collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: สิบอัครสาวก : สารบัญ  (อ่าน 29452 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             สิบอัครสาวก

                      พระปุณณมันตานีบุตรเถระ 

                  ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน  "ธรรมกถึก" 

                            (เทศนาธรรม)

                        บรรพชา - บรรลุธรรม 

        การที่พระปุณณมันตานีบุตรเถระ จะเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ก็เพราะอาศัยพระอัญญา  โกณฑัญญเถระ ผู้เป็นหลวงลุง แนะนำให้เกิดความเชื่่อเลื่อมใส จึงได้อุปชาอุปสมบท  ในสำนักของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ เมื่อได้บรรพชา  ได้ตั้งใจบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานก็ได้สำเร็จอรหััตผล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             สิบอัครสาวก

                      พระปุณณมันตานีบุตรเถระ 

                  ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน  "ธรรมกถึก" 

                            (เทศนาธรรม)

                            เทศนาธรรม

        หลังจากนั้นมีกุลบุตรประมาณ ๕๐๐ คน ได้เข้ามาบวชในสำนักของพระปุณณมันตานีบุตร ท่านได้สั่งสอนพระภิกษุเหล่านั้นด้วยกถาวัตถุ  ๑๐ ประการและได้ใช้สอนให้พระอานนท์สำเร็จโสดาบันด้วย   กถาวัตถุ คือถ้อยคำที่ควรพูด ได้แก่ธรรมะสิบอย่าง คือ  มักน้อย  สันโดษ  ชอบสงัด  ไม่ชอบคลุกคลี  มีความเพียร  สมบูรณ์ด้วยศีล  สมาธิ  ปัญญา  วิมุติ (ความหลุดพ้น)  และวิมุตติญาณทัสสนะ (ความเห็นในวิมุติ)  พระภิกษุเหล่านั้นได้ดำรงอยู่ในโอวาทของท่านและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป 

        พระปุณณมันตานีบุตร ยังเป็นผู้ที่ได้แสวงธรรมให้กับพระอานนท์ฟัง จนพระอานนท์บรรลุเป็นโสดาบัน ดังที่พระอานนท์ได้กล่าวเล่าให้กับภิกษุทั้งหลายฟังว่า  "ดูก่อน อาวุโสทั้งหลาย พระปุณณมันตานีบุตร มีคุณแก่พวกเราภิกษุใหม่มาก ท่านกล่าวสอนพวกเรา ด้วยโอวาทเช่นนี้ว่า  "ดูก่อนพระอานนท์เพราะถือมั่นจึงมีตัณหา  มานะ  ทิฏฐิ  ว่าเป็นเรา  เพราะไม่ถือมั่นอะไร จึงไม่มีตัณหา มานะทิฏฐิว่าเป็นเรา เพราะถือมั่นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  จึงมีตัณหา มานะ  ทิฏฐิว่าเป็นเรา  ไม่ถือมั่นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ จึงไม่มีตัณหา  มานะ  ทิฏฐิ  ว่าเป็นเรา   ดูก่อน พระอานนท์ เปรียบเสมือนสตรี  หรือบุรุษรุ่นหนุ่มสาวมีนิสัยชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตนที่คันฉาย หรือที่ภาชนะน้ำอันใสบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะยึดถือจึงเห็น  เพราะไม่ยึดถือจึงไม่เห็นฉันใด  ดูก่อนอานนท์  เพราะถือมั่นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ จึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่าเป็นเรา  เพราะไม่ถือมั่นรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิ ถือว่าเป็นเรา  ฉันนั้น เหมือนกันแล  ดูก่อน อานนท์ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปนั้นเที่ยงหรือไม่ ?."  พระอานนท์ตอบว่า  "ไม่เที่ยง  ผู้อาวุโส"  พระปุณณมันตานีบุตรจึงถามต่อว่า "เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ เที่ยงหรือไม่ ?."  พระอานนท์ตอบว่า "ไม่เที่ยง ผู้อาวุโส ฯลฯ"  เช่นนี้แล ผู้อาวุโส พระปุณณมันตานีบุตร จึงเป็นผู้มีคุณแก่พวกเราเหล่าภิกษุใหม่ ท่านสอนพวกเราด้วยโอวาทนี้ เราได้กระจ่างในธรรม ก็ด้วยฟังธรรมเทศนานี้ของพระปุณณมันตานีบุตรแล" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             สิบอัครสาวก 

                       พระปุณณมันตานีบุตรเถระ 

                    ผู้เป็นเอตทัคคะด้าน  "ธรรมกถึก"

                             (เทศนาธรรม)

                          ประกาศพรหมจรรย์

        ปุณณมันตานีเถระ  ได้ออกประกาศเผยแผ่ธรรมเทศนา ยังที่ต่าง ๆ และต่อผู้คนมากมาย มิได้หวังในลาภสักการะใด  ครั้งหนึ่งพระปุณณมันตานีบุตร ได้ขอประทานพุทธานุญาตเพื่อที่จะไปประกาศพรหมจรรย์ ยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเมือพระบรมศาสดาได้ตรัสสรรเสริญในปฏิปทาของท่านแล้ว ก็ได้ทรงเตือนว่า สถานที่แห่งนั้น เป็นสถานที่ชนบทรกกร้าง ผู้คนยังไม่เจริญในอารยธรรม ผู้คนมีนิสัยจิตใจที่ดุร้าย และผู้ที่เข้ามาจากต่างถิ่น มักจะต้องสิ้นชีพที่นั่นดังนั้นพระผู้มีพระภาค จึงได้ถามพระปุณณมันตานีบุตรว่า  "ปุณณมันตานีบุตร  หากผู้คนที่นั่นมิได้ยอมรับในคำสอนของเธอ ทั้งยังด่าว่าเธอ  เธอจักทำเช่นไร"  "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเขาด่าข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยังคิดว่าพวกเขานั้นยังดีอยู่ เพราะพวกเขาเพียงแต่ด่าข้าพระองค์ มิได้ลงมือทุบตี " พระปุณณมันตานีบุตรกล่าว   "แล้วถ้าหากพวกเขา ใช้ก้อนหิน  ใช้ท่อนไม้  ลงมือทุบตีเธอเล่า ?.    "ข้าพระองค์ก็คิดวาพวกเขายังดีอยู่  เพราะพวกเขาเพียงใช้ก้อนหิน  ท่อนไม้ทำร้ายขัาพระองค์  ที่ยังมิได้ใช้มีดในการทำร้ายข้าพระองค์"   "แล้วถ้าหากพวกเขา ใช้มีดในการทิ่มแทงทำร้ายเธอเล่า ?.  "ข้าพระองค์ก็คิดว่าพวกเขายังดีอยู่ เพราะพวกเขายังมีความเป็นมนุษย์ มิได้ถึงกับฆ่าพระองค์ให้ล่วงไปด้วยชีวิต"   "แล้วถ้าหากพวกเขา ฆ่าเธอให้ล่วงไปด้วยชีวิตเล่า ?.  "ข้าพระองค์ก็จะขอบคุณพวกเขา ที่ได้ฆ่าซึ่งกายสังขารของข้าพระองค์  ช่วยให้ข้าพระองค์ได้ล่วงสู่พระนิพพาน จัดเสียดายเพียงแต่การสิ่งนี้มิอาจเป็นผลดีต่อพวกเขาเท่านั้น"  เมื่อนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรรเสริญและประทานพุทธานุญาตให้พระปุณณมันตานีบุตรไปได้

         เมื่อถึงที่แห่งนั้น ผู้คนที่นั่นต่างมองท่านด้วยสายตาที่แปลกประหลาด ท่านเองก็มิได้ตรัสสอนหลักธรรมอันแยบยลอย่างใดโดยทันที  แต่อาศัยการตรวจรักษาโรคเที่ยวรักษาโรคไปในหมู่บ้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะใกล้ไกเพียงใด จากนั้นจึงค่อย ๆ สอนหนังสือ  สอนวิธีการดำรงชีวิต  และได้ค่อย ๆ สอนเบญจศีล  กฏแห่งกรรม  กุศลกรรมบถสิบ  ในที่สุดผู้คนในที่นั้นต่างก็ได้ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ  และได้มีผู้ออกบวชเป็นพระภิกษุที่นั่นถึง  ๕๐๐ รูป 

        อวสานแห่งชีวิตของพระปุรรมันตานีบุตรเถระ  คือ  การดับขันธปรินิพพานนั้น  มิได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ใดคัมภีร์หนึ่งเลย  ว่าท่านปรินิพพานในสถานที่ใด  ปรินิิพพานด้วยอาการอย่างไร  แต่ด้วยบุพจรรยา  และ  ปัจจุบันจรรยาของท่าน  ก็สามารถถือเป็นนิทัศนอุทาหรณ์ เสมือนต้นไม้ที่ไม่สำคัญว่าเกิดที่ไหน  จะตายอย่างไร  แต่สำคัญที่  สรรพคุณ  จะใช้รักษาโรคอย่างไรนั่นเอง

            " บุคคลควรคบสัตบุรุษทั้งหลาย
              ผู้เป็นบัณฑิต  ผู้เป็นประโยชน์ 
                         เพราะธีรชนทั้งหลาย
     เป็นผู้ไม่ประมาท เห็นแจ้งด้วยปัญญา
   ย่อมได้ประโยชน์ใหญ่  (คือพระนิพพาน)
                       เป็นประโยชน์อันลึกซึ้ง
                  เป็นประโยชน์ที่เห็นได้ยาก
                      เป็นประโยชน์ที่ละเอียด
                          เป็นประโยชน์ที่สุขุม"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             สิบอัครสาวก 

                             พระสุภูติเถระ

                ผู้เป็นเอตทััคคะในด้าน อรณวิหารธรรม

                               ชาติภูมิ

        พระสุภูติเถระ  เป็นบุตรของสุมนเศรษฐี  ผู้เป็นน้องชายของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  อยู่ในกรุงสาวิตถี  สุภูติ  เป็นชื่อที่ท่านได้รับขนานามมาแต่เมื่อแรกเกิด  ชีวิตความเป็นมาของสุภูติ นับว่าเป็นชีวิตที่มีแต่ความสุขสบาย ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เพราะท่านได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่มีศีลธรรม  และคำว่า  "สุภูติ"  แปลว่า  ผู้เป็นดีแล้ว หรือ ผู้เกิดดีแล้ว   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                              สิบอัครสาวก

                              พระสุภูติเถระ

                 ผู้เป็นเอตทััคคะในด้าน อรณวิหารธรรม

                               บรรพชา

        การที่ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนานั้น เพราะว่าท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้เป็นลุงของท่านได้พบพระพุทธเจ้า และได้สร้างพระเชตวันมหาวิหาร เพื่อถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในวันที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีฉลองเชตวันมหาวิหารนั้น  โดยสุภูติกุฏุมพีได้ไปกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้เป็นลุง เพื่อร่วมฉลองพระวิหารนั้นด้วย   หลังจากที่ได้ประกอบภารกิจ เกี่ยวกับการฉลองเสร็จแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรด  สุภูติกุฏุมพีเมื่อฟังพระธรรมแล้วก็เกิดศรัทธา จึงตัดสินใจออกบวช แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า หลังจากที่ประชาชนได้ถวายบังคลลากลับไป เพื่อกราบทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา   พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอนุญาตแก่สุภูติกุฏฏุมพีให้อุปสมบทได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             สิบอัครสาวก 

                             พระสุภูติเถระ 

                ผู้เป็นเอตทััคคะในด้าน อรณวิหารธรรม
 
                             บรรลุธรรม

        เมื่อพระสุภูติบวชแล้ว ก็มีความมานะพยายามในการศึกษาพระวินัย และพระอภิธรรม จนมีความชำนาญ จากนั้นเมื่อได้เรือนกรรมฐานพอที่จะนำไปปฏิบัติได้แล้ว ท่านก็เข้าไปอยู่ในป่า ด้วยว่า ป่านี้เป็นที่วิเวก  มีความสงบสงัด  เป็นที่สงัดกายสงัดใจ  การปฏิบัติธรรมย่อมเป็นไปในลักษณะที่จิตมีความสม่ำเสมอ ไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง  ผลแห่งการปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าของพระสุภูติเถระ ท่านใช้เวลาไม่นานเท่าใดนัก ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            สิบอัครสาวก 

                             พระสุภูติเถระ 

                ผู้เป็นเอตทััคคะในด้าน อรณวิหารธรรม

                           อรณวิหารธรรม

        การที่ท่านได้ยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะด้าน  อรณวิหารธรรม  หมายถึง  ผู้เป็นอยู่อย่างไม่มีข้าศึก คือ เป็นอยู่ด้วยความไม่มีกิเลส ซึงแท้ที่จริงแล้ว พระขีณาสพทั้งหลาย ท่านได้โลกุตตรฌาน มีความสำราญอยู่ด้วยอาการหากิเลสมิได้ เหมือน ๆ กันทุกรูปก็จริง แต่ที่พระสุภูติเป็นเลิศกว่าผู้อื่น ก็เพราะ การแสดงธรรมของท่าน จะยึดเอาธรรมะมาเป็นหลักแห่งการเทศนา และกระทำตามแนวทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเทศนาไว้ โดยไม่ปรารถนาบุคคลที่ควรสรรเสริญ หรือควรติเตียนมาแสดงเลย ท่านนั้นปรารถนาแต่ธรรมะเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงได้ชื่อว่า ไม่ได้แสดงธรรมเพื่อให้เกิดศัตรูกับผู้ฟัง   

         
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
สิบอัครสาวก : พระสุภูติเถระ : พระบารมี
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: 17/02/2555, 03:27 »
                            สิบอัครสาวก 

                             พระสุภูติเถระ 

                ผู้เป็นเอตทััคคะในด้าน อรณวิหารธรรม

                               พระบารมี

        ครั้งหนึ่ง  เมื่อท่านได้จาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อสร้างประโยชน์แก่มหาชน แล้วได้จาริกมาถึงกรุงราชคฤห์ ข่าวการมาถึงของพระสุภูติเถระ กระจายไปปอย่างรวดเร็ว เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบ จึงได้ไปอาราธนาพระสุภูติเถระ แล้วให้ท่านรอ โดยจะให้ช่างสร้างที่อยู่ถวายแด่ท่าน ครั้นเมื่อกลับสู่พระราชนิเวศน์ ก็ทรงลืมพระสุภูติเถระเสีย  ส่วนพระสุภูติเถระ นั่งรอคอยอยู่ ตามพระวาจาของพระราชาที่ตรัสอาราธนาไว้ แต่ที่ที่พระเถระนั่งคอยอยู่นั้น
เป็นสถานที่ที่อยู่กลางแจ้ง ไม่ใช่มีที่มุงบัง  อานุภาพของพระเถระ ผู้ต้องมานั่งอยู่กลางแจ้ง เกิดทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะฝนไม่ตก ประชาชนเมื่อเดือดร้อนจึงพากันไปเฝ้าพระเเจ้าพิมพิสาร ท่านก็ทรงพิจารณาว่าฝนไม่ตกด้วยเหตุผลอะไร 

        เบื้องแรก พระเจ้าพิมพิสาร ได้ตรวจดูวัตรปฏิบัติของพระองค์ก่อน ว่ามีการผิดพลาดในศีลธรรมข้อใดบ้าง แต่ไม่ทรงพบ แล้วพระองค์ก็ทรงระลึกถึงพระสุภูติเถระขึ้นได้ว่า เหตุที่ฝนไม่ตกคงจะเป็นด้วยพระเถระอยู่ในที่แจ้ง ไม่มีที่กำบังแดดและฝน เมื่อนั้น จึงได้ตรัสชี้แจงให้ประชาชนทราบ และให้ช่างสร้างกุฏิมุงด้วยใบไม้มาถวายแด่พระเถระ พอช่างสร้างเสร็จ พระราชาก็ได้ตรัสอาราธนาพระเถระ  "ขอพระคุณเจ้าจงเข้าอยู่ในกุฏิใบไม้นี้เถิด"  ตรัสดังนี้แล้วก็เสด็จจากไป เมื่อพระเถระทรงเข้าสู่กุฏิใบไม้แล้ว ฝนก็เริ่มตกลงมาปรอย ๆ แต่ยังไม่ตกลงมามาก ซึ่งทำให้ไม่พอแก่ความต้องการของประชาชน พระเถระมีความประสงค์จะสงเคราะห์ชาวโลก ก่อนจะประกาศความไม่มีอันตรายทั้งภายในและภายนอกของท่าน จึงกล่าวขึ้นว่า  "กุฏิของเรามุงดีแล้ว มีเครื่องป้องกันสบายดีแล้ว ฝนจงตกลงมา  ตกลงมาตามสบายเถิด จิตของเราตั้งมั่นดี  และหลุดพ้นดีแล้ว  เราเป็นผู้มีความเพียรอยู่ ฝนจงตกลงมาเถิด"   ความทุกข์ทรมานของประชาชน จึงได้หมดไปในเวลาที่พระสุภูติเถระกล่าวคาถานี้จบ ฝนได้ตกลงมาอย่างมากมาย จนพอแก่ความต้องการของประชาชน

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”