สิบอัครสาวก
พระมหากัสสปเถระ
ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน "ทรงธุดงค์"
แลกสังฆาฏิกับพระศาสดา
พระศาสดาประทับบนที่นั่งนั้น เอาพระหัตถ์ลูบคลำจีวร จึงตรัสว่า "กัสสปะ สังฆาฏิที่เป็นผ้าเก่าของเธอนี้อ่อนนุ่ม" เมื่อพระเถระได้ยินดังนี้ จึงทราบว่าทรงพระประสงค์ที่จะห่ม "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห่มสังฆาฏิเถิด" พระพุทธองค์ตรัสว่า "กัสสปะ แล้วเธอจักห่มอะไร?." พระมหากัสสปะทูลตอบว่า "ข้าแต่พระสุคต เมื่อข้าพระองค์ได้จีวรของพระองค์ก็จักห่ม" พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "กัสสปะ เธอจะทรงผ้าบังสุกุลอันคร่ำคร่าหรือ ?. จริงอยู่ ในวันที่เราถือเอาผ้าบังสุกุลนี้ แผ่นดินได้ไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดิน ชื่อว่าจีวรพระพุทธเจ้าทั้งหลายใช้สอยคร่ำคร่านี้ เราจักไม่สามารถจะทรงได้โดยคุณแห่งพระปริตร การที่ผู้ทรงผ้าบังสุกุลตามกำเนิด ทรงผ้านี้ตามความสามารถ คือด้วยความสามารถในการบำเพ็ญข้อปฏิบัติ จึงจะควรในการทรง" เมื่อตรัสดังนี้แล้ว จึงทรงเปลี่ยนจีวรกับพระเถระ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำการเปลี่ยนจีวรอย่างนี้ แล้วทรงห่มจีวรที่พระเถระห่ม พระเถระก็ห่มจีวร
ของพระบรมศาสดา ในสมัยนั้นแผ่นดินแม้ไม่มีเจตนา ก็หวั่นไหว จนถึงน้ำรองแผ่นดิน เหมือนจะกล่าวว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านได้กระทำการที่ทำได้ยาก จีวรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าห่มนั้นกับการที่เคยประทานให้แก่พระสาวกย่อมไม่มี เราไม่สามารถจะทรงคุณของท่านทั้งหลายได้" ฝ่ายพระมหากัสสปะได้คิดว่า "บัดนี้เราได้จีวรที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ใช้สอย (จีวรของพระพุทธองค์ คือ จีวรที่ฆฏิการพรหม ได้นำมาถวาย ๙ึ่งจีวรนั้น พระพุทธเจ้าในอดีตเคยใช้สอยแล้ว) บัดนี้สิ่งที่เราควรทำให้ยิ่งไปกว่านี้มีอยู่หรือ ดังนั้น จึงได้กระทำการบันลือสมาทานธุดงค์ ๑๓ ข้อ ในวันที่ ๘ ก็บรรลุอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
พระศาสดาทรงสรรเสริญพระมหากัสสปัเถระ ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กัสสปะเปรียบเหมือนดวงจันทร์ เข้าไปหาตระกูล ไม่คะนองกาย ไม่คะนองจิตเป็นผู้ใหม่เป็นนิตย์ ไม่ทะนงตัวในตระกูล" พระมหากัสสปเถระ มีอายุยืนมาถึงหลังพุทธปรินิพพานแล้วในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในคราวที่มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย ได้อัญเชิญพระบรมศพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขึ้นประดิษฐานไว้บนพระจิตกาธาน (บ้างเรียกว่าเมรุมาศ) พระมหากัสสปะ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป ได้เดินทางจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสุนารา ในเวลาที่เดินทางมานั้น ได้แวะพักที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ริมทาง
ในครั้งนั้น มีอาชีวกคนหนึ่งได้ถือดอกมณฑารพมาจากในเมืองกุสุนารา จะเดินทางไปยังเมืองปาวา และได้แจ้งให้ทราบถึงว่า พระสมณโคดม ได้ปรินิพพานมาเป็นวันที่ ๗ แล้ว พระมหากัสสปะ ได้เห็นพระภิกษุหลายรูป ได้เศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญ ล้มเกลือกกลิ้งไปมาเหมือนมือเท้าขาด พร่ำรำพันกันเป็นการใหญ่ พระมหากัสสปะจึงได้กล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายว่า " ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าเศร้าโศกเสียใจร้องไห้ร่ำไรเลย พระบรมศาสดาได้ตรัสบอกไว้แต่เดิมแล้วมิใช่หรือว่า "ความพรัดพรากจากสิ่งที่รักใคร่ทั้งปวงย่อมมีเป็นธรรมดา ใครจะบังคับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแล้ว เหตุปัจจัยตกแต่งแล้ว ย่อมมีความแตกหัก ผุพังไปเป็นธรรมดา อย่าได้แตกหักผุพังไปเลย ย่อมห้ามไม่ได้"
ต่อจากนั้นท่านก็พาพระภิกษุเหล่านั้น ้เดินทางไปยังเมืองกุสุนารา ครั้นพระบรมศพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประดิษฐานบนจิตกาธานแล้ว มัลลกษัตริย์ผู้เป็นหัวหน้า ตั้งพระทัยจะถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ไม่สามารถจุดไฟให้ติดได้ เมื่อพระมหากัสสปเถระ พอมาถึงเมืองกุสุนาราแล้ว ได้มุ่งตรงไปที่มกุฏพันธนเจดีย์ จนกระทั่งถึงพระจิตกาธาน ได้ห่มจีวรลดไหล่ลงข้างหนึ่ง ประคองอัญชลี ประณมมือขึ้นเดินกระทำประทักษิณ รอบพระจิตกาธานนั้น ๓ รอบ แล้วเปิดผ้าคลุมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าออก ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าของตน และพระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ได้ถวายบังคมตามอย่างพระมหากัสสปเถระเช่นกัน
เมื่อพระมหากัสสปเถระ กับ พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ถวายบังคมพระยุคลบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระจิตกาธานที่ประดิษฐานพระบรมศพของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็บังเกิดพระเพลิงลุกโพลงขึ้นเอง โดยไม่มีผู้จุดไฟเลย