collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน  (อ่าน 35894 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
          แรกประกาศศักดา  3

        ชาวนานิ่งสงบอยู่พักใหญ่
สายตากวาดมองรอบด้านอย่างระมัดระวัง "เพียงแต่เจ้าพนักงานอากรมันชั่วช้าจริง ๆ มันสมรู้ร่วมคิดกับลูกสมุนทุจริตโกงกิน พวกมันดัดแปลงถังตวงให้ใหญ่ขึ้น แล้วแจ้งจำนวนให้น้อยลง ขณะเดียวกันก็โกงกินพวกเราชาวนาโดยเก็บส่วนต่างไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ท่านก็คิดดูซิ แล้วอย่างนี้จะให้เรายอมจ่ายอากรได้อย่างไร?"  ชาวนาอีกคนหนึ่งสำทับขึ้นทันทีว่า "ข้าได้ข่าวว่าปีนี้ได้เปลี่ยนหัวหน้าคนใหม่ แต่ไม่รู้ว่าจะตรงหรือคดกันแน่" อุว๊ะ ! ในวงราชการเห็นจะมีแต่คดมากกว่าตรงกระมัง สงสัยคนใหม่ที่มาก็คงจะไม่ผิดกันเท่าไหร่ดอก?"  "ไอ้พวกขี้โกงเห็นได้เป็นเอา สงสัยคราวนี้จะหนักกว่าคราวก่อนกระมัง"  "แต่ไม่แน่ เราอาจจะเจอตงฉินก็ได้นะ"  "หากเป็นอย่างนั้นจริง ก็ถือว่าสวรรค์ทรงโปรดแล้ว"  ขงจื่อได้บอกลาชาวนาเหล่านั้น แล้วออกเดินตรวจงานต่ออีก ๓ หมู่บ้าน แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด คำบอกเล่าก็เหมือนกับออกมาจากคนเดียวกัน เช้าวันที่สอง ขงจื่อได้เฝ้าสังเกตการเก็บอากรของเหล่าพนักงาน พบว่าถังตวงที่ใช้มีข้อพิรุธจริง ๆ จึงสั่งให้เจ้าพนักงานเปลี่ยนถังตวงลูกใหม่ต่อหน้าชาวนาที่มาจ่ายอากร แต่เมื่อลองตวงดูแล้วผลที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิม ขงจื่อจึงสั่งให้นำถังตวงของชาวนาในละแวกนั้นมาตวงใหม่ ปรากฏว่าปริมาณที่ตวงได้ยังมากกว่าถังตวงของเจ้าพนักงานมากมาย  ครั้นขงจื่อกลับถึงจวนว่าการ ได้สั่งเรียกตัวเจ้าพนักงานที่เคยรับราชการกับหัวหน้าคนก่อนมาตำหนิว่า "เมื่อก่อนพวกเจ้าก็ใช้วิธีนี้เก็บอากรอย่างนั้นรึ ?" พวกเจ้าพนักงานเริ่มวิตกกันแล้ว จึงต่างชิงกันสารภาพเพื่อขอความเห็นใจว่า "ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว ! ขอใต้เท้าโปรดยกโทษให้ด้วย"  ขงจื่อพูดเสียงเข้มว่า "คนใจคดอย่างพวกเจ้า หากไม่มีการลงโทษให้หลาบจำก็คงไม่รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมายเป็นแน่"  ขงจื่อได้สั่งลงอาญาตามความผิดของแต่ละคน อีกทั้งยังสั่งปลดพวกที่ทำความผิดร้ายแรงให้ออกจากราชการ และยังได้ส่งตัวเจ้าพนักงานอีกสองคนให้ศาลตัดสินโทษต่อไป  หลังจากพิพากษาคดีเสร็จ ขงจื่อได้ประกาศให้คณะชาวนาเลือกบุคคลที่ทุกคนให้ความเชื่อถือมากที่สุดมารับผิดชอบการเก็บอากร ทั้งยังกำหนดเวลาการเก็บอากรไว้เป็นกฏหมายว่า หากผู้ใดสามารถจ่ายอากรเสร็จก่อนเวลากำหนดก็ให้จ่ายจริงเพียง ๙ ส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย หากจ่ายตามกำหนดพอดีก็ให้จ่ายจริงเพียง ๙.๕ ส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย หากผู้ใดจ่ายค่าอากรล่วงเวลากำหนด ก็จะปรับให้จ่ายเพิ่มอีกหนึ่งส่วนของค่าอากรที่ควรจ่าย ส่วนผู้ใดหลบเลี่ยงการจ่ายอากร ก็ละเวนคืนที่นามาแจกจ่ายให้ผู้อื่นทำกินต่อไป และหากปีใดเกิดภัยธรรมชาติจนทำให้ผลผลิตเสียหาย ก็สามารถทำเรื่องลดหย่อนอากรที่นาได้ ครั้นกลุ่มชาวนาได้เห็นขงจื่อตรากฏหมายอย่างยุติธรรม ทั้งเจ้าพนักงานอากรยังเป็นบุคคลที่ถูกเลือกมาจากกลุ่มชาวนาด้วยกันแล้ว ทุกคนจึงทยอยกันจ่ายอากรตามเวลากำหนดอย่างคับคั่ง 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              แรกประกาศศักดา 4

        ขงจื่อได้นำเสบียงข้าวสารที่เก็บได้มามอบให้แก่เมิ่งสีจื่อ
พร้อมทั้งอธิบายว่าได้เก็บอากรน้อยกว่าปกติ ๑ ส่วน  แต่หลังจากเมิ่งสีจื่อได้เทียบทะเบียนบัญชีกับปีก่อน ๆ แล้ว ยอดข้าวสารที่เก็บได้มิเพียงแต่ไม่ได้ลดลงเท่านั้น หากแต่ยังเพิ่มมากกว่าปีก่อนถึง ๒ ส่วนด้วยกัน เมิ่งสีจื่อจึงได้สติพลางกล่าวถอนใจขึ้นว่า "ที่แท้หัวหน้าอากรคนก่อนได้ทุจริตมากถึงเพียงนี้เชียว"  ขงจื่อได้นำกลวิธีที่เหล่าเจ้าพนักงานใช้ในการโกงอากรและมาตรการลงโทษรายงานให้เมิ่งสีจื่อฟังพอสังเขป ครั้นฟังจบ เมิ่งสีจื่อได้กล่าวชมขงจื่อว่า "จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ แม้นจะแรกเข้าสู่วงราชการ แต่ก็มิได้ถูกพวกเหล่าทรชนบดบังอำพรางได้สำเร็จ ถือว่าหาได้ยากยิ่งโดยแท้"  หลังจากได้บอกลาเมิ่งสีจื่อกลับขงจื่อก็ยังคงใชเวลาว่างออกตระเวน ขอความรู้และฝึกปรือศิลปวิทยาทุกแขนงอยู่มิขาด กระทั่งวันหนึ่ง เมิ่งสีจื่อได้เรียกขงจื่อเข้าพบและพูดด้วยความสนิทสนมว่า "ปัจจุบันทางกองปศุสัตว์มีภาวะตกต่ำ สถานการณ์มีแต่เลวร้ายลงทุกวัน ท่านเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถอีกทั้งยังทำงานได้อย่างแข็งขัน ข้าจึงคิดจะแต่งตั้งท่านให้ดูแลกองเกษตรา มิทราบท่า่นมีความคิดเห็นเป็นเช่นใด?."  กองเกษตราคือตำแหน่งราชการเล็ก ๆ ที่รับผิดชอบเรื่องการเลี้ยงดูปศุสัตว์เป็นหลัก ขงจื่อจึงนั่งคิดตรึกตรองโดยมิได้ให้คำตอบแต่อย่างใด เมิ่งสีจื่อกล่าวว่า "การดูแลปศุสัตว์จะต้องคลุกคลีอยู่กับพวกม้า แกะ วัว ลาตลอดเวลามันจึงสกปรกและเสียพละกำลังมหาศาล ท่านคงจะต้องเหนื่อยขึ้นกว่าเก่าไม่น้อย"  "ข้าไม่รู้สึกหนักใจตรงนี้ เพียงแต่เกรงว่าจะบริหารได้ไม่ดีเท่านั้น"  เมิ่งสีจื่อยิ้มขึ้นว่า "ท่านมีอัจริยภาพด้านการเมืองไฉนต้องถ่อมตัวด้วยเล่า?"  ขงจื่อกล่าวว่า "ในเมื่อใต้เท้าเมิ่งเอ็นดู ข้าก็จะดูแลอย่างสุดกำลังความสามารถแน่นอน"  "แล้วท่านฟูจื่อจะเดินทางไปรับตำแหน่งเมื่อไรดี?"  "แล้วแต่ใต้เท้าจะกรุณา"  "ถ้าเช่นนั้น ก็รับตำแหน่งเสียพรุ่งนี้ไปม?."  ขงจื่อพยักหน้ารับคำ เช้าวันที่สอง ขงจื่อได้ออกเดินทางไปรับตำแหน่งที่กองเกษตรา ครั้นขงจื่อเดินเข้าไปในสนามหน้าจวนว่าการ ก็ได้เห็นกอหญ้ารกรุงรังไปทั่ว  หินกรวดดินทรายกระจัดกระจายทั่วบริเวณอย่างน่ารำคาญตา ครั้นเดินเข้าไปในจวนก็เห็นหยักไย่รุงรังไปทั่วอาคาร ทุกสิ่งรกรุงรังจนมิอาจสรรหาคำใดมาพรรณาความได้อีก ขงจื่อถึงกับต้องถอนใจเฮือกใหญ่ ในขณะที่กำลังหนักใจกับสภาพที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอยู่นั้น ทันใดก็ได้ยินเสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ครั้นเหลียวหลังมองไปที่ประตู ได้เห็นชายชราคนหนึ่งเดินกระโผกกระเผกตรงมาหา ขงจื่อจึงรีบออกไปพยุงโดยมิรอช้า ชายชราถามว่า "ท่านคงเป็นหัวหน้าเกษตราคนใหม่กระมัง?."  ขงจื่อตอบว่า "ใช่"  ชายชรากล่าวว่า "ข้าน้อยเพิ่งได้ทราบข่าวเมื่อเช้านี้เองแต่พวกเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ยังไม่ทราบ มิเช่นนั้นปานนี้ก็คงมารับบัญชาท่านใต้เท้าแล้ว"  ขงจื่อทำหน้าขึงขังว่า "แล้วพวกเขาไปไหนกันหมด?." ชายชราถอนหายใจยาวพลางกล่วว่า "นับแต่หัวหน้าคนเก่าถูกปลดใน ๒ เดือนที่ผ่านมา พวกเราเอาแต่รับเบี้ยหวัดโดยไม่สนใจธุระการงาน วัน ๆ เอาแต่ฆ่าหมูเห็ดเป็ดไก่กินโดยไม่สนใจในหน้าที่"  เพียงชายชรากล่าวจบ ก็มีชายล่ำสันสองคนวิ่งตะลีตะลานเข้ามาในจวน พลางถามชายชราว่า "หัวหน้าคนใหม่อยู่ไหน?."  ชายชราจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาอันขุ่นเคือง พลางชี้ไปทางขงจื่อว่า "ท่านนี้ก็คือหัวหน้ากองเกษตราคนใหม่"  ขงจื่อพูดด้วยเสียงอันเย็นเฉียบว่าแล้วเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมด?."  ชายสองคนต่างอ้ำอึ้งมองหน้ากันไปมา ขงจื่อใช้แววตาอันทรงพลังจ้องมองไปที่ชายทั้งสอง เห็นพวกเขาต่างหลบสายตา และแสดงอาการวิตกจนใบหน้าแดงก่ำ กิริยาท่าทางดูเงอะงะจนวางตัวไม่ถูก ขงจื่อจึงถามพวกเขาว่า "พวกเจ้าชื่ออะไร?." ชายชราตอบแทนพวกเขาว่า "กราบเรียนใต้เท้า คนนี้ชื่อเหอจง  ส่วนคนนั้นชื่อผิงเฉิง  สองคนนี้มีนิสัยที่ใช้ได้ เพียงแต่กิริยาหยาบกระด้างและขี้โมโหไปหน่อยเท่านั้น"  "จุดนี้ข้าพอมองออก" ขงจื่อกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ขงจื่อสั่งให้ชายทั้งสองรับผิดชอบตามเจ้าพนักงานทั้งหมดมารายงานตัวเพียงไม่นาน เหล่าเจ้าพนักงานทั้งหมดก็มายืนเรียงหน้ากระดานรายงานตัวอย่างเรียบร้อย ขงจื่อยืนอยู่บนเชิงบันไดหน้าจวนว่าการ ได้ปั้นสีหน้าให้ดูขึงขังและปราศรัยด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า "พวกเจ้าต่างกินเบี้ยหวัดของบ้านเมือง แต่เหตุใดจึงทิ้งที่ทำการไปเสียเช่นนี้?." เจ้าพนักงาน ๒๐ กว่าคนต่างแสดงอาการเลิ่กลั่ก ขงจื่อย้ำต่อไปอีกว่า "พวกเจ้าลองเบิกตาให้กว้าง ๆ ดูซิ ตอนนี้ที่ว่าการได้กลายเป็นอะไรไปแล้ว"  ทุกคนยังคงเงียบกริบมิพูดจา ขงจื่อกล่าวว่า "ตอนนี้พวกเจ้าจงตามข้าไปที่คอกสัตว์ก่อน"  แต่ครั้นถึงคอกเลี้ยงสัตว์ก็ทำให้ขงจื่อยิ่งต้องหนักใจมากขึ้นกว่าเก่า เพราะรั้วทีขัดแตะด้วยไม้ไผ่ล้วนล้มระเนระนาด ส่วนปฏิกูลมูลสัตว์และปัสสาวะก็ถูกปล่อยทิ้งไว้จนแมลงวันบินหึ่ง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตัวหนอนชอนไชไปมาอย่าน่าสะอิดสะเอียนทั่วบริเวณล้วนส่งกลิ่นเหม็นคละึคลุ้งจนมิอาจทน ครั้นขงจื่อเดินวนไปตามคอก ก็ได้เห็นพวกเหล่าแกะ ม้า  ลา วัว ล้วนผอมโซจนเหลือเพียงกระดูก ขงจื่อมิอาจกลั้นอารมณ์ไว้ได้อีก "ใครรับผิดชอบที่นี่?."      

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        แรกประกาศศักดา 5

        ชายร่างม่อต้อคนหนึ่งเดินด้อม ๆ มารายงานขงจื่อ
ด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา "เรียนใต้เท้า ข้าน้อยรับผิดชอบที่นี่เอง" ชายคนนี้มีชื่อว่า กู่ฮว๋า  มีลักษณะปากแหลม จอนเคราาดังวานร ตาหรี่ดั่งมุสิก ขงจื่อดุเสียงเข้มว่า "ข้าจะให้เวลาเจ้าซ่อมรั้วกวาดมูลสัตว์นี้ให้เสร็จภายใน ๕ วัน และต่อไปจะต้องเก็บกวาดให้เป็นเวลา เข้าใจไหม !" ครั้นขงจื่อเดินไปดูที่คอกม้า ได้หยิบอาหารที่รางหินมาขยี้ดู พบว่ามีแต่หญ้าเปล่าโดยหาได้มีอาหารผสมอยู่ไม่ จึงถามว่า "ม้าที่นี่ไม่ต้องกินอาหารเลยหรืออย่างไร?." กู่ฮว๋าถึงกับอ้ำอึ้งมิอาจพูดจา ข่งจื่อกวาดตามองเหล่าเจ้าพนักงานโดยรอบ และสั่งการด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า "เหอจง  ผิงเฉิง  ต่อไปเจ้าทั้งสองอยู่ช่วยกู่ฮว๋า รับผิดชอบดูแลคอกสัตว์เหล่านี้ให้เรียบร้อย และจะต้องเสร็จให้เร็วที่สุด !"  หลังจากขงจื่อได้เดินสำรวจโดยละเอียด ไม่นานก็สามารถร่างระเบียบการลงโทษและการให้รางวัลขึ้นมา และในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ขงจื่อก็สามารถบริหารงานปศุสัตว์ได้อย่างมีระเบียบ พวกสัตว์ทั้งหลายล้วนถูกเลี้ยงอ้วนพี  วันหนึ่ง เมิ่งสีจื่อได้เดินทางมาตรวจงาน ขงจื่อจึงนำเข้าชมงานปศุสัตว์ทั้งหมด เมิ่งสีจื่อยิ้มอย่างร่าเริงและชมมิขาดปากว่า "ท่านฟูจื่อช่างเป็นบุคคลที่มหัศจรรย์โดยแท้"  แต่ในทันใดก็หุบยิ้มและถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า "สัตว์ต่าง ๆ ล้วนอ้วนพี แต่เหตุใดท่านจึงสั่งมาเพียง ๑๐ตัวเท่านั้นล่ะ?."  ขงจื่อรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ ได้กล่าวขึ้นว่า "ที่ผ่านมาก็ส่งสัตว์ไปให้ใต้เท้าตามที่กำหนดมิได้ขาด คือสุกรเดือนละ ๑๐ ตัว แกะเดือนละ ๑๐ ตัว "  เมิ่งสีจื่อส่ายหน้าแล้วพูดว่า "แต่ข้าได้รับสุกรและแกะเพียงอย่างละ ๕ ตัวเท่านั้น" ในตอนนั้น ขงจื่อเข้าใจว่าจะต้องมีใครทำเรื่องไม่ซื่อเป็นแน่แล้ว อารมณ์จึงห่อเหี่ยวและพูดกับเมิ่งสีจื่อว่า "ใต้เท้า เรื่องนี้มีเงื่อนงำ รอให้ข้าน้อยตรวจสอบให้ถี่ถ้วนก่อน แล้วจะรีบรายงานให้ใต้เท้าทราบทันที"  เมิ่งสีจื่อมีความรู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง จึงเดินทางกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว  ขงจื่อเดินทางกลับจวน แล้วเรียกตัวกู่ฮว๋า  เหอจง  ผิงเฉิงมาสอบสวนทันทีว่า "ใครรับผิดชอบส่งสัตว์ไปให้ใต้เท้าเมิ่งซุน?."  กู่ฮว๋าพูดตะกุกคะักักด้วยความหวาดวิตกว่า "ข้าน้อย...รับ...ผิดชอบ..ส่ง..ไปเอง"  ขงจื่อถามว่า "เจ้าส่งไปเดือนละเท่าไหร่?."  กู่ฮว๋ากะพริบตาปริบ ๆ และพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า "เดือน...ละ..๑๐ ตัว" ขงจื่อซักต่อไปว่า "สุกร แกะ อย่างละ ๑๐ ตัวหรือสองอย่างรวมกัน ๑๐ตัว"  กู่ฮว๋าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ และแข็งใจพูดว่า "สุ...ก..ร ๑๐ตัวแ..ก..ะ..๑๐ ตัว"  "แล้วทำไมใต้เท้าเมิ่งซุนจึงได้รับอย่งละ ๕ ตัว ?."  "คือ..." ขงจื่อตำหนิเสียงดังว่า "รีบสารภาพมาโดยดี" กู่ฮว๋ารีบคุกเข่าอย่างรู้ผิด ได้พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "ข้าน้อย...ขา..ยไป..หมด..แล้..ว  "แล้วเงินที่ได้ล่ะ?."  "ข้..าน้อยใช้จน...หม...ดแล้ว" ขงจื่อคิดหนักอยู่พักใหญ่ ได้กล่าวขึ้นว่า "คนถ่อยอย่างเจ้ายังจะทำงานหลวงได้อีกหรือ?."  ในตอนนั้นจึงตัดสินปลดกู่ฮว๋าและลงโทษให้หาเงินมาใช้คืนทั้งหมด หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ขงจื่อได้ตระหนักถึงความมืดมิดของวงราชการและจิตใจของคนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเก่า จึงทำให้เกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากอยู่ในวงราชการต่อไปอีก เพราะขงจื่อไม่เคยคิดมาก่อนว่า แม้แต่ในกองงานปศุสัตว์เล็ก ๆ ก็ยังมีคนถ่อยที่คอยกัดกร่อนสังคมถึงเพียงนี้ ด้วยความรู้สึกเสียดาย เจ็บแค้น และรู้สึกผิดที่ได้บกพร่องต่อหน้าที่ จึงทำให้ขงจื่อเกิดความคิดใหม่ต่ออนาคตขึ้น        

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    มารดาถึงแก่กรรม 

        ขงจื่อได้เดินทางเข้าพบเมิ่งสีจื่อ และนำความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกของกู่ฮว๋า รายงานให้ทราบตั้งแต่ต้น จากนั้นได้กล่าวขึ้นว่า "ข้าน้อยได้รับการสนับสนุนจากใต้เท้า พระคุณนี้จะมิมีวันลืมเลือน แต่หลังจากที่ได้ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าน้อยตัวสินใจว่า จะไม่ขอข้องเกี่ยวกับงานการเมืองอีก"
ครั้นเมิ่งสีจื่อได้ฟังก็ตกใจยิ่ง จึงถามว่า "ท่านฟูจื่อได้ตัดสินคดีนี้อย่างเหมาะสมแล้ว สมควรที่จะได้รับรางวัลตอบแทนต่างหาก แต่ไยจึงคิดจะลาออกจากราชการเสียเล่า?."  ขงจื่อกล่าวว่า "ทำรชการเพื่อรับใช้ชาติ คือปณิธานของข้าน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นข้าน้อยจึงได้รับตำแหน่งเกษตราธิการ และดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ดินจนครบถ้วน บัญชีรายการมีความโปร่งใส ครั้นข้าน้อยรับผิดชอบงานปศุสัตว์ก็เลี้ยงดูจนวัวแกะอ้วนพี หากเจ้าพนักงานมีความเกียจคร้าน ข้าน้อยก็อบรมด้วยคุณธรรมความรู้ ครั้นผิดต่อกฏข้อบังคับ ก็จะทำการลงโทษด้วยกฏหมายบ้านเมือง สำหรับข้าน้อยเอง เมื่อได้ลองถามใจดูแล้วก็หาได้พบสิ่งทีต้องละอายต่อหน้าที่ไม่ เพียงแต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน บัดนี้ราชสำนักอ่อนระโหยโรยลา มหาธรรมไม่อาจขจรให้กว้างไกล ศีลธรรมจรรยานับวันมีแต่เสื่อมเสียหาย  ดังนั้น แม้ภาษีจะโปร่งใส คอกวัวปศุสัตว์จะสมบูรณ์ หรือกระทั่งเจ้าพนักงานจะสุจริตขันแข็งเพียงใดก็ตามแต่ก็หาได้จรรโลงให้เกิดความรุ่งเรืองแห่งราชสำนัก และความมั่นคงแห่งเมืองหลู่ ไม่เป็นดั่งสุภาษิตที่ว่า "น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ" เมิ่งสีจื่อถามว่า "ในความเห็นของท่านฟูจื่อ คิดว่าควรทำประการใด?." ขงจื่อกล่าวว่า "เราต้องผลักดันระบบการปกครองโดยเมตตาธรรมของพระเจ้าโจวเหวินหวังและพระเจ้าโจวอู่หวังให้ปรากฏ ปลดล้างพวกเหล่าข้าราชบริพารที่ทุจริต ส่งเสริมเมธีปราชญ์เข้าบริหารแผ่นดิน เช่นนี้เมืองหลู่ก็จะเข้มแข็ง ประชาชนก็จะมั่งคั่ง ถึงครานั้น แม้แต่เหล่าปราชญ์วิญญูจากต่างแดนก็จะทยอยกันเข้าหา"  ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ทันใดได้มีคนใช้เข้ามารายงานว่า "ใต้เท้าเมิ่ง มีคนจะขอเข้าพบครับ"  ไม่นานได้มีเด็กหนุ่มวิ่งเข้ามาด้วยอาการตื่นตระหนก คน ๆ นี้มีรูปร่างปานกลาง ร่างกายกำยำ  ใบหน้าสีคล้ำอมแดง ขงจื่อจำได้ในทันทีว่าคือ เหยียนโจ้วนั่นเอง  เหยียนโจ้ว มีอีกชื่อหนึ่งว่า อู๋โจ้ว  ฉายา จี้ลู่ จึงมีคนเรียกอีกนามหนึ่งว่า  เหยียนลู่  มีความเป็นอยูอัตคัด เกิดเมื่อสมัยปีหลู่เซียงกงศกที่ ๒๗  (๕๔๖ ปีก่อนคริสตศักราช)  ใช้ชีวิตกับการเลี้ยงโคกระบือ เป็นเพื่อนขงจื่อมาแต่เยาว์วัย ครั้นขงจื่อเห็นเหยียนลู่วิ่งมาอย่างกระหืดกระหอบ จึงถามอย่างร้อนใจว่า "น้องรักเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงกระหืดกระหอบมาเช่นนี้ ?." เหยียนลู่กล่าวว่า "พี่ เมื่อสักครู่ข้าแวะไปที่บ้านของท่าน พบว่าแม่ของท่านนอนป่วยอยู่บนเตียง พี่รีบกลับไปเยี่ยมท่านจะดีกว่า"  ครั้นขงจื่อได้ฟังก็สั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ จึงรีบคำนับอำลาเมิ่งสีจื่อ และเดินทางกลับบ้านอย่างร้อนรน เมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นมารดานอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอันซีดเซียว ดวงตาปิดแน่น มีเพียงภรรยาที่ปรนนิบัติอยู่ข้าง ๆ อย่างตกอกตกใจ ในตอนนั้น ข่งหลี  มีอายุเพียง ๔ ขวบ กำลังโยกเตียงย้ายเก้าอี้อย่างซุกซน เสมือนว่าไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านทั้งสิ้น  ทั้งนี้ ขงจื่อยังมีลูกสาวที่เพิ่งกำเนิดได้ไม่นานอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า อู๋เหวย  ที่กำลังหัดพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพย์  ขงจื่อรีบโผเข้ากอดมารดาข้างเตียงว่า "ท่านแม่ !  ท่านแม่เป็นอะไรไป?. ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?."   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              มารดาถึงแก่กรรม  2 

        เจิงจ้่ายค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองข่งชิวด้วยน้ำตา
เสียงไอขอกแขกอย่างไร้เรี่ยวแรงบ่งบอกว่านางกำลังจะสิ้นใจ "แม่รู้สึกหายใจอึดอัด คิดว่าแม่คงอยู่กับเจ้าไม่ได้นานแล้วล่ะ" ขงจื่อกล่าวว่า "ไม่ !  แม่อายุยังไม่ถึง 40 เลย แม่อย่าคิดในแง่ร้ายอย่างนี้ซิ เดี๋ยวลูกจะรีบตามหมอมารักษา อีกไม่นานแม่ก็จะหายเอง" เจิงจ้ายส่ายศีรษะอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า "ไม่ทันแล้วล่ะ ไม่มีประโยชน์หรอก" ขงจื่อลุกขึ้นเตรียมวิ่งไปหาหมอ แต่เจิงจ้ายได้ใช้สุดแรงที่มีคว้ามือขงจื่อไว้ "ลูก ! ในที่สุดลูกก็ไม่ได้ทำให้ท่านพ่อและท่านตาต้องผิดหวัง ลูกตั้งใจเล่าเรียนศึกษา ทั้งตอนนี้ยังมีตำแหน่งหน้าที่การงานอีก ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ แต่อย่างน้อยก็เป็นตำแหน่งราชการ ลูกต้องจำไว้ว่าจะทำงานด้วยความสุจริตยุติธรรม อย่าได้คลุกคลีกับพวกคนพาลที่คอยกัดกร่อนประเทศชาติอย่างเด็ดขาด แม้จะไม่สามารถทำการอันใหญ่โต แต่ลูกก็จะต้องดำรงความเที่ยงธรรมอย่างที่ท่านตาของลูกได้สั่งเสียเอาไว้" ขงจื่อกล่าวว่า "ลูกจะจดจำโอวาทของท่านแม่ไว้" เจิงจ้ายกล่าวต่อไปอีกว่า "คำสั่งเสียของท่านตาจะต้องจดจำเอาไว้ให้ดีเพื่อให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับประกอบหน้าที่ต่อไปในภายหน้านะ"  เจิงจ้ายหลับตาคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อไปอีกว่า "พี่ของลูกพิการมาแต่เด็ก ลูกจะต้องดูแลเขาให้ดี"  ยังไม่ทันทีขงจื่อรับคำ เมิ่งผีก็วิ่งเข้ามาถึง ครั้นได้ยินเจิงจ้ายกล่าวเมื่อครู่ก็พิลาปคร่ำครวญว่า "ท่านแม่ !  ท่านแม่อย่าทิ้งพวกเราไปนะ !" เจิงจ้ายดึงมือเมิ่งผีและกล่าวว่า "แม่ไม่ไหวแล้วล่ะตระกูลของเรามีคุณต่อแคว้นหลู่มาก่อน พวกเจ้าทั้งสองจะต้องสานปณิธานของตระกูลสืบไป"  ในตอนนั้น  ราตรีเริ่มโรยเข้าปกคลุมภายในห้องเริ่มมืดมิดด้วยเงาดำแห่งรัตติกาล ฉิกวนซื่อจุดตะเกียงน้ำมันดวงน้อย แสงตะเกีบงสาดกระทบใบหน้าอันขาวซีดของเจิงจ้ายจนกลายเป็นสีเหลืองหม่น  ทุก ๆ คนต่างห้อมล้อมอยู่รอบเตียงนอน ขงจื่อกล่าวกับเหยียนลู่ว่า "ตอนนี้ข้าคงจะปลีกตัวไปไหนไม่ได้แล้ว น้องรัก ! คงจะต้องรบกวนให้น้องไปตามหมอให้แล้วล่ะ"  เหยียนลู่ รีบปราดออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานเหยียนลู่ได้กลับมาพร้อมกับหมอ  หลังจากหมอได้ตรวจชีพจรเสร็จ ได้ดึงขงจื่อออกไปพูดด้วยน้ำเสียงอันหนักหน่วงว่า "ชีพจรอ่อนแรง ลมหายใจแผ่วเบา ท่านรีบ ๆ จัดการเรื่องที่เหลือเถอะ !" พูดจบหมอก็เดินจากไป  คนในครอบครัวน้อยใหญ่ต่งห้อมล้อมอยู่รอบเจิงจ้าย ทุกสายตาต่างภาวนาให้เจิงจ้ายมีเรี่ยวแรงพูดจาได้อีก และเพื่อที่จะฟังเสียงของเธอได้ถนัด ทุกคนจึงต่างเงียบสงบจนไม่อนญาตให้ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ เวลาได้ผ่านไปอย่งเชื่องช้า พวกเขาต่างตั้งตารอคอยจวบจนรุ่งสาง ในที่สุดนางได้ลืมตาขึ้นมองอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง แสงตะวันได้สาดรอดหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง เจิงจ้ายเผยอปาก ทำท่าจะพูดจา ขงจื่อรู้ดีว่านี่คือคำสั่งเสียครั้งสุดท้าย จึงยืนตัวตรงเพื่อสดับโอวาทของมารดาอย่างเรียบร้อย เจิงจ้ายพูดอย่างตะกุกตะกักว่า "ลูกต้องมีเมตตาธรรม ต้องรับใช้ประเทศชาติ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม่ปิดบังลูกมาโดยตลอด พ่อ...พ่อ...ของเจ้า...ฝัง...อยู่...ที่..."  "พ่อฝังอยู่ที่ไหน ?. แม่ !  พ่อฝังอยู่ที่ไหน ?."  "อยู่ที่..." นางใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย แต่ก็หาอาจพูดให้จบได้ไม่ นางค่อย ๆ หรี่ตาลงอย่างสงบ และอำลาทุกคนไปอย่างมิอาจหวนตืน เวลานั้นตรงกับปีหลู่เจากงศกที่ ๑๔ (๕๒๘ ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู  สิริอายุ ๓๙ ปี ทุกคนต่างร่ำไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจ ขงจื่อมีความเห็นว่าจะฝังมารดาร่วมกับบิดา แต่สุสานของบิดาอยู่ที่ไหนเล่า?.   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                     มารดาถึงแก่กรรม 3 

        ที่แท้หลังจากสูเหลียงเฮ่อได้ถึงแก่กรรมแล้ว เจิงจ้ายเป็นห่วงว่าเมิ่งผี และ ข่งชิว จะวุ่นอยู่แต่การดูแลสุสานจนละทิ้งการเรียน ดังนั้นจึงปกปิดตำแหน่งสุสานมาโดยตลอด โดยตั้งใจจะบอกให้ทราบก่อนสิ้นใจ
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว อนึ่ง พวกเขาทุกคนต่างย้ายถิ่นฐานจากโจวอี้ไปที่ฉวี่ฮู่ หลังจากที่สูเหลียงเฮ่อได้ถึงแก่กรรม ดังนั้นจึงไม่มีเพื่อนบ้านคนใดที่ทราบที่ตั้งของสุสาน ด้วยความจนใจ ขงจื่อจึงปรึกษากับพี่ชายว่าจะนำโลงศพของมารดาไปตั้งอยู่ที่ปากตรอกอู้ฟู่ เผื่อว่าจะมีคนสัญจรที่รู้ตำแหน่งสุสานจะกรุณาให้ความช่วยเหลือได้ ในขณะนั้นมีหญิงชราวัย ๕๐ คนหนึ่งเดินเข้ามาคำนับศพ หลังคำนับศพเสร็จได้หันมากล่าวกับขงจื่อและเมิ่งผีว่า "ข้าคือมารดาของวั่นฟู่มั่น เป็นเพื่อนสนิทกับคุณแม่ของเจ้า เรื่องตำแหน่งสุสานของพ่อเจ้า ข้าสามารถช่วยเจ้าได้"  ขงจื่อกับเมิ่งผีรีบก้มกราบหญิงชราท่านนั้นว่า "ขอให้ท่านป้ากรุณาด้วยเถิด"  หญิงชราได้บอกตำแหน่งสุสานของสูเหลียงเฮ่อแก่ทั้งสอง หลังจากทั้งสองได้กราบขอบพระคุณหญิงชราท่านนั้นแล้วก็ชะลอศพไปที่ภูเขาฝางซัน ภูเขาฝางซันได้ทอดยาวจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก โโยมีลักศณะลาดต่ำจากตะวันออกไปสู่ตะวันตก ทั้งหมดจึงเริ่มเดินขึ้นสันเขาไปอย่างช้า ๆ บนสันเขาจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมดของภูเขาฝางซันที่คดเคี้ยวประหนึ่งมังกรที่นอนหลับใหล ณ ที่ราบบนสันเขาได้มีต้นสนขึ้นประปรายตามที่หญิงชราท่านนั้นได้พรรณา ทั้งหมดจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินทางต่อไป ครั้นมาถึงสุสานของสูเหลียงเฮ่อแล้ว ทั้งขงจื่อและเมิ่งผีต่างคุกเข่ากันกราบบิดา จากนั้นจึงยึดตามหลักภูมิโหราศาสตร์ โดยขุดดินให้ตำแหน่งสุสานหันไปทางทิศเหนือทิศใต้ จากนั้นจึงนำโลงศพมารดาหย่อนลงสู่พื้นพสุธาให้อยู่เคียงข้างบิดาตลอดกาลนาน หลังเสร็จสิ้นพิธีปลงศพไปแล้ว 3 วัน ขงจื่อยังคงนั้นเศร้าสร้อยเงียบ หงอยอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่ง เหยียนลู่ได้วิ่งพรวดพราดเข้ามาหา และพูดอย่างรีบร้อนว่า "เมื่อสักครู่ข้าเดินผ่านถนนใหญ่มา ได้ยินชาวบ้านโจษขานกันว่า พ่อบ้านที่ชื่อหนันขว่ายของอุปราชจี้ได้ก่อการกบฏที่บี้อี้แล้ว"  ครั้นขงจื่อได้สดับก็เพ่งมองเหยียนลู่ด้วยสีหน้าตกตะลึงเหยียนลู่เล่าต่อไปอีกว่า "ชาวเมืองปี้อี้ต่างรวมตัวกันต่อต้าน หนันขว่ายจึงพ่ายแพ้หลบหนีไป ตอนนี้ได้ลี้ภัยไปอยู่ที่แคว้นฉีแล้ว"  ครั้นทราบว่าสงครามได้สงบลง ขงจื่อจึงค่อยหายใจได้โล่งท้อง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      มารดาถึงแก่กรรม 4 

     ขงจื่อได้ส่งเหยียนลู่กลับ จากนั้นได้เดินไปหยิบคัมภีร์อี้จิง *
และพยายามรวบรวมสมาธิอ่าน แต่ก็หาอาจรวบรวมสมาธิได้ไม่  เพราะคำพูดของเหยียนลู่ยังคงกึกก้องอยู่ในโสตประสาทมิคลาย  ภาพพฤติกรรมของจื้อผิงจื่อได้ลอยปรากฏออกมาในห้วงความคิด เมื่อหลายปีก่อน จี้ผิงจื่อเคยทำการอุกอาจเหยียดหยามจริยธรรม โดยไปบูชาเซ่นสรวงเทพเจ้าแห่งภูเขาไท่ซัน ซึ่งตามจารีตประเพณีของราชโจวได้กำหนดไว้ว่า มีเพียงพระมหากษัตริย์และบรรดาเจ้าแคว้นเท่านั้นที่สามารถกระทำได้  ขงจื่อรู้สึกเป็นห่วงว่า อาจมีสักวันที่จี้ผิงจื่อคงก่อการกบฏอย่างที่หนันขว่ายได้ทำแน่นอน ถึงแม้จะเป็นเพียงพฤติกรรมช่วงชิงอำนาจธรรมดาก็ตาม แต่ที่เดือดร้อนที่สุดก็คืออาณาประชาราษฏร์ ซึ่งสุดท้ายก็จะนำมาซึ่งความวิบัติของบ้านเมืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ขงจื่อรู้ดีว่าฐานะของตนในตอนนี้ก็คงทำได้แค่ร้อนใจเท่านั้น อย่างไรก็มิอาจพลิกผันสถานการณ์ได้ดังที่ใจหมาย แต่ขงจื่อก็ยังคงเฝ้าหวังให้มีโอกาสที่จะร่วมงานการเมืองมาถึงอยู่เสมอ ตามประเพณีในสมัยนั้น หากบุพการีได้ถึงแก่กรรม ผู้เป็นบุตรจะต้องไว้ทุกข์ให้กับบุพการีเป็นเวลาสามปี ในช่วงสามปีนี้ ขงจื่อจึงปฏิเสธการต้อนรับแขกและตั้งใจศึกษาตำราอยู่มิขาด แต่ก็มีเพียงเหยียนลู่เท่านั้นที่มักจะเป็นแขกประจำมาเยี่ยมหา อีกทั้งยังทำหน้าที่บอกเล่าสถานการณ์บ้านเมืองให้รู้อยู่เสมอ ถึงแม้เหยียนลู่จะมีชาติกำเนิดเพียงเด็กเลี้ยงวัว แต่ก็มีความห่วงใยบ้านเมือง ไม่ด้อยไปกว่าใคร ดังนั้น เขามักจะปะปนเข้าไปในฝูงชน และคอยสดับฟังคำวิจารณ์ปัญหาบ้านเมืองจากชาวบ้านอยู่มิขาด ปีหลู่เจากงที่ ๑๗ (๕๒๕ ปีก่อนคริสตศักราช)วสันตฤดู เจ้าเมืองแห่งเมืองถัน ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของแคว้นหลู่  ได้มาขอเข้าพบหลู่เจากง ที่เมืองถันแห่งนี้จะมีประเพณีที่นิยมวิหคเป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นจึงมักจะนำวิหคมาทำเป็นเครื่องประดับหรือตั้งเป็นชื่อเมืองต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย ขงจื่อมีความสนใจใคร่รู้ถึงความเป็นมาของประเพณีนี้มาเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสที่จะได้ถามไถ่ข้อเท็จจริงนี้เสียที ดังนั้นครั้นเหยียนลู่ได้ทราบข่าวการมาเยือนของถันจื่อจึงรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งข่าวให้ขงจื่อทราบทันที ในตอนนั้น ขงจื่อพึ่งไว้ทุกข์ครบสามปีพอดี ดังนั้น ครั้นทราบว่าเจ้าเมืองถันได้เดินทางมาเยือนก็รีบตามเหยียนลู่ไปที่วังหลวงโดยมิรอช้า แต่เมิ่งสีจื่อกล่าวว่า "ช่างบังเอิญจริง ๆ พวกเขาเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี่เอง"  ครั้นขงจื่อได้สดับก็รู้สึกผิดหวังเป็นยิ่งนัก หลังเข้าสู่ฤดูสารทในปีเดียวกัน ถันจื่อได้มาเยือนเมืองหลู่อีกเป็นครั้งที่สอง เมิ่งสีจื่อจึงรีบส่งคนไปแจ้งให้ขงจื่อทราบ  ขงจื่อได้เดินทางเข้าคารวะถันจื่อ พลางถามขึ้นว่า "กระหม่อมได้ทราบมาว่าทางบ้านเมืองของฝ่าบาทมีความนิยมวิหคจนถึงกับนำมาตั้งเป็นชื่อของสิ่งต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย มิทราบว่าประเพณีนี้มีความเป็นมาเช่นไร?. จึงขอให้ฝ่าบาททรงพระกรุณาด้วยพ่ะ่ย่ะค่ะ

หมายเหตุ   :  คัมภีร์อี้จิง (หมายถึงคัมภีร์พีจันทร์) เป็นชื่อของหนังสือปรัชญาในสมัยโบราณ ประพันธ์โดยกษัตริย์ฝูซี  คำว่าอี้ (     )  จะประกอบด้วยอักษรจีนสองตัวคือ............ (สุริยัน เป็นตัวแทนของหยาง) ..........(จันทรา เป็นตัวแทนของเหยิน)  คัมภีร์พีจันทร์ จึงหมายถึง คัมภีร์ที่ว่าด้วยศาสตร์แห่งฟ้าดิน ได้อธิบายถึงความหมายของปากั้ว (          )  อันเป็นขันธ์ทั้งแปด  (อัฏฐขันธ์) ที่ประกอบกันเป็รูปแปดเหลี่ยม ซึ่งประกอบด้วยนภาขันธ์   ธาราขันธ์   อัคคีขันธ์   อสนีขันธ์   วายุขันธ์   วารีขันธ์   คีรีขันธ์   ธรณีขันธ์   ขันธ์ทั้งแปดยังสามารถผสมเป็น ๖๔ ขันธ์ ซึ่งต่างแฝงรหัสยนัยที่สามารถไขปริศนาของโลกได้อย่างมหัศจรรย์       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    มารดาถึงแก่กรรม 5 

          ตามคำร่ำลือ เจ้าเมืองถันทรงเป็นอนุชนของพระอริยกษัตริย์หวงตี้ในสมัยโบราณ [/b]ด้วยความทนงในขัตติยมานะ พระองค์จึงทอดพระเนตรแลขงจื่อด้วยสายพระเนตรอันถือพระองค์ แลตรัสว่า "ในสมัยที่บรรพบุรุษของเราได้ทรงก่อรากสร้างฐานประเทศชาติใหม่ ๆ ได้มีนกหงส์บินมาเกาะทีต้นอู่ถง ๒ ตัวบรรพบุรุษของเราถือเป็นเรื่องสิริมงคล ดังนั้นจึงได้ถือนกหงส์เป็นนกมงคลนับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งนี้เรายังใช้ชื่อนกหลากชนิดมาตั้งเป็นชื่อตำแหน่งขุนนางอีกด้วย"  หลังเกริ่นจบก็ทรงแนะนำตำแหน่งขุนนางในสมัยนันให้ฟังโดยละเอียด แต่เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นขงจื่อให้ความสนใจอย่างนบนอบ ถันจื่อจึงทรงแนะนำวัฒนธรรมประเพณีของเมืองถันให้ฟังเพิ่มเติมด้วยความยินดี แต่หลังจากทรงทราบในภายหลังว่า ผู้ที่พระองค์สนทนาด้วยคือขงจื่อที่ใฝ่ฝันใคร่พบมานานกิริยามารยาทจึงสำรวมขึ้นอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ "ได้ยินกิติศัพท์ของท่านมานาน ขออภัยที่เสียมารยาท !  ขออภัยที่เสียมารยาท !" หลังจากทั้งสองสนทนาจบ ขงจื่อจึงกล่าวขอบคุณและคำนับลาจากไป ปีหลู่เจากงศกที่ ๑๘ (๕๒๔ปีก่อนคริสตศักราช)  เมืองซ่ง  เมืองเว่ย  เมืองเฉิน  เมืองเจิ้ง  ต่างเกิดอัคคีภัยกันตามลำดับ ที่เมืองเจิ้งมีคนเสนอให้ทำพิธีบูชาฟ้าว่า "หากเราได้ทำพิธีบูชาฟ้าเพื่อปัดเป่าเภทภัย เมืองเจิ้งจะต้องมีอัคคีภัยเป็นแน่"  ครานั้น อุปราชเมืองเจิ้ง นามว่าจื๋อฉั่น  ผู้อยู่ฝ่ายบริหารกล่าวค้านขึ้นว่า "การปกครองดูแลใต้หล้าของฟ้านั้นเป็นไปแบบเลือนลาง หากการปกครองของมนุษย์ต่างหากที่เป็นจริงและจับต้องได้ ในเมื่อเราไม่ได้เจริญตามครรลองฟ้าแล้วใยจะเข้าใจฟ้าได้ !"  จื๋อฉั่น เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ รู้จักอุปถัมภ์คนดีผู้สามารถ ในยามที่ต้องตัดสินปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง จื๋อฉั่นมักจะขอความเห็นจาก กงชุนฮุย  ที่มีความเข้าใจสถานการณ์ของแต่ละแว่นแคว้น อีกคอยสดับความเห็นจากประชาชน แล้วจึงให้ เฝิงเจี๋ยนจื่อ ที่มีความสันทัดการวิเคราะห์เหตุผล เป็นผู้ตัดสิน สุดท้ายจึงจะให้  อิ๋วจี๋  ที่เชี่ยวชาญในการต่างประเทศไปดำเนินการ ด้วยการดำเนินการอย่างรัดกุมเช่นนี้ การตัดสินใจของ จื๋อฉั่น จึงไม่เคยพลาดแต่อย่างใด  เมืองเจิ้งอยู่ภายใต้การบริหารของจื๋อฉั่นเป็นเวลา ๓ ปี สังคมล้วนปกติสุข นโยบายต่างประเทศล้วนสประสบกับความำเร็จงดงาม ทัศนะการทำงานของจื๋อฉั่นที่มุ่งแน้นการทำงานอย่างรอบคอบ คอยห่วงใย  ทำนุบำรุงประเทศชาติ โดยวัดที่ผลของการกระทำแทนการพึ่งฟ้าอย่างเลื่อยลอยฉะนี้ ได้มีอิทธิพลต่อทัศนะความคิดของขงจื่อเป็นอย่างมาก ดังนั้น ทุกครั้งที่ขงจื่อได้ทราบข่าวความสำเร็จด้านการบริหารบ้านเมืองของจื๋อฉั่น ขงจื่อมักจะรู้สึกยินดีและเลื่อมใสในอาวุโสท่านนี้ จนถึงกับใฝ่ฝันให้มีโอกาสได้กราบจื๋อฉั่นเป็นอาจารย์เพื่อขอร่ำเรียนศิลปะการบริหารประเทศชาติให้ได้ในสักวันหนึ่ง ด้วยการศึกษาร่ำเรียนอย่างแข็งขัน  ภูมิความรู้ของขงจื่อจึงนับวันยิ่งแกร่งกล้าขึ้นตามลำดับ ในกิจวัตรประจำวัน ขงจื่อนอกจากจะสอนลูกชายคือขงหลี และลูกสาวคือข่งอู๋เหวย ให้ท่องศัพท์แล้ว ท่านก็จะขับลำทอดอารมณ์ไปกับเสียงพิณ ปล่อยให้ความรู้สึกได้ดื่มด่ำไปกับจังหวะทำนองเพลง ทำใจใหเกลมกลืนกับธรรมชาติแห่งดนตรี แต่ขงจื่อรู้สึกว่าเสียงพิณของตนยังขาดเสียงทุ้มสุขุมอยู่ ขงจื่อได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายดนตรีแห่งเมืองจิ้นนามว่า ซือเซียงจื่อ  ว่าเป็นผู้ที่มีความชำนาญในดนตรีประเภทเครื่องสาย ในใจจึงคิดจะหาโอกาสไปขอเรียนวิชาด้วยอยู่เสมอ ดังนั้น ในปีหลู่เจากงศกที่ ๑๙ (๕๒๔ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู ขงจื่อได้บอกลาเพื่อนสนิทมิตรสหายและออกเดินทางไปเรียนวิชาพิณ ด้วยซือเซียงจื่อ ที่แคว้นจิ้น เป็นเวลา ๑๐ กว่าวัน ก็ถึงเชิงเขาไท่หังซัน ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาล้วนเป็นหนทางอันทุรกันดาร ภูมิประเทศมีความสลับซับซ้อน แต่หลังจากได้ข้ามภูเขาไท่หังซันไปแล้ว ความสลับซับซ้อนของภูมิประเทศกลับกลายเป็นที่ราบสูงดินเหลืองที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา ในช่วงวสันตฤดู  ที่ราบสูงดินเหลืองจะมีลมพัดกรรโชกแรง เม็ดทรายเหลืองที่ม้วนตัวมากับสายลมจึงมีอานุภาพเหมือนดั่งกระสุนที่พุ่งกรีดใบหน้าอย่างเจ็บปวด ขงจื่อมิอาจก้าวเดินหรือลืมตาได้แม้แต่น้อย  บ่อยครั้งจึงต้องหยุดป้องตารอให้ลมนิ่งจึงจะสามารถเดินทางต่อได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      มารดาถึงแก่กรรม 6

        ในวันนี้  ขงจื่อได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงของแคว้นจิ้น
เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ หนทางสัญจรกว้างขวางและเจริญรุ่งเรือง บ้านช่องห้องแถวล้วนประดับประดาด้วยศิลปะสมัยโบราณ แต่เนื่องจากจิตใจขงจื่อมุ่งแต่จะร่ำเรียนวิชาดนตรี ดังนั้น จึงหาได้มีใจหยุดชมความงามของตัวเมืองไม่ หากแต่เที่ยวเสาะหาที่อยู่ของซือเซียงจื่อ จนมาถึงตรอกเล็ก ๆ ที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง สุดตรอกคือบ้านของซือเซียงจื่อที่ปิดดานด้วยประตูสีดำบานเขื่อง มองลอดเข้าไปในช่องประตูจะสามารถเห็นอักษร ฮก ตัวใหญ่แขวนอยู่บนกำแพง ขงจื่อรีบปัดฝุ่นตามร่างกายให้สะอาด แล้วจับห่วงเหล็กที่เป็นหูประตูเค่าะเรียกเจ้าของบ้านบานประตูค่อย ๆ แง้มออกอย่างช้า ๆ  ขงจื่อสังเกตผู้เปิดประตูอย่างพินิจพบว่าเป็นชายชราหนวดเคราขาวโพลนที่มีใบหน้าอันอารียืนนิ่งอยู่ ขงจื่อรีบก้าวเดินขึ้นคำนับอย่งนบนอบว่า "มิทราบว่าท่านอาวุโสคือซือเซียงจื่อหรือไม่" ชายชราคำนับตอบและกล่าวว่า "ข้าก็คือซือเซียงจื่อ  มิทราบว่าท่านคือผู้ใด?. มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่?" ขงจื่อกล่าวว่า "ผู้เยาว์คือข่งชิวแห่งเมืองหลู่ เดินทางไกลมาในครั้งนี้เพื่อขอเรียนวิชาพิณ จากท่านอาวุโสโดยเฉพาะ" ซือเซียงจื่อพูดขึ้นด้วยใบหน้าอันอันแช่มชื่นว่า "ได้ยินกิติศัพท์ของท่านมาช้านาน ทราบว่าท่านคืออริยชนผู้มีภูมิธรรมความรู้อันสูงส่ง ข้ารู้สึกแค้นใจนักที่มิอาจไปคารวะท่านได้  แต่วันนี้ท่านกลับลดตัวมาเยือนข้าเสียก่อน จึงนับเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก" ขงจื่อกล่าวว่า "กิตติศัพท์ของท่านอาจารย์เลื่องลือไกล ทั้งสี่คาบสมุทรล้วนกล่วานในวิชาความรู้ของท่าน  ข้ารู้สึกเลื่อมใสท่านมานาน ดังนั้นจึงมาขอฝากตัวเรียนวิชาจากท่านในการนี้โดยเฉพาะ" ซือเซียงจื่อกล่าวว่า "เพียงคำร่ำลือ ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ ในเมื่อท่านฟูจื่ออุตส่าห์รอนแรมมาแต่ไกล ก็ขอเชิญเข้ามาที่กระท่อมน้อยของข้านั่งจิบชาพักผ่อนก่อนถอะ" หลังจากทั้งสองต่างแยกนั่งกันตามธรรมเนียม ซือเซียงจื่อกล่าวขึ้นว่า "ท่านฟูจื่อบุกฝ่าลมฝนมาแต่ไกล เพียงแค่นี้ก็สามารถพิสูจน์ถึงความจริงใจของท่านได้แล้ว  ข้าจะต้องถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดที่มีให้แก่ท่านอย่างแน่นอน" ขงจื่อโค้งกายคารวะว่า" ขอบพระคุณเป็นยิ่งนัก" ซือเซียงจื่อกล่าวว่า"ข้ารับราชการอยู่ฝ่ายเครื่องตี ดังนั้นจึงพอดีดพิณได้บ้างเล็กน้อย เดี๋ยวข้าจะลองเล่นให้ฟังสักเพลงหนึงก็แล้วกัน"   พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยมุมห้อง ซือเซียงจื่อเอื้อมมือปลดผ้าคลุมสีดำออก ที่ปรากฏคือพิณโบราณสีดำขลับที่ต้องแสงไฟจนวาววับจับตา หลังจากได้ปรับสายพิณจนเรียบร้อยแล้ว ซือเซียงจื่อก็รวบรวมสมาธิและเริ่มกรีดนิ้วร่ายมือบนสายพณอย่างคล่องแคล่ว สายพิณสั่สสะท้านออกเป็นเสียงดนตรีตามจังหวะนิ้วมือ เดี๋ยวก็หนักแน่นทรงพลัง เดี๋ยวก็เชื่องช้าอย่างนุ่มนวล  ทั้งหมดได้ผสมผสานจนกลายเป็นมนต์ขลังที่สะกดใจขงจื่อจนเคลิบเคล้มไปตามทำนองอย่างไม่รู้ตัว  ทุกอนูขุมขนของขงจื่อได้ตื่นตัวดื่มด่ำกับความสุขแห่งเสียงเพลง  ทั่วทั้งสรรพางค์กายมีความรู้สึกซาบซ่านอย่งยากบรรยาย ความเหน็ดเหนื่อยหิวกระหายตลอดการเดินทางได้ถูกขับไล่ไปจนหมดสิ้น ซือเซียงจื่อ จะทำการอธิบายให้ฟังโดยละเอียดทุกครั้งที่จบเพลง ส่วนขงจือก็ตั้งใจจดจำอย่างแม่นยำ ครั้นซือเซียงจื่อได้เห็นขงจือมีความตั้งใจเรียนรู้อย่างนอบน้อม จึงรู้สึกปิติยินดีและถ่ายทอดวิชาความรู้ที่สะสมมาตลอดหลายสิบปีให้จนหมดสิ้น ขงจื่อรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ทั้งสองจึงปฏิบัติต่อกันประหนึ่งว่าเคยเป็นสหายเก่ากันมานาน ในคืนวันนั้น ซือเซียงจื่อได้จัดเลี้ยงต้อนรับขงจื่ออย่างสมเกียรติ และเชิญให้ขงจื่ออยู่พักอาศัยด้วยกันที่บ้าน นับแต่นั้น ทั้งสองจึงต่างแลกเปลี่ยนวิชาให้กันทั้งเช้าแลค่ำ โดยมิรู้เหนื่อย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         มารดาถึงแก่กรรม 7

        นับแต่ขงจื่อได้รับการชี้แนะจากซือเซียงจื่อ วิชาพิณก็พัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว 
ฝ่ายซือเซียงจือก็ได้วิชาความรู้จากขงจือจนได้เปิดหูปเิดตาขึ้นอย่างมากมายด้วยเช่นกัน หลังจากทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนความรู้กันเช่นนี้อยู่สิบกว่าวัน วิชาพิณของขงจื่อก็ชำนาญคล่องแคล่วจนสามารถเล่นได้ตามที่ใจปรารถนา วันหนึ่ง ขงจื่อยังคงวนเวียนเล่นแต่เพลงเดิม ๆ ซือเซียงจื่อได้กล่วชมขึ้นด้วยความดีใจว่า "ท่านได้เข้าถึงแก่นแท้ของวิชาพิณแล้ว ส่วนเพลงนี้ท่านก็ชำนาญพอแล้ว ท่านเปลี่ยนเพลงใหม่เล่นเถอะ" ขงจื่อกล่าวว่า "ข้ายังมิอาจเข้าถึงความหมายของบเพลงเลย" ผ่านไปพักใหญ่ ซือเซียงจื่อกล่าวขึ้นว่า "ท่านได้เข้าถึงความหมายของบทเพลงแล้ว เปลี่ยนเล่นเพลงใหม่เถอะ"  ขงจื่อกล่าวว่า"ข้ายังมิอาจเข้าถึงอุปนิสัยของผู้ประพันธ์เลย" ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ขงจื่อนิ่งตรองอย่างสงบ ใบหน้าปรากฏท่วงทีของผู้มองการณ์ไกล ชั่วขณะต่อมาได้อุทานขึ้นด้วยความดีใจว่า อา ! ข้าเข้าใจแล้ว เขามีจิตใจกว้างใหญ่ ปณิธานยาวไกล  บุคลิกสูงล้ำ  คุณธรรมขาวสะอาด นอกจากพระเจ้าโจวเหวินหวังแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถประพันธ์เพลงเช่นนี้ได้อีกเล่า ?. เพราะพระองค์ทรงมีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลจนเสมือนหนึ่งมองกวาดตาไปทั่วหล้า ทรมีคุณธรรมอันบริสุทธิ์จนสามารถผดุงความสันติสุขให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน" ครั้นซือเซียงจื่อได้ฟังก็ก้มกราบขงจื่อ พร้อมทั้งชมว่า ท่านฟูจื่อสมเป็นอริยชนจริง ๆ เมื่อตอนที่ข้าเรียนวิชาพิณกับอาจารย์ ท่านได้บอกว่านี่คือเพลงคุณธรรมเหวินหวัง ช่างวิเศษจริงแท้ ท่านสามารถแตกฉานในความหมายของเพลงได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ช่างหาได้ยากยิ่ง ! ช่างหาได้ยากยิ่ง ! " ขงจือได้แลกเปลี่ยนวิชาพิณกับซือเซียงจื่อตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จนที่สุดได้กลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจของกันและกัน แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ขงจื่อได้รำลึกขึ้นว่า อยู่ร่ำเรียนวิชาพิณกับซือเซียงจื่อถึงเดือนกว่า วันหนึ่ง ขงจื่อได้กล่าวกับซือเซียงจื่อว่า "ข้าได้รับการชี้แนะจากอาวุโสอย่างมากมาย จวบจนวันนี้ก็ได้เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว  ข้าเองก็จะได้เวลากลับมาตุภูมิแล้วล่ะ" แต่ซือเซียงจื่อยังคงรบเร้าให้อยู่ต่อ ขงจื่อทนรบเร้าไม่ได้จึงอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง สามวันให้หลัง ซือเซียงจื่อได้จัดงานเลี้ยงให้แก่ขงจือ หลังจากเสร็จจากงานเลี้ยง ทั้งสองต่งร่ำลากันด้วยความอาลัย ครั้นขงจื่อก้าวเข้าสู่ประตูบ้าน ฉีกวนซื่อ ขงหลีและอู๋เหวย ่างรีบออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ ฉีกวนซื่อช่วยรับห่อผ้าจากขงจื่อ ส่วนลูก ๆ ก็ช่วยกันปักฝุ่นผงให้ขงจื่ออย่างขะมักเขม้น เพียงขงจื่อหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ เหยียนลู่ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าอันแช่มชื่น และกล่าวถามขงจื่อจนมิทันตั้งตัว เหยียนลู่กล่าวว่า "ท่านแตกฉานทั้ง ๖ แขนงวิชาแล้ว ตอนนี้ควรจะรับข้าเป็นศิษย์ได้แล้วสิ" ขงจื่อกล่าวว่า "สำนักศึกษาในอดีตล้วนต้องดำเนินการโดยรัฐจะให้สามัญชนทั่วไปเปิดสำนักรับลูกศิษย์นั้นไม่เคยปรากฏกรณีเช่นนี้มาก่อน พึงรู้ว่าการอบรมลูกศิษย์มิใช่เรื่องว่าเล่น หากสอนไม่ดีก็จะเป็นการำลายอนาคตของผู้อื่นได้" เหยียนลู่กล่าวว่า "ด้วยความรู้อันลุ่มลึกและความจริงใจต่อผู้คนของท่านเช่นนี้ เกรงแต่ว่าพอเปิดสอนก็จะมีฝูงชนหลั่งไหลจนอัดแนนเต็มสำนัก และลูกศิษย์จะพากันบ่นว่าเรียนไม่ทันเสียมากกว่า ไหนเลยที่ท่านจะทำลายอนาคตของนักเรียนได้" ขงจื่อกล่าวว่า "หามิได้ เพราะการตั้งสำนักศึกษาจะต้องตรึกตรองวางแผนอย่างรอบคอบจึงจะถูก"

Tags: