"" ในโลกนี้หาความเที่ยงธรรมได้หรือไม่ ""
ถ้าคำตอบนี้ปุถุชนได้ยิน คำตอบที่ได้ก็คือ "" ไม่มี "" แต่ในคำถามเดียวกันหากไปถามผู้ปฏิบัติบำเพ็ญสัจธรรมย่อมได้รับคำตอบว่า ""ความเที่ยงธรรมมีอยู่แล้วในโลกนี้"" เหตุไฉนผู้ไม่บำเพ็ญจึงเชื่อว่า ไม่มีความเที่ยงธรรมอยู่ในโลกนี้เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยปฏิบัติ ""จิต"" ของตนให้อยู่ในสัจธรรมอันเป็นทางสายกลาง แต่มันหวั่นไหวไปตามแรงอายตนะหกที่ส่งอารมณ์เข้ามายั่วยุให้จิตใจหวั่นไหวคล้อยตาม และกระแสนั้นมักเป็นไปเพราะประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น ความเห็นแก่ตัวที่ตัดไม่ขาดนั่นเอง จึงทำให้พฤติกรรมทุกอย่างของปุถุชนได้สร้างความไม่เที่ยงธรรมแม้ปากนั้นกล่าวอ้างความเที่ยงธรมก็ตามที เหตุสำคัญจึงอยู่ที่จิตของเขาไม่เที่ยงธรรมต่อทางสายกลาง อันเป็นสัจธรรมจากฟ้าเบื้องบน สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวของมนุษย์ที่ขาดความเที่ยงธรรมต่อสัจธรรมที่เสื่อมโทรมและกลายเป็นพิษทำร้ายมนุษย์เหล่านั้นไปในที่สุด
มนุษย์เห็นแก่ตัวทิ้งสิ่งสกปรกลงไปในแม่น้ำลำคลองโดยเฉพาะสารพิษจากโรงงาน และ อากาศเป็นพิษอันเกิดจากรถยนต์สิ่งเหล่านี้กลับมาทำลายมนุษย์ ความเสื่อมจึงเกิดขึ้นในโลกนี้จนยากแก่การที่จะปฏิรูปหรือแก้ไข พระศาสดาขงจื๊อ จึงกล่าวเอาไว้ในคัมภีร์ "" ทางสายกลาง "" ว่า จื้อ จง เหอ เทียนตี้ เว่ย เยียน วั่น อู้ อวี้ เยียน แปลความว่า ""ผู้บำเพ็ญตั้งตนอยู่ในทางสายกลางและิอุุเบกขาแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายย่อมอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของฟ้าดินและจักเกิดความเจริญรุ่งเรืองสืบไป "" ความหมายอันชัดเจนนั้นย่อมหมายถึง สภาวะจิตของผู้คนทั้งหลายตรงต่อสัจธรรม แล้วย่อมไม่ทำลายสรรพสิ่ง เพราะจักมองเห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งปวงและปล่อยให้เดินไปบนหนทางแห่งธรรมชาติ
สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราล้วนมีวงจรของชีวิตของตนเองอยู่แล้วแต่ที่สูญเสียทุกอย่างเพราะมนุษย์ทำลายวงจรชีวิตของสรรพสิ่งผลร้ายจึงติดตามมา ชาวนาจับงูมาเป็นอาหาร หนูจึงไม่มีผู้กำจัด จึงกัดกินข้าวของชาวนาเสียหายและในที่สุดแมลงต่าง ๆ ก็ทำลายพืชผล ชาวนาต้องใช้ยากำจัดศัตรูพืช ยากำจัดศัตรูพืชเหล่านี้ล้วนมีพิษต่อร่างกายมนุษย์เพราะฉะนั้นจึงถูกทำลายเจ็บป่วยล้มตายลงไปอย่างประมาณมิได้ กฏเกณฑ์ของฟ้าดิน มีความเที่ยงธรรมและสรรพสิ่งเดินไปบนความเที่ยงธรรมย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองปราศจากทุกข์ แต่เพราะมนุษย์มีสติปัญญาอันไม่ถูกต้องตรงตามความเที่ยงธรรมของฟ้าดินจึงไปทำลายวงจรเหล่านั้น ภัยพิบัติจึงเกิดแก่มนุษย์ เพราะฉะนั้น กล่าวได้อีกแง่มุมหนึ่งมนุษย์ทำลายตนเองโดยแท้ เพราะขาดความเที่ยงธรรมนั่นเอง
กฏของฟ้าดินหรือธรรมชาติคงความเที่ยงธรรมปราศจากความลำเอียงเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นสรรพสิ่งที่อยู่ใต้กฏเกณฑ์นี้ย่อมมีแต่ความสุขและเจริญงอกงาม ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์อันเกิดจากสติปัญญาของมนุษย์ล้วนเป็นเรื่องทำลายความเที่ยงธรรมของธรรมชาติ มนุษย์สามารถคิดปั่นไฟฟ้าจนสร้างแสงสว่างขึ้นมากมายและหลอดไฟฟ้าที่สว่างไสวนั้นได้ทำลายมนุษย์อย่างไม่รู้ตัว เพราะมนุษย์ในยุคปัจจุบันต้องสูญเสียความสามารถในการมองเห็นด้วยนัยน์ตาของตนเอง แว่นตาจึงกลายมาเป็นอุปกรณ์สำคัญของการมองเห็น แสงสว่างจากไฟฟ้า ได้ทำลายดวงตาของมนุษย์ให้ด้อยศักยภาพในการมองเห็น
เดี๋ยวนี้เด็กนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์มากกว่าหน้าหนังสือ เพราะฉะนั้น เด็กจึงทำลายดวงตาของตนเองจนต้องสวมแว่นตาตั้งแต่วัยเด็ก สมัยก่อนยังไม่มีความเจริญทางด้านคอมพิวเตอร์ การคิดเลข บวก ลบ คูณ หาร ล้วนใช้ความสามารถของตนเอง แต่บัดนี้เครื่องคิดเลขเพียงใช้นิ้วเดียวกดปุ่มก็สามารถได้คำตอบทันที ไม่ว่าจะเป็น บวก ลบ คูณ หาร เด็กสมัยนี้จึงคิดเลขไม่เป็น
เมื่อมนุษย์สร้างวิทยาการต่าง ๆ ขึ้นมามากมายล้วนเป็นการขัดแย้งต่อธรรมชาติของฟ้าดิน ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นเครื่องทำลายมนุษย์ไปโดยไม่รุ็ตัว เมื่อมนุษย์ถอยห่างจากสัจธรรมของฟ้าดิน มนุษย์จึงตกต่ำลงไปสู่หนทางแห่งความมืดมิดและสู่อบายภูมิชัดเจนยิ่งขึ้นโดยมิรู้ตัว อวิชชา ความไม่รู้จึงครอบงำมนุษย์มากจนไม่รู้ว่า ภัยพิบัติที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นไว้นั้นกำลังคืบคลานเข้ามาทำลายตัวเอง มนุษย์หลงผิดคิดว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นความรู้แจ้ง แต่แท้จริงแล้วเป็นเครื่องมือเพิ่มพูนกิเลสให้มนุษย์หลงใหลจนพ้นไปจากหนทางของ ""ทางสายกลาง"" อันแท้จริง
เพราะฉะนั้นนอกจากมนุษย์ไม่สามารถทำให้สรรพสิ่งเจริญงอกงามตามกฏของธรรมชาติแล้ว ยังเป็นการทำลายล้างตนเองให้หมดสิ้นไปจากโลกนี้ด้วย