collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : บทบรรณาธิการ  (อ่าน 26457 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      ตอนที่ 1

                       แบกปืนปฏิบัติธรรมทำหน้าที่พิธีกร

        จบปีสี่จะต้องเป็นทหาร เป็นทหารจะต้องไปปจากอาณาจักรธรรม อาลัยอาวรณ์ ผู้น้อยถวายผลไม้กราบทูลต่อเบื้องบนดีกว่า "พระอาจารย์ได้ดปรด ศิษย์จะต้องไปจากอาณาจักรธรรมแล้ว อย่างน้อยถึงสองปี ศิษย์หวังว่าจะได้ไปประจำกองที่อยู่ใกล้สถานธรรม เพื่อให้ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ" ผลปรากฏว่า จากศูนย์ฝึกที่เมืองเจียอี้ ........ ได้โยกย้ายไปเมืองเกาสยง......... สุดท้ายจับฉลากได้ไปอยู่หน่วยฝึกจินเหมิน........(คีมอย) ระหว่างฝึกทหาร ครึ่งปีแรกมีความทุกข์มาก ผู้ฝึกขอร้องให้เลิกกินเจ ถูกอบรมว่ากล่าวอยู่บ่อย ๆ ในหน่วยทหารงานเบาที่สุดคือ หน่วยพลาธิการเสมียน หน่วยเสนาธิการ... ไม่น่าเชื่อ ผู้น้อยได้ทำหน้าที่ในหน่วยพลาธิการ  หน้าที่นี้มีเวลาเป็นของตัวเองมากหน่อย จึงมักจะนอนคลุมโปงร้องไห้อยู่บ่อย ๆ ได้คิดว่า "เราตั้งใใจว่าจะได้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมที่นี่ แต่ตอนนี้แม้กินเจก็มีปัญหาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเบื้องบนจะได้ยินไหม ?" ว่าไปก็แปลก ต่อมาเกิดโยกย้ายเปลี่ยนผู้คุมหน่วยใหม่ ผู้บังคับบัญชาคนใหม่เป็นญาติธรรม เรียกให้ผู้น้อยเข้าไปหา ถามว่า "เธอกินเจหรือ" "ครับผม" "เมื่อก่อนฉันก้เคยกินเจ เธิกินเจเพราะเหตุใด" (ผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอี๋ก้วนเต้าขอรับ" "ฉันก็เป็นญาติธรรมเหมือนกัน  ฉันเป็นชาวอำเภอผิงตง..." กินเจไม่มีปัญหา จากนี้ไป เธอจะกินอะไรให้บอกพ่อครัวได้เลย" หัวหน้ายังกล่าวอีกว่า " หมู่นี้ฉันฉุนเฉียวมาก เธอพูดธรรมะได้มั้ยล่ะ" ผู้น้อยตอบว่า "ผมมีคัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร (.......................ลิ่วจู่ถันจิง) ติดตัวอยู่เสมอขอรับ" หัวหน้าบอกว่า "เธอเอามาพูดให้ฉันฟัง"  สุดท้าย หน้าที่ประจำหน่วยของผู้น้อยคือ บรรยายพระคัมภีร์ธรรมรัตนบัลลังก์สูตรให้หัวหน้าฟัง จากนั้น ทุกครั้งเมื่อหัวหน้าด่าว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเสร็จแล้ว ก็จะเรียกตัวผู้น้อยให้เข้าไปบรรยายพระคัมภีร์ธรรมนัตนบัลลังก์สูตรให้ฟัง ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนั้น จะปฏิบัติงานธรรมค่อนข้างยาก แต่เบื้องบนก็ยังโปรด เมื่อผู้น้อยรับหน้าที่พลาธิการ จะต้องดูแลสุขภาพกายใจของนักเรียนทหาร ผู้น้อยจึงเรียนถามหัวหน้าว่า "จะพาเพื่อน ๆ ไปรับธรรมะได้ไหม"  หัวหน้าตอบว่า " ได้ซิ ต้องใช้เวลานานเท่าไร บอกฉัน" เท่านั้นเอง ทุกอย่างก็ผ่านตลอด แม้แต่จะขอใบลาก็ไม่มีปัญหา ทุกครั้งจะบอกว่า จะพาพี่น้องไปอบรมพลานามัย ที่ทแ้คือพาไปรับธรรมะ รับธรรมะเสร็จ ตอนบ่ายก็ให้เขาพักไปครึ่งวัน เวลาที่เหลือผู้น้อยก็ได้ปฏิบัติงานธรรมต่อไป  มีอยู่หลายครั้งที่เหตุการณ์ตึงเครียด ซ้อมรบอยู่บ่อย ๆ ปีนั้นจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิงปืนใหญ่ข้ามทะเลมาถึงฝั่งของเราอีก (จินเหมินคีมอยไต้หวันกับเซี่ยเหมินของจีนแผ่นดินใหญ่ มีป้อมปืนใหญ่ประจันหน้ากันอยู่) ฉะนั้น เมื่อมีการซ้อมรบ ผู้น้อยก็จะนำเพื่อนร่วมหน่วยร่วมชั้น หรือหน่วยกลุ่ม ฉวยโอกาสช่วงว่างสำหรับเราตอนนั้น รีบไปรับธรรมะกัน  ผู้น้อยสะพายปืนเป็นพิธีกรเอก-โท  พิธีการนอกจากนั้น เตี่ยนฉวยซือต้องจักการเองเป็นเองทำเอง ทำเองทุกขั้นตอน เพื่อน ๆ ที่พาออกมาก็ต้องสะพายปืนคุกเข่าลงขอรับธรรมะ ฉะนั้น เวลาพูดไตรรัตน์ ผู้ฟังที่นั่งอยู่ตรงข้างหน้าเราก็ดูแปลกไป เพราะทุกคนสะพายปืนนั่งฟัง ปฏิบัติการนี้รวดเร็วมาก ตั้งแต่เริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์จนถึงพูดไตรรัตน์จบ ใช้เวลาน้อยมาก บางครั้งมีช่วงปลอดเพียงห้านาทีสิบนาที ทั้ง ๆ ที่สะพายปืนอยู่  ผู้น้อยก็รีบพาเพื่อนทหารไปขอให้เต่ยนฉวยซือถ่ายทอดธรรมะให้ บางครั้ง เราอาจจะปักหลักปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แต่สภาพการณ์อย่างนั้น ธรรมกิจมักจะไม่เฟื่องฟู ตรงกันข้าม หากมิใช่ปักหลักสบาย ๆ แต่จะต้องต่อสู้ ท้าทาย เหนื่อยยาก ถูกบีบบังคับให้อัดอั้น  อดทนอยู่ในกลุ่มชน จึงจะเข้าใกล้กลุ่มชนได้ จึงอาจนำเอาต้นธรรมปลูกฝังลงท่ามกลางจิตใจของเขาทั้งหลายได้อย่างมั่นคง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/10/2554, 08:30 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                  ตอนที่  1

                        กดกิ่งประตูบ้าน นำพาสาธุชน   

        ฝึกทหารตามหลักสูตรการศึกษาจบสิ้น ออกจากศูนย์ฝึก ตรงกลับมาที่ "สถานธรรมแม่"  ที่ไทเปก่อนอื่นใด ญาติธรรมที่ได้พบเห็นเป็นคนใหม่ ๆ มากมาย จึงต้องเริ่มต้นศึกษากันใหม่ ผู้น้อยจึงัดสินใจว่าจะต้องไปนำพาผู้ร่วมบำเพ็ญชุดใหม่ แต่จะรู้จักนักศึกษารุ่นใหม่ได้ อย่างไร... ดังนั้น ผู้น้อยจึงไปกดกิ่งประตูหอพัก ใช้วิธีสนทนาธรรมตามข้อสอบถาม วันหนึ่ง รุ่นพี่เอาหนังสือที่พูดถึงปฏิปทาของเจ้าตำหนักพระที่ญี่ปุ่น คือ คุณม่อก่วงเลี่ยง  ให้ผู้น้อยอ่าน มันทำให้สะเทือนขวัญทีเดียว ได้ความว่า "คนแปลกหน้ายิ่งต้องการความรักจากเรา" ดังนั้น ผู้น้อยจึงเริ่มปฏิบัติการ "กดกิ่งประตูบ้านนำพาสาธุชน" ด้วยข้อสอบถาม หากเรานำพาใครที่ไม่เคยรู้จัก มารับธรรมะที่สถานธรรม อาจเสียหายต่อทางธรรมได้ อีกทั้งผิดพุทธระเบียบเพราะมีบัญญัติว่า ผู้รับธรรมะจะต้องเป็นสุจริตชน แต่เมื่อขณะที่เราจะต้องเดินเข้าหากลุ่มชนจริง ๆ นั้น คนไหนหรือที่ไม่ใช่ผู้มีอวิชชาความหลง หากเขาเคยเป็นผู้ต้องขังมาก่อน ท่านจะนำพาเขาไหม ใช่ยังจำต้องนำพา ไม่ใช่ว่าเขาเคยต้องขังแล้วเราจะไม่นำพา ความประพฤติดีของเขาจะต้องอาศัยเราค่อย ๆ ช่วยเขาปลูกฝัง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดีแล้วเราจึงไปนำพา เขาดีอยู่แล้ว ยังต้องการให้เราไปส่งเสริมอีกหรือ เขาเป็นเซียนพุทธะ มีบุญปัจจัยเองอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้คนมากมายไปนำพาคน พูดได้ว่า สร้างปัญหาให้อาณาจักรธรรม สร้างปัญหาให้ญาติธรรม สร้างปัญหาให้การศึกษาธรรมของตนเอง คุณสมบัติของตนไม่เพียงพอ ยังพูดอีกว่าเป็นตัวแทนของอาณาจักรธรรมไปนำพาคน อย่างนี้อันตราย ตอนนั้น ผู้น้อยไม่มีความเข้าใจระดับนี้  มีแต่ความคิดที่ว่า "เราควรดำเนินหนทางปฏิบัติธรรมนี้อีก"ดังนั้น จึงใช้ข้อสอบถามเป็นวิธีนำพา ทำการวางแผนงาน แบ่งการเดินสายกับรุ่นน้อง จะต้องเดินสายทุกวันเยี่ยมเยียนคนนั้นคนนี้ กลางคืนกลับมาก็กลั่นกรองคำถามเหล่านั้นอีก คนไหนที่จะไปเยี่ยมครั้งที่สองได้... โดยเฉลี่ย ในจำนวนสิบสามคนที่ผู้น้อยไปเยี่ยมเยียน จะมีหนึ่งคนที่ยินดีให้หมายเลขโทรศัพท์แก่เรา ยินดีให้เรากลับไปเยี่ยมเขาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ในจำนวนผู้ยินดีให้เราไปเยี่ยมครั้งที่สองนี้ ห้าคนจะมีผู้ยินดีรับธรรมะหนึ่งคน แต่เรามีคุณสมบัติอะไรที่จะพูดว่า เขาเป็นคนไม่ดี บุญไม่ถึง  เราไม่มีคุณสมบัติที่จะละทิ้งเวไนยฯ แม้แต่คนเดียวต่างหาก หากกล่าวโดยง่ายดายว่าละทิ้งไป เสร็จแล้วธรรมกิจแผ่ขยายไม่ได้ นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว

                                              ~ จบตอนที่ ๑ ~

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                       แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                              ตอนที่ 2

                  ทุ่มเทชีวิตหาเงิน  ไม่ร่วมงานธรรม

        ในด้านการงานอาชีพ เริ่มแรกผู้น้อยทำอย่างไม่จริงจังนัก แต่ทางบ้านก็ขุ่นข้องใจ หวังว่าลูกจะส่งเงินไปให้ สุดท้าย พ่อยื่นคำขาดว่า " ถ้าลูกไม่กลับมาเยี่ยมบ้าน เราก็จะขึ้นไปหาลูก "  ผู้น้อยจึงคิดว่า จะต้องกลับไปก่อน แต่จะต้องกราบบอกพระอาจารย์เสียก่อนว่า "พระอาจารย์ได้โปรดวางใจได้ ศิษย์อยู่ในอาณาจักรธรรมหลายปีอย่างนี้ เชื่อมั่นว่าปณิธานจะไม่มีปัญหา ศิษย์กลับไปอยู่ทางบ้าน จะพยายามร่วมปฏิบัติงานธรรมแน่นอน "  เพิ่งกลับไปใหม่ ๆ ผู้น้อยพยายามติดต่อเตี่ยนฉวนซือ ไปงานของสถานธรรม ทุกอย่างเข้าร่วมปฏิบัติเอง โดยไม่ต้องมีใครผลักดัน แต่ปัญหาเกิดขึ้น... เมื่อครั้งอยู่ไทเป ผู้ร่วมงานธรรมคือนักศึกษามหาวิทยาลัย วิธีการทำงานคล่องตัวตามวัย  แต่บัดนี้มาอยู่เมืองชนบทจังฮว่า คนที่อายุน้อยที่สุดในสถานธรรมคือแก่กว่าผู้น้อยสองเท่า แน่นอน การทำงานกับการกระทำย่อมต่างกัน แต่ผู้น้อยก็อยากจะเข้าใกล้ ภาวะนี้ ทำให้ผู้น้อยรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกบีบคั้น จึงเกิดการสอบตัวเองว่า" เรามาที่นี่เข้ากับใครไม่ได้ คนที่นี่มีอคติต่อเราหรือเปล่าหนอ ?." เริ่มแรกสัปดาห์ละสี่ห้าวันร่วมอยู่ในสถานธรรม ตอนหลังค่อย ๆ ลดน้อยลง เหลือวันพระหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำจึงจะกลับมาสถานธรรม ต่อมาก็เหลือแค่มีงานประชุมฝ่าฮุ่ย       จึงจะกลับมาปรากฏตัวสักหน่อย  ทักทายใคร ๆ แล้วก็กลับไป ช่วงเวลานี้ ผู้น้อยไปทำงานหาเงิน คิดว่าให้พ่อยอมรับในตัวลูกเสียก่อน แต่ผลสุดท้าย จากจิตใจที่เดิมทีที่ยังมีจิตโพธิสัตว์อยู่บ้าง ชั่วพริบตากลับกลายเป็นจิตใจปุถุชนไป ไม่ร่วมงานของอาณาจักรธรรม ห่างหายไปโดยสิ้นเชิง เตี่ยนฉวนซือโทรศัพท์มาก็ไม่รับสาย ประมาณเวลาสามเดือนเท่านั้น ผู้น้อยก็ประสบอุบัติเหตุเรื่องรถ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                ตอนที่ 2

                  ชั่วพริบตาของความเป็นความตาย

        หมินกั๋วปี่ที่แปดสิบเจ็ด  วันเกิดเหตุ  ปกติผู้น้อยชอบขี่มอเตอร์ไซค์ตามทางเล็ก ๆ ในชนบท เพราะไม่มีไฟจราจรบังคับ ขณะเรียบไปตามทางขอบคูน้ำมีทางลาดต่ำที่ค่อนข้างหักชัน รถลื่นไถลลงมา หักเลี้ยวตามทางทันที...  เลี้ยวที่หนึ่ง  เลี้ยวที่สอง  พ้นโค้งตรงนั้น พลันได้พบว่า " เสร็จแน่ "  ประจันกับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ชายหนุ่มอายุสิบกว่าขับมาอย่างแรง พอเห็นว่าเขาจะปะทะเข้ามาอย่างจังวูบแรกที่คิดได้คือ " ชน !!"  ผู้น้อยถูกชนตกลงไปในคูน้ำข้างทาง หมดสติไป ไม่กี่วินาทีต่อมา กลับรู้สึกตัวตื่นขึ้น ได้พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงที่เกิดเหตุตรงกลางทาง พร้อมกับได้เห็นชายหนุ่มคู่กรณีกำลังรีบหนีไปจากที่นั่น ผู้น้อยคิดว่า " ทำไมเขาจะต้องตื่นเต้นลุกลนอย่างนั้นด้วย "  มองดูรอยเบรคที่ถนน อีกทั้งแลเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งในคูน้ำ รถตะแคงทับใครอยู่คนหนึ่ง คน ๆ นั้น ท่อนตัวครึ่งบนแช่อยู่ในน้ำ ผู้น้อยเห็นเขาน่าสงสารมาก อยากจะลงไปช่วย พอลงไปในคู เห็นทะเบียนรถ  โอ ! เหมือนของเราเลย มองดูเจ้าของรถ  เอ๊ะ !  ผู้น้อยเองหรือนี่ เมื่อเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ในน้ำ จึงเข้าใจได้ทันทีว่า " แท้จริง เราจะต้องจากโลกนี้ไปแล้วนั่นเอง " ขณะนั้นผู้น้อยคิดได้ทันทีว่า ยังมีงานอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ  เราจะยังไม่กลับไป ( ไม่ยอมตาย )  ในอาณาจักรธรรมพูดกันว่า " ถ้าพยายมจะให้เรากลับไปในเวลายามสาม ถึงอย่างไรก็ไม่ปล่อยให้ล่วงเวลายามห้า "  ขณะนั้นในใจผุ้น้อยคิดว่า " เราจะยังไม่กลับไป อย่างน้อยจะต้องนำพาญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องให้ได้รับธรรมะ ได้ส่งเสริมเขาแล้ว เราจึงจะยอมกลับไป "  ขณะที่ผู้น้อยคิดอย่างนี้นั้น พลันก็มีพลังจากท่อส่งหนึ่งผลักดัน ครึ่งตัวของผู้น้อยที่แซ่อยู่ในน้ำนั้นยังรู้สึกได้ว่าพลังจิตญาณของตนเองถูกปะจุส่งเข้าไปในจุดที่พระวิสุทธิอาจารย์ได้โปรดจุดเบิกให้  พอเข้าไปได้แล้ว ก็ใช้กำลังดำริคิด พยายามยันตัวยืนขึ้นมา แต่พอลืมตาพลันเห็นแสงสว่างก้กลับหน้ามืดสลบไปอีก  สลบครั้งนี้ไม่รู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        แรงปณิธานกับแรงบาปเวร   

                      จูงรถยับเยินเดินสองกิโลเมตร

        จากจุดเกิดเหตุออกไปทางถนนใหญ่ระยะทางสองกิโลเมตรเป็นบ้านอาของผู้น้อย วันนั้น  อากำลังจะออกจากบ้าน ก็แลเห็นชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมเลือดอาบ  จนดูไม่ออกว่าเป็นใคร คิดว่าคงจะเป็นเด็กเกเรวิวาทกันเองจนเลือดท่วมตัว เขาขี่มอเตอร์ไซค์ตรงเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน อาตกใจรีบแจ้งตำรวจ อาสะใภ้ได้ยินเสียงร้องแอะอะ รีบวิ่งมาดู อาสะใภ้ว่า " นี่มันลูกของ...นี่นา " บ้านของผู้น้อยอยู่เลยจากบ้านอาเข้าไปในซอย อาสะใภ้จึงรีบส่งผู้น้อยไปโรงพยาบาล ขณะนั้น ความรู้สึกของผู้น้อยเหมือนถูกใครแบกพาดไว้บนบ่า แล้วพลันก็มีเสียงบอกว่า "ถึงแล้ว  ถึงแล้ว" ผู้น้อยลืมตาดู เห็นอาเดินออกมาจากบ้านเท่านั้นก็สลบไปอีก มอเตอร์ไซค์ของผุ้น้อย เดิมทีตกลงไปอยู่ในคูน้ำ พอส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว หมอได้พบว่าจุดปะทะอย่างแรงในร่างกายคือ คอด้านหน้า จึงเกรงว่าจะเสียชีวิตก่อนที่จะลงมือช่วยชีวิต จึงแจ้งความบันทึกไว้ ตำรวจพากันมาและตามไปดูหลักฐานที่บ้านอา ตลอดทางมองหารอยน้ำมันรถ และรอยเลือดจนถึงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปว่า " ผู้บาดเจ็บขี่รถเร็วชนเสาไฟฟ้าเอง ไม่มีอะไร ส่งโรงพยาบาลช่วยเหลือเร่งด่วนแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร " คนทางบ้านผู้น้อยแย้งว่า " ถ้าชนเสาไฟฟ้าเอง ทำไมจึงมีรอยเบรคสองรอยในคูน้ำ มีเศษแตกของมอเตอร์ไซค์มากมายเช่นนี้"เจ้าหน้าที่ยอมพิจารณาใหม่ว่า เป็นอุบัติเหตุรถชนกัน จึงต้องติดตามหาคู่กรณี ปัญหาตามมาอีกว่า มอเตอร์ไซค์ขึ้นจากคูน้ำมาได้อย่างไร อีกทั้งบันทุกผู้บาดเจ็บไปถึงบ้านอาได้อย่างไร เป็นพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์โดยแท้ จนบัดนี้ ผู้น้อยเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นไปได้อย่างไร  ระหว่างอยู่โรงพยาบาล พ่อของผู้น้อยคิดว่า มอเตอร์ไซค์ยังใช้ขี่มาบ้านอาได้ แสดงว่ามันยังไม่เสีย เปลี่ยนส่วนประกอบภายนอกใหม่ก็คงใช้ได้เหมือนเดิมแต่ปรากฏว่าสตาร์ทไม่ติด ลองจูงดูขยับไม่ได้ เพราะล้อเบี้ยวขัดอยู่กับบังโคลน เคลื่อนตัวไม่ได้เลย  ในเมื่อล้อรถขัดตายอยู่อย่างนี้แล้ว วันนั้นทำไมจึงขี่มาได้อีกสองกิโลเมตร ฉะนั้น  ถ้าหากไม่ใช่  " เทียนเอินซือเต๋อ " แล้ว ยังจะมีข้าพเจ้าผู้น้อยอยู่จนถึงทุกวันนี้หรือ  เราปฏิบัติบำเพ็ญธรรมกัน ไม่มีขณะใดเลยที่ไม่ได้อยู่ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระบรรพจารย์ ไม่เพียงพระบุญญาธิการปรากฏสำแดงคุณให้เห็นว่าช่วยเรา จึงเรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนบารมีคุณพระบรรพจารย์ แม้ไม่ได้เห็นพระบุญญาธิการปรากฏสำแดงคุณช่วยเรา  ก็เรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระบรรพจารย์เช่นกัน เรามาอยู่ในอาณาจักรธรรม ทุ่มเทชีวิตทำงานธรรมะทุกวัน ถึงเที่ยงคืนจึงกลับบ้าน ขณะขับรถกลับบ้าน สัปหงกหลับในเป็นประจำ แต่ไม่เกิดอุบัติเหตุ อย่างนี้ไม่ใช่ " เทียนเอินซือเต๋อ " หรือ  ครั้งหนึ่ง ผู้น้อยจากไถจงจะไปจงฮว่า วันนั้นบรรยายธรรมไปสองรอบแล้ว ตอนค่ำจะต้องบรรยายที่จงฮว่าอีกหนึ่งรอบ ปรากฏว่าขับรถทั้ง ๆ ที่หลับไป ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวตื่นอีกที เกือบหนึ่งทุ่ม รถได้มาจอดอยู่ข้างทาง ไฟรถก็ยังเปิดอยู่ผู้น้อยเองยังแปลกใจว่า เรามาถึงที่นี่ได้อย่างไร ไม่รู้เลย  เรามาอยู่ในอาณาจักรธรรมหลายปีมานี้ ราบรื่นปลอดภัย... ไม่ใช่ " เทียนเอินซือเต๋อ "  แล้วจะเป็นอะไรได้ ฉะนั้น  จึงไม่ใช่เกิดเหตุแล้วผ่านพ้นได้ จึงจะเรียกว่า " เทียนเอินซือเต๋อ "  ภายหลังเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทิพย์ญาณ ผู้น้อยจงใจไปกราบทูลถาม พระองค์ตอบเพียงว่า " เจ้า้เอ๋ย !  เป็นหนี้บุญคุณไว้มากมายนัก " 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                           วิถีนรกในโรงพยาบาล

        ภายหลังที่ส่งเข้ารักษาด่วนที่โรงพยาบาล แพทย์กำลังจะให้เลือด เจาะเส้นเลือดที่ข้อมือ ยังไม่ทันเดินเลือดเส้นตรงนั้น มันต่อต้าน ปูดเป็นลูกโป่งขึ้นมาทันที เดินเลือดไม่ได้ อีกทั้งขณะนั้นเล็บดำแล้ว ตัวเย็นเฉียบแข็งทื่อเพราะเลือดในตัวหยุดไหลเวียน  พยาบาลถามแพทย์ว่า " ที่ท้ายทอยมีเส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งปูดออกมา จะฉีดเข้าเส้นเลือดนี้ตรงสู่หัวใจได้ไหม "  " ได้จัดการตามนั้น "  น่าจะเป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกา  จึงรู้สึกตัวชัดเจน หลายครั้งแพทย์ช่วยให้พ้นภาวะฉุกเฉิน เพราะผู้น้อยสลบอยู่จึงไม่ให้ยาสลบ ไม่ได้ฉีดยาชา คว้านแผลกันสด ๆ ที่รู้สึกตัวนั้นก็ด้วยความเจ็บปวด เป็นขณะที่ทำแผลไปได้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นแพทย์ถือคีมหนีบห้ามเลือดจะหนีบหลอดเลือดพอดี พอแพทย์เห็นผู้น้อยลืมตาโต ก็หยุดมือ บอกว่า  " คุณฟั่น หายใจลึก ๆ ซิ " แล้วคีมหนีบห้ามเลือดก็ทำงานต่อไปในคอหอยของผู้น้อย บอกได้ว่า มันเจ็บจนทนไม่ไหว สบลไปอีก เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ชักกระตุกแล้วฟื้นใหม่ ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกเชือดเนื้อ ถูกตัดหลอดเลือด เกือบเที่ยงคืน จึงจัดการกับแผลใหญ่เสร็จไปหนึ่งขั้นตอน  แพทย์บอกกับคนทางบ้านและผู้น้อยว่า " คุณฟั่นเคราะห์ร้ายแตยังโชคดี จุกปะทะข้างหน้าด้านขวา ปากแผลลึกเข้าไปประมาณสิบกว่าเซนต์ ใกล้กระดูกสันหลัง อย่างนี้เท่ากับถูกตัดคอไปแล้ว อาหญิงของผู้น้อยยืนอยู่ช้าง ๆ ไม่กล้าดู เพราะถ้าเปิดหนังตรงคอ  ก็จะเห็นกระดูกสันหลังสีขาว เนื้อสีแดง ปากแผลใหญ่พอที่กำปั้นจะซุกลงไปได้ แพทย์บอกว่า "คุณโชคดีที่หลอดลมไม่ขาด แต่หลอดเลือดดำที่คอขาดไป
หากหลอดเลือดแดงขาด ส่งโรงพยาบาลไม่ถึงสามสิบนาที เสียเลือดเกินกว่า 4,000 ซีซี จะช่วยยาก
หากหลอดลมขาด หัวแช่อยู่ในน้ำ หายใจไม่ออก ประมาณสามสิบนาทีก็จะเสียชีวิต ช่วยได้ยาก
        หลอดเลือดดำขาด กระแสเลือดจากหลอดเลือดดำส่งมาถึงสมองแล้วไหลออกไป เลือดดำที่ไหลเข้าสมองจะยิ่งน้อยลง นี่เป็นระบบป้องกันตัวอัตโนมัติของร่างกายเอง  ก่อนจะถึงโรงพยาบาล คุณเสียเลือดไปแล้ว ประมาณ 4,000 ซีซี หากเกินกว่านี้จะสลบไม่ตื่น โชคดีแท้ ๆ ถ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา ก็คือบรรพบุรุษคุ้มครองรักษา " แพทย์ว่าอย่างนี้  ผู้น้อยคิดว่าเป็นเพราะ " เทียนเอินซือเต๋อ " แน่นอน เพราะผู้น้อยเชื่อว่าบรรพบุรุษของเราคงไม่มีความสามารถขนาดนี้เป็นแน่  แพทย์บอกอีกว่า " หมอจะช่วยจัดการเรื่องแผลนี้ให้ แต่จะต้องรอดูผลอีกสามถึงสี่วันแล้วจึงจะผ่าตัดให้ เพราะแผลสกปรกมาก ตกลงไปในคูน้ำ ดินทรายเข้ามาหมด สามถึงสี่วันแล้วจึงจะผ่าตัดได้ ถ้าคุณอยากจะผ่าตัดทันที จะย้ายโรงพยาบาลก็ได้  ดังนั้น คืนนั้นจึงย้ายไปที่โรงพยาบาลซิ่วฉวน      ที่เมืองจังฮว่า        ก่อนหน้านี้ ผู้น้อยตื่นแล้ว แพทย์เข้ามาถึงจึงทักทายว่า " คุณฟั่น แผลของคุณสวยจัง " ทำไมจึงพูดอย่างนี้ เพราะเขาเป็นศัลยแพทย์ ถ้าบอกว่า แผลน่าเกลียดจังคือลึกแต่ไม่กว้าง แผลกว้างจัดการง่ายกว่า จึงว่าสวย  แพทย์บอกอีกว่า " คืนน้ดึกแล้ว พักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้จึงจัดการให้  คืนนี้ตรวจดูก่อน ตรวจดูก็คือ เอ็กซเรย์ตรวจสมอง ตรวจเลือด... ขณะเอ็กซเรย์ พยาบาลช่วยกันประคองมือ เท้าทุกส่วนไว้ แต่ลืมประคองส่วนหัว ฉะนั้น พอจับนั่งหัวก็หักพับ  ห้อยไปข้างหลังเหมือนคนหัวขาด พยาบาลตกใจ รีบประคองหัวขึ้นมา จึงหายใจได้  คืนนั้น ทำการตรวจสภาพร่างกาย ผู้น้อยไม่ได้หลับเลยทั้งคืน กลัวแทบตาย  วันรุ่งขึ้น จะทำการผ่าตัดแต่เช้า แพทย์ฝึกหัดสวมกางเกงยีนส์คนหนึ่งเข้ามาหาบอกว่า " คุณฟั่น แพทย์เจ้าของไข้ของคุณเป็นแพทย์รับเชิญประจำโรงพยาบาลซิ่วฉวนนี้ มาจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ที่ไทเป  ทางโรงพยาบาลของเรา ถ้าเป็นแพทย์รับเชิญจะหยุดวันเสาร์ - อาทิตย์ วันนี้พอดีเป็นวันเสาร์ แพทย์เจ้าของไข้ของคุณพัก การผ่าตัดจะต้องให้แพทย์เจ้าของไข้เซ็นอนุญาตวันนี้เราจึงจะผ่าตัดให้คุณไม่ได้  ท่านสั่งไว้ว่าให้ทำความสะอาดบาดแผล ซึ่งเราจะช่วยทำให้ " ขณะที่แพทย์เปิดปากแผล มันเจ็บมากจนสะดุ้งสุดตัว ทะลึ่งตัวขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ แต่ไม่มีกำลังประคองตัวได้ จึงหงายหลังล้มลงไปอีก คราวนี้ เลือดทะลักไหลท่วมตัว แพทย์ฝึกหัดเริ่มกดกริ่งฉุกเฉิน แพทย์พยาบาลกรูกันเข้ามาห้าถึงหกคน รีบใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้เลือดอีกทันที  ผู้น้อยเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เมื่อเครื่องช่วยหัวใจทำงาน ปอดก้เริ่มรับออกซิเจนฉุกเฉิน ... แพทย์ฝึกหัดคนนั้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาเพียงแต่เปิดผ้าเปิดแผลเท่านั้น ทำไมจึงหัวขาด  (คงไม่ได้อ่านประวัติผู้ป่วยมาก่อน ) เห็นนอนอยู่บนเตียงดี ๆ ไม่รู้ว่าเปิดผ้าปิดแผลจะรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาหน้าตื่นยืนงง ช่วยคนอื่น ๆ รีบช่วยเหตุฉุกเฉินเฉพาะหน้ากันชุลมุน แท้จริงแล้วผู้น้อยเองยิ่งทรมาน เพราะทั้งเครื่องช่วยหายใจ  เครื่องให้เลือด แรงอัดของมันทำให้กล้ามเนื้อกระตุกได้ แต่มโนวิญญาณยังชัดเจน รู้ว่าแพทย์เข้าใจปัญหาผิดสักครู่ เมื่อเห็นว่าการเต้นของหัวใจเริ่มปกติ จึงได้ถอดสายออก แล้วแพทย์ก็เริ่มทำแผล ผู้น้อยได้เห็นว่า การทำแผลครั้งนั้น ทั้งน้ำที่ชำระกับเลือดปนกันออกมา มันมีจำนวนมากถึงสองถังใหญ่  (อย่างน้อย 8,000 ซีซี) เท่ากับเปลี่ยนเลือดเก่าทั้งตัวไปจนหมดอย่างน้อย 4.000 ซีซี  ทำแผลเสร็จแล้วแพทย์ผู้นั้นบอกว่า " หมอแกรงว่ปากแผลจะติดกัน (จะต้องผ่าตัดในโพลงอีก) จึงต้องเอาสำลีถ่างปากแผลไว้  ผู้น้อยเห็นแพทย์ใช้สำลีมากมายอัดดลงไปในคอของผู้น้อยกว่าจะประจุให้เต็มปากแผล แพทย์ปิดปากแผล เสร็จก็กลับออกไป แพทย์ไปแล้ว ผู้น้อยตัวแข็งทื่อไปหมด พยาบาลเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าผ้าปูที่นอนให้ใหม่ ซึ่งบนเตียงเหนียวโชกไปด้วยเลือด         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่ 2 

                         วิถีแห่งเปรตในโรงพยาบาล

        ผู้น้อยคิดอยู่ว่า "ทำไมจึงไม่ให้ยาสลบ" มารู้ว่า เพราะแพทยืเจ้าของไข้ไม่ได้เซ็นชื่ออนุญาต ให้ยาสลบไม่ได้ แพทยืเจ้าของไข้ก็อยู่ระหว่างพักสุดสัปดาห์ เป็นเหตุให้ผู้น้อยต้องรับทุกข์ทรมานเป็น ๆ อย่างนี้ต่อไป แพทย์ฝึกหัดกลับออกไปแล้วสักพัก ประมาณแปดเก้าโมงเช้า พยาบาลเข้ามาบอกว่า "คุณฟั่นกินยานะ"ว่าแล้วก้เอายาเม็ดปฏิชีวนะเยอะแยะให้ผู้น้อยกินจะได้ไม่ติดเชื้อ ผู้น้อยคิดว่าถ้ากลืนได้ก็จะกลืน คิดไม่ถึงว่า พอยาเม็ดลงไปแค่ต้น ๆ หลอดอาหารเท่านั้น ก็ระคายคอต้องขย้อนอาเจียรออกมา  พยาบาลเห็นอย่างนี้จึงบอกว่า "ฉันลืมไป คุณบาดเจ็บในคอ" พยาบาลเพิ่งเปลี่ยนเข้าเวรเช้า ไม่รู้ว่าผู้น้อยบาดเจ็บสาหัสภายในลำคอ (ไม่ทันได้อ่านประวัติผู้ป่วยอีกเหมือนกัน) เหตุการณ์อย่างนี้ เราจะต้องเชื่อเลยว่า คนเรามีภาวะของดวงชะตา พอดวงตก ทุกอย่างที่ไม่ดีมันจะประดังกันเข้ามา แม้แต่พยาบาลก็ต้องผสมโรงซ้ำเติมกับเขาด้วย ภายหลัง พยาบาลได้เอายาเม็ดไปช่วยบดให้เป็นผงคิดว่าละลายน้ำกลืนคงได้ แต่พอกลืนลงกระเพาะเท่านั้นก้ไอออกมาอีก หลอดอาหารได้รับบาดเจ็บ อะไรผ่านคอก็จะระคายและไอต่อต้าน พยาบาลชักไม่พอใจ คิดว่าไอ้หนุ่มคนนี้เรื่องมาก ไม่ยอมกินยา ผู้น้อยไม่ใช่จะไม่กิน แต่มันกินไม่ลงจริง ๆ พยาบาลจึงว่า เอาละ ถ้าอย่างนั้นจะชุบสำลีซับไว้ที่ปาก ให้มันซึมซาบลงไป ยาปฏิชีวนะซึมซาบทางผิวหนังได้ จึงต้องใช้วิธีนี้  วันเสาร์ - อาทิตย์ ใช้วธีซึมซาบจนปากบวมเป่ง ร้อนในมาก ปากแตก ก็ยังทำต่อไปจนปากเปื่อย นี่คือการเปลี่ยนยาครั้งแรก  ประมาณเที่ยง แพทย์ฝึกหัดมาอีก ครั้งแรกที่ทำแผล ได้อัดสำลีเข้าไปมาก ครั้งนี้คงจะมาเอาสำลีออก แพทย์ฝึกหัดเปิดผ้าปิดแผล ผู้น้อยแกร็งมือจับลูกกรงเตียงไว้แน่นจนมือสั่น พอเปิดผ้าปิดแผลแล้ว เขาก้เริ่มค่อย ๆ คีบเอาก้อนสำลีออกมา สำลีก้อนบน ๆ คีบออกมาแล้ว ก้อนล่าง ๆ ล้วนซุ่มเลือด คนคีบก็ไม่รู้คีบมาหมดแล้วหรือยัง (ต้องนับจำนวนตอนอัดใส่และนับจำนวนเมื่อคีบออก ผีซ้ำด้ามปลอยลืมนับเสียอีก) เขาลองคีบลึกลงไปอีก พร้อมกับมองดูสีหน้าอาการของผู้น้อย ถ้าหากมีอาการเจ็บ แสดงว่าคีมคีบถูกเส้นประสาท ถ้าไม่เจ็บก็ถอนคีมออก เหล่านี้ ล้วนเป็นปัณหาเป็นไปตามเหตุการณ์ของเคราะห์กรรม  ขณะคีบ ข้างในรู้สึกเย็น ๆ เหมือนกินไอติม (คีบโลหะกระทบเส้นประสาท) พอดึงคีบออกมาก็เจ็บ เพราะดึงถูกเส้นประสาทเข้า เนื้อทั้งชิ้นถูกคีบออกมาล้างแล้วใส่เข้าไปใหม่ บางทีคีบเอาเส้นเลือดเข้า ถ้าคีบเส้นเลือดก้ไม่เจ็บ  ตอนนี้ ผู้น้อยจึงได้รู้จักความหมายของคำว่า "ชักเอ็นถลกหนัง โซวจินปอผี"  มันเป็นอย่างไร เมื่อก่อนเรากินเลือดเนื้อเขา ไม่รู้สึกอะไร แต่พอถูกเขาคีบเอาอย่างนี้จึงสำนึกเสียใจ ที่แล้วมาทำไมเราจึงใจดำอำมหิตอย่างนี้หนอ เลือดยังไหลปรี่ เหมือนที่เราเคยฆ่าไก่ ก็เป็นอย่างเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ  ทำไมเมื่อก่อนเราจึงไม่รู้สึกเจ็บ เพราะไม่มีจิตเยื้อใยสายสัมพันธ์เดียวกัน  จนกว่ตนเองจะต้องนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยจึงจะได้รู้  ในโรงพยาบาลเราจะมองดูได้ เพราะอุปกรณ์การแพทย์พัฒนายิ่งขึ้น อันที่จริงจะตายได้โดยเร็วอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชะลอการตายได้ ให้ต้องยึดการรับทุกข์ทรมานอยู่กับโรงพยาบาล  แม้คุณจะมีวาสนามหาศาล แต่แรงกรรมก็มหาศาลเช่นกัน  คนแต่ก่อนเป็นมะเร็ง จบสิ้นปณิธานทิ้งกายสังขารใช้กรรมไป แต่ปัจจุบัน จบสิ้นปณิธานได้ไหม ไม่ได้ การแพทย์ที่โรงพยาบาลก้าวหน้าขึ้นทุกที เคมีบำบัดลากสังขารยึดเวลาพร้อมกับรับทุกข์ทรมานต่อไป  จะดูนรก ไปดูได้เลยที่โรงพยาบาล ผ่าท้องควักหัวใจ มีหมดทุกอย่าง ไม่ใช่นรกแล้วจะเป็นอะไร ในนรก (โรงพยบาล) ก็มีพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ก็แพทยืและญาติ ๆ ของเราไงล่ะ ตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันจันทร์ คิดว่าจะได้ผ่าตัดแล้ว แต่ยังคงเป็นแพทย์ฝึกหัดมาเยี่ยมไข้ เขาขอโทษแล้วขอโทษอีก "แพทยืเจ้าของไข้จะต้องเดินทางมาจากไทเป วันนี้ วันที่ 28 กันยายน เป็นวันครู ท่านเป็นอาจารย์แพทย์ของมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ไทเป ฉะนั้น จึงเป็นวันหยุดของท่านอีกหนึ่งวัน เราจึงได้แต่ชำระแผลให้ไปก่อน" จนถึงวันที่สาม ขวัญกำลังใจของผู้น้อยมันแย่ถึงขีดสุดแล้ว จนถึงกับว้าวุ่นคิดเลอะเทอะไปบางครั้ง  ที่โรงพยาบาลมีรถเข็นเครื่องมือ เช่น กรรไกร คีม ขวดยา ชำระแผลต่าง ๆ เวลาเข็นแล่นไปได้เร็วมาก มีเสียงโลหะกระทบกัน พอผู้น้อยได้ยินเสียงนี้ ก็จะต้องคิดว่า "มาอีกแล้ว จะต้องเจ็บตัวอีกแล้ว" บางครั้งกลัวล่วงหน้าจนหมดสติไปก่อน ฉะนั้น จึงบอกวา ความเจ็บไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือความรู้สึกว่า "มันน่ากลัว" ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ "เจ็บ" แต่มันอยู่ที่ "กลัว" เพราะความ "กลัว" ทำให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง ฉะนั้น รู้ไหมว่าแรงกรรมอะไรน่ากลัวที่สุด แรงกรรมที่ทำให้เคว้งคว้างไงล่ะ ขณะวิกฤตไม่มีอะไรช่วยได้ ขณะเคว้งคว้าง ต้องการสิ่งนั้น ไม่พานพบได้  นี่ก็คือแรงกรรม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่ 2   

                  ความแยบยลจากการกำหนดจิต ณ ญาณทวาร

        ตอนนั้น  ผู้น้อยเหมือนคนประสาทเสีย เห็นแพทย์เดินผ่านก็ต้องร้องโอยเสียงดัง เห็นพยาบาลเดินผ่านก็ตกใจเป็นลม หวาดผวาจนสุดขีด จนกระทั่งถึงเที่ยงวันนั้น ท้องเกิดหิว อยากกิน แต่ก็กินไม่ได้  ขณะนั้น จึงทำให้ฉุกคิดได้ว่า "ฉันกินเจ"  นึกถึงกินเจแล้วนึกต่อไปได้ว่า "กินเจเพราะอะไร" นึกได้ว่า "เพราะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม" ไม่เพียงนึกได้ว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ยังนึกได้ว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ได้รับวิถีธรรมแล้ว คิดต่อไปอีกว่า ในเมื่อได้รับวิถีธรรมแล้วเราทำตัวอย่างนี้ ใช่หรือไม่ว่าเหลวเป๋ว ไม่มีพลังของธรรมะในใจเลย ถ้าหากแพทย์รู้ว่า เราเป็นศิษย์ผู้ศรัทธาต่ออี๋ก้วนเต้า มันจะทำให้ชื่อเสียงของอาณาจักรธรรมเสียหายไหม เขาจะว่าเอาได้ว่า "ดูซิ เป็นศิษย์ของอี๋ก้วนเต้า แต่ก็ยังร้องโอดโอยอย่างนี้เลย"  คิดดังนี้แล้ว เกิดสงสัยว่าตนเองเป็นผู้ทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของอาณาจักรธรรมใช่ไหม จึงเริ่มตื่นตระหนกใจ คิดต่อไปอีกว่า "ในเมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ผู้บำเพ็ญควรยิ่งจะต้องยิ่งบำเพ็ญยิ่งอยู่เย็นเป็นสุข ยิ่งมั่นคง แต่ไฉนเราจึงได้รับความทุกข์ทรมานอย่างนี้"  ความทุกข์ทรมานนี้ หนักหนาสาหัสมาก อยากมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้จะอยู่ได้อย่างไรอยากตายก็ตายไม่ได้อีก ทั้งความทุกทั้งหมดล้วนเกิดจากน้ำมือของผู้อื่นทำแก่เรา ทรมานเรา ไม่ใช่เราทรมานตนเอง ต้องรับไว้เอง แต่ผู้น้อยไม่รู้เลยว่า ตนเองได้ทำผิดอะไรไว้ จึงต้องได้รับทุกข์เวทนาสาหัสสากรรจ์อย่างนี้  คิดดังนี้แล้ว ก็อธิษฐานเงียบ ๆ อยู่ในใจว่า "ถ้าแม้นข้าพเจ้าเป็นหนี้พวกท่านไว้ หลายปีที่ร่วมงานในอาณาจักรธรรม หากมีกุศลผลบุญใด ขออุทิศให้พวกท่านทั้งหมด ขอพวกท่านจงปล่อยข้าพเจ้าไปสักคนหนึ่งเถิด"  จากนั้น ก็คิดได้อีกเรื่องหนึ่งว่า "เราไม่ใช่เป็นเพียงศิษย์ธรรมกาลยุคขาว เรายังได้รับไตรรัตน์ เป็นสิ่งวิเศษสุดสำหรับศิษย์ธรรมกาลยุคขาวอีกด้วย"  คิดอีกว่า "เดี๋ยวเราจะใช้ไตรรัตน์"  สุดท้าย ตอนเที่ยงแพทย์ฝึกหัดมาอีก ผู้น้อยคิดจะใช้ไตรรัตน์อยู่ตลอดเวลา แต่เป็นเพราะถูกมัดมือไว้ ไม่อาจอุ้มลัญจกรได้ จึงได้แต่คิดว่า กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร หมอรู้ว่าผู้น้อยหวาดกลัวมาก เพราะทุกครั้งเมื่อหมอเดินมา ผู้น้อยจะร้องเสียงหลง ฉะนั้น จึงยืนคอยอยู่ข้าง ๆ คอยจนอารมณ์ของผู้น้อยค่อยผ่อนคลายแล้ว จึงค่อยเดินเข้ามาหา มิฉะนั้น พอตกใจเกร็งตัว เลือดก็จะไหล สักครู่ เมื่อเห็นว่าผู้น้อยไม่ขยับ จึงเริ่มลงมือ ผู้น้อยมองแววตาของหมอ พอจะรู้ความนัยว่า "ยังไม่รีบเตรียมใจ หมอจะลงมือแล้วนะ"  เขาเริ่มลงมือใช้คีมล้วงลงไป ผู้น้อยก็กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร  ท่านทั้งหลายลองทายดูซิว่า ขณะที่เขาลงมือคีบนั้น ผู้น้อยกำหนดจิต ณ จุดญาณทวารแล้วยังจะรู้สึกเจ็บไหม ใครที่บอกว่าไม่เจ็บ อีกประเดี๋ยวจบการบรรยายแล้ว ให้เขากำหนดดูบ้างทุกคนช่วยกันตีดูซิว่าจะเจ็บไหม  ไตรรัตน์ของเรา แท้จริงแล้วไม่ใช่คุณสมบัติที่จะทำให้ใครไม่เจ็บได้ ไตรรัตน์โดยแท้เพื่อยืนยันสิ่งที่มีจริง คือจิตญาณ ที่อาจพ้นเกิดตาย คืนต้นกำเนิดเดิมได้ ไม่ใช่ใช้เพื่อไม่ให้เจ็บ ไม่ใช่ให้ไม่มีความรู้สึก แต่เพื่อทำให้เรารู้ว่า อะไรเรียกว่า "เจ้าบ้าน" ชีวิตจิตญาณตน  ขรณะนั้น  พอผู้น้อยใช้ไตรรัตน์  หมอลงมือคีบสำลีที่อัดอยู่ภายในช่องแผลออก ความรู้สึกยังคงเจ็บ แต่ไม่เจ็บเหมือนก่อน ครั้งก่อน ๆ พอเจ็บก็ออกแรงเกร็ง พอออกแรงเกร็ง ประสาทก็รัดตัว รัดมากเกินขนาดก็เกิดการชักกระตุก ชักกระตุกแล้วก้หมดสติไป ไม่รู้อีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งเจ็บทั้งมึนงง  พอได้สติตื่นขึ้นก็ออกแรงเกร็งอีก  แต่ครั้งนี้ กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร รู้ว่ากำลังเจ็บ แต่ก็ผ่อนคลายยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ต่อต้าน ยอมรับการเปลี่ยนยาที่ประจุลงไปใหม่ได้ ฉะนั้น จึงบอกได้ว่า ความเจ็บนั้นเป็นอย่างเดียวกัน แต่ความรู้สึกต่างกัน เหมือนตัวเองยืนดูภาพจากโปรเจ็คเตอร์ อยู่ข้าง ๆ  (พูดถึงผู้ฟังบรรยาย)  นี่กำลังพูดถึงผู้น้อยเองที่ถูกจัดการ ไม่ใช่ท่านทั้งหลายถูกจัดการ แต่หน้าตาที่แสดงออกของทุกท่าน (ที่ฟังอยู่) กลายเป็นน่ากลัวมาก เพราะอะไร เพราะเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงนั้น  ฉะนั้น ความรู้สึกของผู้น้อย แม้ว่าตนเองจะถูกลงมือ แต่กลับเหมือนยืนอยู่ข้าง ๆ ดูตนเองถูกลงมือ ภาวะทั้งสองต่างกันมาก  ครั้งก่อน ๆ พอทำแผลเสร็จผลอยางหนึ่งที่เห็นคือ ทั้งเลือดทั้งน้ำที่ชำระแผลจะต้องมีจำนวนถึงสองหรือหนึ่งถังใหญ่ แต่ครั้งนี้กำหนดจิต ฯ  เลือดที่ไหลในภายหลังไม่ถึงหนึ่งถ้วย ต่างกันมากทีเดียว หมอถามว่า "ไม่เจ็บเลยหรือ"  ผู้น้อยตอบว่าเจ็บแน่นอนอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ "ทนรับ"  แต่ผม  "ยอมรับ"  ถ้าบอกว่าไม่เจ็บ มันเป็นไปไม่ได้ เจ็บแน่ นอกจากจะใช้ยาสลบ  ฉะนั้น เราจะต้องจดจำไว้ให้ดี ไตรรัตน์ไม่ใช่ให้เราไม่เจ็บ แต่เป็นสิ่งประจักษ์ชัดจิตญาณตน รู้ "เจ้าบ้าน"  เจ้าตัวจริง  คุณประโยชน์นี้ยิ่งใหญ่กว่าการช่วยให้ไม่เจ็บอีกมหาศาลนัก  วันอังคาร หมอมาแต่เช้า พ่อของผู้น้อยด่าว่าหมอ ด่าว่าอย่างฟังไม่ได้เลย หมอก็ตกใจ ได้แต่บอกว่่า  "เอาละ เดี๋ยวจะจัดการให้คุณเป็นรายแรกเลย"  ดังนั้น  ผู้น้อยจึงเป็นผู้ป่วยผ่าตัดรายแรกของวันนั้น  มีการตรวจสอบของเส้นสายการทำงานต่าง ๆ ผู้น้อยได้รับคำถามว่า "ได้ยินเสียงต๊อก ๆ ไหม มือชาไหม"  ตอนนั้น  เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับเรา จึงกลัว เพราะเป็นคนแรก จึงต้องถูกทดสอบเครื่องไม้เครื่องมือ ในแผ่นป้ายผู้ป่วยเขียนว่า "ผ่าตัดเวลา 8.30 น."  ฉะนั้น  ครึ่งชั่วโมงก่อนผ่าตัดนี้ ผู้น้อยจึงตื่นเต้นหวาดกลัว พอถึงเวลาจะลงมือผ่าตัด พอได้ยินคำถามว่า "คุณฟั่น ได้ยินไหม"  เท่านั้น แล้วก็สลบไป  จนกระทั้งมีเสียงดังก้องหู จึงตื่นขึ้นมาทันที พยาบาลพูดว่า " คุณฟั่น ตื่นแล้วนะ ยินดีด้วย ผ่าตัดได้รับความสำเร็จ"  ใจของผู้น้อยคิดว่า "เบาสบายกว่าที่ล้วงทำแผลเปลี่ยนยาเสียอีก"  แต่พยาบาลบอกว่า "คุณอย่าเห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ นะ ตอนนี้บ่ายสี่โมงแล้ว" นั่นคือใช้เวลาผ่าตัดไปห้าชั่วโมง ตั้งแต่ 8.30 น.  จนถึง 13.30 น.   คงจะเพิ่งถูกเข็นรถออกจากห้องพักฟื้นเมื่อประมาณบ่ายสี่โมงนี้เอง พยาบาลบอกว่า "คอของคุณถูกชนจนเละ  จึงต้องเปิดหนังทั้งหมด ต้องตัดเส้นเลือดที่หัวใจด้านนี้  ดูดไขมัน  ตัดเนื้อกลางหลังมาปะที่หน้าคอ"    อย่างนี้  หน้าคอของผู้น้อยจึงถูกเย็บไปสองร้อยห้าสิบสองเข็ม  นับเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ได้รับความสำเร็จ พยาบาลจึงพูดแสดงความยินดีไม่หยุดปาก  ผู้น้อยถูกส่งตัวเข้าไปในห้องผู้ป่วย  นอนอยู่บนเตียง นึกถึงเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องทำ ที่เคยทำกันมา เมื่อเราภาวนาขอต่อเบื้องบนแล้ว สำเร็จตามนั้น จะต้องกราบขอบพระคุณ  "เซี่ยเอิน"  ใจของผู้น้อยจึงกังวลกับการขอบพระคุณ พอดีเพดานเหนือเตียงที่ผู้น้อยนอนอยู่ มีโคมไฟครอบลักษณะกลม ผู้น้อยจึงสมมุติให้เป็นพุทธะประทีปของ "เหลาหมู่"  สมมุติว่า ขณะนี้ ผู้น้อยกำลังอยู่ในตำหนักพระ ผู้น้อยตั้งจิตสำนึกขอบพระคุณ  "เซี่ยเซี่ยหมิงหมิงซั่งตี้อี้ไป่โค่วโสว"  พระแม่องค์ธรรมหนึ่งร้อยกราบ  แต่ยังนับได้ไม่ครบร้อยก็หลับไปเสียก่อน เมื่อเจ้ากรรมนายเวรมาถึงตัว  จะนอนไม่หลับ  จะต้องรอจนกว่าถูกเขาสอบกรำจนหนำใจแ้ล้ว  ถูกเขารังควานจนพอใจแล้ว จึงจะหลับสบายได้  เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันนั้น นอนไม่หลับเลยรู้ตัวทุกอย่าง พยายามจะย้อนคิดว่า เมื่อก่อนเราเคยทำความชั่วร้ายอะไรบ้างหรือเปล่า คิดจนหลับไปวูบหนึ่งแต่ก็ต้องตกใจตื่นอีก เวลาที่เจ้ากรรมนายเวรมาถึงตัวนั้น มันหนักหนาจริง ๆ   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”