ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 2
นับแต่นั้น ข่งชิวเริ่มนอนไม่หลับเพราะข่งชิวกำลังวาดภาพแผนงานที่จะกรอบกู้ความเกรียงไกรให้แก่เมืองหลู่ขึ้น เช่น ผลักดันคุณธรรม ปกครองด้วยจริยธรรม การประกาศใช้กฏหมาย หยุดเหล่าทรชน เช่นนี้ก็จะทำให้มิเกิดโจรผู้ร้าย พ่อค้าวาณิชจะมิโลภมากเที่ยวหลอกลวง จนส่งผลให้อยู่เย็นเป็นสุขในที่สุด แล้วจากนั้นจึงค่อยผลักดันไปสู่รัฐน้อยใหญ่ด้วยศักภาพการปกครองของเมืองหลู่ จนที่สุดการกอบกู้ความเสื่อมโทรมของราชวงศ์โจว และยังสันติสุขให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน แต่ข่งชิวรู้สึกมันเป็นเป้าหมายที่กว้างเกินไป ดังนั้นควรจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี? ในตอนนี้ข่งชิวยังมิอาจพบหนทางที่ตนมั่นใจได้ จึงได้แต่ให้กำลังใจตนว่า "อย่ายอมแพ้ สู้ชีวิตต่อไปเถอะ" ในสมัยนั้น เจ้าเมืองหลู่หวนกง ทรงอภิเษกสมรสกับเหวินเจียง ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของเจ้าเมืองฉี คือฉีเชียงกง แต่เหวินเจียงได้แอบสมโยคกับฉีเจียงกงมาก่อนโดยที่หลู่หวนกงหาทรงทราบไม่ เมื่อ ๖๙๓ ปีก่อนคริสตศักราช วสันตฤดู หลู่หวนกงเสด็จเยือนเมืองฉี โดยมีเหวินเจียงตามเสด็จ ในครั้งกระนั้น เหวินเจียงทรงแอบสมโยคกับฉีเชียงกงอีก จนที่สุดก็ความแตก ฉีเชียงกงจึงทรงสั่งให้ทหารลอบปลงพระชนม์หลู่หวนกง ดังนั้น บุตรที่เกิดแก่สนมเอกนามว่าจีถง จึงสืบขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองแทน โดยมีพระนามว่า "หลู่จวงกง" ทรงมีพี่น้องอยู่ ๓ พระองค์ พระเชษฐาที่เกิดแต่สนมโท มีพระนามว่า เซิ่งฟู่ พระอนุชาที่เกิดแต่สนมโทมีพระนามว่า สูหยา ส่วนพระอนุชาร่วมพระอุทรอีกพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า จี้หยิ่ว เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นพระญาติกับเจ้าเมือง ดังนั้นจึงต่างมีอำนาจกันพอสมควร หลังจากเจ้าเมืองหลู่จวงกงเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้มี หมิ่นกง หลีกง เหวินกง เซวียนกง เฉินกงขึ้นสืบตำแหน่งการบริหารตามลำดับ ตราบจนหลู่เซียงกงสวรรคตเมื่อตอน ๕๔๒ ปีก่อนคริสตศักราช หลู่เจากง จึงสืบราชสมบัติแทน และด้วยการปรับเปลี่ยนอำนาจเรื่อยมาของรัฐหลู่ อนุชนเชื้อสายของ ซิ่งฟู่ สูหยา และจี้หยิ่ว จึงได้ขยายอิทธิพลมากยิ่งขึ้น โดยต่างมีชื่อว่าเมิ่งชันซื่อ สูชุนซื่อ และจี้ชันซื่อ ซึ่งประวัติศาสตร์ได้ขนานนาม ๓ ตระกูลนี้ว่า "๓ อิทธิพล" ในสมัย ๕๓๗ ปีก่อนคริสตศักราช รัฐหลู่ถูกผูกขาดอำนาจบริหารโดย ๓ ตระกูลผู้มีอิทธิพลนี้ โดยผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชแห่งรัฐหลู่คือ จี้ซุนอี้หยู จี้ซุนอี้หยู ได้ทำการแบ่งอำนาจการทหารเป็น ๒ ส่วน โโยตนครอบครองอำนาจการทหารไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนอำนาจการทหารอีกส่วนหนึ่งก็ปันให้สองตระกูลคือ สูชุนเฉิงจื่อ และ เมิ่งสีจื่อ ดูแล ขณะเดียวกัน เขายังได้แบ่งประชากรและดินแดนของรัฐหลู่ออกเป็น ๔ ส่วน ตัวเขาครอบครอง ๒ ส่วน และให้ตระกูลสูชชซุนและตระกูลเมิ่งซุนครอบครองตระกุ,ละส่วน ด้วยการกระทำเช่นนี้ มิเพียงแต่ได้แขวนเจ้าเมืองจนสิ้นอำนาจเท่านั้น หากยังได้ทอนอำนาจของ ๒ ตระกูลจนลดน้อยลงไปอีกด้วย ดังนั้น ทั้งสามตระกูลจึงคอยหักเหลี่ยมหักคม จนทำให้รัฐหลู้เคราะห์ซ้ำกรรมกระหน่ำและมีแต่เสื่อมถอยลงทุกที ครั้นข่งชิว ได้เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ อารมณ์ก็อัดแน่นในทรวงอก จนอยากจะเป็นขุนศึกที่แผ่สิงหนาทเข้าฟาดฟันศัตรูในสนามรบให้สิ้นซาก เพื่อกอบกู้ความเสื่อมทรามของชาติให้กลับสู่ความชัชวาลอีกวาระหนึ่ง แต่ทว่า ทุกครั้งที่เขาคิดเช่นนี้ เขาก็ต้องแอบยิ้มให้กับความไร้เดียงสาและความอ่อนหัดของตนเสมอไป ในมโนภาพของข่งชิว เต็มไปด้วยความฝัน เขารู้ดีว่าการใหญ่ทั้งปวงจักต้องเริ่มจากรากฐานเป็นสำคัญ และด้วยการไตร่ตรองเป็นระยะเวลานาน ข่งชิวจึงเริ่มออกเผยแพร่อุดมการณ์ของตนกับเหล่าธีระผู้รักชาติในเมืองหลู่ วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องถนน เขาได้ยินผู้คนสนทนาโดยบังเอิญว่า "ท่านอุปราชจะรับปราชญ์อีกแล้ว" "เห็นได้ไฉน" "ก็ท่านอุปราชกำลังเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับบัณฑิตกันอุตลุตเลยนิซิ" "ก็อีแค่ผักชีโรยหน้าละกระมัง" "แต่อาจจะจริงใจก็ได้นะ" ... สำหรับข่าวลือนี้ ข่งชิวเคยได้ยินมาอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่อาจเชื่ออย่างสนิทใจเท่านั้น แต่เมื่อมีการร่ำลือกันอย่างหนาหูเช่นนี้ ข่งชิวจึงมั่นใจว่ามิใช่ข่าวลือเสียแล้ว ในวันนั้นจึงเดินทอดหุ่ยกลับบ้านด้วยความอิ่มเอม สายธารแห่งเวลาได้ไหลผ่านไปอย่างเฉื่อยช้า ในที่สุด วันเวลาที่รอคอยก็มาถึง ในเช้าตรู่ของวันนั้น ข่งชิวได้แต่งกายภูมิฐานและมุ่งหน้าไปที่จวนอุปราชด้วยสีหน้าอันสดใส ท่ามกลางสายรุ้งที่ลอยพาดขอบฟ้าอย่างตระการตา