collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : บทบรรณาธิการ  (อ่าน 26916 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                       แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                              ตอนที่ 2

                  ทุ่มเทชีวิตหาเงิน  ไม่ร่วมงานธรรม

        ในด้านการงานอาชีพ เริ่มแรกผู้น้อยทำอย่างไม่จริงจังนัก แต่ทางบ้านก็ขุ่นข้องใจ หวังว่าลูกจะส่งเงินไปให้ สุดท้าย พ่อยื่นคำขาดว่า " ถ้าลูกไม่กลับมาเยี่ยมบ้าน เราก็จะขึ้นไปหาลูก "  ผู้น้อยจึงคิดว่า จะต้องกลับไปก่อน แต่จะต้องกราบบอกพระอาจารย์เสียก่อนว่า "พระอาจารย์ได้โปรดวางใจได้ ศิษย์อยู่ในอาณาจักรธรรมหลายปีอย่างนี้ เชื่อมั่นว่าปณิธานจะไม่มีปัญหา ศิษย์กลับไปอยู่ทางบ้าน จะพยายามร่วมปฏิบัติงานธรรมแน่นอน "  เพิ่งกลับไปใหม่ ๆ ผู้น้อยพยายามติดต่อเตี่ยนฉวนซือ ไปงานของสถานธรรม ทุกอย่างเข้าร่วมปฏิบัติเอง โดยไม่ต้องมีใครผลักดัน แต่ปัญหาเกิดขึ้น... เมื่อครั้งอยู่ไทเป ผู้ร่วมงานธรรมคือนักศึกษามหาวิทยาลัย วิธีการทำงานคล่องตัวตามวัย  แต่บัดนี้มาอยู่เมืองชนบทจังฮว่า คนที่อายุน้อยที่สุดในสถานธรรมคือแก่กว่าผู้น้อยสองเท่า แน่นอน การทำงานกับการกระทำย่อมต่างกัน แต่ผู้น้อยก็อยากจะเข้าใกล้ ภาวะนี้ ทำให้ผู้น้อยรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกบีบคั้น จึงเกิดการสอบตัวเองว่า" เรามาที่นี่เข้ากับใครไม่ได้ คนที่นี่มีอคติต่อเราหรือเปล่าหนอ ?." เริ่มแรกสัปดาห์ละสี่ห้าวันร่วมอยู่ในสถานธรรม ตอนหลังค่อย ๆ ลดน้อยลง เหลือวันพระหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำจึงจะกลับมาสถานธรรม ต่อมาก็เหลือแค่มีงานประชุมฝ่าฮุ่ย       จึงจะกลับมาปรากฏตัวสักหน่อย  ทักทายใคร ๆ แล้วก็กลับไป ช่วงเวลานี้ ผู้น้อยไปทำงานหาเงิน คิดว่าให้พ่อยอมรับในตัวลูกเสียก่อน แต่ผลสุดท้าย จากจิตใจที่เดิมทีที่ยังมีจิตโพธิสัตว์อยู่บ้าง ชั่วพริบตากลับกลายเป็นจิตใจปุถุชนไป ไม่ร่วมงานของอาณาจักรธรรม ห่างหายไปโดยสิ้นเชิง เตี่ยนฉวนซือโทรศัพท์มาก็ไม่รับสาย ประมาณเวลาสามเดือนเท่านั้น ผู้น้อยก็ประสบอุบัติเหตุเรื่องรถ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                ตอนที่ 2

                  ชั่วพริบตาของความเป็นความตาย

        หมินกั๋วปี่ที่แปดสิบเจ็ด  วันเกิดเหตุ  ปกติผู้น้อยชอบขี่มอเตอร์ไซค์ตามทางเล็ก ๆ ในชนบท เพราะไม่มีไฟจราจรบังคับ ขณะเรียบไปตามทางขอบคูน้ำมีทางลาดต่ำที่ค่อนข้างหักชัน รถลื่นไถลลงมา หักเลี้ยวตามทางทันที...  เลี้ยวที่หนึ่ง  เลี้ยวที่สอง  พ้นโค้งตรงนั้น พลันได้พบว่า " เสร็จแน่ "  ประจันกับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ชายหนุ่มอายุสิบกว่าขับมาอย่างแรง พอเห็นว่าเขาจะปะทะเข้ามาอย่างจังวูบแรกที่คิดได้คือ " ชน !!"  ผู้น้อยถูกชนตกลงไปในคูน้ำข้างทาง หมดสติไป ไม่กี่วินาทีต่อมา กลับรู้สึกตัวตื่นขึ้น ได้พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงที่เกิดเหตุตรงกลางทาง พร้อมกับได้เห็นชายหนุ่มคู่กรณีกำลังรีบหนีไปจากที่นั่น ผู้น้อยคิดว่า " ทำไมเขาจะต้องตื่นเต้นลุกลนอย่างนั้นด้วย "  มองดูรอยเบรคที่ถนน อีกทั้งแลเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งในคูน้ำ รถตะแคงทับใครอยู่คนหนึ่ง คน ๆ นั้น ท่อนตัวครึ่งบนแช่อยู่ในน้ำ ผู้น้อยเห็นเขาน่าสงสารมาก อยากจะลงไปช่วย พอลงไปในคู เห็นทะเบียนรถ  โอ ! เหมือนของเราเลย มองดูเจ้าของรถ  เอ๊ะ !  ผู้น้อยเองหรือนี่ เมื่อเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ในน้ำ จึงเข้าใจได้ทันทีว่า " แท้จริง เราจะต้องจากโลกนี้ไปแล้วนั่นเอง " ขณะนั้นผู้น้อยคิดได้ทันทีว่า ยังมีงานอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ  เราจะยังไม่กลับไป ( ไม่ยอมตาย )  ในอาณาจักรธรรมพูดกันว่า " ถ้าพยายมจะให้เรากลับไปในเวลายามสาม ถึงอย่างไรก็ไม่ปล่อยให้ล่วงเวลายามห้า "  ขณะนั้นในใจผุ้น้อยคิดว่า " เราจะยังไม่กลับไป อย่างน้อยจะต้องนำพาญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องให้ได้รับธรรมะ ได้ส่งเสริมเขาแล้ว เราจึงจะยอมกลับไป "  ขณะที่ผู้น้อยคิดอย่างนี้นั้น พลันก็มีพลังจากท่อส่งหนึ่งผลักดัน ครึ่งตัวของผู้น้อยที่แซ่อยู่ในน้ำนั้นยังรู้สึกได้ว่าพลังจิตญาณของตนเองถูกปะจุส่งเข้าไปในจุดที่พระวิสุทธิอาจารย์ได้โปรดจุดเบิกให้  พอเข้าไปได้แล้ว ก็ใช้กำลังดำริคิด พยายามยันตัวยืนขึ้นมา แต่พอลืมตาพลันเห็นแสงสว่างก้กลับหน้ามืดสลบไปอีก  สลบครั้งนี้ไม่รู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        แรงปณิธานกับแรงบาปเวร   

                      จูงรถยับเยินเดินสองกิโลเมตร

        จากจุดเกิดเหตุออกไปทางถนนใหญ่ระยะทางสองกิโลเมตรเป็นบ้านอาของผู้น้อย วันนั้น  อากำลังจะออกจากบ้าน ก็แลเห็นชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมเลือดอาบ  จนดูไม่ออกว่าเป็นใคร คิดว่าคงจะเป็นเด็กเกเรวิวาทกันเองจนเลือดท่วมตัว เขาขี่มอเตอร์ไซค์ตรงเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน อาตกใจรีบแจ้งตำรวจ อาสะใภ้ได้ยินเสียงร้องแอะอะ รีบวิ่งมาดู อาสะใภ้ว่า " นี่มันลูกของ...นี่นา " บ้านของผู้น้อยอยู่เลยจากบ้านอาเข้าไปในซอย อาสะใภ้จึงรีบส่งผู้น้อยไปโรงพยาบาล ขณะนั้น ความรู้สึกของผู้น้อยเหมือนถูกใครแบกพาดไว้บนบ่า แล้วพลันก็มีเสียงบอกว่า "ถึงแล้ว  ถึงแล้ว" ผู้น้อยลืมตาดู เห็นอาเดินออกมาจากบ้านเท่านั้นก็สลบไปอีก มอเตอร์ไซค์ของผุ้น้อย เดิมทีตกลงไปอยู่ในคูน้ำ พอส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว หมอได้พบว่าจุดปะทะอย่างแรงในร่างกายคือ คอด้านหน้า จึงเกรงว่าจะเสียชีวิตก่อนที่จะลงมือช่วยชีวิต จึงแจ้งความบันทึกไว้ ตำรวจพากันมาและตามไปดูหลักฐานที่บ้านอา ตลอดทางมองหารอยน้ำมันรถ และรอยเลือดจนถึงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปว่า " ผู้บาดเจ็บขี่รถเร็วชนเสาไฟฟ้าเอง ไม่มีอะไร ส่งโรงพยาบาลช่วยเหลือเร่งด่วนแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร " คนทางบ้านผู้น้อยแย้งว่า " ถ้าชนเสาไฟฟ้าเอง ทำไมจึงมีรอยเบรคสองรอยในคูน้ำ มีเศษแตกของมอเตอร์ไซค์มากมายเช่นนี้"เจ้าหน้าที่ยอมพิจารณาใหม่ว่า เป็นอุบัติเหตุรถชนกัน จึงต้องติดตามหาคู่กรณี ปัญหาตามมาอีกว่า มอเตอร์ไซค์ขึ้นจากคูน้ำมาได้อย่างไร อีกทั้งบันทุกผู้บาดเจ็บไปถึงบ้านอาได้อย่างไร เป็นพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์โดยแท้ จนบัดนี้ ผู้น้อยเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นไปได้อย่างไร  ระหว่างอยู่โรงพยาบาล พ่อของผู้น้อยคิดว่า มอเตอร์ไซค์ยังใช้ขี่มาบ้านอาได้ แสดงว่ามันยังไม่เสีย เปลี่ยนส่วนประกอบภายนอกใหม่ก็คงใช้ได้เหมือนเดิมแต่ปรากฏว่าสตาร์ทไม่ติด ลองจูงดูขยับไม่ได้ เพราะล้อเบี้ยวขัดอยู่กับบังโคลน เคลื่อนตัวไม่ได้เลย  ในเมื่อล้อรถขัดตายอยู่อย่างนี้แล้ว วันนั้นทำไมจึงขี่มาได้อีกสองกิโลเมตร ฉะนั้น  ถ้าหากไม่ใช่  " เทียนเอินซือเต๋อ " แล้ว ยังจะมีข้าพเจ้าผู้น้อยอยู่จนถึงทุกวันนี้หรือ  เราปฏิบัติบำเพ็ญธรรมกัน ไม่มีขณะใดเลยที่ไม่ได้อยู่ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระบรรพจารย์ ไม่เพียงพระบุญญาธิการปรากฏสำแดงคุณให้เห็นว่าช่วยเรา จึงเรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนบารมีคุณพระบรรพจารย์ แม้ไม่ได้เห็นพระบุญญาธิการปรากฏสำแดงคุณช่วยเรา  ก็เรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระบรรพจารย์เช่นกัน เรามาอยู่ในอาณาจักรธรรม ทุ่มเทชีวิตทำงานธรรมะทุกวัน ถึงเที่ยงคืนจึงกลับบ้าน ขณะขับรถกลับบ้าน สัปหงกหลับในเป็นประจำ แต่ไม่เกิดอุบัติเหตุ อย่างนี้ไม่ใช่ " เทียนเอินซือเต๋อ " หรือ  ครั้งหนึ่ง ผู้น้อยจากไถจงจะไปจงฮว่า วันนั้นบรรยายธรรมไปสองรอบแล้ว ตอนค่ำจะต้องบรรยายที่จงฮว่าอีกหนึ่งรอบ ปรากฏว่าขับรถทั้ง ๆ ที่หลับไป ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวตื่นอีกที เกือบหนึ่งทุ่ม รถได้มาจอดอยู่ข้างทาง ไฟรถก็ยังเปิดอยู่ผู้น้อยเองยังแปลกใจว่า เรามาถึงที่นี่ได้อย่างไร ไม่รู้เลย  เรามาอยู่ในอาณาจักรธรรมหลายปีมานี้ ราบรื่นปลอดภัย... ไม่ใช่ " เทียนเอินซือเต๋อ "  แล้วจะเป็นอะไรได้ ฉะนั้น  จึงไม่ใช่เกิดเหตุแล้วผ่านพ้นได้ จึงจะเรียกว่า " เทียนเอินซือเต๋อ "  ภายหลังเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทิพย์ญาณ ผู้น้อยจงใจไปกราบทูลถาม พระองค์ตอบเพียงว่า " เจ้า้เอ๋ย !  เป็นหนี้บุญคุณไว้มากมายนัก " 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                           วิถีนรกในโรงพยาบาล

        ภายหลังที่ส่งเข้ารักษาด่วนที่โรงพยาบาล แพทย์กำลังจะให้เลือด เจาะเส้นเลือดที่ข้อมือ ยังไม่ทันเดินเลือดเส้นตรงนั้น มันต่อต้าน ปูดเป็นลูกโป่งขึ้นมาทันที เดินเลือดไม่ได้ อีกทั้งขณะนั้นเล็บดำแล้ว ตัวเย็นเฉียบแข็งทื่อเพราะเลือดในตัวหยุดไหลเวียน  พยาบาลถามแพทย์ว่า " ที่ท้ายทอยมีเส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งปูดออกมา จะฉีดเข้าเส้นเลือดนี้ตรงสู่หัวใจได้ไหม "  " ได้จัดการตามนั้น "  น่าจะเป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกา  จึงรู้สึกตัวชัดเจน หลายครั้งแพทย์ช่วยให้พ้นภาวะฉุกเฉิน เพราะผู้น้อยสลบอยู่จึงไม่ให้ยาสลบ ไม่ได้ฉีดยาชา คว้านแผลกันสด ๆ ที่รู้สึกตัวนั้นก็ด้วยความเจ็บปวด เป็นขณะที่ทำแผลไปได้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นแพทย์ถือคีมหนีบห้ามเลือดจะหนีบหลอดเลือดพอดี พอแพทย์เห็นผู้น้อยลืมตาโต ก็หยุดมือ บอกว่า  " คุณฟั่น หายใจลึก ๆ ซิ " แล้วคีมหนีบห้ามเลือดก็ทำงานต่อไปในคอหอยของผู้น้อย บอกได้ว่า มันเจ็บจนทนไม่ไหว สบลไปอีก เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ชักกระตุกแล้วฟื้นใหม่ ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกเชือดเนื้อ ถูกตัดหลอดเลือด เกือบเที่ยงคืน จึงจัดการกับแผลใหญ่เสร็จไปหนึ่งขั้นตอน  แพทย์บอกกับคนทางบ้านและผู้น้อยว่า " คุณฟั่นเคราะห์ร้ายแตยังโชคดี จุกปะทะข้างหน้าด้านขวา ปากแผลลึกเข้าไปประมาณสิบกว่าเซนต์ ใกล้กระดูกสันหลัง อย่างนี้เท่ากับถูกตัดคอไปแล้ว อาหญิงของผู้น้อยยืนอยู่ช้าง ๆ ไม่กล้าดู เพราะถ้าเปิดหนังตรงคอ  ก็จะเห็นกระดูกสันหลังสีขาว เนื้อสีแดง ปากแผลใหญ่พอที่กำปั้นจะซุกลงไปได้ แพทย์บอกว่า "คุณโชคดีที่หลอดลมไม่ขาด แต่หลอดเลือดดำที่คอขาดไป
หากหลอดเลือดแดงขาด ส่งโรงพยาบาลไม่ถึงสามสิบนาที เสียเลือดเกินกว่า 4,000 ซีซี จะช่วยยาก
หากหลอดลมขาด หัวแช่อยู่ในน้ำ หายใจไม่ออก ประมาณสามสิบนาทีก็จะเสียชีวิต ช่วยได้ยาก
        หลอดเลือดดำขาด กระแสเลือดจากหลอดเลือดดำส่งมาถึงสมองแล้วไหลออกไป เลือดดำที่ไหลเข้าสมองจะยิ่งน้อยลง นี่เป็นระบบป้องกันตัวอัตโนมัติของร่างกายเอง  ก่อนจะถึงโรงพยาบาล คุณเสียเลือดไปแล้ว ประมาณ 4,000 ซีซี หากเกินกว่านี้จะสลบไม่ตื่น โชคดีแท้ ๆ ถ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา ก็คือบรรพบุรุษคุ้มครองรักษา " แพทย์ว่าอย่างนี้  ผู้น้อยคิดว่าเป็นเพราะ " เทียนเอินซือเต๋อ " แน่นอน เพราะผู้น้อยเชื่อว่าบรรพบุรุษของเราคงไม่มีความสามารถขนาดนี้เป็นแน่  แพทย์บอกอีกว่า " หมอจะช่วยจัดการเรื่องแผลนี้ให้ แต่จะต้องรอดูผลอีกสามถึงสี่วันแล้วจึงจะผ่าตัดให้ เพราะแผลสกปรกมาก ตกลงไปในคูน้ำ ดินทรายเข้ามาหมด สามถึงสี่วันแล้วจึงจะผ่าตัดได้ ถ้าคุณอยากจะผ่าตัดทันที จะย้ายโรงพยาบาลก็ได้  ดังนั้น คืนนั้นจึงย้ายไปที่โรงพยาบาลซิ่วฉวน      ที่เมืองจังฮว่า        ก่อนหน้านี้ ผู้น้อยตื่นแล้ว แพทย์เข้ามาถึงจึงทักทายว่า " คุณฟั่น แผลของคุณสวยจัง " ทำไมจึงพูดอย่างนี้ เพราะเขาเป็นศัลยแพทย์ ถ้าบอกว่า แผลน่าเกลียดจังคือลึกแต่ไม่กว้าง แผลกว้างจัดการง่ายกว่า จึงว่าสวย  แพทย์บอกอีกว่า " คืนน้ดึกแล้ว พักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้จึงจัดการให้  คืนนี้ตรวจดูก่อน ตรวจดูก็คือ เอ็กซเรย์ตรวจสมอง ตรวจเลือด... ขณะเอ็กซเรย์ พยาบาลช่วยกันประคองมือ เท้าทุกส่วนไว้ แต่ลืมประคองส่วนหัว ฉะนั้น พอจับนั่งหัวก็หักพับ  ห้อยไปข้างหลังเหมือนคนหัวขาด พยาบาลตกใจ รีบประคองหัวขึ้นมา จึงหายใจได้  คืนนั้น ทำการตรวจสภาพร่างกาย ผู้น้อยไม่ได้หลับเลยทั้งคืน กลัวแทบตาย  วันรุ่งขึ้น จะทำการผ่าตัดแต่เช้า แพทย์ฝึกหัดสวมกางเกงยีนส์คนหนึ่งเข้ามาหาบอกว่า " คุณฟั่น แพทย์เจ้าของไข้ของคุณเป็นแพทย์รับเชิญประจำโรงพยาบาลซิ่วฉวนนี้ มาจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ที่ไทเป  ทางโรงพยาบาลของเรา ถ้าเป็นแพทย์รับเชิญจะหยุดวันเสาร์ - อาทิตย์ วันนี้พอดีเป็นวันเสาร์ แพทย์เจ้าของไข้ของคุณพัก การผ่าตัดจะต้องให้แพทย์เจ้าของไข้เซ็นอนุญาตวันนี้เราจึงจะผ่าตัดให้คุณไม่ได้  ท่านสั่งไว้ว่าให้ทำความสะอาดบาดแผล ซึ่งเราจะช่วยทำให้ " ขณะที่แพทย์เปิดปากแผล มันเจ็บมากจนสะดุ้งสุดตัว ทะลึ่งตัวขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ แต่ไม่มีกำลังประคองตัวได้ จึงหงายหลังล้มลงไปอีก คราวนี้ เลือดทะลักไหลท่วมตัว แพทย์ฝึกหัดเริ่มกดกริ่งฉุกเฉิน แพทย์พยาบาลกรูกันเข้ามาห้าถึงหกคน รีบใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้เลือดอีกทันที  ผู้น้อยเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เมื่อเครื่องช่วยหัวใจทำงาน ปอดก้เริ่มรับออกซิเจนฉุกเฉิน ... แพทย์ฝึกหัดคนนั้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาเพียงแต่เปิดผ้าเปิดแผลเท่านั้น ทำไมจึงหัวขาด  (คงไม่ได้อ่านประวัติผู้ป่วยมาก่อน ) เห็นนอนอยู่บนเตียงดี ๆ ไม่รู้ว่าเปิดผ้าปิดแผลจะรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาหน้าตื่นยืนงง ช่วยคนอื่น ๆ รีบช่วยเหตุฉุกเฉินเฉพาะหน้ากันชุลมุน แท้จริงแล้วผู้น้อยเองยิ่งทรมาน เพราะทั้งเครื่องช่วยหายใจ  เครื่องให้เลือด แรงอัดของมันทำให้กล้ามเนื้อกระตุกได้ แต่มโนวิญญาณยังชัดเจน รู้ว่าแพทย์เข้าใจปัญหาผิดสักครู่ เมื่อเห็นว่าการเต้นของหัวใจเริ่มปกติ จึงได้ถอดสายออก แล้วแพทย์ก็เริ่มทำแผล ผู้น้อยได้เห็นว่า การทำแผลครั้งนั้น ทั้งน้ำที่ชำระกับเลือดปนกันออกมา มันมีจำนวนมากถึงสองถังใหญ่  (อย่างน้อย 8,000 ซีซี) เท่ากับเปลี่ยนเลือดเก่าทั้งตัวไปจนหมดอย่างน้อย 4.000 ซีซี  ทำแผลเสร็จแล้วแพทย์ผู้นั้นบอกว่า " หมอแกรงว่ปากแผลจะติดกัน (จะต้องผ่าตัดในโพลงอีก) จึงต้องเอาสำลีถ่างปากแผลไว้  ผู้น้อยเห็นแพทย์ใช้สำลีมากมายอัดดลงไปในคอของผู้น้อยกว่าจะประจุให้เต็มปากแผล แพทย์ปิดปากแผล เสร็จก็กลับออกไป แพทย์ไปแล้ว ผู้น้อยตัวแข็งทื่อไปหมด พยาบาลเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าผ้าปูที่นอนให้ใหม่ ซึ่งบนเตียงเหนียวโชกไปด้วยเลือด         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่ 2 

                         วิถีแห่งเปรตในโรงพยาบาล

        ผู้น้อยคิดอยู่ว่า "ทำไมจึงไม่ให้ยาสลบ" มารู้ว่า เพราะแพทยืเจ้าของไข้ไม่ได้เซ็นชื่ออนุญาต ให้ยาสลบไม่ได้ แพทยืเจ้าของไข้ก็อยู่ระหว่างพักสุดสัปดาห์ เป็นเหตุให้ผู้น้อยต้องรับทุกข์ทรมานเป็น ๆ อย่างนี้ต่อไป แพทย์ฝึกหัดกลับออกไปแล้วสักพัก ประมาณแปดเก้าโมงเช้า พยาบาลเข้ามาบอกว่า "คุณฟั่นกินยานะ"ว่าแล้วก้เอายาเม็ดปฏิชีวนะเยอะแยะให้ผู้น้อยกินจะได้ไม่ติดเชื้อ ผู้น้อยคิดว่าถ้ากลืนได้ก็จะกลืน คิดไม่ถึงว่า พอยาเม็ดลงไปแค่ต้น ๆ หลอดอาหารเท่านั้น ก็ระคายคอต้องขย้อนอาเจียรออกมา  พยาบาลเห็นอย่างนี้จึงบอกว่า "ฉันลืมไป คุณบาดเจ็บในคอ" พยาบาลเพิ่งเปลี่ยนเข้าเวรเช้า ไม่รู้ว่าผู้น้อยบาดเจ็บสาหัสภายในลำคอ (ไม่ทันได้อ่านประวัติผู้ป่วยอีกเหมือนกัน) เหตุการณ์อย่างนี้ เราจะต้องเชื่อเลยว่า คนเรามีภาวะของดวงชะตา พอดวงตก ทุกอย่างที่ไม่ดีมันจะประดังกันเข้ามา แม้แต่พยาบาลก็ต้องผสมโรงซ้ำเติมกับเขาด้วย ภายหลัง พยาบาลได้เอายาเม็ดไปช่วยบดให้เป็นผงคิดว่าละลายน้ำกลืนคงได้ แต่พอกลืนลงกระเพาะเท่านั้นก้ไอออกมาอีก หลอดอาหารได้รับบาดเจ็บ อะไรผ่านคอก็จะระคายและไอต่อต้าน พยาบาลชักไม่พอใจ คิดว่าไอ้หนุ่มคนนี้เรื่องมาก ไม่ยอมกินยา ผู้น้อยไม่ใช่จะไม่กิน แต่มันกินไม่ลงจริง ๆ พยาบาลจึงว่า เอาละ ถ้าอย่างนั้นจะชุบสำลีซับไว้ที่ปาก ให้มันซึมซาบลงไป ยาปฏิชีวนะซึมซาบทางผิวหนังได้ จึงต้องใช้วิธีนี้  วันเสาร์ - อาทิตย์ ใช้วธีซึมซาบจนปากบวมเป่ง ร้อนในมาก ปากแตก ก็ยังทำต่อไปจนปากเปื่อย นี่คือการเปลี่ยนยาครั้งแรก  ประมาณเที่ยง แพทย์ฝึกหัดมาอีก ครั้งแรกที่ทำแผล ได้อัดสำลีเข้าไปมาก ครั้งนี้คงจะมาเอาสำลีออก แพทย์ฝึกหัดเปิดผ้าปิดแผล ผู้น้อยแกร็งมือจับลูกกรงเตียงไว้แน่นจนมือสั่น พอเปิดผ้าปิดแผลแล้ว เขาก้เริ่มค่อย ๆ คีบเอาก้อนสำลีออกมา สำลีก้อนบน ๆ คีบออกมาแล้ว ก้อนล่าง ๆ ล้วนซุ่มเลือด คนคีบก็ไม่รู้คีบมาหมดแล้วหรือยัง (ต้องนับจำนวนตอนอัดใส่และนับจำนวนเมื่อคีบออก ผีซ้ำด้ามปลอยลืมนับเสียอีก) เขาลองคีบลึกลงไปอีก พร้อมกับมองดูสีหน้าอาการของผู้น้อย ถ้าหากมีอาการเจ็บ แสดงว่าคีมคีบถูกเส้นประสาท ถ้าไม่เจ็บก็ถอนคีมออก เหล่านี้ ล้วนเป็นปัณหาเป็นไปตามเหตุการณ์ของเคราะห์กรรม  ขณะคีบ ข้างในรู้สึกเย็น ๆ เหมือนกินไอติม (คีบโลหะกระทบเส้นประสาท) พอดึงคีบออกมาก็เจ็บ เพราะดึงถูกเส้นประสาทเข้า เนื้อทั้งชิ้นถูกคีบออกมาล้างแล้วใส่เข้าไปใหม่ บางทีคีบเอาเส้นเลือดเข้า ถ้าคีบเส้นเลือดก้ไม่เจ็บ  ตอนนี้ ผู้น้อยจึงได้รู้จักความหมายของคำว่า "ชักเอ็นถลกหนัง โซวจินปอผี"  มันเป็นอย่างไร เมื่อก่อนเรากินเลือดเนื้อเขา ไม่รู้สึกอะไร แต่พอถูกเขาคีบเอาอย่างนี้จึงสำนึกเสียใจ ที่แล้วมาทำไมเราจึงใจดำอำมหิตอย่างนี้หนอ เลือดยังไหลปรี่ เหมือนที่เราเคยฆ่าไก่ ก็เป็นอย่างเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ  ทำไมเมื่อก่อนเราจึงไม่รู้สึกเจ็บ เพราะไม่มีจิตเยื้อใยสายสัมพันธ์เดียวกัน  จนกว่ตนเองจะต้องนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยจึงจะได้รู้  ในโรงพยาบาลเราจะมองดูได้ เพราะอุปกรณ์การแพทย์พัฒนายิ่งขึ้น อันที่จริงจะตายได้โดยเร็วอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชะลอการตายได้ ให้ต้องยึดการรับทุกข์ทรมานอยู่กับโรงพยาบาล  แม้คุณจะมีวาสนามหาศาล แต่แรงกรรมก็มหาศาลเช่นกัน  คนแต่ก่อนเป็นมะเร็ง จบสิ้นปณิธานทิ้งกายสังขารใช้กรรมไป แต่ปัจจุบัน จบสิ้นปณิธานได้ไหม ไม่ได้ การแพทย์ที่โรงพยาบาลก้าวหน้าขึ้นทุกที เคมีบำบัดลากสังขารยึดเวลาพร้อมกับรับทุกข์ทรมานต่อไป  จะดูนรก ไปดูได้เลยที่โรงพยาบาล ผ่าท้องควักหัวใจ มีหมดทุกอย่าง ไม่ใช่นรกแล้วจะเป็นอะไร ในนรก (โรงพยบาล) ก็มีพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ก็แพทยืและญาติ ๆ ของเราไงล่ะ ตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันจันทร์ คิดว่าจะได้ผ่าตัดแล้ว แต่ยังคงเป็นแพทย์ฝึกหัดมาเยี่ยมไข้ เขาขอโทษแล้วขอโทษอีก "แพทยืเจ้าของไข้จะต้องเดินทางมาจากไทเป วันนี้ วันที่ 28 กันยายน เป็นวันครู ท่านเป็นอาจารย์แพทย์ของมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ไทเป ฉะนั้น จึงเป็นวันหยุดของท่านอีกหนึ่งวัน เราจึงได้แต่ชำระแผลให้ไปก่อน" จนถึงวันที่สาม ขวัญกำลังใจของผู้น้อยมันแย่ถึงขีดสุดแล้ว จนถึงกับว้าวุ่นคิดเลอะเทอะไปบางครั้ง  ที่โรงพยาบาลมีรถเข็นเครื่องมือ เช่น กรรไกร คีม ขวดยา ชำระแผลต่าง ๆ เวลาเข็นแล่นไปได้เร็วมาก มีเสียงโลหะกระทบกัน พอผู้น้อยได้ยินเสียงนี้ ก็จะต้องคิดว่า "มาอีกแล้ว จะต้องเจ็บตัวอีกแล้ว" บางครั้งกลัวล่วงหน้าจนหมดสติไปก่อน ฉะนั้น จึงบอกวา ความเจ็บไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือความรู้สึกว่า "มันน่ากลัว" ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ "เจ็บ" แต่มันอยู่ที่ "กลัว" เพราะความ "กลัว" ทำให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง ฉะนั้น รู้ไหมว่าแรงกรรมอะไรน่ากลัวที่สุด แรงกรรมที่ทำให้เคว้งคว้างไงล่ะ ขณะวิกฤตไม่มีอะไรช่วยได้ ขณะเคว้งคว้าง ต้องการสิ่งนั้น ไม่พานพบได้  นี่ก็คือแรงกรรม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่ 2   

                  ความแยบยลจากการกำหนดจิต ณ ญาณทวาร

        ตอนนั้น  ผู้น้อยเหมือนคนประสาทเสีย เห็นแพทย์เดินผ่านก็ต้องร้องโอยเสียงดัง เห็นพยาบาลเดินผ่านก็ตกใจเป็นลม หวาดผวาจนสุดขีด จนกระทั่งถึงเที่ยงวันนั้น ท้องเกิดหิว อยากกิน แต่ก็กินไม่ได้  ขณะนั้น จึงทำให้ฉุกคิดได้ว่า "ฉันกินเจ"  นึกถึงกินเจแล้วนึกต่อไปได้ว่า "กินเจเพราะอะไร" นึกได้ว่า "เพราะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม" ไม่เพียงนึกได้ว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ยังนึกได้ว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ได้รับวิถีธรรมแล้ว คิดต่อไปอีกว่า ในเมื่อได้รับวิถีธรรมแล้วเราทำตัวอย่างนี้ ใช่หรือไม่ว่าเหลวเป๋ว ไม่มีพลังของธรรมะในใจเลย ถ้าหากแพทย์รู้ว่า เราเป็นศิษย์ผู้ศรัทธาต่ออี๋ก้วนเต้า มันจะทำให้ชื่อเสียงของอาณาจักรธรรมเสียหายไหม เขาจะว่าเอาได้ว่า "ดูซิ เป็นศิษย์ของอี๋ก้วนเต้า แต่ก็ยังร้องโอดโอยอย่างนี้เลย"  คิดดังนี้แล้ว เกิดสงสัยว่าตนเองเป็นผู้ทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของอาณาจักรธรรมใช่ไหม จึงเริ่มตื่นตระหนกใจ คิดต่อไปอีกว่า "ในเมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ผู้บำเพ็ญควรยิ่งจะต้องยิ่งบำเพ็ญยิ่งอยู่เย็นเป็นสุข ยิ่งมั่นคง แต่ไฉนเราจึงได้รับความทุกข์ทรมานอย่างนี้"  ความทุกข์ทรมานนี้ หนักหนาสาหัสมาก อยากมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้จะอยู่ได้อย่างไรอยากตายก็ตายไม่ได้อีก ทั้งความทุกทั้งหมดล้วนเกิดจากน้ำมือของผู้อื่นทำแก่เรา ทรมานเรา ไม่ใช่เราทรมานตนเอง ต้องรับไว้เอง แต่ผู้น้อยไม่รู้เลยว่า ตนเองได้ทำผิดอะไรไว้ จึงต้องได้รับทุกข์เวทนาสาหัสสากรรจ์อย่างนี้  คิดดังนี้แล้ว ก็อธิษฐานเงียบ ๆ อยู่ในใจว่า "ถ้าแม้นข้าพเจ้าเป็นหนี้พวกท่านไว้ หลายปีที่ร่วมงานในอาณาจักรธรรม หากมีกุศลผลบุญใด ขออุทิศให้พวกท่านทั้งหมด ขอพวกท่านจงปล่อยข้าพเจ้าไปสักคนหนึ่งเถิด"  จากนั้น ก็คิดได้อีกเรื่องหนึ่งว่า "เราไม่ใช่เป็นเพียงศิษย์ธรรมกาลยุคขาว เรายังได้รับไตรรัตน์ เป็นสิ่งวิเศษสุดสำหรับศิษย์ธรรมกาลยุคขาวอีกด้วย"  คิดอีกว่า "เดี๋ยวเราจะใช้ไตรรัตน์"  สุดท้าย ตอนเที่ยงแพทย์ฝึกหัดมาอีก ผู้น้อยคิดจะใช้ไตรรัตน์อยู่ตลอดเวลา แต่เป็นเพราะถูกมัดมือไว้ ไม่อาจอุ้มลัญจกรได้ จึงได้แต่คิดว่า กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร หมอรู้ว่าผู้น้อยหวาดกลัวมาก เพราะทุกครั้งเมื่อหมอเดินมา ผู้น้อยจะร้องเสียงหลง ฉะนั้น จึงยืนคอยอยู่ข้าง ๆ คอยจนอารมณ์ของผู้น้อยค่อยผ่อนคลายแล้ว จึงค่อยเดินเข้ามาหา มิฉะนั้น พอตกใจเกร็งตัว เลือดก็จะไหล สักครู่ เมื่อเห็นว่าผู้น้อยไม่ขยับ จึงเริ่มลงมือ ผู้น้อยมองแววตาของหมอ พอจะรู้ความนัยว่า "ยังไม่รีบเตรียมใจ หมอจะลงมือแล้วนะ"  เขาเริ่มลงมือใช้คีมล้วงลงไป ผู้น้อยก็กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร  ท่านทั้งหลายลองทายดูซิว่า ขณะที่เขาลงมือคีบนั้น ผู้น้อยกำหนดจิต ณ จุดญาณทวารแล้วยังจะรู้สึกเจ็บไหม ใครที่บอกว่าไม่เจ็บ อีกประเดี๋ยวจบการบรรยายแล้ว ให้เขากำหนดดูบ้างทุกคนช่วยกันตีดูซิว่าจะเจ็บไหม  ไตรรัตน์ของเรา แท้จริงแล้วไม่ใช่คุณสมบัติที่จะทำให้ใครไม่เจ็บได้ ไตรรัตน์โดยแท้เพื่อยืนยันสิ่งที่มีจริง คือจิตญาณ ที่อาจพ้นเกิดตาย คืนต้นกำเนิดเดิมได้ ไม่ใช่ใช้เพื่อไม่ให้เจ็บ ไม่ใช่ให้ไม่มีความรู้สึก แต่เพื่อทำให้เรารู้ว่า อะไรเรียกว่า "เจ้าบ้าน" ชีวิตจิตญาณตน  ขรณะนั้น  พอผู้น้อยใช้ไตรรัตน์  หมอลงมือคีบสำลีที่อัดอยู่ภายในช่องแผลออก ความรู้สึกยังคงเจ็บ แต่ไม่เจ็บเหมือนก่อน ครั้งก่อน ๆ พอเจ็บก็ออกแรงเกร็ง พอออกแรงเกร็ง ประสาทก็รัดตัว รัดมากเกินขนาดก็เกิดการชักกระตุก ชักกระตุกแล้วก้หมดสติไป ไม่รู้อีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งเจ็บทั้งมึนงง  พอได้สติตื่นขึ้นก็ออกแรงเกร็งอีก  แต่ครั้งนี้ กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร รู้ว่ากำลังเจ็บ แต่ก็ผ่อนคลายยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ต่อต้าน ยอมรับการเปลี่ยนยาที่ประจุลงไปใหม่ได้ ฉะนั้น จึงบอกได้ว่า ความเจ็บนั้นเป็นอย่างเดียวกัน แต่ความรู้สึกต่างกัน เหมือนตัวเองยืนดูภาพจากโปรเจ็คเตอร์ อยู่ข้าง ๆ  (พูดถึงผู้ฟังบรรยาย)  นี่กำลังพูดถึงผู้น้อยเองที่ถูกจัดการ ไม่ใช่ท่านทั้งหลายถูกจัดการ แต่หน้าตาที่แสดงออกของทุกท่าน (ที่ฟังอยู่) กลายเป็นน่ากลัวมาก เพราะอะไร เพราะเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงนั้น  ฉะนั้น ความรู้สึกของผู้น้อย แม้ว่าตนเองจะถูกลงมือ แต่กลับเหมือนยืนอยู่ข้าง ๆ ดูตนเองถูกลงมือ ภาวะทั้งสองต่างกันมาก  ครั้งก่อน ๆ พอทำแผลเสร็จผลอยางหนึ่งที่เห็นคือ ทั้งเลือดทั้งน้ำที่ชำระแผลจะต้องมีจำนวนถึงสองหรือหนึ่งถังใหญ่ แต่ครั้งนี้กำหนดจิต ฯ  เลือดที่ไหลในภายหลังไม่ถึงหนึ่งถ้วย ต่างกันมากทีเดียว หมอถามว่า "ไม่เจ็บเลยหรือ"  ผู้น้อยตอบว่าเจ็บแน่นอนอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ "ทนรับ"  แต่ผม  "ยอมรับ"  ถ้าบอกว่าไม่เจ็บ มันเป็นไปไม่ได้ เจ็บแน่ นอกจากจะใช้ยาสลบ  ฉะนั้น เราจะต้องจดจำไว้ให้ดี ไตรรัตน์ไม่ใช่ให้เราไม่เจ็บ แต่เป็นสิ่งประจักษ์ชัดจิตญาณตน รู้ "เจ้าบ้าน"  เจ้าตัวจริง  คุณประโยชน์นี้ยิ่งใหญ่กว่าการช่วยให้ไม่เจ็บอีกมหาศาลนัก  วันอังคาร หมอมาแต่เช้า พ่อของผู้น้อยด่าว่าหมอ ด่าว่าอย่างฟังไม่ได้เลย หมอก็ตกใจ ได้แต่บอกว่่า  "เอาละ เดี๋ยวจะจัดการให้คุณเป็นรายแรกเลย"  ดังนั้น  ผู้น้อยจึงเป็นผู้ป่วยผ่าตัดรายแรกของวันนั้น  มีการตรวจสอบของเส้นสายการทำงานต่าง ๆ ผู้น้อยได้รับคำถามว่า "ได้ยินเสียงต๊อก ๆ ไหม มือชาไหม"  ตอนนั้น  เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับเรา จึงกลัว เพราะเป็นคนแรก จึงต้องถูกทดสอบเครื่องไม้เครื่องมือ ในแผ่นป้ายผู้ป่วยเขียนว่า "ผ่าตัดเวลา 8.30 น."  ฉะนั้น  ครึ่งชั่วโมงก่อนผ่าตัดนี้ ผู้น้อยจึงตื่นเต้นหวาดกลัว พอถึงเวลาจะลงมือผ่าตัด พอได้ยินคำถามว่า "คุณฟั่น ได้ยินไหม"  เท่านั้น แล้วก็สลบไป  จนกระทั้งมีเสียงดังก้องหู จึงตื่นขึ้นมาทันที พยาบาลพูดว่า " คุณฟั่น ตื่นแล้วนะ ยินดีด้วย ผ่าตัดได้รับความสำเร็จ"  ใจของผู้น้อยคิดว่า "เบาสบายกว่าที่ล้วงทำแผลเปลี่ยนยาเสียอีก"  แต่พยาบาลบอกว่า "คุณอย่าเห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ นะ ตอนนี้บ่ายสี่โมงแล้ว" นั่นคือใช้เวลาผ่าตัดไปห้าชั่วโมง ตั้งแต่ 8.30 น.  จนถึง 13.30 น.   คงจะเพิ่งถูกเข็นรถออกจากห้องพักฟื้นเมื่อประมาณบ่ายสี่โมงนี้เอง พยาบาลบอกว่า "คอของคุณถูกชนจนเละ  จึงต้องเปิดหนังทั้งหมด ต้องตัดเส้นเลือดที่หัวใจด้านนี้  ดูดไขมัน  ตัดเนื้อกลางหลังมาปะที่หน้าคอ"    อย่างนี้  หน้าคอของผู้น้อยจึงถูกเย็บไปสองร้อยห้าสิบสองเข็ม  นับเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ได้รับความสำเร็จ พยาบาลจึงพูดแสดงความยินดีไม่หยุดปาก  ผู้น้อยถูกส่งตัวเข้าไปในห้องผู้ป่วย  นอนอยู่บนเตียง นึกถึงเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องทำ ที่เคยทำกันมา เมื่อเราภาวนาขอต่อเบื้องบนแล้ว สำเร็จตามนั้น จะต้องกราบขอบพระคุณ  "เซี่ยเอิน"  ใจของผู้น้อยจึงกังวลกับการขอบพระคุณ พอดีเพดานเหนือเตียงที่ผู้น้อยนอนอยู่ มีโคมไฟครอบลักษณะกลม ผู้น้อยจึงสมมุติให้เป็นพุทธะประทีปของ "เหลาหมู่"  สมมุติว่า ขณะนี้ ผู้น้อยกำลังอยู่ในตำหนักพระ ผู้น้อยตั้งจิตสำนึกขอบพระคุณ  "เซี่ยเซี่ยหมิงหมิงซั่งตี้อี้ไป่โค่วโสว"  พระแม่องค์ธรรมหนึ่งร้อยกราบ  แต่ยังนับได้ไม่ครบร้อยก็หลับไปเสียก่อน เมื่อเจ้ากรรมนายเวรมาถึงตัว  จะนอนไม่หลับ  จะต้องรอจนกว่าถูกเขาสอบกรำจนหนำใจแ้ล้ว  ถูกเขารังควานจนพอใจแล้ว จึงจะหลับสบายได้  เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันนั้น นอนไม่หลับเลยรู้ตัวทุกอย่าง พยายามจะย้อนคิดว่า เมื่อก่อนเราเคยทำความชั่วร้ายอะไรบ้างหรือเปล่า คิดจนหลับไปวูบหนึ่งแต่ก็ต้องตกใจตื่นอีก เวลาที่เจ้ากรรมนายเวรมาถึงตัวนั้น มันหนักหนาจริง ๆ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                          ตอนที่ 3

                   ติดตามพระองค์จอมชันษาเจ้าทักษิณาลัยท่องสวรรค์

        ขณะหลับอยู่นั้น ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร  มีใครมาตบข้างเตียงนอน ร้องว่า "ลุกขึ้น ลุกขึ้น"  จึงลืมตาขึ้นเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ปลายเตียง เรียกให้เข้าไปหา ผู้น้อยมองดู ต้องไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะใบหน้ามีแสงเรื่อเรือง ผู้น้อยรู้ว่าไม่ใช่คน แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ท่านพูดว่า "จะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง จะไปไหม" ผู้น้อยตอบว่า "ดีครับ ๆ "  ความรู้สึกบอกตัวเองว่าท่านคืือ พระองค์จอมชันษาเจ้า หนันจี๋เหล่าเซียน - อง  พระองค์โปรดว่า "จะไปก็กอดไม้เท้าข้าไว้ให้ดี จะไปละ"  แม้ผู้น้อยจะลอยออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว แต่ก็ยังเห็นสภาพในห้องได้ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก เนื่องจากการเหินฟ้าของผู้น้อยเป็นไปอย่างไม่ค่อยสบายตัว ในใจจึงคิดว่า  "พระองค์ได้โปรด กระผมไม่ไปแล้ว"  ปรากฏว่าท่านรู้ จึงกรอกพลังอุ่นเข้ามาให้  เนื้อตัวจึงเกิดความสมดุลคงที่ ระหว่างทางเหินฟ้า มาหยุด ณ ที่กว้างแห่งหนึ่ง พระองค์จอมชันษาเจ้า ฯ  จูงมือผู้น้อยเดินไป ผ่านขั้นบันได ผ่านเข้าประตูบานหนึ่ง  ปรากฏหนังสือสามตัวข้างหน้า คือ "ทักษิณาทวาร          หนันเทียนเหมิน"  สองข้างประตูมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ฉลองพระองค์ชุดขาว สวมเกราะ ดูออกว่าน่าจะเป็นแม่ทัพ ไกลออกไปหน่อย เห็นผู้คนมากมายเข้าแถวรอลงทะเบียน  ตอบไตรรั้ตน์  ตอบคำถามอื่น ๆ  พอผ่านเลยทักษิณาทวาร พระองค์จอมชันษาเจ้า ฯ ก้พาผู้น้อยเหินฟ้าต่อไป แต่ผู้น้อยมีข้อข้องใจ พระองค์จึงถามผู้น้อยว่า "เจ้ารู้ว่าที่ผ่านมาเดี๋ยวนี้นั้นคือที่ไหนไหม"  ผู้น้อยตอบว่า "ทักษิณาทวาร"  ผู้น้อยตอบแล้วก้ดีใจ เพราะอะไร เพราะผู้น้อยคิดว่า "การบำเพ็ญของเรา ถ้าไม่ต้องตอบไตรรัตน์จะผ่านทักษิณาทวารได้" ผู้น้อยจึงจงใจทูลถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "เราจะผ่านทักษิณาทวาร จะต้องตอบไตรรัตน์มิใช่หรือขอรับ ถ้าเช่นนั้นทำไมกระผมจึงไม่ต้อง" พระองค์ยิ้ม ไม่ตอบ แต่ชี้ที่พระองค์เอง ความเป็นจริงก็คือ เป็นเพราะพระองค์นำพาเข้ามาแน่นอน ทหารฟ้า แม่ทัพฟ้าจึงไม่เอาตัวผู้น้อยไปตอบไตรรัตน์ ก็เหมือนทางโลก เมื่อเราจะเข้าทำเนียบประธานาธิบดี พอดีมีประธานาธิบดีมาจูงมือเราเข้าไปในทำเนียบ คงไม่มีตำรวจรักษาการนายไหนรั้งตัวเราไปตรวจสอบบัตรประชาชนหรอก ถูกไหม?  อย่างเดียวกัน เรากลับไปเบื้องบน คือเซียนพุทธะพาเรากลับขึ้นไป แน่นอนก็จะไม่ต้องตอบคำถามตรวจสอบความถูกต้องเหล่านั้น ผู้น้อยเป็นผู้อาศัยพระบารมีคุณอย่างเดียว  ภายหน้า เรากลับคืนเบื้องบน ล้วนจะต้องตอบไตรรัตน์ ถ้าเราเป็นผู้บำเพ็ญจริง ก็จะไม่เพียงตอบไตรรัตน์ที่เป็นนามรูป ญาณทวาร รหัสคาถา ลัญจกรเท่านั้น  ควรจะตอบความชัดจริงของไตรรัตน์ที่เป็น "กุศลบุญ  คณธรรม  ปัญญาธรรม  เมตตากรุณาธรรม"  ที่ยิ่งกว่า ขอเพียงเราบำเพ็ญจริง เคี่ยวกรำจริง ภายหน้าจะไม่ต้องเป็นห่วงอย่างเด็ดขาดว่า จะถูกกั้นอยู่ภายนอกทักษิณาทวาร  บางคน ที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาชั่วชีวิต พอสูงวัย ความจำไม่ดี ถ้าอย่างนั้นจำไตรรัตน์ไม่ได้ ก้ไม่ได้ผ่านทักษิณาทวารนะซิ ใช่ไหม แท้ริงไม่เป็นเช่นนั้น เบื้องบนจะพิจารณาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแน่นอน  ระหว่างที่เหินฟ้าต่อไป พระองค์จอมชันษา ฯ  ทรงเมตตากรุณามาก โปรดว่า  พรหมโลก เบื้องฟ้ารวมมีห้าทวาร มีชื่อเป็น "ออก  ตก  ใต้  เหนือ  กลาง" บูรพาทวาร  ผู้บำเพ็ญสำเร็จล้วนเป็นตรีเทพพิทักษ์มหาราช ยังมีผู้ที่งดงามด้วยอักษรศิลป์ เช่น สามคุณ (ซันไฉ)  ส่วนใหญ่โดยประมาณมาจาก "พระปราสาททักษิณารัศมี  หนันฮว๋ากง"  ทางบูรพาทวาร   สำหรับยุคแดง  ทั้งพระสงฆ์ นักพรต  บาทหลวง  (ศาสนาคริสต์)  ล้วนกลับสู่ประจิมทวาร ภายหลังเมื่อยุคนี้ผ่านไปแล้ว ประจิมทวารก็จะไม่มี  ผู้บำเพ็ญในยุคนี้ มีประตูเดียวที่เปิดกว้างให้คือ ทักษิณาทวาร  ไม่ว่าจะบำเพ็ญในศาสนาใด จะเป็นศาสนาปราชญ์  พุทธศาสนา  เต๋า  คริสต์  อิสลาม  จะกลับคืนพรหมโลกเบื้องสูง ยังจะต้องผ่านประตูทักษิณาทวารนี้ก่อน  ถ้าเราบำเพ็ญในพุทธศาสนาจริง ๆ ผ่านทักษิณาทวารแล้ว ก้กลับไปยังพุทธเกษตรประจิมทิศ พุทธเกษตรไม่ใช่หมายถึง พระอมิตาภะ เท่านั้นที่ประทับอยู่ ที่นั่นคือวิสุทธิเกษตร เป็นแดนบริสุทธิ์หมดจด แท้จริงก็คือ พรหมโลกเบื้องสูงทั้งนั้น เป็นส่วนหนึ่งของพรหมโลกเบื้องสูง  เบื้องบนอุดรเป็นสังกัดใดเล่า นั่นก็ึคือ ฝ่ายอัสนีบาต  ฝ่ายวายุ  ฝ่ายพยัคฆ์  ฝ่ายมังกร  จอมเทพพิทักษ์ธรรมทั้งหลาย  ทหารฟ้า  แม่ทัพฟ้า  ล้วนอยู่ ณ เบื้องฟ้าอุดร   รวมทั้งจอมราชบุตรนาจา ผู้พี่ชาวธรรม  ก็อยู่ที่เบื้องฟ้าอุดร  ขุนพล  แม่ทัพฝ่ายยุทธ ล้วนอยู่ที่เบื้องฟ้าอุดร  ยังมีเบื้องฟ้ากลาง ก็คือเหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายทั่วไปที่บำเพ็ญสำเร็จ  ผู้สำเร็จระดับนี้ก็ต้องผ่านทักษิณาทวารด้วยเช่นกัน  ฉะนั้นจึงกล่าวว่า "บัดนี้ มีประตูอยู่หนึ่งเดียว คือ  ทักษิณาทวาร  หนันเทียนเหมิน"  หมื่นศาสน์พากันก่อเกิดเฟื่องฟู ก็ยังคงจะต้องกลับคืนความเป็นหนึ่งเดียว     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                          ตอนที่ 3

                            มังกรทอง  มังกรมรกตต่างทำหน้าที่

        เหินฟ้าต่อไปอีก ทันใด พระองค์จอมชันษา ฯ ก็หยุดลง บอกว่า "ถึงแล้ว" ผู้น้อยก็มองเห็นว่าเป็น "ศาลจารึกบารมีคุณ  กงเต๋อฉือ"  ที่นั่นมีมังกรองค์หนึ่ง พระองค์จอมชันษา ฯ บอกว่า "ท่านเป็นมังกรพิทักษ์ธรรม ศาลบูชาบารมึคุณที่พรหมโลกเบื้องสูงนี้ ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ธรรมหนอ"   มังกรอีกองค์หนึ่งสีมรกต  ทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบมิจฉาดำริ ความคิดมิชอบของพวกเราชาวธรรม  ใจชั่ว  คิดชั่ว  ใจบาปทำบาป  นั่นก็คือโทษผิดบาป  ผู้น้อยต้องสะท้านงันต่อสายตาของมังกรมรกต องค์นี้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แววตานั้นเหมือนจะบอกกับผู้น้อยว่า "ไม่ต้องมาทำเสแสร้งอีก โทษผิดบาปของเจ้าเรารู้หมด" เห็นแล้วทำให้คร้ามขยาดยิ่งนัก  พระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "ตามเข้ามา"  ตามเข้าไปแล้ว พระองค์โปรดอธิบายว่า "เราทุกคนได้รับธรรมะ ล้วนต้องถวายใบคำขอ "สาส์นมังกรฟ้า   หลงเทียนเปี่ยว"  คำว่า "หลง  คือมังกร หมายถึงอะไร แสดงถึงอิน - หยาง  ทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบบาปบุญคุณโทษของเรา  คำว่า "เทียน"  แปลว่า "ฟ้า" แสดงถึงอะไร  ผ่านประตูศาลจารึกบารมีคุณ ภายในจะเป็นผังฟ้า "เทียนปั่ง"  คำว่า "เปี่ยว" คืออักษรสานส์ที่ทูลถวาย  "หลงเทียนเปี่ยว" จึงหมายถึง "สานส์มังกรฟ้า"  (ไทยเราใช้คำให้เข้าใจง่าย ๆ "สานส์เทวนาคราช หรือ ใบคำขอ)  นั่นก็คือ กระดาษที่จารึกชื่อผู้ขอรับธรรมะในโลก  ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ณ  พรหมโลกเบื้องบนมีประจักษ์หลักฐานแท้จริงของหลงเทียนเปี่ยว "สานส์มังกรฟ้า หรือ สานส์เทวนาคราช ใบคำขอ ที่ถวายชื่อขึ้นไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                     ตอนที่  3

                            สามชีวิตเมื่อสามร้อยปีก่อน

        หลังจากเกิดอุบัติเหตุเรื่องรถแล้ว ที่แคลงใจมากคือ "ฉันตั้งใจร่วมงานธรรมถึงเพียงนี้ ทำไมยังเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ ถูกทดสอบใหญ่ถึงเพียงนี้ การทดสอบขนาดนี้ ทำให้ฉันทรมานอยู่กับภาวะอยากมีชีวิตอยู่ แต่ขอไม่ได้ อยากตายไม่อาจตาย"  ผู้น้อยกังขาที่สุดก็คือข้อนี้ พระองค์จอมชันษาทักษิณาลัยโปรดว่า "เจ้าไม่ต้องแคลงใจ สิ่งที่เกิดล้วนเป็นเหตุต้นผลตาม  รถเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ เจ้าสร้างเหตุไว้ที่จีนแผ่นดินใหญ่เมื่อสามร้อยปีก่อน เจ้าเป็นลูกชายชาวประมงผู้ยากจน เติบใหญ่แล้วก็ชักชวนเพื่อนร่วมหมู่บ้านสามคนออกไปผจญภัยหาเงิน เนื่องจากไม่มีความรู้ความสามารถ ทำเป็นอย่างเดียวคือ ขโมย  แย่งชิง  ล่อลวง  ทำแต่เรื่องเลวร้าย พอได้เงินมาก็ลืมตัว ใคร่จะได้ล้างมือในอ่างทองคำ อาวุโส (ผู้ฟัง)  โปรดพิจารณา คนที่ทำความชั่วร้ายมาทุกอย่างแล้วนั้น เมื่อคิดจะเลิก แต่ติดอยู่ที่พรรคพวกจะร่วมแบ่งปันผลงานที่ทำมาด้วยกัน อีกทั้งกลัวเขาจะหักหลัง  เพราะเกิดความคิดนี้ ผู้น้อยจึงเกิดจิตคิดชั่วร้ายว่าจะต้องฆ่าปิดปาก  เที่ยงคืน  ระหว่างกลับหมู่บ้าน จึงฆ่าเพื่อนไปสองคน หุบเงินทองทั้งหมดไว้คนเดียว กลับมาอยู่หมู่บ้านตน เนื่องด้วยได้เงินทองอำมหิตมามากมาย เกิดความหวั่นไหว จึงได้สละทรัพย์สร้างสะพาน ทำถนน ช่วยสร้างที่อยู่อาศัย และให้เงินแก่ครอบครัวของสามคนที่ถูกผู้น้อยฆ่าตาย ดังนั้น  คนโฉดชั่วร้ายจึงกลายเป็นนักบุญด้วยปากของชาวบ้านไป   อยู่มาจนอายุได้ห้าสิบกว่าปี  สุดท้ายไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด กินไม่ได้ นอนไม่หลับทุกวัน พอหลับตาก็เห็นคนมาตามล่า เห็นตัวเองตกลงไปในเหว น่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ผู้ใหญ่บ้านห่วงใยมาถามไถ่ให้กำลังใจ เมื่อรู้อาการแล้ว ผู้ใหญ่จึงแนะนำว่า "มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง ฌานบารมีแก่กล้าจะช่วยแก้ไขได้"  ผู้น้อยในชาตินั้นจึงเดินทางไป เมื่อไปถึง หลวงพ่อถามเป็นคำแรกว่า "ในชาตินี้ไปทำผิดคิดร้ายอะไรมา"  ผู้น้อยจำใจสารภาพว่า ชิงทรัพย์ ฆ่าคน  หลวงพ่อว่า "นี่คือกรรมตามสนองทันตาเห็นในชาตินี้หนอ"   "กระผมจะแก้กรรมได้อย่างไร"  "จะต้องรีบฉุดช่วยวิญญาณ สร้างบุญกุศลแก่เขา"  "สร้างได้อย่างไร"  "จัดประชุมธรรม ทำพิธีปรกแผ่ อุทิศกุศลทั้งหมดสามครั้ง"  พระสวด แจกทาน ปล่อยปลา เต่า ตะพาบ จำนวนมากลงแม่น้ำ ฯลฯ  (สมัยนั้นใช้วัวควายไถนา จึงน้อยนักที่จะฆ่ากิน ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่ต้องขอซื้อจากปศุสัตว์ โรงฆ่ามาปล่อยให้ชาวนาเลี้ยงไว้จนตายเอง)  ตอนนั้น ผู้น้อยยังไม่วางใจ จึงเรียนถามต่อไปอีกว่า "จัดพิธีอย่างนี้สามครั้งแล้ว ใช่หรือไม่ว่าหมดหนี้หมดกรรมกับพวกเขาแล้ว"  หลวงพ่อตอบว่า "ไม่ ที่ตอบสนองคือชาตินี้ สวดมนต์ประชุมธรรม ทำิพิธีฉุดช่วยได้ผลเพียงให้กรรมตามสนองช้าลงสักหน่อยเท่านั้น ต้นตอไม่อาจตัดขาดได้  เจ้าต้องบำเพ็ญหนอ เมื่อภายหน้าได้มรรคผล จึงจะตัดเหตุและผลกรรมได้"  สุดท้าย  หลวงพ่อให้ผู้น้อย ถือศีลกินเจ สวดมนต์ไหว้พระ ผู้น้อยจึงเริ่มบริจาคทรัพย์สร้างวัด จากนั้นคือเดินสู่หนทางผู้บำเพ็ญ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                   ตอนที่  3 

                     ผู้นำพารับรองจากสามร้อยปีก่อน

        ย้อนกลับไปดูเพื่อนร่วมทำชั่วสองคนที่ถูกผู้น้อยฆ่าตายนั้น เขาตกนรกไปรับทุกข์ทรมาน ถูกตัดสินสามร้อยปี ส่วนคนที่ถูแขวนคอตาย วิญญาณอาฆาตไม่คลาย กลายเป็นผีร้ายสิงสู่อยู่ข้างบ่อขุด วิถีของผีร้ายนั้นการตัดสินโทษคือ ไม่มีกำหนด เหมือนนรกอเวจีที่จะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีก จะต้องรอจนกระทั่งบุญปัจจัยมาถึง มีผู้ชี้ทางสว่าง กล่อมเกลาใจให้เปลี่ยนแปลง จึงจะมีโอกาส สองคนแรกถูกลงโทษทรมานในนรกครบกำหนดสามร้อยปีแล้ว ปลดปล่อยออกมา สิ่งแรกที่วิญญาณทั้งสองจะทำคือ แก้แค้น  แต่จะหาตัวผู้น้อยได้อย่างไร  ทั้งสองไปตามหาที่หมู่บ้าน เมื่อสามร้อยปีดูก่อน เฝ้ารอคอยค้นหาไปทุกชาติวาจะมาเกิดใหม่หรือยัง สุดท้ายตามมาพบผู้น้อยในชาตินี้ เมื่อผู้น้อยอายุได้สิบแปดปี อันที่จริงผู้น้อยจะต้องใช้หนี้เขาด้วยชีวิต แต่พอดีเมื่ออายุได้สิบแปดปีก็ได้พบกับหลวงพ่อผู้มีพระคุณเมื่อสามร้อยปีก่อน  ท่านบำเพ็ญจนบรรลุอรหัตผล  แต่เนื่องจากอาณาจักรธรรมยุคนี้มี "เทียนมิ่ง" เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างมหาบุญวาระปรกโปรดสามโลก จึงมาถือกำเนิดใหม่ใกล้ชิดอาณาจักรธรรม ร่วมงานสร้างสรรคปรกโปรดเต็มกำลังเป็นเจี่ยงซือ  ท่านก็คือผู้ที่มาเคาะประตูห้องอย่างจริงจัง คือนักศึกษารุ่นพี่คนนั้น ท่านเป็นอิ่นซือ  อิ่นซือของผู้น้อยในชีวิตนี้ก็คือ พระสงฆ์ผู้มีบุญสัมพันธ์ต่อกันมาเมื่อสามร้อยปีก่อน  เป่าซือ  ผู้รับรองของผู้น้อยเป็นใครหรือ ท่านก็คือผู้ใหญ่บ้านเมื่อสามร้อยปีก่อน  ชาตินี้ก็คือนักศึกษารุ่นพี่ที่ตบโต๊ะคนนั้น  ดังนั้น  จึงกล่าวว่า ผู้น้อยมีบุญสัมพันธ์กับอิ่นเป่าซือมาเจ็ดชั่วอายุคน มันไม่ใช่ง่ายเลย เราจะต้องศึกษาอิ่นเป่าซือให้ดี หากอิ่นเป่าซือถดถอยออกจากทางธรรมจะต้องช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้ดี  สวดมนต์ ท่องบ่นพระคัมภีร์ มีบุญบารมีแน่นอน แต่ที่สำคัญคือ จะต้อง "อุทิศ"  เอาแต่สวดท่องแต่ไม่อุทิศส่วนกุศล เท่ากับใจปิด ไม่กล้าเปิดกว้าง ไม่เผื่อแผ่ให้ คนที่ค่อนข้างหมกมุ่นขุ่นใจ เราส่งเสริมให้เขาสวดมนต์ ท่องบ่นพระคัมภีร์ แต่เราลืมบอกให้เขาสร้างบุญอุทิศส่วนกุศลด้วย หากไม่อุทิศส่วนกุศล ไม่แผ่เมตตา ปมใจไม่คลาย ผูกมัดไว้ จะไม่ค่อยเห็นผล หากอุทิศส่วนกุศล กิเลสวิสัย ความหมกมุ่นขุ่นใจก็จะลดลง  ดังกล่าวข้างต้นคือ เหตุต้นผลตามที่ผู้น้อยต้องประสบอุบัติเหตุ เพราะเคยฆ่าเขา ชาตินี้จึงต้องรับกรรมตามสนอง

Tags: