมองไปที่ประตู ได้เห็นชายชราคนหนึ่งเดินกระโผกกระเผกตรงมาหา ขงจื่อจึงรีบออกไปพยุงโดยมิรอช้า ชายชราถามว่า "ท่านคงเป็นหัวหน้าเกษตราคนใหม่กระมัง?."  ขงจื่อตอบว่า "ใช่"  ชายชรากล่าวว่า "ข้าน้อยเพิ่งได้ทราบข่าวเมื่อเช้านี้เองแต่พวกเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ยังไม่ทราบ มิเช่นนั้นปานนี้ก็คงมารับบัญชาท่านใต้เท้าแล้ว"  ขงจื่อทำหน้าขึงขังว่า "แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด?." ชายชราถอนหายใจยาวพลางกล่วว่า "นับแต่หัวหน้าคนเก่าถูกปลดใน ๒ เดือนที่ผ่านมา พวกเราเอาแต่รับเบี้ยหวัดโดยไม่สนใจธุระการงาน วัน ๆ เอาแต่ฆ่าหมูเห็ดเป็ดไก่กินโดยไม่สนใจในหน้าที่"  เพียงชายชรากล่าวจบ ก็มีชายล่ำสันสองคนวิ่งตะลีตะลานเข้ามาในจวน พลางถามชายชราว่า "หัวหน้าคนใหม่อยู่ไหน?."  ชายชราจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาอันขุ่นเคือง พลางชี้ไปทางขงจื่อว่า "ท่านนี้ก็คือหัวหน้ากองเกษตราคนใหม่"  ขงจื่อพูดด้วยเสียงอันเย็นเฉียบว่าแล้วเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมด?."  ชายสองคนต่างอ้ำอึ้งมองหน้ากันไปมา ขงจื่อใช้แววตาอันทรงพลังจ้องมองไปที่ชายทั้งสอง เห็นพวกเขาต่างหลบสายตา และแสดงอาการวิตกจนใบหน้าแดงก่ำ กิริยาท่าทางดูเงอะงะจนวางตัวไม่ถูก ขงจื่อจึงถามพวกเขาว่า "พวกเจ้าชื่ออะไร?." ชายชราตอบแทนพวกเขาว่า "กราบเรียนใต้เท้า คนนี้ชื่อเหอจง  ส่วนคนนั้นชื่อผิงเฉิง  สองคนนี้มีนิสัยที่ใช้ได้ เพียงแต่กิริยาหยาบกระด้างและขี้โมโหไปหน่อยเท่านั้น"  "จุดนี้ข้าพอมองออก" ขงจื่อกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ขงจื่อสั่งให้ชายทั้งสองรับผิดชอบตามเจ้าพนักงานทั้งหมดมารายงานตัวเพียงไม่นาน เหล่าเจ้าพนักงานทั้งหมดก็มายืนเรียงหน้ากระดานรายงานตัวอย่างเรียบร้อย ขงจื่อยืนอยู่บนเชิงบันไดหน้าจวนว่าการ ได้ปั้นสีหน้าให้ดูขึงขังและปราศรัยด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า "พวกเจ้าต่างกินเบี้ยหวัดของบ้านเมือง แต่เหตุใดจึงทิ้งที่ทำการไปเสียเช่นนี้?." เจ้าพนักงาน ๒๐ กว่าคนต่างแสดงอาการเลิ่กลั่ก ขงจื่อย้ำต่อไปอีกว่า "พวกเจ้าลองเบิกตาให้กว้าง ๆ ดูซิ ตอนนี้ที่ว่าการได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว"  ทุกคนยังคงเงียบกริบมิพูดจา ขงจื่อกล่าวว่า "ตอนนี้พวกเจ้าจงตามข้าไปที่คอกสัตว์ก่อน"  แต่ครั้นถึงคอกเลี้ยงสัตว์ก็ทำให้ขงจื่อยิ่งต้องหนักใจมากขึ้นกว่าเก่า เพราะรั้วทีขัดแตะด้วยไม้ไผ่ล้วนล้มระเนระนาด ส่วนปฏิกูลมูลสัตว์และปัสสาวะก็ถูกปล่อยทิ้งไว้จนแมลงวันบินหึ่ง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตัวหนอนชอนไชไปมาอย่าน่าสะอิดสะเอียนทั่วบริเวณล้วนส่งกลิ่นเหม็นคละึคลุ้งจนมิอาจทน ครั้นขงจื่อเดินวนไปตามคอก ก็ได้เห็นพวกเหล่าแกะ ม้า  ลา วัว ล้วนผอมโซจนเหลือเพียงกระดูก ขงจื่อมิอาจกลั้นอารมณ์ไว้ได้อีก "ใครรับผิดชอบที่นี่?."      

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”