collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน  (อ่าน 45560 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ครูคนแรก 5  :

     เหยียนเซียง ในปัจจุบันเป็นชายชราวัย 60
ที่มีหนวดขาวโพลน สวมชุดที่ตัดด้วยผ้าหยาบพอหลวมตัว ซึ่งโดยปกติเหยียนเซียงก็รักใคร่และเอ็นดูข่งชิวมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว ครั้นได้ทราบจากลูกสาวว่าหลานรักเป็นคนที่รักเรียนใฝ่ศึกษา จึงรีบรับปากโดยไม่รีรอ พลางกล่าวว่า "การศึกษาแต่โบราณจะเน้นศึกษา ๖ แขนงวิชาคือ จริยา  คีตะ  เกาทัณฑ์  อาชายาน  นิรุกติ์  คำนวน หรือก็คือ ๖ วิทยาที่ในปัจจุบันเรียกกัน สำหรับหลานของพ่อคนนี้ พ่อก็รักดุจแก้วตาดวงใจอยู่แล้ว ฉะนั้นพ่อต้องถ่ายทอดความรู้ทั้งหมด เพื่อให้หลานคนนี้ได้เป็นสดมภ์หลักของชาติบ้านเมืองอย่างแน่นอน เพียงแต่พ่อจะสันทัดเพียง  จริยา  คีตะ  นิรุกติ์  และการคำนวน  ส่วนด้านอาชายานและเกาทัณฑ์ ลูกก็รู้ว่าพ่อไม่เคยฝึกวิทยายุทธมาก่อน จึงรู้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น"  ข่งชิวรีบถามขึ้นทันทีว่า "หลานเคยได้ยินท่านแม่สอนถึง ๖ วิทยามาก่อน แต่หลานไม่ทราบรายละเอียดของ ๖ วิทยานี้เลย"  เหยียนเซียงพูดอย่างแช่มชื่นว่า "เอาไว้ตาจะค่อย ๆ สอนให้นะ"  ข่งชิวรบเร้าท่านตาใหญ่ว่า "หลานอยากจะฟังในตอนนี้จังเลย"  "ใจร้อนไปทำไม ยังมีเวลาอีกมากมาย" เจิงจ้ายรีบปรามขึ้นในทันใด  ข่งชิวจึงได้แต่สะกดเสียงด้วยสีหน้าอันผิดหวัง  ครั้นเหยียนเซียงได้เห็นความมานะใฝ่เรียนของข่งชิวก็รู้สึกสราญใจเป็นยิ่งนัก จึงดึงข่งชิวเข้ามาพลางกล่าวด้วยความปิติว่า "ตาจะอธิบายให้ฟังอย่างคร่าว ๆ ก่อน แล้ววันหลังค่อยอธิบายในรายละเอียดต่อไปนะ"  สีหน้าของข่งชิวแช่มชื้นขึ้นในทันใด ได้ดึงมือของเหยียนเซียงส่ายไปมาว่า "ท่านตาอธิบายเร็ว ๆ หน่อยสิ"  เหยียนเซียงนั่งลงและกระแอมเสียงให้คล่องคอ กล่าวว่า "๖ วิทยาที่โบราณได้กล่าวถึง จะประกอบด้วย  จริยา ๕  คีตะ ๖  เกาทัณฑ์ ๕  อาชายาน ๕  นิรุกติ์ ๖  และคำนวน ๙ " เหยียนเซียงยังไม่ทันกล่าวจบ ข่งชิวก็รบเร้าถามต่อไปว่า "จริยา ๕ คืออะไรครับท่านตา?"  เหยียนเซียงตอบว่า  จริยา ๕ หมายถึงจริยพิธี ๕ ชนิด ประกอบด้วยพิธีที่เกี่ยวกับการบวงสรวงเรียกว่ามงคลพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับงานศพเรียกว่าอวมงคลพิธี   พิธีที่เกี่ยวกับการปริสัญญูเรียกว่าอาคันตุกะพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับกองทัพเรียกว่าพยุหพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับการแต่งงานเรียกว่าวิวาหพิธี" ข่งชิวถามต่อไปอีกว่า "แล้วคีตะ ๖ คืออะไร?"  เหยียนเซียงสูดหายใจจนเต็มปอดแล้วพูดว่า "คีตะ ๖ หมายถึงศิลปะการร่ายรำและดนตรี ๖ ประการ  ซึ่งจะแบ่งเป็นกลุ่มโดยยึดตามรัชสมัยของแต่ละยุคคือดนตรีสมัยหวงตี้เรียกว่ายวิ๋นเหมิน   ดนตรีสมัยเหยาเรียกว่าเสียนฉือ   ดนตรีสมัยซุ่นเรียกว่าต้าเสา   ดนตรีสมัยอวี่เรียกว่าต้าเซี่ย   ดนตรีสมัยทังเรียกว่าต้าฮั่ว   ดนตรีสมัยอู่เรียกว่าต้าอู่" น้ำเสียงของเหยียนเซียงเพิ่งจะสงบ ข่งชิวตั้งท่าจะซักต่อ เจิงจ้ายจึงรีบยั้งว่า "ให้ท่านตาพักผ่อนก่อน" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ครูคนแรก  6  :

      เหยียนเซียงกล่าวว่า 
"เดี๋ยวพ่อจะอธิบายให้หมดเลยก็แล้วกัน"
"อัน เกาทัณฑ์ ๕ หมายถึงวิธีการยิงธนู ๕ ประการ  ประกอบด้วยป๋ายซือ  ไซเหลียน  เอี่ยนจู้  เซียงฉื่อ  จิ่งอี๋ 
ส่วนอาชายาน ๕ หมายถึงการขับรถม้า ๕ ประการ  ประกอบด้วย หมิงเหอหล่วน  จู๋สุ่ยฉวี่  กั้วจวินเปี่ยว  อู่เจียวฉวี  จู๋ฉินจั่ว
ส่วนนิรุกติ์ ๖  หมายถึงวิธีการสร้างคำ ๖ ประการ อันประกอบด้วยสัญลักษณ์คติ  รูปคติ  สำเนียงคติ  สมาสคติ  หมวดคำคติ  ยืมใช้คติ  ส่วนสำนวน ๙ หมายถึงวิธีการคำนวณ  ๙ ประการคือ ฟังเถียน  ซู่หมี่  ชาเฟิน  เส้าก่วง  ชังจง  จวินซู  ฟังเฉิง  อิ๋งปู๋เย่า ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้น คงจะไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างในวันสองวันได้หรอกนะ"  เจิงจ้ายพูดว่า "ก็ใช่สิ"  นางดึงลูกไปอยู่ข้างกายพลางกำำชับว่า "เวลายังมีอีกนาน ไว้ค่อย ๆ ให้ท่านตนสอนให้ไม่ดีกว่าหรือ ?"  ข่งซิวพยักหน้ารับคำ ในใจพลางคิดว่า "คำแปลก ๆ ในวันนี้มีตั้งมากมาย คงต้องใช้เวลาในการเรียนและทำความเข้าใจไม่น้อย" จากนั้น ทั้ง ๓ คนต่างสนทนาในเรื่องทั่ว ๆ ไปอย่างสนุกสนาน โดยเหยียนเซียงยังคงแอบสังเกตุหลานของตนอย่างพิเคราะห์ ได้เห็นถึงอุปนิสัยใฝ่เรียนและอากัปกิริยาอันสุภาพภูมิฐานในขณะเจรจา จึงทำให้ชายชรารู้สึกภูมิใจเป็นยิ่งนัก  ครั้นเสร็จจากการรับประทานอาหารกลางวัน เหยียนเซียงเริ่มทดสอบดูพื้นฐานของข่งชิว แต่แล้วก็ต้องตกตลึง เพราะสำหรับความรู้อันเข้าใจยากสำหรับเด็กโต ข่งชิวกลับสามารถโต้ตอบได้อย่างคล่องแคล่วฉะฉาน ครั้นถามถึงสิ่งใด ข่งชิวล้วนตอบได้อย่างถูกต้อง กระชับและแม่นยำ  ฉะนั้นทั้งสองตาหลานจึงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงเลยไปกว่า ๒ ชั่วโมง โดยที่เหยียนเซียงยังมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด หากแต่ยิ่งเพิ่มความปลาบปลื้มและความกระชุ่มกระชวยเป็นกำลัง จนในที่สุดได้ตบลงที่บ่าของข่งชิวและพูดกับลูกสาวว่า "หลานของพ่อคนนี้เป็นเสมือนหยกงามที่กำลังคอยการเจียระไนโดยแท้ !" เจิงจ้ายกล่าวว่า "ท่านพ่อ" ท่านพ่ออย่าเอาแต่ชมหลานสิ ท่านพ่อต้องเข้มงวดต่อหลานให้มาก ๆ นะ"  เหยียนเซียงตอบด้วยแววตาอันมุ่งมั่นว่า "แน่นอนอยู่แล้ว !  แน่นอนอยู่แล้ว !"  หลังจากได้ฝากฝังข่งชิวกับบิดาเสร็จ เจิงจ้ายได้อยู่ตออีกสองสามวันแล้วจึงอำลากลับ  แม้ข่งชิวจะเศร้าใจจากการที่ต้องห่างจากมาราดา อยู่บ้างก็จริง แต่ข่งชิวก็หาได้ละเลยการเรียนไม่ หากจะยิ่งเพิ่มความพยายามในการเรียนจนกระทั่งลืมเวลาพักผ่อนและเวลาอาหารไปเลยเช่นนั้น สำหรับอุปนิสัยของข่งชิวแต่เล็กมาคือชอบชักไซ้ให้ได้คำตอบจนถึงที่สุด โดยจะมิยอมให้ความสงสัยไหลเลยผ่านกระแสความคิดไปอย่างเด็ดขาด แต่ไม่ว่าข่งชิวจะเป็นคนชางซักปานใดเหยียนเซียงกลับยิ่งมีความชอบใจและจะอธิบายจนข่งชิวสิ้นกังขา ดังนั้นในตลอดระยะเวลา ๖ ปี ที่ผ่านมา ทั้งสองตาหลานจะใช้ชีวิตเช่นนี้เรื่อยมาอย่างมีความสุข  จนกระทั่งเหยียนเซียงได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ข่งชิวจนหมดสิ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหยียนเซียงพบว่าข่งชิวมีความจำอันเป็นเลิศ อีกทั้งยังมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงสอนข่งชิวให้ทำความเข้าใจในพระราชปณิธานของ ๓ กษัตริย์  ๕ ราชัน (สามกษัตริย์หมายถึง ฝูซี  เสินหนง  และฮ๋วงตี้  ส่วนห้าราชันหมายถึง เส้าคัง  จวนชวี  ตี้คู่  พระเจ้าเหยา   และพระเจ้าซุ่น) พร้อมทั้งยังคอยอบรมส่งเสริมข่งชิวให้เป็นธีรชนที่พร้อมด้วยคุณธรรมความสามารถอยู่ทุกเวลา  แต่ก็ช่างน่าอัศจรรย์ หลังจากข่งชิวได้สดับพระจริยวัตรของพระมหาธีรราชเจ้าแต่ละพระองค์แล้ว ข่งชิวกลับรู้สึกว่ายังมีภาระกิจที่ต้องกระทำอีกมากมายและเพื่อให้บรรลุสู่จุดหมายที่วาดหวังไว้ ข่งชิวจึงยิ่งมานะเล่าเรียนและอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้นกว่าเก่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ครูคนแรก  7  : 

     เมื่อ ๕๓๓ ปีก่อนคริสศักราช เดือน ๙ ตามจันทรคติ ข่งชิวอายุเพิ่งครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์
วันหนึ่ง เหยียนเซียงรู้สึกมึนงง จนมิอาจประคองสังขาร รู้ตัวว่าตนเองจะต้องวายชนในอีกไม่ช้า จึงเรียกข่งชิวมากล่าวสั่งเสียว่า "เสียทีที่ตาพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ แต่กลับมิมีโอกาสสนองคุณรับใช้ชาติ นี่คือสิ่งที่ทำให้ตาเสียใจจวบจนวันนี้ แต่ยังดีที่ตาได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้แก่หลาน หวังว่าในภายภาคหน้าหลานจะต้องคงมานะเล่าเรียน เพื่อสืบไปในอนาคตจะสามารถรับใช้ชาติอย่างสุดกำลัง หลานจะต้องจำไว้ คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะต้องสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นแบบอย่างอันอำไพแก่ชนรุ่นหลังสืบไป หากหลานสามารถทำได้ก็จะเป็นการเชิดชูเกียรติแห่งวงศ์ตระกูล และตาจะได้นอนตายตาหลับในปรภพเสียที" ข่งชิวเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาแต่เด็ก ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะการใดก็จะมิยอมหลั่งน้ำตาโดยง่าย แต่ตอนนี้ข่งชิวกลับต้องร้องไห้จนน้ำตาอาบสองแก้ม  ครั้นเหยียนเซียงเห็นหลานรักเศร้าโศกเสียใจ จึงพลอยให้รู้สึกตื้นตันจนดวงตาแดงก่ำ แต่เหยียนเซียงยังคงตั้งสติกล่าวกำชับข่งชิวด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า "หลานอย่าได้ทำตัวอ่อนแอจนผิดวิสัยลูกผู้ชาย หลานจะต้องเข้มแข็ง  เพราะหนทางชีวิตของหลานยังอีกยาวไกล เป็นไปไม่ได้หรอกที่ชีวิตคนเราจะราบเรียบดุจโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ฉะนั้น จึงต้องมีความพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกสถานการณ์ จงจำไว้ว่า อุปสรรคเป็นสิ่งที่สร้างวีรบุรุษให้แกร่งกล้า อีกอย่างตาก็อายุปูนนี้แล้ว ชีวิตของตาก็เป็นเสมือนแป้งเปียกที่สิ้นความเหนียว  เหล้าเก่าที่สิ้นความหอม  มันก็ควรแล้วที่ต้องฝากชีวิตนี้ไว้กับผืนปฐพี" ข่งชิวยืนฟังด้วยอาการนบนอบ จิตใจรู้สึกฮึกเหิมด้วยพลังธรรมที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ แต่ครั้นได้ฟังสองประโยคสุดท้ายจบ ก็ถึงกับทะลักความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นมานานจนหมดสิ้น ข่งชิวได้แต่ร้องไห้จนมิอาจจับสุ้มเสียงใจความได้อีก  เหยียนเซียงจึงกำชับว่า "รีบไปตามแม่ของหลานมาเถอะ ตายังมีคำสั่งเสียกับแม่ของหลานอีก"  ข่งชิวห่มผ้าให้กับท่านตา และรีบเดินทางไปตามมารดาด้วยความรวดเร็ว ครั้นเจิงจ้ายทราบข่าว ก็บังเกิดความโทมนัสเสียใจและรีบเดินทางมาหาบิดาอย่างรีบร้อน  เหยียนเซียงกล่าวว่า "ความรู้ของข่งชิว ถือว่าเหนือกว่าพ่อมากมาย พ่อคิดว่าหลานคนนี้จะสามารถสร้างประวัติอันเกรียงไกรในอนาคตได้เป็นแน่ หากพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะได้เห็นหลานคนนี้ประสบความสำเร็จ เพียงแต่ชะตาคงจะไม่อนุญาตให้อยู่จนถึงวันนั้นแล้วกระมัง ฮ่าย !ชีวิตคนเราฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว  หากพ่อตายไป ลูกจะต้องตั้งใจอบรมหลานคนนี้ให้จงดี เพื่อจะได้เชิดชูเกียรติประวัติอันยืนยงสืบไป"  กล่าวจบ ดวงตาก็ค่อย ๆ หรี่ลงและสิ้นใจไปในที่สุด  ข่งชิวได้อยู่ไว้ทุกข์เป็นเพื่อนมารดาตามจารีตประเพณีจนครบกำหนดร้อยวัน จากนั้นจึงได้ติดตามมารดาเดินทางกลับ หลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งผีได้แต่งงานและแยกออกไปตั้งรกรากที่ต่างเมือง เวลานั้น ข่งชิวได้เติบโตเป็นหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง เอวกลม ใบหน้าคมสัน กิริยาภูมิฐาน วาจาสุภาพ  วันหนึ่ง เจิงจ้ายเรียกข่งชิวเข้ามาหา พลางพูดด้วยท่าทีขึงขังว่า "ข่งชิวมานี่หน่อย แม่มีเรื่องจะปรึกษา"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
        เจิงจ้าย เรียกข่งชิวเข้ามาหา ได้กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า "ลูกก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่จึงอยากให้ลูกรีบมีครอบครัว เพื่อจะได้ให้แม่คลายความกังวลไปอีกเปราะหนึ่ง" ข่งชิวยืนตัวตรงอย่างสุภาพ พลางกล่าวอ้างตำราว่า "อันการสมรสนั้น ถือเป็นเรื่องปกติของบุตรที่ควรปฏิบัติตามโอวาทแห่งบุพการี เพียงแต่... การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงมิรอบคอบมิได้ โบราณกล่าวไว้ว่า "ชายครบ ๓๐ จึงแต่ง"  ซึ่งจารีตนี้เป็นกฏที่ท่านโจวกงได้กำหนดไว้ในวันวิวาพิธีมาแต่โบราณ ลูกเองจึงมิอยากละเมิดกฏนี้"  โจวกง แซ่จี  มีพระนามว่าตั้น เป็นพระราชโอรสแห่งโจวเหวินหวัง พระองค์เคยทรงช่วยพระเชษฐา (โจวอู่หวัง) ปรามซังโจ้วหวัง และสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น เล่าลือกันว่า ระเบียบแบบแผนแห่งจริยธรรมและคีตะได้ถูกร่างขึ้นโดยโจวกง ฉะนั้น พระองค์จึงเป็นเสมือนสดมภ์เอกแห่งราชวงศ์ที่ยืนยงค้ำชูความมั่นคงแห่งชาติเสมอมา  โดยเฉพาะ เมื่อโจวอู่หวังเสด็จสวรรคตแล้ว ในครั้งกระนั้น พระยุวกษัตริย์ โจงเฉิงหวัง (จี้ทง) ยังทรงพระเยาว์ โจวกงมิอาจวางพระทัย ด้วยมาตรว่าพระองค์จะได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้ไปกินเมืองที่แคว้นหลู่แล้วก็ตาม โดยพระองค์ได้ทรงละทิ้งโอกาสที่จะไปเสวยสุขเป็นเจ้าแคว้นที่เมืองหลู่ และอยู่ช่วยสำเร็จราชการที่ราชธานีห่าวจิงแทน ในเบื้องต้น ทุกคนต่างสงสัยว่าโจวกงจะคิดกบฏโค่นราชบัลลังก์ ดังนั้น ข่าวลือต่าง ๆ ที่ทำลายพระเกียรติยศจึงเกิดขึ้นจนกระทบกระเทือนถึงโจวกงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ครั้นโจวเฉิงหวัง ทรงเจริญวัยและสามารถออกมาว่าราชการด้วยพระองค์เองแล้ว ทุกคนจึงสิ้นสงสัยในโจวกง และต่างยกย่องสรรเสริญในความจงรักภักดีของโจวกงโดยทั่วกัน
        โจวกง คือบุรุษที่ข่งชิวให้ความเคารพนับถือมากที่สุด ในดวงใจของข่งชิว จึงเห็นโจวกงเป็นสัตบุรุษที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งคุณธรรมความสามารถเสมอมา ดังนั้น ข่งชิวจึงยกย่องใหเโจวกงเป็นครูบาอาจารย์ของตนไปโดยปริยาย และนี่จึงเป็นเหตุที่ข่งชิวได้ยกเอากฏระเบียบของโจวกงมาอ้างแก่มารดานั่นเอง แต่เจิงจ้ายได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่อยู่ก่อนแล้ว นางจึงกล่าวกับลูกว่า "ลูกมีความรู้ที่แตกฉาน ความจำก็เป็นเลิศ สิ่งนี้ถือว่เป็นเรื่องดีเพียงแต่มิควรยึดถืออยู่กับจารีตจนไม่ยอมพลิกแพลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสียเลย โบราณกล่าวว่า  "อดีตเป็นครูแห่งอนาคต" ในสมัยที่พ่อของลูกมาขอแม่ ตอนนั้นพ่อของลูกอยู่ในช่วงมัชฌิมวัย จึงทำให้แม่ต้องมาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว ทำให้ลูกต้องกำพร้าตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ตอนนี้ลูกมีร่างกายอันแข็งแรง การแต่งงานในวันนี้จึงไม่นับเป็นเรื่องที่เสียหายอะไร"

หมายเหตุ   :  พระเจ้าโจวเหวินหวัง (ก่อน ค.ศ. ๑๒๒๓ - ๑๑๒๒) เป็นพระบิดาแห่งพระเจ้าโจวอู่หวัง ซึ่งเป็นผู้กรีธาทัพโค้นล้มทรราชซังโจ้วหวังและสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น  พระเจ้าโจวเหวินหวังทรงเป็นเจ้าแคว้นโจว ผู้ทรงธรรมในสมัยโบราณ  แม้ซังโจ้วหวังจะทรงสั่งจำคุกพระองค์ถึง ๗ ปี อย่างไร้เหตุผลก็ตาม แต่พระเจ้าโจวเหวินหวังก็ยังทรงถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซังไม่เคยเปลี่ยน  คุณธรรมของพระองค์ขจรไกล จนสามารถครองใจเหล่าเจ้าแคว้นทั่วแผ่นดินได้ถึงสองในสาม  เคยมีสองแคว้นเกิดข้อพิพาทเรื่องดินแดน ทั้งสองเจ้าเมือง จึงต่างเดินทางมาขอให้โจวเหวินหวังเป็นผู้ตัดสิน ครั้นเข้าสู่แคว้นโจว ก็ได้เห็นชาวนาต่างยอมยกเขตนาให้กันและกัน  ได้เห็นคนสัญจรต่างเชิญฝ่ายตรงข้ามให้เดินนำหน้าตน ผู้เฒ่าได้รับความเคารพราชบุตรต่างสมัครสมานรวมกันเป็นหนึ่ง ครั้นสองเจ้าแคว้นได้ทอดพระเนตรดังนี้ ก็เดินทางกลับด้วยความละอายพระทัย จึงเห็นได้ว่า พระเจ้าโจวเหวินหวังทรงเป็นที่รักใคร่ของประชาชนมากเพียงใด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 1

     แต่เจิงจ้ายได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่อยู่ก่อนแล้ว
นางจึงกล่าวกับลูกว่า "ลูกมีความรู้ที่แตกฉาน ความจำก็เป็นเลิศ สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่มิควรยึดถืออยู่กับจารีตจนไม่ยอมพลิกแพลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสียเลย โบราณกล่าวว่า "อดีตเป็นครูแห่งอนาคต" ในสมัยที่พ่อของลูกมาขอแม่ ตอนนั้นพ่อของลูกอยู่ในช่วงมัชฌิมวัย จึงทำให้แม่ต้องมาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว ทำให้ลูกกำพร้าตั้งแต่เยาว์ แต่ตอนนี้ลูกมีร่างกายอันแข็งแรง การแต่งงานในวันนี้ จึงไม่นับเป็นเรื่องที่เสียหายอะไร" ข่งชิวเป็นผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณ รู้ดีว่ามารดาต้องตรากตรำลำบากกับตนเสมอมา ดังนั้นจึงคิดแต่จะทดแทนพระคุณของมารดาอยู่ทุกขณะ โดยจะไม่ยอมให้มารดาต้องเดือดร้อนอนาทรแต่อย่างใด จึงพูดกับมารดาว่า "ในเมื่อเป็นความประสงค์ของท่านแม่เช่นนี้ ก็ขอให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินให้ด้วยเถิด"  ครั้นเจิงจ้ายได้ฟัง ก็รู้สึกเปรมปรีดิ์ยิ่ง จึงรีบติดต่อแม่สือให้ช่วยเสาะหากุลสตรีที่เหมาะสม กระทั้่งได้พบฉีกวนซื่อ ชาวเมืองซ่ง สตรีผู้มีพร้อมด้วยคุณธรรม  โวหาร  โฉมพักตร์และความสามารถ ทั้งสองครอบครัวจึงแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิด ได้ทราบในภายหลังว่า ฉีกวนซื่อ มีอายุที่เท่ากับข่งชิวพอดี อีกทั้งยังมีดวงที่สมพงษ์กันอีกด้วย ดังนั้นจึงทำการหมั่นหมายและจัดงานวิวาห์ฤกษ์ในทันที หลังจากข่งชิวได้แต่งงานแล้ว ทั้งครอบครัวน้อยใหญ่ต่างอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ทว่า ข่งชิวเป็นคนที่มีความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ที่จะรับใช้ประเทศชาติอย่างแรงกล้า ด้วยความรู้ความสามารถที่มี ไฉนจึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอย่างไร้คุณค่าได้ โดยเฉพาะที่ทุกครั้งได้รำลึกถึงคำสั่งเสียของท่านตาว่า "๓ กษัตริย์ ๕ ราชันได้ทรงปราบกบฏ ทรงพิทักษ์ชาติราษฏรโดยยึดถือความยุติธรรมต่อปวงชนเป็นเอกหมาย" คำเหล่านี้ยังคงก้องอยู่ริมหูมิรู้คลาย ดังนั้น ข่งชิวจึงมีความตั้งใจจะอุทิศกายรับใช้ชาติบ้านเมืองในเร็ววัน  ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข่งชิวคิดแต่จะคบหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์เพื่อร่วมกันผดุงความยุติธรรมให้ปรากฏบนแผ่นดิน และถวายความรู้ความสามารถของตนเพื่อรับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะสมัยนั้นยังมิได้ดำเนินระบบการบริหารคัดสรรปราชญ์โดยการสอบคัดเลือก ฉะนั้น ตำแหน่งต่าง ๆ จึงถูกผูกขาดโดยลูกหลานเรื่อยมา แต่สำหรับบิดาของข่งชิวเอง แม้นว่าจะเคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองโจวอี้ ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงชื่อที่ไพเราะแค่เปลีอกนอก โดยหาได้มีอำนาจทางการปกครองไม่ โดยเฉพาะ สูเหลียงเฮ่อ ได้ถึงแก่กรรมเมื่อตอนข่งชิวอายุเพียง ๓ ขวบเท่านั้น ด้วยสภาพสังคมอันโหดร้าย พวกเหล่าขุนนางอภิชนจึงลืมเขาไปจนหมดสิ้น  ในยามที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องตลาด มักจะได้เห็นพฤติกรรมการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบของเหล่าพ่อค้าวานิชอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้จึงยิ่งกระตุ้นให้ข่งชิวรู้สึกอัดอั้นใจเป็นอย่างยิ่ง หากสภาพสังคมยังเป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยน อนาคตของเมืองหลู่จะไปอยู่ที่ไหน?" ข่งชิวคิดด้วยอารมณ์อันฉุนเฉียวและเดินกลับบ้านด้วยความหนักใจ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 2 

      นับแต่นั้น
ข่งชิวเริ่มนอนไม่หลับเพราะข่งชิวกำลังวาดภาพแผนงานที่จะกรอบกู้ความเกรียงไกรให้แก่เมืองหลู่ขึ้น เช่น  ผลักดันคุณธรรม  ปกครองด้วยจริยธรรม  การประกาศใช้กฏหมาย  หยุดเหล่าทรชน  เช่นนี้ก็จะทำให้มิเกิดโจรผู้ร้าย พ่อค้าวาณิชจะมิโลภมากเที่ยวหลอกลวง จนส่งผลให้อยู่เย็นเป็นสุขในที่สุด  แล้วจากนั้นจึงค่อยผลักดันไปสู่รัฐน้อยใหญ่ด้วยศักภาพการปกครองของเมืองหลู่ จนที่สุดการกอบกู้ความเสื่อมโทรมของราชวงศ์โจว และยังสันติสุขให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน แต่ข่งชิวรู้สึกมันเป็นเป้าหมายที่กว้างเกินไป ดังนั้นควรจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี? ในตอนนี้ข่งชิวยังมิอาจพบหนทางที่ตนมั่นใจได้ จึงได้แต่ให้กำลังใจตนว่า "อย่ายอมแพ้ สู้ชีวิตต่อไปเถอะ" ในสมัยนั้น เจ้าเมืองหลู่หวนกง ทรงอภิเษกสมรสกับเหวินเจียง ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของเจ้าเมืองฉี คือฉีเชียงกง แต่เหวินเจียงได้แอบสมโยคกับฉีเจียงกงมาก่อนโดยที่หลู่หวนกงหาทรงทราบไม่ เมื่อ ๖๙๓ ปีก่อนคริสตศักราช วสันตฤดู หลู่หวนกงเสด็จเยือนเมืองฉี โดยมีเหวินเจียงตามเสด็จ ในครั้งกระนั้น เหวินเจียงทรงแอบสมโยคกับฉีเชียงกงอีก จนที่สุดก็ความแตก ฉีเชียงกงจึงทรงสั่งให้ทหารลอบปลงพระชนม์หลู่หวนกง  ดังนั้น บุตรที่เกิดแก่สนมเอกนามว่าจีถง จึงสืบขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองแทน โดยมีพระนามว่า "หลู่จวงกง" ทรงมีพี่น้องอยู่ ๓ พระองค์ พระเชษฐาที่เกิดแต่สนมโท มีพระนามว่า เซิ่งฟู่ พระอนุชาที่เกิดแต่สนมโทมีพระนามว่า สูหยา ส่วนพระอนุชาร่วมพระอุทรอีกพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า จี้หยิ่ว เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นพระญาติกับเจ้าเมือง ดังนั้นจึงต่างมีอำนาจกันพอสมควร หลังจากเจ้าเมืองหลู่จวงกงเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้มี  หมิ่นกง  หลีกง  เหวินกง  เซวียนกง  เฉินกงขึ้นสืบตำแหน่งการบริหารตามลำดับ ตราบจนหลู่เซียงกงสวรรคตเมื่อตอน ๕๔๒ ปีก่อนคริสตศักราช หลู่เจากง จึงสืบราชสมบัติแทน และด้วยการปรับเปลี่ยนอำนาจเรื่อยมาของรัฐหลู่ อนุชนเชื้อสายของ ซิ่งฟู่  สูหยา  และจี้หยิ่ว  จึงได้ขยายอิทธิพลมากยิ่งขึ้น  โดยต่างมีชื่อว่าเมิ่งชันซื่อ  สูชุนซื่อ  และจี้ชันซื่อ ซึ่งประวัติศาสตร์ได้ขนานนาม ๓ ตระกูลนี้ว่า "๓ อิทธิพล" ในสมัย ๕๓๗ ปีก่อนคริสตศักราช รัฐหลู่ถูกผูกขาดอำนาจบริหารโดย ๓ ตระกูลผู้มีอิทธิพลนี้ โดยผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชแห่งรัฐหลู่คือ จี้ซุนอี้หยู จี้ซุนอี้หยู ได้ทำการแบ่งอำนาจการทหารเป็น ๒ ส่วน โโยตนครอบครองอำนาจการทหารไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนอำนาจการทหารอีกส่วนหนึ่งก็ปันให้สองตระกูลคือ สูชุนเฉิงจื่อ และ เมิ่งสีจื่อ ดูแล ขณะเดียวกัน เขายังได้แบ่งประชากรและดินแดนของรัฐหลู่ออกเป็น ๔ ส่วน ตัวเขาครอบครอง ๒ ส่วน และให้ตระกูลสูชชซุนและตระกูลเมิ่งซุนครอบครองตระกุ,ละส่วน ด้วยการกระทำเช่นนี้ มิเพียงแต่ได้แขวนเจ้าเมืองจนสิ้นอำนาจเท่านั้น หากยังได้ทอนอำนาจของ ๒ ตระกูลจนลดน้อยลงไปอีกด้วย ดังนั้น ทั้งสามตระกูลจึงคอยหักเหลี่ยมหักคม จนทำให้รัฐหลู้เคราะห์ซ้ำกรรมกระหน่ำและมีแต่เสื่อมถอยลงทุกที  ครั้นข่งชิว ได้เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ อารมณ์ก็อัดแน่นในทรวงอก จนอยากจะเป็นขุนศึกที่แผ่สิงหนาทเข้าฟาดฟันศัตรูในสนามรบให้สิ้นซาก เพื่อกอบกู้ความเสื่อมทรามของชาติให้กลับสู่ความชัชวาลอีกวาระหนึ่ง แต่ทว่า ทุกครั้งที่เขาคิดเช่นนี้ เขาก็ต้องแอบยิ้มให้กับความไร้เดียงสาและความอ่อนหัดของตนเสมอไป ในมโนภาพของข่งชิว เต็มไปด้วยความฝัน เขารู้ดีว่าการใหญ่ทั้งปวงจักต้องเริ่มจากรากฐานเป็นสำคัญ และด้วยการไตร่ตรองเป็นระยะเวลานาน ข่งชิวจึงเริ่มออกเผยแพร่อุดมการณ์ของตนกับเหล่าธีระผู้รักชาติในเมืองหลู่  วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องถนน เขาได้ยินผู้คนสนทนาโดยบังเอิญว่า "ท่านอุปราชจะรับปราชญ์อีกแล้ว" "เห็นได้ไฉน"  "ก็ท่านอุปราชกำลังเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับบัณฑิตกันอุตลุตเลยนิซิ"  "ก็อีแค่ผักชีโรยหน้าละกระมัง"  "แต่อาจจะจริงใจก็ได้นะ" ... สำหรับข่าวลือนี้ ข่งชิวเคยได้ยินมาอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่อาจเชื่ออย่างสนิทใจเท่านั้น แต่เมื่อมีการร่ำลือกันอย่างหนาหูเช่นนี้ ข่งชิวจึงมั่นใจว่ามิใช่ข่าวลือเสียแล้ว ในวันนั้นจึงเดินทอดหุ่ยกลับบ้านด้วยความอิ่มเอม สายธารแห่งเวลาได้ไหลผ่านไปอย่างเฉื่อยช้า ในที่สุด วันเวลาที่รอคอยก็มาถึง ในเช้าตรู่ของวันนั้น ข่งชิวได้แต่งกายภูมิฐานและมุ่งหน้าไปที่จวนอุปราชด้วยสีหน้าอันสดใส ท่ามกลางสายรุ้งที่ลอยพาดขอบฟ้าอย่างตระการตา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 3   

     จวนอุปราช เป็นอาคารที่ก่อสร้างรายล้อมด้วยกำแพงสูงทะมึน
ตัวเรือนสูงตระหง่านอย่างวิจิตรท่ามกลางนิคมเมือง และที่ประตูทางเข้า มีเหล่าบัณฑิตนักศึกษาแต่งตัวเต็มยศด้วยสีเขียวแดงเข้าออกขวักไขว่ ดูเขาเหล่านั้นช่างภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน ที่เบื้องหน้าประตูทางเข้าได้มีชายร่างใหญ่อายุประมาณ ๓๐ กว่า แต่งกายชุดโปร่งสีน้ำเงินเทา หนวดเครารุงรังยุ่งเหยิง ใบหน้ากลมดิก สีหน้าเดี๋ยวห่อไหล่ยิ้มประจบ อีกประเดี๋ยวก็ขึงขังแยกเขี้ยวตามแต่บุคลิกที่เดินเข้าออก ข่งชิวได้เห็นภาพนี้แต่ไกลทำให้อดหนาวสะท้านทั่วสรรพพางค์กายเสียมิได้ ในใจพลางคิดว่า "ช่างเป็นคนถ่อยสองหน้าเสียจริง ๆ " และครั้นได้เดินเข้าใกล้สังเกตดู "นั่น... นั่นมิใช่พ่อบ้านหยางหู่ของอุปราชจี้ผิงจื่อหรอกหรือ?"  คน ๆ นั้นคือหยางหู่ มิผิด ในยุคสมันชุนชิว ตำแหน่งขุนนางของเหล่าเจ้าแคว้นล้วนถูกแต่งตั้งด้วยระบบการตกทอด หากแต่พ่อบ้านของเหล่าขุนนางจะไม่สืบทอดโดยระบบอภิสิทธิ์ ซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดยขุนนางให้มีตำแหน่งเป็น โหย่วจ่าย  ซือถู  ซือหม่าต่าง ๆ และตำแหน่งเหล่านี้รวมเรียกว่า พ่อบ้าน   ครั้นข่งชิวได้เห็นใบหน้าที่ประจบชวนอาเจียนของหยางหู่ฝีเท้าก็เริ่มชะลอช้าลง ในตอนนั้น ข่งชิวเริ่มลังเลและคิดจะถอยกลับ แต่แล้วข่งชิวก็ต้องเปลี่ยนใจ "เพื่อเมืองหลู่ เพื่ออาณาจักรประชาราษฏร์ เพื่อเกียรติแห่งบรรพชน เราจะต้องฉวยโอกาสนี้ให้จงได้" ครั้นคิดได้ดังนี้ก็ยืดอกมุ่งหน้าไปสู่จวนอุปราชอย่างองอาจ หลังจากถึงเชิงบันไดหิน ข่งิชวได้ประสานมือคารวะทักทาย แต่หยางหู่หาได้ใ่ใจไม่  หากยังอัดเสียงทางจมูกอย่างดูถูกดูแคลนว่า "เจ้าคือใคร?  มาที่นี่ทำอะไร?" ข่งชิวก้มศรีษะลงต่ำเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยความสุภาพตามประสาบัณฑิตว่า "ข้าน้อยชื่อข่งชิว ได้ทราบว่าท่านอุปราชกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าบัณฑิตทั่วพิภพ..."  "ฮ่า..." เสียงหัวเราะเหยียดหยามดังสนั่นอย่างน่าสยองของหยางหู่ดังขึ้น  "ท่านอุปราชเชิญแต่ปราชญ์บัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เจ้าก็คือนักศึกษาจน ๆ ก็อยากจะมาร่วมครื้นเครงในงานอันทรงเกียรตินี้ด้วยรึ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง ๆ" ครั้งข่งชิว ถูกวาจาลบหลู่ก็ได้สติขึ้นมามากมาย เขาเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องมองหยางหู่ ด้วยหมายจะเข้าปะทะคารมให้สิ้นอาย  หยางหู่รู้เจตนาของข่งชิวดี จึงไม่คอยให้ข่งชิวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากและชิงสะบัดแขน้เสื้อขับไล่ พลางกระโชกด้วยเสียงอันดังว่า "ยังไม่รีบถอยออกไปอีก ! มัวเกะกะที่นี่อยู่ได้ !" ข่งชิวเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี อีกทั้งยังเป็นคนที่สุภาพถ่อมตน ครั้นถูกเหยียดหยามเช่นนี้ จึงรู้สึกอับอายจนอยากจะหาที่หลบซ่อนตัวในทันที อีกด้วยเพราะไม่อยากจะลดตัวมาต่อคำกับคนถ่อยสองหน้าเยี่ยงหยางหู่ ดังนั้นจึงได้แต่เดินกลับบ้านไปด้วยอารมณ์อันห่อเหี่ยว แม้นจะถูกปรามาสเหยียดหยามที่จวนอุปราช แต่ข่งชิวก็หาได้ท้อแท้ไม่  หากกลับยิ่งมีความเข้าใจต่อสัจธรรมอีกประการหนึ่งก็คือ หนทางแห่งชีวิตจะเต็มไปด้วยหนทางคดเคี้ยวและกันดาร จะมีเพียงความอดทนต่อการเคี่ยวหลอมเท่านั้นจึงจะสามารถสรรค์สร้างการใหญ่ให้เกรียงไกร ฉะนั้น ข่งชิวจึงยิ่งมุมานะอดทนในการเรียนรู้ ๖ วิทยามากยิ่งขึ้นเพราะข่งชิวตระหนักดีถึงคุณค่าของเวลาในเวลานี้ ข่งชิวนอกจากจะเคร่งศึกษาจริยศาสตร์  คีตศาสตร์  และนิรุกติศาสตร์แล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังฝึกปรือการยิงธนูและการขับบังคับรถม้าอีกด้วย ในสถานที่ ๆ ห่างจากตัวบ้านของข่งชิวไปไม่ไกล มีสนามฝึกยิงธนู เจวี๋ยเซี่ยงฝู่ ที่ผู้คนใช้เป็นสนามฝึกซ้อมฝีมืออยู่เป็นประจำ ซึ่งข่งชิวก็ใช้เวลาฝึกซ้อมฝีมือที่นั่น ด้วยความมานะพยายาม วิชาธนูของข่งชิวจึงเริ่มพัฒนาจนสามารถยิงธนูทั้ง ๕ วิธีได้อย่างช่ำชอง และทุกครั้งที่ข่งชิวไปฝึกซ้อมฝีมือที่นั่น ผู้คนก็จะเบียดเสียดชมดูอย่างเนืองแน่นเป็นประจำ ในเวลานั้น ครอบรู้สารพันของข่งชิวได้เริ่มเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้ว และก็เริ่มมีผู้คนมาฝากตัวขอเรียนวิชามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 4 

     วันหนึ่ง
เทศกาลการบูชาบรรพชนประจำปีที่วัดหลวงได้จัดขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันที่พิธีบูชาจะเริ่มต้น  ผู้คนก็มายืนเบียดเสียดจนเนืองแ่น่นประตูวัดหลวงไปเสียแล้ว ในหมู่นั้นได้มี ข่งชิวที่ยืนเบียดจ้องอย่างมิกระพริบตารวมอยู่ด้วย ครั้นได้ครวญแก่ลัคนาฤกษ์ เสียงกลองระฆังก็พร้อมสนั่น ในตอนนั้น พิธีกรประธานได้ป่าวประกาศนำพิธีกรสนาม คือหลู่เจากง พร้อมด้วยลูกขบวนทั้งฝ่ายดนตรี และฝ่ายรำ ก้าวเข้าสู่มณฑลพิธี มณฑลพิธีที่ว่านี้เป็นลานสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้าศาลบรรพบุรุษโจวกง โดยมีระยะยามจากทิศบูรพาไปปัจฉิมและมีระยะแคบจากทิศอุดรไปทักษิณ ปริมณฑลแห่งนั้นล้วนปูลาดด้วยหินตัดรูปสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่อย่างเป็นระเบียบ หลังจากพิธีกรประธาน ได้หลั่งมัชธาราและอ่านบทสดุดีพระเกียรติคุณของท่านโจวกงจบ ได้ทำความเคารพด้วยเกียรติพิธีระดับสูงแล้วจึงก้าวถอยลงจากมณฑลพิธี ในตอนนั้น ลูกขบวนฝ่ายดนตรีที่ถือเครื่องดนตรีอย่างพร้อมสรรพก็เคลื่อยเข้าสู่ชายคาหน้าศาลบรรพบุรุษ โดยจัดขบวนเป็น ๖ จัตุรัส รวมทั้งสิ้น ๓๖ คน มืซ้ายแต่ละคนถือขนไก่ฟ้า มือขวาถือขลุ่ย ทุกคนเริ่มร่ายรำภายใต้เสียงเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่ทำจากโลหะ หิน  ดิน  ไผ่  ไม้  หนัง  น้ำเต้าเป็นอาทิ  โดยบรรยายกาศการร่ายรำเต็มไปด้วยความสง่างาม  ท่วงท่าสุขุม  ลีลาพลิ้วพราย  จนผู้ชมล้วนเคลิบเคล้มไปตามทำนอง  ข่งชิวจ้องมองอย่างเคลิบเคลิ้มจนมือไม้เริ่มร่ายรำไปตามจังหวะและคลอเพลงแผ่วเบา อันเสมือนคนที่ต้องมนต์จนหลงใหลแลตกอยู่ในภวังค์ ในทันใด เสียงดนตรีได้หยุดลงจนทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน ลูกขบวนต่างถอยลงจากสนามพิธีอย่างเป็นระเบียบ พร้อมด้วยเสียงอันกังวานจากพิธีกรประธานว่า "จบพิธี" แต่ในโสตประสาทของข่งชิวยังคงติดตรึงภาพและเสียงของขบวนพิธีอยู่มิคลาย  ข่งชิวยังไม่อยากจะจากลา จึงรีบเข้าไปถามไถ่พิธีกรประธานท่านนั้นว่า "ขอรบกวนเวลาท่านสักครู่ ไฉนพิธีเมื่อสักครู่จึงใช้ฉกสังคีต?"  พิธีกรท่านนั้นเป็นชายราววัย ๕๐ กว่า มีรูปร่างอันสมส่วน  มีหน้าขาวผ่อง  มีหนวดและจอนยาวพลิ้วสยาย  ดูแล้วสง่าน่านับถือ  ครั้นชายชราได้เห็นข่งชิวเดินเข้ามาถาม จึงเพ่งมองข่งชิวอย่างพิเคราะห์ พลางกล่าวด้วยลีลาสุขุมว่า "อัฏฐสังคีต จะใช้เฉพาะแต่องค์จักรพรรดิ  ส่วนฉกสังคีต จะใช้กับเหล่าเจ้าแคว้นของแต่ละนครรัฐ  โจวกงได้ทรงรับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้กินเมืองหลู่ จึงถือว่าเป็นเจ้านคร ดังนั้นจึงควรใช้ฉกคีตในพิธีบูชา"  ข่งชิวกล่าวว่า "ตามหลักแล้วโจวกงได้ถวายความจงรักภักดีจนโจวอู่หวังทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติได้สำเร็จ ทั้งยังทรงปกครองอาณาประชาราษฏร์จนร่มเย็นเป็นสุข แล้วไฉนจึงไม่ใช้อัฏฐสังคีตล่ะ?"ชายชรากล่าวว่า "มาตรว่าโจวกงจะทรงมีคุณงามความดีเทียบดินฟ้าก็จริง แต่หากมิได้เป็นกษัตริย์ อย่างไรก็มิอาจใช้อัฏฐสังคีตได้อย่างเด็ดขาด และแม้นโจวเฉิงหวังจะเคยรับสั่งถึงคุณความดีที่โจวกงได้ทรงมีต่อประเทศชาติ และยังเคยทรงมีพระราชานุญาตให้โจวกงใช้อัฏฐสังคีตได้ก็ตาม แต่โจวกงทรงเห็นว่า เป็นการผิดต่อข้อบัญญัติแห่งจริยธรรม ดังนั้นจึงยืนกรานปฏิเสธการใช้พิธีนี้เสมอมา ด้วยเหตุนี้ การไม่ใช้พิธีอัฏฐสังคีตจึงสอดคล้องต่อเจตนาจริยธรรมแห่งโจวกงแล้ว"  ข่งชิวได้ไต่ถามข้อกังขา ที่มีต่อพิธีบูชาอีกมากมาย พิธีกรท่านนั้นล้วนตอบคำถามอย่างละเอียด ด้วยความอดทน  ครั้นจบคำถาม ข่งชิวได้โค้งคารวะว่า "ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ข้าน้อยขอรบกวนแต่เพียงเท่านี้ " ครั้นแล้วก็หันหลังกลับไปอย่างสุภาพ ชายชรารู้สึกชื่นชมในความใฝ่ศึกษาของข่งชิว จึงยืนส่งข่งชิวเดินกลับไปจนลับสายตา

หมายเหตุ !  ๖ จัตุรัส คือพิธีบูชา ที่ใช้ผู้คนร่ายรำตามเสียงดนตรี  โดยกษัตริย์จะใช้คนร่ายรำ ๖๔ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่า อัฏฐสังคีต เจ้าเมืองจะใช้คนร่ายรำ ๓๖ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่าฉกสังคีต  ส่วนขุนนางจะใช้คนร่ายรำ ๑๖ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่าจัตุสังคีต       

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”