collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน  (อ่าน 45559 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ภูเขาหนีซิวที่งดงาม 5

        รถม้าจอดที่เชิงเขาด้านตะวันออกของภูเขาหนีซิว สูเหลียงเฮ่อรีบกระโดดลงจากรถม้า มาประคองเจิงจ้ายลงจากรถอย่างทะนุถนอม หลังจากทั้งสองได้จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ต่างนำสิ่งของเครื่องเซ่นที่จัดเตรียมไว้ปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขา ระหว่างทางได้เห็นตนสนเบียดชะลูดเป็นแนวไพร ทิวทัศน์เขียวชะอุ่มชุ่มขจี หยดน้ำที่เกาะติดบนใบหญ้าได้ต้องแสงอุษาจนเปล่งประกายดุจเม็ดอัญมณีสีรุ้งไปทั่วทุ่ง  ภาพภูเขาหนีซิวที่ต้องใจ ได้ทำให้ทั้งสองลืมความต่างลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการป่ายเขาไปเสียสิ้น ครั้นทั้งสองเดินถึงไหล่เขา ได้เห็นศาลเทพารักษ์แห่งหุบเขา ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ้งกว้างที่ปูลาดด้วยดอกไม้ป่าเหลืองอร่าม ทุ่งกว้างสีเหลืองได้ถูกปะแชมด้วยหญ้าอ่อนที่มีความอ่อนนุ่ม ดุจพรมสีเขียวผืนใหญ่ นกน้อยต่างแข่งขันประชันเพลงบนต้นไม้ ผีเสื้อดูเหมือนจะออกมารำร่ายไปกับจังหวะเพลงแห่งสกุณา ทัศนียภาพอันงดงามเหล่านี้ ได้ทำให้เจิงจ้ายถึงกับอุทานออกมาด้วยความประทับใจว่า "ช่างเป็นสวรรค์บนแดนดินโดยแท้"  ครั้นสูเหลียงเฮ่อได้ยินก็อดขำเสียมิได้ เพราะเขารู้สึกว่าภรรยาที่ยังสาวของตนคนนี้ยังติดความไร้เดียงสาของเด็กอยู่  สูเหลียงเฮ่อได้เข้าประคับประคองภรรยาของตนเดินตรงไปยังศาลเจ้าอย่างทะนุถนอม ทั้งสองต่างช่วยกันจัดส่งเครื่องเซ่นอย่างปราณีต แล้วจึงอธิษฐานขอพรประทานบุตรจากเทพารักษ์ด้วยความศรัทธา หลังจากกราบไหว้ขอพรเสร็จ ทั้งสองต่างเดินลัดเลาะลงเขาตามทางเดิม และขึ้นรถกลับบ้านท่ามกลางายัณห์สมัยด้วยความสำราญใจ 
        ตั้งแต่ได้กลับจากขอพรที่ภูเขาหนีซิวแล้ว เจิงจ้ายก็เปลี่ยนเป็นคนที่ร่าเริงสดใส อาหารการกินก็ทานได้มากยิ่งกว่าเก่า ร่างกายจึงอ้วนท้วนแข็งแรงขึ้นอย่างมากมาย    เหมันตฤดูของปีนั้น  เจิงจ้ายได้ตั้งครรภ์สมดังที่ใจปรารถนามานาน และทุกครั้งที่นางนึกถึงความรู้สึกของการเป็นมารดา จิตใจก็จะเปลี่ยนล้นด้วยความหวานชื่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ส่วนหนึ่งก็อดเป็นห่วงเสียมิได้ว่าลูกที่อยู่ในครรภ์ จะเป็นคนพิการเช่นเมิ่งผีหรือไม่  และทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ เจิงจ้ายก็จะยิ่งดูแลเอาใจใส่เมิ่งผีมากขึ้นเป็นพิเศษ ตอนนั้น เมิ่งผี มีอายุห้าขวบบริบูรณ์  นางจึงเริ่มสอนให้รู้จักตัวหนังสือ สอนให้รู้จักการละเล่นทุกอย่าง ทั้งนี้เพื่อให้เมิ่งผีมีความสนุกสนานและลดปมด้อยในจิตใจให้จางลง สิ่งเหล่านี้ที่เจิงจ้ายได้ทำก็ได้สร้างความประทับใจให้แก่สูเหลียงเฮ่อและมารดาบังเกิดเกล้าของเมิ่งผีเป็นอย่างมาก เขาทั้งสองจึงต่างเฝ้าอธิษฐานให้เจิงจ้ายประสบแต่ความสุขความเจริญอยู่เสมอ  เวลาครบกำหนดคลอดใกล้เข้ามาทุกที สูเหลียงเฮ่อและแม่ของเมิ่งผี ต่างสาละวนกับการตระเตรียมจนจ้าละหวั่น และบ่อยครั้งที่ซือซื่อก็มาช่วยเหลือด้วยเช่นกัน เนื่องจากสูเหลียงเฮ่อทราบดีว่าภรรยาของตนชอบทิวทัศน์ที่ภูเขาหนีซิว จึงได้ตัดสินใจปลูกกระท่อมหลังน้อยที่เชิงเขาหนีซิวขึ้น หลังก่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้ขับรถม้าส่งเจิงจ้ายไปที่นั่นในวันต่อมา  เจิงจ้ายรู้สึกผูกพันกับที่นี้มากเป็นพิเศษ เวลานั้นตรงกับฤดูใบไม้ผลิ รอบเชิงเขาหนีซิวจึงปกคลุมด้วยดอกเบญจมาศป่าเหลืองสุกลูกหูลูกตา  เจิงจ้ายรู้สึกปลาบปลื้มปิติจนถึงกับลืมตัวว่ากำลังจะเป็นแม่คนในไม่ช้า เพราะความสวยงามแห่งธรรมชาติที่ยังมิได้ผ่านการเจียระไน ได้เป็นมนต์ขลังที่ทำให้เจิงจ้ายหลงใหลไปอย่างไม่รู้ตัว   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ภูเขาหนีซิวที่งดงาม 6

        และในวันที่ ๑๗ เดือน ๘  ๕๕๑ ปีก่อนคริสตศักราช ตามจันทรคติ  นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้อุบัติขึ้นแล้ว เสียง "อุแว้" ก้องสนั่นไปทั่วหุบเขาสูเหลียงเฮ่อกระโดดโลดเต้นจนลมหายใจไม่เป็นจังหวะ ด้านหนึ่งต้องคอยดูแลเจิงจ้าย ส่วนอีกด้านหนึ่งต้องคอยดูอุ้มลูกเชยชมจนมิอยากวางมือ ทารกเป็นเด็กชายผิวคล้ำ รูปร่างดูแข็งแรง  สูเหลียงเฮ่อมีความสุขเสียจนมิอาจหุบยิ้มได้  "ช่างเหมือนข้าจริง ๆ ดูซิ !  ลูกรักของพ่อ !" แต่ความดีใจของผู้เป็นบิดาพลันต้องชะงัก เมื่อแววตาได้ไปสะดุดที่ศรีษะของทารกน้อย ที่แท้คือส่วนกลางของศรีษะมีรอยบุ๋ม ตะปุ่มตะป่ำสีดำประปราย รอบบริเวณรอยบุ๋มมีลักษณะนูนสูงจนดูคล้ายกับเนินดินมิปาน "ฮ่าย ! ไม่น่าเป็นรอยด่างพร้อยในเพชรน้ำหนึ่งเลย"  สูเหลียงเ่อนึกพ้ออยู่ในใจ ความรู้สึกที่ดีใจเมื่อสักครู่จึงเหือดหายไปกว่าครึ่ง สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหันของสูเหลียงเฮ่อได้สร้างความวิตกกังวลแก่เจิงจ้ายเป็นอย่างมาก  "หรือว่า ..." นางไม่กล้าจะคิดต่อไปอีก เขาอยากจะดูลูกของตน อยากจะจุมพิตลูกของตน แต่ ... นางเหมือนได้รับรู้อะไรบางอย่างจากสีหน้าของสามี ด้วยความอยากอุ้มลูก นางจึงกระเสือกกระสนชูแขนออกมา แต่แล้วก็ต้องหดแขนกลับไปใหม่ นางกลัวเหลือเกิน กลัวว่าลูกของตนจะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเมิ่งผี เวลาอันแสนทรมานได้ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน นางได้ฮึดกำลังใจขึ้นอีกครั้งหนึ่ง "เอาลูกมาให้ฉันอุ้มหน่อยสิ"   สูเหลียงเฮ่อส่งลูกให้เจิงจ้าย เจิงจ้ายรีบเปิดผ้าสำรวจดูอย่างถ้วนถี่ ตอนนี้นางรู้สึกโล่งอกเหมือนได้ปลดหินก้อนโตออกจากทรวง เด็กน้อยคนนี้มีใบหน้าทรงเหลี่ยม คิ้วดก ตาโต
        "ใช่จริง ๆ เหมือนพ่อของเขามากเสียด้วย"  ความจริงนางต้องการจะเก็บคำพูดนี้ไว้ในใจ แต่ไม่รู้ว่ามันหลุดปากไปได้อย่างไร สูเหลียงเฮ่อพูดออกมาด้วยอาการผิดหวังว่า "แต่น่าเสียดายที่หัวลูกมีไอ้ของสกปรกนั่น" ครั้นเจิงจ้ายได้ฟังก็ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา นางลูบคลำศรีษะของลูกและพูดว่า "อันนี้เป็นของธรรมดาสำหรับทารกแรกเกิด ฉันเคยได้ยินเขาพูดกันว่า เด็กที่มีรอยปุ่มป่ำสีดำนี้ โดยมากแล้วจะมีความฉลาดมากเป็นพิเศษ ดีไม่ดีลูกของเราอาจจะเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หรืออาจจะสร้างคุณความดีอันใหญ่หลวงให้กับประเทศชาติในอนาคตก็ได้"  ครั้นสูเหลียงเฮ่อได้ฟังก็มิอาจระงับความปิติในใจได้อีก เขารีบอุ้มลูกมากอดอย่างแนบแน่น และจุมพิตตรงกลางศรีษะอย่างทะนุถนอม  เจิงจ้ายได้เห็นความปิติของสามีเช่นนี้ จิตใจก็พองโตจนน้ำตาอาบแก้ม นางรีบเช็ดคราบน้ำตาและพูดว่า "ท่านพี่ รีบตั้งชื่อให้ลูกของเราเถอะ"  "ใช่ !ใช่ !  เราควรตั้งชื่อให้แก่ลูกของเรา"  สูเหลียงเฮ่อพึมพำอยู่คนเดียวหากแต่สายตายังคงจับจ้องมองลูกชายอย่างไม่ลดละ ภายในใจนึกตรึกตรองอยู่พักใหญ่  เมื่อหนึ่งปีก่อน เราเคยมาขอลูกที่ภูเขาหนีซิวแห่งนี้ และลูกของเราก็ยังมีรอยปุ่มป่ำสีดำบนศรีษะอีก หากว่าลูกของเรามีความเฉลียวฉลาดเหมือนอย่างที่เจ้าว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องตั้งชื่อให้ลูกว่า "ชิว "(เนิน) ฉายา จ้งหนี" เจ้าเห็นว่าอย่างไร "  เจิงจ้ายตอบว่า "ท่านพี่ตั้งได้เหมาะสมแล้ว  ในภายหลังเพื่อเป็นการให้เกียรติและไม่เป็นการเสียมารยาทแก่ท่านขงจื่อ ภูเขาหนีซิว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นภูเขาหนีซาน
        ย้อนกล่าวถึงสูเหลียงเฮ่อ หลังจากได้บุตรชายแล้ว ใบหน้าก็ยิ้มแย้มแช่มชื่นตลอดทั้งวัน เมื่อลูกชายครบเดือน สูเหลียงเฮ่อได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับลูก เพื่อนสนิทมิตรสหายต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง  ข่งชิว มีความเฉลียวฉลาดและร่าเริงมาแต่เยาว์วัย ทุกคนในครอบครัวจึงต่างให้ความรักความเอ็นดูเสมือนหนึ่งแก้วตาดวงใจ ในแต่ละวัน เจิงจ้ายจะคอยอุ้มคอยดึงข่งชิวมิให้ห่าง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จะสอนหนังสือให้แก่เมิ่งผี สำหรับคนที่ไม่รู้ความจริง ก็จะเข้าใจว่าเจิงจ้ายเป็นมารดาแท้ ๆ ของเมิ่งผีไปเสียหมด  เวลาผ่านไปรวดเร็วดุจกระแสแล่น เวลานั้น ข่งชิวอายุครบสามขวบแล้ว และก็เป็นจริงอย่างที่วาไว้คือ  ข่งชิวมีความฉลาดเกินคน เมื่อตอนที่สองสามีภรรยาสอนข่งชิวให้หัดพูด เพียงสอนครั้งเดียว ข่งชิวก็สามารถท่องจนขึ้นใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้น ทั้งสองจึงรักและเอ็นดูข่งชิวมากเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกัน ทั้งสองสามีภรรยาต่างก็รู้สึกเห็นใจเมิ่งผี  ได้แต่โทษดวงชะตาว่าช่างไม่ยุติธรรมกับเด็กคนนี้เสียจริง ๆ  และแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ทั้งสองก็จะยิ่งให้ความรักความอบอุ่นกับเมิ่งผีมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งนานวันเข้า เมิ่งผีก็ให้ความเคารพรักและปฏิบัติต่อเจิงจ้ายเสมือนหนึ่งมารดาบังเกิดเกล้าจริง ๆ ท่ามกลางบรรยายกาศที่อบอวลด้วยความรัก ทั้งครอบครัวจึงมีแต่ความอบอุ่นอันเหมือนเช่นสวรรค์บนดินก็มิปาน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ภูเขาหนีซิวที่งดงาม 7

        แต่ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่จีรัง
วันหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อเกิดล้มป่วยลงกระทันหัน ในเริ่มแรกทุกคนต่างเข้าใจว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา เพราะคนที่ฝึกวิทยายุทธและร่างกายแข็งแรงกำยำ ขอเพียงรำมวยสักพักหนึ่ง อาการหวัดก็จะหายไปเองโดยพลัน  แต่อาการป่วยไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้นเท่านั้น หากแต่ร่างกายกลับทรุดหนักลงทุกวัน  มีอาการวิงเวียนศรีษะ และเหงื่อไหลโทรมกายตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น ทุกคนจึงเริ่มหวั่นวิตกและรีบตามหมอมารักษากันเป็นพัลวัน เจิงจ้ายจะเป็นคนคอยต้มยา และอยู่ปรนนิบัติตลอดทั้งวันและคืน แต่อาการได้หนักถึงขั้นกระษัยแล้ว ไม่ว่าจะทานยาอะไรก็ไม่เกิดผลใด ๆ ทั้งสิ้น  คืนวันหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อฟื้นจากอาการสลบไสล เขารู้ตัวว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงกุมมือเจิงจ้ายทั้งน้ำตา และพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า "ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว พวกเจ้าและลูก ๆ คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ชีวิตต่อไปในอนาคตก็คงต้องลำบากไม่น้อย  ข่งชิวเป็นลูกของข้า เด็กคนนี้มีความฉลาดเกินคน ถ้าหากได้รับการอบรมอย่างเหมาะสม อนาคตก็จะไปไกลไม่น้อย แต่ ... ที่ข้าเป็นห่วงที่สุดคือ เมิ่งผี  เขาไม่เพียงแต่มีสติปัญญาน้อยกว่า หากแต่ร่างกายยังมีความพิการอีกต่างหาก ข้าจึงอยากจะขอร้องเจ้า ให้เห็นแก่การที่เราได้เป็นสามีภรรยากัน ขอให้เจ้าตั้งใจเลี้ยงดู เมิ่งผี ให้ดี ๆ ให้เขาได้ ..."
        สูเหลียงเฮ่อเริ่มหายใจติดขัด น้ำเสียงยิ่งแผ่วเบาลงมากขึ้นทุกที  ตอนนี้ เจิงจ้ายได้ร่ำไห้เสียใจจนน้ำตาอาบชุ่มใบหน้าไปเสียแล้ว นางแนบหูที่ปากของสามี  แต่ก็หาได้ยินเสียงพูดของสูเหลียงเฮ่ออีกไม่  เจิงจ้ายจึงรีบตั้งสติและกล่าวขึ้นด้วยความหนักแน่นว่า  "ถึงแม้เมิ่งผีจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของข้า แต่เขาก็เป็นสายเลือดของตระกูลข่ง ขอให้ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะดูแลเมิ่งผีให้ดีที่สุด" สูเหลียงเฮ่อพยายามใช้มือประคองตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำได้เช่นนั้นอีก เขาจึงใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่พูดออกมาว่า "หาก ... เจ้า ... สามารถ ... ดูแล ... เมิ่งผี ...ได้ ... แม้ข้าจะอยู่ในปรภพ ... ข้าก็ ... นอนตาย ... ตาหลับ ... แล้ว ..." เพียงพูดจบ สูเหลียงเฮ่อก็สิ้นใจจากไป  เจิงจ้ายร้องไห้เสียใจจนแทบน้ำตาจะเป็นสายเลือด "ขอให้ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน" 
        สำหรับครอบครัวที่มีแต่เด็กและผู้หญิงเช่นนี้ การตายของสูเหลียงเฮ่อจึงนับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่  แต่เจิงจ้ายก็ทำตัวสมกับเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งนางสามารถระงับอารมณ์โศกเศร้า และตั้งสติด้วยความรวดเร็ว หลังจากเสร็จสิ้นงานอวมงคลพิธีของสามี นางได้ชะลอศพสามีไปฝังไว้บนภูเขาฝังชาน และนับแต่นั้น นางต้องรับผิดชอบความอยู่รอดของครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว  เวลานั้น ลูกสาวทั้ง ๙ ของสูเหลียงเฮ่อได้แต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว จึงทำให้สมาชิกครอบครัวเหลืออยู่เพียง ๔ คน  เจิงจ้ายเข้าใจดีว่า สมบัติต้องมีวันใช้หมดในสักวันหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีทุนทรัพย์สำหรับเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่ ด้วยเหตุนี้ นางจึงแบกรับภาระบริหารครอบครัวไว้ทั้งหมด ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้เป็นอย่างดี
        เวลานั้น เมิ่งผี อายุได้ ๙ ขวบ แล้ว เจิงจ้ายจึงนำไปฝากที่สำนักศึกษา แต่ก็มีเด็กเกเรบางคนที่มักจะเอาความพิการของเมิ่งผีมาเยาะเย้ยให้อับอายอยู่ตลอดเวลา  ครั้งหนึ่ง เมิ่งผีได้ถูกเพื่อน ๆ กลั่นแกล้งด้วยการแอบเอาไม้เท้าไปซ่อนไว้ จนไม่สามารถกลับบ้านได้ เด็กน้อยจึงได้แต่ร้องไห้บนโขดหินด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ  กระทั่งพลบค่ำ เจิงจ้ายและมารดาของเมิ่งผี จึงมาพากลับบ้าน หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เมิ่งผีก็สาบานว่าจะไม่ยอมไปเรียนที่สำนักศึกษาอีกต่อไป     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ครูคนแรก

          หลังจาก เมิ่งผี ถูกเพื่อน ไ เยาะเย้ยรังแก เมิ่งผีก็สาบานว่าจะไม่ไปสำนักศึกษาอีกต่อไป แม้นเจิงจ้ายและมารดาจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล เจิงจ้ายรู้สึกจนปัญญาจึงถอนใจขึ้นว่า  "เด็กคนนี้กำพร้าพ่อมาแต่เด็ก ทั้งยังเป็นเด็กพิการอีก ปมด้อยจึงมีไม่น้อย เอาเถอะ ! ให้เมิ่งผีอยู่ที่บ้านก็แล้วกัน นับแต่นี้ ข้าจะเป็นคนสอนหนังสือให้เอง" ครั้นมารดาของเมิ่งผีได้ฟัง ก็รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันจนมิอาจบรรยาย  เจิงจ้าย เป็นสตรีที่เติบโตในครอบครัวที่แวดล้อมไปด้วยศิลปวรรณกรรม ดังนั้น จึงได้รับการอบรมศึกษามาแต่เยาว์วัย วิชาความรู้จึงนับว่าไม่น้อยหน้าใครในละแวกนั้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เจิงจ้ายนอกจากทำงานบ้านและเลี้ยงดูข่งชิวแล้ว นางยังต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสอนหนังสือให้แก่เมิ่งผี แม้นว่าเมิ่งผีจะเป็นเด็กหัวช้า แต่นางก็ยังคงอบรมสอนสั่งเมิ่งผีด้วยความอดทน  เมิ่งผีได้รับการอบรมจากเจิงจ้าย จึงทำให้วันเวลาเปี่ยมไปด้วยความสุขเสมอมา ด้วยความสำนึกในพระคุณ เมิ่งผีจึงเคารพรักเจิงจ้ายเหมือนมารดาอีกคนหนึ่ง ปกติจึงมักเรียกเจิงจ้ายว่าคุณแม่อย่างนั้น คุณแม่อย่างนี้ จนทำให้เจิงจ้ายรู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก และนอกเหนือจากเวลาเรียนแล้ว เมิ่งผีก็ยังใช้เวลาเที่ยวเล่นกับข่งชิวอยู่เสมอ สองพี่น้องจึงมีความสนิทสนมรักใคร่กันเป็นอย่างมาก

        จากนั้นไม่นาน พวกเขาต้องย้ายบ้านจากโจวอี้ ไปที่ ฉวี่ฮู่ ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเดิม อันเมืองฉวี่ฮู่นั้นเป็นสถานที่ที่ทั้งเจริญและแออัดคับคั่งที่สุดในรัฐหลู่  ส่วนบ้านที่ย้ายไปอยู่ก็เป็นเพียงกระท่อมหญ้าที่ต่อกันไม่กี่หลัง ตัวบ้านมีระเบียงรูปทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่นตามประสาชนบท หากนำไปเทียบกับถนนหนทางที่เจริญแล้ว สถานที่แห่งนี้จะมีความสงบร่มเย็น จนดูเหมือนเป็นมุมหนึ่งที่ถูกโลกทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แต่ทว่าสถานที่แห่งนี้ กลับกลายเป็นสถานที่ ๆ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังเจริญวัยอยู่ เมื่อข่งชิว อายุได้หกขวบ  แววตาของข่งชิวดูหนักแน่นเป็นประกาย ร่างกายก็ดูสูงใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน ดังนั้นสำหรับอาณาจักรกระท่อมหญ้าแห่งนี้จึงไม่อาจเป็นที่พึงใจแก่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ได้อีก เพราะข่งชิวได้แต่ร้องขอไปเที่ยวนอกบ้านตลอดเวลา 

        ในวันนี้เป็นวันเทศกาลที่ตรงกับวันเหมายัน* (เป็นจุดที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงราววันที่ ๒๒ ธันวาคม อันเป็นจุดที่ฤดูหนาวมีเวลากลางคืนนานกว่ากลางวันมากที่สุด) ตามจันทรคติ ซึ่งเป็นวันที่รัฐหลู่จะทำพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้ง สำหรับพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้งนี้ จะเป็นมหาพิธีที่ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านจนแห่มามุงดูเป็นจำนวนมาก พิธีนี้จะมีความสำคัญที่สุด ในหมู่พิธีทั้งหลาย หากเวลานั้นได้มีบุคคลสำคัญของรัฐถึงแก่อนิจกรรมและตรงกับวันมหาพิธี พิธีศพยังต้องเลื่อนหมายออกไป เพราะไม่ว่าใครก็ไม่มีอภิสิทธิ์ที่จะเลื่อนกำหนดวันมหาพิธีนี้ได้ทั้งสิ้น และสำหรับปะรำพิธีที่ใช้สำหรับบูชาฟ้าในครั้งนี้ ก็ได้กำหนดให้จัดขึ้นที่ด้านนอกของประตูเมืองทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำฉีสุ่ย

        ยามอรุโณทัย ข่งชิวและพี่ชายเพิ่งจะตื่นนอน เจิงจ้ายก้าวเข้ามาพูดกับข่งชิวว่า "ข่งชิว ลูกมิใช่บ่นแต่จะออกไปเที่ยวนอกบ้านหรอกหรือ ?. พอดีวันนี้เป็นวันบูชาฟ้ากลางแจ้ง ลูกทำไมไม่ลองไปขอให้พี่เมิ่งผีพาไปเที่ยวล่ะ ?." ถึงแม้ข่งชิวจะไม่ทราบเลยว่าอะไรคือพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้ง เพียงแค่ได้ยินว่ามารดาได้อนุญาตให้ออกไปเที่ยวได้เท่านั้น เด็กน้อยก็ถึงกับดีใจจนกระโดดโลดเต้นเสียแล้ว "ไชโย ! จะได้ออกไปเที่ยวแล้ว" เจิงจ้ายเรียกเด็กทั้งสองมาทานข้าวเช้าให้เรียบร้อย  หลังจากได้ใส่เสื้อผ้าเพิ่มให้กับเด็กทั้งสองเสร็จก็สั่งกำชับว่า "เมิ่งผี เจ้าเป็นพี่ เจ้ารู้อะไรได้ดีกว่า ฉะนั้นต้องนำน้องให้ดี ๆ นะ ข่งชิว พี่เจ้าเดินเหินไม่สะดวก ลูกต้องคอยดูแลพี่ของลูกด้วย อย่าเอาแต่เล่นอย่างเดียวล่ะ" จิตใจของข่งชิวตอนนี้ได้ล่องลอยเหมือนนกที่โผบินออกนอกกรงจนไม่มีใครสามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้อีกแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 5/07/2555, 20:14 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ครูคนแรก 1.

        เมืองหลวงของรัฐหลู่กว้างขวางใหญ่โต ลำพังแค่ถนนที่ตัดขนานในทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตกก็มีจำนวนถึง ๑๑ สายใหญ่ ส่วนถนนที่ตัดเป็นแนวฉากจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ก็เป็นจำนวนถึง ๗ สายใหญ่ ซึ่งถนนสายนี้ได้ตัดสานกันไปมา เฉพาะถนนสายที่กว้างที่สุดก็มีความกว้างถึง ๖ จั้งกว่า (๑จั้ง = ๓.๕ เมตร) ส่วนร้านขายของที่เปิดเรียงรายอยู่สองฝั่งทางก็มีมากมายจนมิอาจนับถ้วนได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านสุรา  ร้านอาหาร  รวมทั้งพ่อค้าวาณิช ที่สัญจรไปมาต่างก็เดินเบียดเสียดจนดูครึกครื้นเจริญตายิ่ง  ข่งชิว ชื่นชมยินดีจนดวงตาลุกวาวเป็นประกาย เดี๋ยวมองซ้ายแลขวา เดี๋ยวเหลียวหน้าแลหลัง จนบางครั้งรู้สึกแค้นใจตนที่เกิดมามีเพียงแค่สองตา ข่งชิวเดินชมพลางพูดกับพี่ชายว่า "พี่ ! พี่ ! รีบดูรถคันนั้นสิ สวยงามจริง ๆ เลย อู้ฮู !  บ้านนั้นสูงเหลือเกิน ! ดูม้านั่นสิ ... "  ข่งชิวทั้งวิ่งเต้นทั้งกระโดด ทั้งหัวเราะทังส่งเสียงดัง จนทำให้เป็นเป้าสายตาของผู้คนจำนวนมาก  ส่วน เมิ่งผี แต่เกิดมาก็มีอุปนิสัยที่เก็บตัวกอปรกับมีความพิการมาแต่กำเนิด จิตใจจึงประหวั่นพรั่นกลัวว่าผู้คนจะตำหนิ ดังนั้นจึงไม่ยอมพูดจาและเดินกระโผกกระเผกตามหลังข่งชิวไปอย่างเขินอาย  แต่เพื่อป้องกันมิให้น้องวิ่งพลัดหายไป เมิ่งผีจึงนำไม้เท้าข้างซ้ายให้ข่งชิวถือไว้ ส่วนมือซ้ายของเมิ่งผีก็จะพาดประคองไว้บนบ่าของข่งชิว พอเดินได้สักพักหนึ่ง เมิ่งผีสังเกตเห็นข่งชิวเหนื่อยอ่อนจนเหงื่อโชกเต็มใบหน้า จึงรีบนำไม้เท้ากลับมาพยุงน้ำหนักตัวดังเดิม และถามข่งซิวด้วยความเห็นว่า "น้อง ! เหนื่อยหรือเปล่า ?."  ข่งชิว เป็นคนที่มีอุปนิสัยเข้มแข็ง ไหนเลยที่จะยอมรับว่าเหนือ่ยได้ "ไม่เหนื่อยเลยสักนิด ! "  เด็กน้อยยืดอกกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น  เมิ่งผีพูดว่า "พวกเราเดินช้าหน่อยดีไหม ?."  เมิ่งผีกล่าวเหมือนขอความเห็น แต่ความจริงคือการขอความเห็นใจ  ข่งชิวเป็นเด็กที่ฉลาดเกินวัย ไหนเลยจะไม่รู้ได้ ดังนั้น จึงรู้สึกละลายใจที่เอาแต่ห่วงเล่นโดยไม่สนใจในความรู้สึกของพี่ชาย แต่ เอ ... จะพูดอะไรดีนะ ?. ดวงตากลม ๆ ของข่งชิวตอนนี้ได้กลอกไปมาอย่างใช้ความคิด แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่เหมาะสมได้สักที จึงได้แต่พยักหน้ารับคำตามที่พี่ชายขอ
        พี่น้องสองคนเริ่มเดินทางต่อ แต่คราวนี้ เมิ่งผีจะพยุงไม้เ้ท้าด้วยตัวเอง ส่วนข่งชิวก็จะคอยพยุงพี่ชายและก้าวเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง  ประตูเมืองหลู่มีทั้งสิ้น ๑๑ บาน แต่ตอนนี้กลับมีผู้คนเบียดเสียดจนเนืองแน่นไปเสียแล้ว  เมิ่งผี และ ข่งชิว จึงต้องคอยแหวกฝูงชนเข้าไปอย่างยากลำบาก แต่เนื่องจากตัวเล็กกว่าเขามากมาย จึงถูกฝูงชนเบียดออกมาในที่สุด ข่งชิวรู้สึกกลัดกลุ้มร้อนใจเป็นยิ่งนัก จึงได้แต่ส่ายหน้าถอนใจด้วยความเสียดาย ในทันใด ดวงตาของข่งชิวก็ลุกโตเป็นประกาย เขาพบว่าทางทิศใต้ที่ห่างออกไปไม่ไกล มีเนินดินที่ก่อเป็นฝายน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ข่งชิวไม่มีเวลาพอที่จะอธิบายเหตุผลแก่เมิ่งผีได้อีก จึงรีบฉุดดึงพี่ชายไปทางฝายน้ำ ครั้นขึ้นไปบนเนินฝายน้ำ ได้เห็นแท่นบูชาตั้งตระหง่านงดงามอยู่ท่ามกลางฝูงชนอันหนาแน่น ข้าวของรอบปะรำพิธีได้ถูกจัดวางไว้อย่างบรรจง ข่งชิวพิศมองอย่างหลงใหล ทั้งยังวาดมือวาดเท้าตามพิธีกรที่อยู่ท่ามกลางมณฑลพิธีแห่งนั้นจนจบพิธี  แม้พิธีการเซ่นไหว้จะจบลงไปแล้วแต่อารมณ์ความรู้สึกของข่งชิวยังคงตรึกใจอยู่มิเลือนหาย ข่งชิวรู้สึกทึ่งกับความงดงามของพิธีเป็นเวลานาน จนกระทั่งฝูงชนได้แยกย้ายกลับกันหมดแล้ว จึงค่อยยอมเดินตามเมิ่งผีกลับด้วยความรู้สึกที่ยังอาวรณ์   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ครูคนแรก 2

        เจิงจ้ายและมารดาของเมิ่งผี ได้ชะเง้อคอยเด็ก ๆ อยู่หน้าบ้านอย่า่งกระวนกระวายอยู่ก่อนแล้ว ครั้นได้เห็นเด็กทั้งสองเดินมาแต่ไกล จิตใจของทั้งสองจึงรู้สึกโล่งอกลงไปอย่างมาก ครั้นกลับมาถึง ข่งชิวจะวาดท่าวาดทางพลางเลียนเสียงสำเนียงทั้งหมดที่ได้เห็นให้มารดาฟังอีกรอบหนึ่ง ส่วนเมิ่งผีจะอยู่คอยตอบคำถามของมารดา ถึงแม้จะต่างคนต่างพูดจนวุ่นวาย แต่ทั้งสองต่างก็ซบอยู่ในอ้อมอกเพื่อดื่มด่ำกับไออุ่นของมารดาอย่างมีความสุข  หลังจากได้เปิดหูเปิดตาในครั้งนี้แล้ว ข่งชิวก็บังเกิดความสนใจต่อพิธีบูชาขึ้นอย่างมากมาย และทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีการจัดพิธีบูชาขึ้น เด็กน้อยก็จะมารบเร้าให้พี่ชายพาไปดูด้วยอยู่มิขาด แต่ด้วยเพราะเมิ่งผีเดินเหินไม่สะกดวกประการหนึ่ง อีกด้วยเพราะเป็นคนรักสันโดษอีกประการหนึ่ง หลังจากไปดูด้วยกันสองครั้งแล้วก็ไม่ยอมไปด้วยอีก แต่สิ่งนี้ก็หาได้เป็นอุปสรรคให้ข่งชิวละความพยายามไม่  ในราชธานีของเมืองหลู่ จะมีศาลบรรพชนหลวงอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับบูชาพระอริยโจวกง เพราะโจวกงได้รับพระราชทานแต่งตั้งจาก พระเจ้าโจวอู่หวัง ซึ่งเป็นพระเชษฐา ให้เป็นเจ้านครแห่งรัฐหลู่ มาตรว่าจะยังไม่ได้ประกอบพิธีอภิเษกตามราชพิธี ด้วยมีราชกิจอันจำเป็นก็ตาม แต่ก็นับว่าได้รับพระราชทานแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบแห่งราชสำนักแล้ว ดังนั้น ศาลของโจวกงในสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่าศาลบรรพชนหลวงเสมอมา ซึ่งในภายหลังได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดหลวงโจวกง สำหรับพระอริยเจ้าโจวกงถือเป็นปฐมบรรพบุรุษแห่งัฐหลู่ ในสมัยนั้น ฉะนั้น จึงมีพิธีบูชาอยู่เนือง ๆ และทุกครั้งที่มีพิธีบูชา ข่งชิวก็จะรีบวิ่งไปชมดูมิขาด  โดย ข่งชิวจะสังเกตทุกกิริยาท่าทางของพิธีกรที่ร่วมในพิธีการอย่างมิกระพริบสายตา และเนื่องด้วยข่งชิวมีความจำเป็นเลิศฉะนั้นเพียงดูไม่กี่ครั้งก็สามารถเรียนรู้ระเบียบพิธีนั้นได้ทั้งหมด
        วันหนึ่ง  ข่งชิวได้นำเศษเงินที่มารดาให้ไปซื้อภาชนะเครื่องบูชาจากร้านขายของเล่น ครั้นหอบกลับบ้านก็นำมาจัดวางตามระเบียบพิธีและเริ่มพิธีการนั้นขึ้น ข่งชิวมักจะชวนเมิ่งผีมาเล่นด้วยอยู่บ่อยครั้ง แต่เนื่องจากเมิ่งผีต้องเดินกระโผกกระเผก เพียงไม่กี่ครั้งก็ปฏิเสธข่งชิวและเอาแต่เก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้อง สุดท้ายข่งชิวจึงต้องฝึกเล่นแต่เพียงผู้เดียว และทุกครั้งที่ข่งชิวดำเนินพิธีการ ข่งชิวจะมีความจริงจังและทำเช่นนี้อยู่ทุกวันโดยมิรู้สึกเบือหน่ายแต่อย่างใด สำหรับคำประกาศของพิธีกรประธาน อีกทั้งระเบียบท่าทางของพิธีกรสนามทั้งหมด ข่งชิวล้วนสามารถเลียนแบบได้อย่างสมจริงทั้งสิ้น
        ในเริ่มแรก เจิงจ้ายมิได้ติดใจอะไรแต่ระยะหลังเห็นข่งชิวเอาจริงเอาจังกับการฝึกฝนจนเสมือนว่ากำลังเพ้อคลั่งปานนั้น จึงถามข่งชิวด้วยท่าทีขึงขังว่า  ลูกฝึกอย่างนี้ทุกวัน หรือลูกคิดจะเป็นพิธีกรเหมือนอย่างพวกที่ดูแลวัด อย่างนั้นหรือ"  ข่งชิวเบ้ปากแย้งว่า "ก็แม่เอาแต่สอนพี่อ่านหนังสือ ไม่เห็นสอนลูกเลย ถ้าลูกไม่เล่นเป็นพิธีกรแล้วจะให้ลูกเล่นอะไรล่ะ ?."  ครั้นเจิงจ้ายได้ยินว่าลูกอยากเรียนหนังสือก็รู้สึกยินดียิ่ง "ถ้าลูกอยากเรียนหนังสือก็มิใช่เรืองยาก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ลูกก็ไปเรียนหนังสือกับพี่เมิ่งผี  แม่จะเป็นคนสอนลูกเอง แต่มีข้อแม้ว่าลูกจะต้องตั้งใจเรียนอย่าได้เอาแต่เล่นอีก !"  เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเจิงจ้ายเสร็จจากงานบ้านแล้ว ได้หยิบสมุดไผ่ออกมากางบนโต๊ะ และบรรจงเลือกตัวหนังสือที่จดจำได้ง่ายกว่า ๓๐๐ คำไว้สำหรับให้ข่งชิวได้อ่านท่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน  แต่คาดไม่ถึงว่า ข่งชิวจะใช้เวลาเพียงไม่ถึงวัน ก็สามารถท่องจำตัวอักษรทั้ง ๓๐๐ กว่าคำได้หมดด้วยการผ่านตาเพียงครั้งเดียว ความปลาบปลื้มได้เอ่อล้นอยู่ในดวงใจของเจิงจ้าย จนทำให้อดคิดถึงอดีตที่ข่งชิวเพิ่งเกิดเสียมิได้ จำได้ว่าในตอนนั้นนางเพียงพูดเล่นเพื่อให้สามีสบายใจเท่านั้น นางมองไปที่ลูกของตนด้วยแววตาเอ็นดู และเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ข่งชิวได้เติบโตผึ่งผายเหมือนบิดา ไม่มีผิด จึงยิ่งรู้สึกปิติจนมิอาจพรรณาด้วยคำพูดใด นางได้แต่ภาวนาขอพรต่อฟ้าเบื้องบน ขอให้ลูกของตนได้เป็นเสาหลักของชาติต่อไปในอนาคต 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 8/07/2555, 11:03 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ครูคนแรก 3  : 

       "แม่ ! ลูกเรียนหมดแล้ว"
เสียงแหลมเล็กของข่งชิวได้ปลุกเจิงจ้ายให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ข่งชิวดึงมือของนางส่ยไปมา  "แม่ ! ลูกอยกจะเรียนอีก" เจิ่งจ้ายเกรงว่าลูกจะเกิดความเบื่อหน่ายเสียก่อนจึงพูดว่า "ไว้พรุ่งนี้ค่อยเรียนต่อเถิอะนะ"  ข่งชิวเบ้ปากพูดออดอ้อนว่า "แม่สอนพี่เมิ่งผผีเรียนทุกวันแต่สอนลูกแค่นิดเดียวก็ไม่สอนแล้ว อย่างนี้มิใช่ลำเอียงหรอกหรือ"  ครั้นเจิงจ้ายได้ฟังก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า "ลูกต้องตั้งใจทบทวนตัวอักษร ๓๐๐ คำนี้ก่อนแล้วพรุ่งนี้แม่จะสอนให้ใหม่ และแม่จะทดสอบลูกในวันพรุ่งนี้ด้วย"  ข่งชิวมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จึงพยักหน้ารับด้วยความมั่นใจ  ค่ำคืนวันนั้น ข่งชิวโหวกเหวกจะขอนอนกับเมิ่งผีให้ได้ด้วยความรู้สึกเห็นใจและสงสาร เจิงจ้ายจึงไม่อนุญาตด้วยเกรงว่าข่งชิวจะไปรบกวนเวลาพักผ่อน แต่มารดาของเมิ่งผีก็ได้ช่วยข่งชิวอ้อนวอนอีกแรงหนึง เจิงจ้ายจึงต้องจำยอมอนุญาตในที่สุด และครั้นสองพี่น้องได้นอนอยู่ด้วยกันแล้ว ทั้งสองต่างกุมมือก่ายขาเพื่อให้เกิดไออุ่น ครั้นแขนขาได้อบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ข่งชิวก็กดเสียงพูดขึ้นว่า "พี่ ! พรุ่งนี้แม่จะสอบตัวอักษรที่เรียนในวันนี้ น้องจะเขียนให้พี่ดูก่อนว่าถูกหรือเปล่านะ"  เมิ่งผีพูดว่า "ตอนนี้ห้องมืดมิดไปหมด จะเห็นได้อย่างไร?. ข่งชิวได้คิดวิธีไว้แต่แรกแล้ว จึงกล่าวว่า "น้องจะเขียนไว้ที่ฝ่ามือพี่"  "อย่างนั้นหรือ"  เมิ่งผีรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงตอบรับคำขอไป ข่งชิวกุมมือพี่ชายมาทาบไว้ที่อก และบรรจงเขียนตัวอักษรไว้ที่ฝ่ามือ พลางอ่านออกเสียงตามที่เขียนว่า "ฟ้า ดิน ปู่ ย่า บรรพชน ..." หลังจากเขียนได้ประมาณสี่ห้าสอบตัว น้ำเสียงของข่งชิวเริ่มแผ่งลงและหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว ทุกสิ่งในห้องได้ตกอยู่ในความเงียบสงัด เหลือแต่เพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเด็กน้อยทั้งสอง โดยที่ข่งชิวยังคงกุมมือของเมิ่งผีไว้แนบแน่น  แสงอุษาทอแสงบ่งบอกถึงวันใหม่ ยามเมื่อเปิดประตูก็เห็นปุยหิมะพลิ้วลอยอยู่ทั่วนภา ปุยหิมะได้ทับถมจนสูงท่วมหัวเข่า สวนแมกไม้ที่เคยเขียวขจี บัดนี้ได้ถูกปกคลุมด้วยหิมะจนขาวโพลนไปทั่ว เสียงหิมะร่วงหล่นจากต้นไม้ดังเป็นระยะ ๆ ส่วนระเบียงทางเดินก็ถูกอัดแน่นด้วยหิมะจนมิอาจสัญจรได้อีก ทุกคนจึงระดมแรงช่วยกันกวาดหิมะออกจากระเบียง แสงประกายอันขาวนวสในยามเช้าได้ส่องสว่างจนเด็กทั้งสองลืมตาไม่ขึ้น เด็กทั้งสองเริ่มลงมือกวาดหิมะออกจากระเบียง แม้นทั้งสองจะถือไม้กวาดเตรียมกวาดหิมะอย่างเอาจริงเอาจังก็ตาม  แต่ความจริงแล้วเป็นการเล่นหิมะต่างหาก ครั้นทั้งสองสนุกสนานกันจนได้ที่  เมิ่งผีก็ทิ้งไม้เท้าของตน ไม้กวาดในมือจึงเป็นไม้เท้าไปโดยปริยาย แต่สำหรับเมิ่งผี การไม่มีไม้เท้าถือเป็นเรื่องลำบากอยู่พอสมควร กอปรกับพื้นผิวหิมะลื่นเป็นมัน ไม่ทันระวังจึงไถลล้มลงอย่างแรง ขาขวาของเมิ่งผีพับรองอยู่ใต้สะโพก น้ำหนักตัวบวกกับแรงกระแทกจึงกดทับจนกระดูกขาหลุดอย่างง่ายดาย ทุกคนช่วยกันพยุงเมิ่งผีเข้าไปในบ้านด้วยความตกใจ ในตอนนั้น ความเจ็บปวดได้ทรมานเมิ่งผีจนเหงื่อเม็ดโตไหลรินลงเป็นทาง มารดาของเมิ่งผีมีอาการกระวนกระวายจนทำอะไรไม่ถูก  หากแต่เจิงจ้ายเท่านั้นที่คุมสติไว้ได้  นางจึงสั่งเมิ่งผีให้นอนนิ่งในฟูก ครั้นแล้วจึงรีบหมุนตัวออกไปตามหมอโดยไม่รอช้า
        ตามถนนหนทางล้วนขาวโพลนไปด้วยกองหิมะ เจิงจ้ายจำได้เลือนลางว่าเคยเห็นป้ายร้าน "หมอต่อกระดูก" ติดอยู่ตรงหัวมุม แต่เหตุใดวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบก็ยังไม่พบสักที นางตัดสินใจถามคนข้างทาง จึงทราบว่าตนได้เดินเลยร้านหมอมาแล้ว นางจึงวกกลับไปและรู้สึกสดุดตากับป้านร้านแผ่นหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ จึงรีบรุดเข้าไปเคาะประตูบ้านโดยไม่รอช้า ผู้ที่เปิดประตูคือชายชราภูมิฐานวัย ๗๐ มีหนวดเคราขาวโพลน รูปร่างผอมสูงชายชราได้ทักทายอย่างสุภาพว่า "ท่านหญิง มาเยือนยามพายุโหมหนักเช่นนี้ หรือว่ามีธุระเร่งด่วนอย่างนั้นฤา?. จิตใจของเจิงจ้ายตอนนี้รุ่มร้อนดุจไฟสุมนางจึงเล่าถึงเจตนาการมาอย่างรวบรัด ชายชรามิพูดจาไถ่ถามอีก เขารีบจัดยาใส่เป้และตามเจิงจ้ายออกไปในทันที   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
  ครูคนแรก 4  : 

        ครั้นหมอมาถึง ขาของเมิ่งผีก็ออกอาการอักเสบบวมแดงเสียแล้ว
ชายชราคลำไปที่ขาของเมิ่งผี พลงเล่านิทานปรัมปราสมัยการเบิกฟ้าเบิกดินให้ฟัง เจิงจ้ายและทุกคนต่างงงวยกับพฤติกรรมของชายชรายิ่ง ขณะที่ทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก พลันได้ยินเสียงของเมิ่งผีร้องดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด ชายชรายิ้มอย่างแช่มชื่นว่า "เอ้า ! เสร็จแล้ว !" เพลานั้นสีหน้าของเมิ่งผีได้คลายความเจ็บปวดลงไปอย่างมาก เจิงจ้ายและคุณแม่ของเมิ่งผีต่างกล่าวขอบคุณและมอบค่าตอบแทนให้แก่ชายชราอย่างมากมาย "ด้วยการดูแลเอาใจใส่ของทุก ๆ คน เพียงไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บของเมิ่งผีก็หายเป็นปกติและกิจวัตรของทั้งครอบครัวก้เข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง โดยเมิ่งผียังคงเรียนหนังสือกับเจิงจ้าย ส่วนขงชิวก็ยังบ่นว่าเรียนน้อยไป จนเจิงจ้ายต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเป็นแบบแนะนำให้รู้จักวิทยาความรู้และจริยพิธีต่าง ๆ ของราชวงศ์โจว [/b]  ข่งชิวจึงรู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตาและมุ่งมั่นต่อการเล่าเรียนด้วยความตั้งใจ เจิงจ้ายมักจะให้ข่งชิวอธิบายความหมายของสิ่งที่ได้เรียนอยู่เสมอ ซึ่งข่งชิวล้วนสามารถตอบได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ นางรู้สึกพอใจต่อผลการเรียนของบุตรชายเป็นอย่างมาก แต่เพื่อให้เด็กทั้งสองต่างมีพัฒนาการด้านการศึกษาและกระตุ้นความคิดอ่านได้มากยิ่งขึ้น นางจึงให้ทั้งสองต่างตั้งคำถามกันไปมา หากคนใดตอบผิด นางก็จะทำการแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง เจิงจ้ายทำการสอนเช่นนี้ตลอด ๓ ปีจน ข่งชิวอายุได้ ๙ ขวบ ในตอนนั้น เจิงจ้ายไม่อาจมีเวลามากพอสำหรับงานบ้านงานเรือนได้อีก นางจึงตัดสินใจส่งเด็กทั้งสองไปเรียนที่สำนักศึกษา เช่นนี้จึงจะทำให้เด็กทั้งสองสามารถเียนรู้มากยิ่งขึ้นได้  ห่างจากบ้านไปไม่ไกลนักมีสำนักศึกษาอยู่แห่งหนึง หลังจากเจิงจ้ายได้ไปปรึกษากับครูที่สำนักศึกษาแล้ว เช้าวันที่สองก็พาเด็กทั้งสองไปเรียนหนังสือที่นั่น ซึ่งครูได้อนุญาตให้เด็กทั้งสองได้เรียนด้วยกัน  ดังนั้นครั้งนี้เมิ่งผีจึงมีข่งชิวเป็นเพื่อน กอปรกับปุจจุบันมีอายุ ๑๕ ปีแล้ว  จึงทำให้เพื่อน ๆ ไม่กล้าหยอกล้อในความพิการของเมิ่งผีอีก  ๓ ปีให้หลัง ข่งชิวเริ่มรู้สึกว่าที่สำนักศึกษามีวิชาเรียนน้อยไป จึงไปขอร้องมารดาให้เปลี่ยนสำนักศึกษาแห่งใหม่ เจิงจ้ายได้เสาะหาอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็หาได้มีสำนักศึกษาที่เหมาะสมไม่ จึงกล่าวกับข่งชิวว่า "ลูกไปเรียนหนังสือที่ท่านตาเถอะ เพราะท่านตาเป็นผู้มีภูมิธรรมความรู้อย่างแท้จริง"  ข่งชิวพยักหน้ารับคำ ส่วนเมิ่งผียังรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนเรียนอยู่ จึงไม่คิดจะย้ายสถานที่เรียนแต่อย่างใด บ้านเกิดของเจิงจ้ายอยู่ทางทิศอิสานของราชธานี ในเช้าวันที่สอง เจิงจ้ายได้พาลูกชายกลับไปที่บ้านบิดา ครั้นถึงแล้วก็เล่าถึงเจตนาการมาในครั้งนี้ให้บิดาทราบโดยละเอียด

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”