collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรัชญาเมิ่งจื่อ : ปราชญ์เมิ่งจื่อ : เริ่มเรื่อง  (อ่าน 68405 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนต้น

        ปราชญืเมิ่งจื่อว่า   "เจ้าเมืองปฏิบัติตอเมธี หากเอื้อเฟื้อแต่อาหาร ไม่ถนอมรัก จะเหมือนเลี้ยงหมู แต่หากได้แต่ถนอมรัก ไม่ให้เกียรติ ก็จะเหมือนนกเลี้ยงหรือสัตว์สวยงาม  จิตใจที่ให้เกียรติ จะต้องมีอยู่ตั้งแต่ก่อนมอบสิ่งกำนัล แแต่หากให้เกียรติเฉพาะหน้า ไม่มีจริงใจ เมธากัลยาณชนนั้น จะไม่รออยู่จนถึงเวลาเสแสร้งให้เกียรติหรอก" 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คนที่ปรากฏบุคลิกภาพของคุณธรรมอยู่เสมอนั้น  คือผู้ที่ฟ้าประทานจิตวิสัยจากฟ้ามาแต่เดิมที แต่ทว่า จะมีแต่อริยชนเท่านั้น ที่
ปฏิบัติตามจิตวิสัยจากฟ้าได้อย่างแท้จริง"

สิงเซ่อ เทียนซิ่งเอี่ย เอว๋ยเซิ่งเหยิน หยันโฮ่วเขออี่เจี้ยนสิง

        พระเจ้าฉีเซวียนอ๋วง  ใคร่จะเปลี่ยนแบบแผน ให้ลดเวลาการไว้ทุกข์ลง  ขุนนางกงซุนโฉ่ว  ศิษย์ครูปราชญ์มาเรียนถามว่า   "ลอเวลาการไว้ทุกข์ให้เหลือหนึ่งปี น่าจะดีกว่าเลิกไว้ทุกข์เป็นแน่"

        ครูปราชญ์ว่า   "ท่านว่าไว้ทุกข์สามปี  ลดลงเหลือหนึ่งปี ก็จะเหมือนจับแขนผู้สูงวัยบิดไปข้างหลังอย่างนั้น ให้ผู้สูงวัยสิ้นโอกาสที่จะกราบทูลทัดทาน(หมดสถานภาพความภาคภูมิใจ)  ท่านจงไปทัดทานอ๋อง อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน ให้ค่อย ๆ หารือกัน ซึ่งการนี้ ก็ยังจะต้องใช้หลักคุณธรรม - กตัญญู  และสมานสามัคคีพีน้องเป็นข้อคิดพิจารณา"

        ช่วงนั้น  บังเอิญมารดาของราชบุตรองค์หนึ่งถึงแก่กรรม เนื่องจากมีฐานะเป็นแค่นางใน  ราชบุตรไม่อาจไว้ทุกข์ได้อย่างเต็มที่ได้ จึงส่งพระอาจารย์ไปทูลขอพระบิดา ให้ได้ไว้ทุกข์สักสามเดือนถึงห้าเดือน  กงซุนโฉ่ว กลับมาเรียนถามครุปราชญ์อีกว่า "ให้ไว้ทุกข์ได้สามสี่เดือนนี้ จะพิจารณาในแง่ใด"

        ครูปราชญ์ว่า   "ราชบุตรอยากไว้ทุกข์เต็มสามปี  แต่ประเพณีไม่อนุญาต สถานการดังนี้ ไว้ทุกข์หนึ่งวันยังดีกว่าไม่ไว้ทุกข์เสียเลย  ครั้งก่อนที่ครูว่าก็คือ น่าจะมีใครไปทัดทาน อย่าให้องค์ประมุขลดเวลาการไว้ทุกข์ลง"

       ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "เป้าหมายบุคคลที่กัลยาณชนใคร่จะอบรมสั่งสอนนั้น มีห้าประเภทคือ

-  ประเภทปัญญาชนคนรอบรู้ หวังความสำเร็จได้ประหนึ่งฝนชโลมให้ แม้น้ำเพียงหยดเดียว ก็สมบูรณ์งามได้
-  ประเภทจิตใจซื่อตรง  พอได้รับการส่งเสริม เขาจะค่อย ๆ เพิ่มพูนคุณธรรม
-  ประเภทเชาวน์ปัญญาปราดเปรื่อง รอบรู้เรื่องทางโลก
-  ประเภทอ่อนน้อมถ่อมใจใฝ่ถาม จึงให้การชี้นำ
-  ประเภทคนดีที่ขวนขวายเก็บตกความรู้เอง 
     คนห้าประเภทนี้ กัลยาณชนยินดีจะอบรมสั่งสอน       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนต้น

        กงซุนโฉ่วเรียนถามครูปราชญ์ว่า   "วิถีธรรมที่กัลยาณชนดำเนินนั้น  สูงส่งงดงามยิ่งนัก แต่การจะเรียนรู้นั้น ยากเสียยิ่งกว่าปืนบันไดฟ้า  จะรู้สึกว่าไปไม่ถึงสักที ไฉนไม่ลดระดับลงบ้าง ให้ผู้ศึกษาธรรมตามทันได้ง่าย ก้จะหมั่นเพียรเจาะลึกศึกษาได้ทุกวัน"

        ครูปราชญ์ว่า   "ครูผู้สอนช่าง จะไม่เป็นเพราะผู้ฝึกงานที่โง่เขลาแล้วเปลียนแนวตีเส้นหมึกเสียใหม่"  โฮ่วอี้สอนศิษย์ จะไม่เป็นเพราะศิษย์โง่เขลาแล้ว ลดระดับแรงง้างคันธนู  กัลยาณชนสอนธรรม ก็เหมือนการสอนยิงธนู ง้างคันธนู ง้างสุดแรงจนเหมือนคันธนูจะดีดผึงออกไป  กัลยาณชนสองคน จึงกำหนดความพอดีไม่ยากไม่ง่าย คนที่เรียนได้ก็เรียนกับท่านแล้วกัน

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   

"เมื่อโลกมีธรรม (วาระประกาศธรรม)  จะพลีชีพเพื่อธรรม (ประกาศแพร่ธรรมเต็มที่) 
เมื่อโลกปราศจากธรรม (กลียุคหยุดแพร่ธรรม) พลีชีพเพื่อธรรม (รักษ์ธรรมจนตาย)
 มิเคยได้ยินว่า ผิดต่อธรรมโดยตามใจคนหนอ (ละธรรมคล้อยตามโลกียชน)

เทียนเซี่ยโหย่วเต้า  อี่เต้าซวิ่นเซิน
เทียนเซี่ยนอู๋เเต้า    อี่เซินซวิ่นเต้า
เอว้ยเอวิ๋นอี่เต้าซวิ่นฮูเหยินเจ่อเอี่ย

        ศิษย์กงตูจื่อ เรียนถามครูปราชญ์ว่า   "เถิงเกิง  อนุชาเจ้าเมืองเถิง เป็นศิษย์ท่านบรมครู บางครั้งเรียนถามอะไร ท่านบรมครูไม่ตอบ เป็นเพราะเหตุใดหรือ"

        ครูปราชญ์ว่า

        "ถือดีมีศักดิ์ศรี  ถือดีมีความรู้   ถือดีในความเป็นใหญ่  ถือดีในเกียรติภูมิที่มีต่อบ้านเมือง  หรือถือดีในความสัมพันธ์พิเศษ  ทั้งห้าประการนี้ เมื่อถาม ท่านบรมครูมักจะไม่ตอบ   เถิงเกิง มีความถือดีแล้วสองประการในห้าประการนี้"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ต่อเรื่องที่หยุดยั้งกลางคันมิได้ เขากลับหยุดยั้ง ดังนี้ ก็จะไม่มีเรื่องใดที่เขาจะไม่หยุดยั้งกลางคัน  ต่อคนที่พึงหนุนนำค้ำชูเต็มที่เขากลับเฉยเมยเลยละเช่นนี้  ก็จะไม่มีใครที่ไม่ถูกเขาเฉยเมยเลยละ แต่คนที่ตะลุยเกินไป ทำการใดก็จะถดถอยไว"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า    "ต่อมวลสัตว์  สรรพชีวิต กัลยาณชนจะถนอมรัก แต่ยังขาดกรุณาสงสารต่อมวลประชา แม้ใจจะกรุณาสงสาร แต่ยังขาดใส่ใจใกล้ชิดดั่งญาตฺสนิท ควรจะต้องใส่ใจต่อมวลประชาดุจเดียวกับญาติสนิท  จากความกรุณาใส่ใจในมวลประชา จากนั้นไปสู่สรรพชีวิต"

ซินซินเอ๋อเหยินหมิน   เหยินหมินเอ๋อไอ้อู้ 

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   
"คนฉลาดหลักแหลม ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ แต่มักจะเร่งรัดเอาเรื่องเฉพาะหน้าเป็นสำคัญ 
ผู้รู้รักใคร ๆ ไม่มีอะไรที่ไม่ถนอมรัก แต่มักจะเร่งรัดชิดใกล้เมธีคนดีเป็นสำคัญ 
อริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น ใจรักกว้างใหญ่แต่ยังไม่อาจปรกรักไปทั่วหล้า ก็เห็นด้วยเมธีคนดีเฉพาะหน้าเป็นสำคัญ
ไม่อาจไว้ทุกข์สามปี ก็คือเร่งรัดเวลาเฉพาะหน้านี้เป็นสำคัญ 
หยิบอาหารผลีผลามใส่ปาก เร่งรัดจนมูมมาม กลับถามผู้อื่นว่า เนื้อแห้งเคี้ยวขาดไหม
 เหล่านี้คือ ไม่รู้ความสำคัญอันควรพิจารณาเร่งรัดหรือไม่"

                             ~ จบบทจิ้นซิน  ตอนต้น ~

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ขาดกรุณาธรรมหนอ พระเจ้าเหลียงฮุ่ยอ๋วง"   ผู้มีกรุณาธรรมจะเอาความรักที่มีต่อผู้เป็นที่รักของเขาปรกแผ่ไปสู่ผู้ที่เขาไม่รัก  แต่คนที่ขาดกรุณาธรรม กลับจะเอาใจที่ไม่รักไปสู่ผู้ที่ตนรัก" 

ศิษย์กงซุนโฉ่วจึงเรียนถามว่า  "นั่นอย่างไร"

        ครูปราชญ์ว่า   " เพื่อการแย่งชิงแผ่นดิน เหลียงฮุ่ยอ๋วงยอมทำลายเลือดเนื้อประชาชน  ส่งไปสู้รบยับเยินแล้ว ยังจะสู้ต่อไป แต่เกรงว่าจะถูกถล่มทำลายอีก จึงเกณฑ์ลูกหลานของตนไปสู้ตาย อย่างนี้เรียกว่า เอาใจที่ไม่รักไปสู่ผู้เป็นที่รัก"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ในบันทึกของหนังสือชุนชิว ไม่มีการศึกใดที่เป็นไปตามทำนองคลองธรรม มีบางกรณีเท่านั้นที่ดีกว่า" (ชุนชิวอู๋อี้จั้น)  อักษรเจิง   ความหมายที่ถูกต้องคือ "เจ้าแผ่นดินยกทัพไปปราบปรามหัวเมืองภายใต้การปกครอง ส่วนเจ้าเมืองน้อยใหญ่ที่บาดหมางค้างใจ จะปราบปรามกันเองมิได้"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า 

 "เชื่อการบันทึกทั้งหมดในหนังสือ สู้ไม่มีหนังสือจะดีกว่า" 
(จิ้นซิ่นซู  ปู็หยูอู๋ซู) 
ในหนังสือโจวซู บทอู่เฉิง เพียงสองสามหน้าครูก็เห็นชัดในข้อขัดแย้งของเหตุผลที่แสดงไว้ 
ผู้มีกรุณาธรรม ย่อมปราศจากศัตรูคู่อริในโลก
(เหยินเหยินอู๋ตี๋อวี๋เทียนเซี่ย)
        กษัตริย์ทรงธรรมอย่างอู่อ๋วง ไปปราบปรามทรราชโจ้วอ๋วงจะเป็นไปได้หรือที่เลือดนองแผ่นดินจนท่วมสากกระเดื่องตำข้าว... (ข้อความบันทึก)

        ...เช่นมีคนกล่าวว่า   "ข้าเชี่ยวชาญยุทธศาสตร์เชี่ยวชาญประจัญบาน"  นี่คือคนบาปหนา หาใช่ความภาคภูมิไม่  ขอเพียงองค์ประมุขชอบปกครองโดยธรรม โลกนี้ก็จะไม่มีอริราชศัตรูต่อกัน  ครั้งนั้น  กษัตริย์ซังทัง เคลื่อนทัพไปปราบปรามทางใต้ ชาวตี๋ทางเหนือต่างโอดครวญเรียกร้อง พอไปปราบทางตะวันออก ชาวอี๋ทางตะวันตกก็โอดร้อง ทุกคนต่างว่า "ทำไมทิ้งเราไว้ทีหลัง"  ครั้งที่โจวอู่อ๋วงปราบทรราชอินโจ้วอ๋วง มีรถศึกหุ้มหนังสัตว์เพียงสามร้อยคัน มีทหารกล้าเพียงสามพันคน  กษัตริย์อู่อ๋วงกล่าวแก่ประชาชนว่า "พวกท่านไม่ต้องกลัว เราอู่อ๋วงมาเพื่อสร้างความสงบสุข ไม่ใช่มาบีฑาประชาชน"เมื่อได้ฟังดังนั้น ทุกคนคุกเข่าฮวบลงเหมือนกำแพงทรุดโขกศรีษะกับพื้น  อักษรเจิง จึงหมายถึงอุ้มชูให้ "ตรง" ด้วย เนื่องจากทุกคนถูกประมุขโหดรังแกมามากแล้ว ต่างรอกษัตริย์เที่ยงธรรมเข้ามาอุ้มชูบ้านเมืองให้เที่ยง "ตรง"  ฉะนั้น ยังจะต้องสู้รบจนนองเลือดด้วยหรือ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ช่างไม้กับช่างสร้างรถ ได้แต่ถ่ายทอดวิธีคำนวณวัดฉากมุม แต่ไม่อาจถ่ายทอดฝีมือแยบยลให้ได้"

จื่อเจี้ยงหลุนอวี๋  เหนิงอวี้เหยินกุยจวี่  ปู้เหนิงสื่อเหยินเฉี่ยว

        เมื่อครั้งอริยกษัตริย์ซุ่น ยังเป็นสามัญชนต้องประทังชีวิตด้วยธัญพืชและผักหญ้าหยาบ ๆ  ดูอย่างกับทั้งชีวิตจะต้องคับแค้นแสนเข็ญ แต่พอเมื่อได้รับ
สถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็แต่งองค์ทรงเครื่องงดงาม ได้ดีดขิมห้าสาย ยังได้พระธิดาทั้งสองของกษัตริย์เหยาเป็นชายามารับใช้ ซึ่งดูอย่างกับทั้งชีวิต
ชะตากำหนดไว้ให้ได้เสวยสุข

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "จากวันนั้นจนตลอดไป ข้าพเจ้ารู้ว่า สังหารสายเลือดเขานั้นความแค้นหนักหนา ฆ่าพ่อเขา เขาก็จะฆ่าพ่อเรา  ฆ่าพี่ชายเขา เขาก็จะฆ่าพี่ชายเรา อาฆาตเข่นฆ่ากันอย่างนี้ แม้มิได้ลงมือฆ่าพ่อ ฆ่าพี่ของตนเสียเอง แต่เมื่อเราฆ่าเขา เขาจึงมาฆ่าเรา เท่ากับแลกเปลี่ยนกันฆ่า"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ที่โบราณสร้างด่านนั้น ก็เพื่อป้องกันคนโฉดชั่ว แต่สมัยนี้สร้างด่าน ก็เพื่อเรียกเก็บภาษีผ่านด่าน คือการขูดรีดประชาชน

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ตนเองไม่อาจทำตัวให้เที่ยงธรรม ไม่อาจใช้ความเที่ยงธรรมต่อภรรยาได้ การเรียกใช้ใคร ๆ หากไม่เที่ยงธรรม ก็ไม่อาจเรียกใช้ภรรยาให้ทำตามได้"

เซินปู้สิงเต้า   ปู้สิงอวี๋ชีจื่อ 
สื่อเหยินปู้อี่เต้า   ปู้เหนิงสิงอวี๋ชีจื่อ

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คนที่รอบคอบต่อข้าวของเงินทองมาก ปีอดอยาก เขาจะไม่อดตาย  คนที่สั่งสมคุณธรรมรอบราย  กลียุคชั่วร้าย ไม่ระคายศักดิ์ศรีความดีของเขา"

โจวอวี๋ลี่เจ่อ  ซยงเหนียนปู้เหนิงชา
โจวอวี๋เต๋อเจ่อ   เสียซื่อปู้เหนิงล่วน

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า    "ผู้ใฝ่เกียรติคุณ จะยกบ้านเมืองที่มีหนึ่งพันรถม้าศึกแก่ผู้อื่นได้ ผู้ไม่อาจมองข้ามผลประโยชน์เงินทอง แม้สละข้าวชามแกงถ้วยหน้าก็เปลี่ยนสี

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "หากองค์ประมุขไม่เชื่อถือวางใจเมธีผู้มีกรุณาธรรม ในบ้านเมืองจะเหมือนปราศจากบุคลากร  หากขาดจริยธรรม ระเบียบวินัยระหว่างกันจะยุ่งเหยิง หากขาดการปกครองบ้านเมือง ไม่มีภาษีได้ใช้จ่าย บ้านเมืองจะขัดสน"

ปู๋ซิ่นเหยินเสียน  เจ๋อกว๋อคงซวี
อู๋หลี่อี้  เจ๋อซั่งเซี่ยล่วน
อู๋เจิ้งซื่อ  เจ๋อไฉย่งปู้จู๋

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ผู้ขาดกรุณาธรรมได้ครองแผ่นดินนั้น มีได้ แต่ขาดกรุณาธรรม จะได้หัวใจยินดีจากคนในแผ่นดินนั้น ยังไม่เคยมี"

ปู้เหยินเอ๋อเต๋อกั๋วเจ่อ  โหย่วจืออี่
ปู้เหยินเอ๋อเต๋อเทียนเซียเจ่อ  เอว้ยจือโหย่วเอีย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ประชาล้ำค่าด้วยเป็นฐานของบ้านเมือง บ้านเมืองรองลงมา ประมุขรองอีกกว่า  จำต้องได้หัวใจชาวประชา จึงจะครองหล้าครองแผ่นดินได้  ได้รับความชื่นชมจากเจ้าแผ่นดิน จึงจะได้เป็นเจ้าเมือง  ได้รับความชื่นชมจากเจ้าเมือง จึงจะได้เป็นขุนนาง  แต่หากเจ้าเมืองไร้ธรรม ผิดต่อเจ้าที่ ผิดต่อเจ้าธรณีประจำเมือง ก็จะต้องเพิกถอน แแต่งตั้งเจ้าเมืองคนดีเสียใหม่  ถ้าสัตว์เลี้ยงอ้วนพี ธัญญาหารหมดจดสมบูรณ์ ก็จะทำพิธีเซ่นไหว้ได้ตามกำหนด แต่หากยังเกิดอุทกภัย อัคคีภัย ก็จะต้องปรับเปลี่ยนศาลบูชาเจ้าที่ เจ้าธรณีประจำเมืองต่อไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "อริยะ  ก็คือครูบาอาจารย์ผู้ชี้แนะ ผู้นำทางชาวโลกได้ยาวนานนับร้อยปี (ชั่วชีวิต) อย่างท่านป๋ออี๋  กับหลิ่วเซี่ยฮุ่ย  เมื่อได้ฟังคำสอนจากท่านป๋ออี๋ คนซึ่งเดิมทีดื้อด้าน โลภหยาบ เริงอารมณ์ กลับกลายเป็สุจริตชน คนที่เดิมทีอ่อนแอ ขาดความมุ่งมั่นกำลังใจ ก็กลายเป็นเข้มแข็งมุ่งใจใฝ่ดีส่วนคนที่ได้ฟังคำสอนจากท่านหลิ่วเซี่ยฮุ่ย เคยใจแคบขูดรีดเอาเปรียบ กลับกลายเป็นเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คนเห็นแก่ได้ ตระหนี่ถี่เหนียว ก็กลายเป็นใจกว้างปล่อยวาง  คุณธรรมความดีของทั้งสองท่าน ระบือนานนับร้อยปีในสมัยนั้น ร้อยปีให้หลัง ใครที่ได้ยินคำสอนสืบมา ก็ไม่มีที่จะไม่ซาบซึ้ง ทะยานใจใฝ่ดี ดังนั้น ไม่ใช่อริยะ หรือจะเป็นชนใด ผู้ได้รับการอบรมกล่อมเกลาใกล้ชิดท่านในครั้งนั้นเล่าจะยิ่งกว่าเพียงไหน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "กรุณา คือหลักธรรมที่จิตวิสัยของคนพึงรักษาไว้  จิตวิสัย กับ กรุณาธรรม  ร่วมอยู่ด้วยกันเรียกว่า "ธรรมะ"  (จิตวิสัยมีกรุณาธรรมเป็นธาตุแท้เดิมที)

เหยินเี๋อี๋ยเจ่อ  เหยินเอี่ย  เหอเอ๋อเอี๋ยนจือ  เต้าเอี่ย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "เมื่อบรมครูเดินทางกลับเมืองหลู่ ท่านกล่าวว่า "เราจะเดินทางช้า ๆ "เพราะคืนสู่มาตุภูมิ เมื่อไปเมืองฉี ท่านเร่งฝ่าฝนเดินทาง กล่าวว่า "เพราะไปยังบ้านเมืองอื่นเขา"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "บรมครูต้องประสบวิบากกรรม ถูกกักบริเวณอยู่ระหว่างเมืองเฉิน กับ เมืองไช่  เนื่องจากไม่มีสัมพันธภาพกับสองเมืองนี้ และกับเหล่าขุนนางเมืองนี้มาก่อน จึงไม่เคยไปมาหาสู่กัน" 

        ม่อจี คนเมืองเหนือ  กล่าวแก่ครูปราชญ์ว่า "ข้าพเจ้าม่อจี เป็นขี้ปากชาวบ้านนัก"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ไม่เห็นเป็นไร ผู้เจริญมักไม่เป็นที่เข้าใจของใคร ๆ อยู่แล้ว ในคัมภีร์ซือจิง จารึกว่า "ครุ่นคิดทุกข์กังวลอึดอัดไม่คลาย  กลัดกลุ้มสุมใจจากคนไร้สาระ" ท่านบรมครูเคยประสบเหตุเช่นนี้  ในคัมภีร์ซือจิง จารึกอีกว่า "แม้ไม่อาจกำจัดความอึดอัดขัดเคืองได้ แต่จะไม่ทำลายความงามสง่าแห่งตน ให้ตกต่ำไปตามคำกล่าวของเขาเหล่านั้น"  อริยกษัตริย์เหวินอ๋วง ก้เคยประสบเหตุเช่นนี้เหมือนกัน

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ครั้งก่อนเก่า เมธีชนใช้หลักเหตุผลที่ท่านเข้าใจเองแล้วไปทำให้ใครๆ เข้าใจตามไปอีกด้วย คนยุคนี้ ตนเองยังมืดต่อหลักธรรม แต่จะให้ใคร ๆ เข้าใจหลักธรรม" กล่าวแก่ศิษย์เกาจื่อว่า  "ทางเล็ก ๆ บนภูเขา ป่าราบริมลำธาร เหยียบย่ำเดินผ่านนานวัน ก็จะเป็นทางเดิน แต่หากทิ้งระยะ ไม่มีผู้เหยียบย่ำเดินผ่าน หญ้าจะงอกงามไม่เป็นเส้นทางอีก  บัดนี้ จิตใจที่ไม่หมั่นศึกษาของท่าน หญ้าใกล้จะรกปกคลุมเสียแล้ว"

        ศิษย์เกาจื่อว่า   "เสียงดนตรีของกษัตริย์อวี่ ดีกว่าเสียงดนตรีของกษัตริญ์เหวินอ๋วง" 
ครูปราชญ์ถามว่า   "อะไรทำให้คิดอย่างนั้น" (โบราณกาลไกล)
เกาจื่อว่า   "เห็นเส้นสายเครื่องดนตรีของอวี่ อย่างกับถูกแมลงทำลายใกล้จะขาด แสดงว่าเครื่องดนตรีดี จึงได้ใช้กันมาก"
ครูปราชญ์ว่า   "สันนิษฐานเช่นนี้ได้อย่างไร หน้าประตูเมืองม่อเฉิง รอยล้อรถลึกมาก จะเป็นด้วยรถหนึ่งคัน แรงม้าสองตัวบดทับผ่านไป หรือรอยล้อรถลึกเพราะรถผ่านไปมามาก  เครื่องดนตรีของกษัตริย์อวี่สึกหรอมาก อาจเป็นเพราะผ่านกาลเวลานานกว่า... อย่าสันนิษฐานผิด

         เมืองฉีเกิดภัยแล้งอดอยากอีก เฉินเจินกล่าวแก่ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ใคร่ขอให้ท่านไปขอข้าวจากอ๋อง ไปแบ่งจากเมืองถังมาสงเคราะห์ แต่คิดว่า ท่านคงทำไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "  การนี้  เหมือนขอให้ข้าพเจ้าไปรับบทแม่นางเฝิงฟู่  ซึ่งเมื่อก่อน นางเป็นยอดฝีมือใช้กำปั้นทุบหัวเสือ  ภายหลังเกิดจิตสำนึกตัดใจจะไม่ฆ่าเสียอีก  วันหนึ่งนางลงชนบท มีคนกลุ่มใหญ่ไล่กวดเสือ  เสือไปนอนพิงเชิงเขาตั้งท่าอยู่ พวกตามล่าไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก เมื่อได้เห็นนางเฝิงฟู่มาแต่ไกล จึงพร้อมใจวิ่งมาต้อนรับ พร้อมกับให้นางจัดการกับเสือตัวนั้น  นางเฝิงฟู่พับแขนเสื้อทั้งสองข้าง กระโดดลงจากรถทันที ทุกคนดีใจมาก  แต่ คนที่มีการศึกษาในที่นั้นแอบยิ้มอยู่ในที ที่เห็นนางวางมือแล้ว ลงมืออีก" (เต้นไปตามแรงกระตุ้น)

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ปากลิ้มรส  นัยน์ตาชอบดู  หูชอบฟัง  จมูกชอบดมสิ่งอันพึงใจ  มือเท้าปล่อยสบายไม่ต้องลำบาก เป็นสัญชาตญาณของคน แต่จะเสพสุขที่ตนพึงใจได้หรือไม่ แล้วแต่ชะตากรรม  กัลยาณชน จึงเอาแต่ครองสภาพชีวิตไว้ ไม่กล้าเรียกร้อง  แต่สำหรับความรักความกรุณาระหว่างพ่อ - ลูก  คุณธรรมระหว่างขุนนาง - ประมุข  จริยระหว่างผู้ให้ - ผู้รับ  การใช้ปัญญาเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลกในเมธาชน  การดำเนินธรรมเพื่อปรกนำชาวโลกของอริยะ  ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของแต่ละคน แต่ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจใคร่ทำกับไม่ใคร่ทำของบุคคลด้วย  ฉะนั้น  ต่อกรุณาธรรม  มโนธรรม  จริยธรรม  ปัญญาธรรม  กัลยาณชนจึงไม่กล้ายกไปที่ชะตาชีวิต แต่จะรับผิดชอบต่อการใคร่ทำกับไม่ใคร่ทำของบุคคล"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนท้าย

        เฮ่าเซิงปู๋ไฮ่ ชาวเมืองฉี เรียนถามปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "เอวี้ยเจิ้งจื่อ เป็นคนเช่นไร"
ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "เป็นคนดีงาม อีกทั้งสัตย์จิง"
เฮ่าเซิงปู๋ไฮ่ ถามอีกว่า   "อย่างไรเรียกว่าดีงาม   อย่างไรเรียกว่าสัตย์จริง"
       
        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ใคร ๆ ต่างพอใจต่อพฤติกรรมของเขา เรียกว่า ดีงาม
ความดีงามของพฤติกรรมล้วนเกิดจากจิตใจ ไม่เสแสร้งเรียกว่า  สัตย์จริง
พฤติกรรมดีงามสัตย์จริงเต็มเปี่ยม เรียกว่า  งามพร้อม
เปล่งรัศมีงามพร้อม หน้าตามีราศี และยิ่งเพิ่มพูนต่อไปคือภาวะ ยิ่งใหญ่  จากภาวะยิ่งใหญ่ไปสู่ภาวะ  อริยะ  ไม่อาจประมาณความลุ่มลึกของความยิ่งใหญ่ได้  เรียกว่า ภาวะวิเศษ  นิสัยความประพฤติของเอวี้ยเจิ้งจื่อ อยู่ในระหว่างกลางของดีงามกับสัตย์จริง  อยู่ใต้ระดับ งามพร้อม  ยิ่งใหญ่  อริยะ  กับ วิเศษ"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "ผู้ปฏิเสธทฤษฏีของม่อตี๋ (ม่อจื่อ) ก็จะหันไปหาทฤษฏีของหยางจู (หยางจื่อ)  ปฏิเสธทฤษฏี  "เพื่อตน"  ของหยางจู ก็จะหันมาหาทฤษฏีของปราชญ์ (ขงจื่อ)  ในเมื่อน้อมใจมาเรียนรู้ ประตูปราชญ์ก็เปิดรับ  บัดนี้  คนที่ถกเถียงทฤษฏีของหยางจื่อ  ม่อจื่อ ว่าใดคดใดตรง เหมือนคนไล่ตามหมู ซึ่งก็ต้อนหมูกลับเข้าเล้าได้แล้ว ยังเกรงแต่ว่ามันจะหนีออกไปอีก  จึงผูกตีนของมันไว้

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "สมัยโบราณเรียกเก็บภาษี คือ เก็บด้วยผ้าผ่อนแพรพรรณ อีกอย่างหนึ่งคือ เก็บด้วยแรงงาน  องค์ประมุขผู้ทรงธรรม จะเรียกเก็บอย่างใดอย่างหนึ่งต่อครั้ง  อีกสองอย่างนั้นผ่อนผัน  หากเรียกเก็บสองอย่างในครั้งเดียวกัน ประชาชนจะอดตาย  เรียกเก็บสามอย่างในครั้งเดียวกัน พ่อลูกก็จะต้องพลัดพรากจากกัน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "สิ่งล้ำค่าของเจ้าเมืองมีสามประการคือ  ที่ดิน  ประชาชน  การปกครอง  แต่หากมัวหลงใหลในแก้วแหวนเงินทองหยกมณี ภัยพิบัติจะถึงตัว"

        เผินเฉิงกวา  เป็นขุนนางเมืองฉี ปราชญืเมิ่งจื่อคาดการณ์ว่าเขาจะต้องตาย ไม่นาน เขาถูกฆ่าตายจริง ๆ  ศิษย์ทั้งหลายเรียนถามว่า "ครูปราชญ์ท่านทราบได้อย่างไรว่า เขาจะถูกฆ่า"  ตอบว่า "การวางตัวของเขา ชอบสู่รู้อวดฉลาด แต่ไม่ได้เรียนรู้หลักธรรมความเป็นกัลยาณชนมาก่อนในอันที่จะต้องอุ้มชูผู้อื่น จากจุดนี้ก็มากพอแล้วที่จะทำร้ายตนเอง (แหลมคมนัก  ขาดหักง่าย) 

        เมื่อปราชญ์เมิ่งจื่อเดินทางไปเมืองเถิง  เจ้าเมืองเถิงเชิญท่านพักอยู่ที่วังรับรอง เจ้าพนักงานที่ดูแลวัง มีรองเท้าคู่หนึ่งที่ทำใกล้จะเสร็จวางอยู่บนขอบหน้าต่าง แต่เขาหาไม่พบอยู่เป็นนาน มีคนเรียนถามปราชญืเมิ่งจื่อว่า   "อาจเป็นด้วยผู้ติดตามของท่าน เอาไปซ่อนหรือไม่"  ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า "ท่านเห็นว่าผู้ติดตามของเรา มาที่นี่เพื่อขโมยรองเท้าอย่างนั้นหรือ"  คนผู้นั้นตอบว่า "คิดว่ามิใช่เช่นนั้น... ...แต่ ระเบียบการที่ครูปราชญ์ท่านรับศิษย์ ไม่รื้อฟื้นความผิดเก่า ไม่ปฏิเสธใคร เมื่อตั้งใจมาก็รับไว้ศึกษา" (จึงอาจมีศิษย์นิสัยเสียที่ยังไม่ปรับเปลี่ยน) 

       ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คน  ล้วนมีสิ่งต้องอดกลั้น ถึงที่สุดของความอดกลั้นได้ ก็คือใช้กรุณาธรรม
คน  ล้วนมีความหน่ายไม่อยากทำ ถึงที่สุดของความหน่าย (ภาษาสมัยคือ "เซ็ง")  ก็คือใช้มโนธรรมเช่น ยอมทนเพื่อคนอื่น
คน  แม้เติมเต็มแก่ตนด้วยใจที่ไม่มุ่งร้ายใคร ๆ ใจกรุณาจะเอื้อคุณไม่สิ้น
คน  แม้เติมเต็มจิตสำนึกไม่แอบแฝง ไม่จาบจ้วงลักขโมย มโนธรรมก็จะเอื้นคุณไม่สิ้น
คน  แม้เติมเต็มกรุณา - มโนธรรมแก่ตนไม่ขาด ไปถึงไหนก็จะไม่ทำผิดต่อมโนธรรม
ผู้รู้  หากพูดเมื่อไม่สมควรพูด คือผู้แอบแฝง  จาบจ้วง  ลักขโมญด้วยคำพูด  ถึงเวลาควรพูดแต่ไม่พูด ก็คือผู้แอบแฝง จาบจ้วง ลักขโมยด้วยคำพูดเช่นกัน"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "คำพูดเรียบง่าย ความนัยลุ่มลึก เป็นการพูดที่ดีที่สุด  มัธยัสถ์เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกว้างไกล เป็นการดูแลรักษาทางธรรมที่ดีที่สุด การพูดของกัลยาณชน ไม่ก้มสายตาหลบต่ำจนเห็นสายคาดเอวตน  อุ้มชูรักษาบ้านเมือง เริ่มจากสำรามอุ้มชูกายใจตน  คนทั่วไปชอบที่จะละทิ้งที่ดินของตน  ไม่เพาะปลูก  แต่กลับไปกำจัดหญ้าในนาของเขาอื่น ไม่สำรวจความผิดตน กลับนินทาชี้ว่าใคร ๆ เรียกร้องจากผู้อื่นหนัก เรียกร้องความรับผิดชอบจากตนเองเบา"

        ปราชญืเมิ่งจื่อว่า   "คุณธรรมของอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น  เป็นด้วยจิตวิสัยจากฟ้า  ส่วนกษัตริย์ซังทัง กับ โจวอู่อ๋วง  เป็นด้วยการสำรวมบำเพ็ญจนฟื้นฟูคุณธรรมจิตวิสัยจากฟ้า  บุคลิกภาพ  กิริยาอาการทุกอย่างมีจริยระเบียบ  ก็เป็นผู้มีคุณธรรมบารมีแล้ว  อาดูรร่ำไห้แก่ผู้ตายด้วยใจจริง ก็เป็นจริยะ มิใช่ร้องไห้ให้คนที่อยู่ดู  รักษาคุณงามเรื่อยไป มิใช่เพื่อบำเหน็จรางวัล   พูดจาสัตย์จริง ก็มิใช่เพื่อแสดงว่าประพฤติดี  กัลยาณชน  ทำทุกอย่างตามจริยระเบียบไม่แอบแฝง ถวายชีวิตตามแต่ฟ้าจะลิขิต"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "จะกล่อมใจผู้ยิ่งใหญ่ ให้เตรียมใจรับปรามาสไว้  ไม่ขยาดความยิ่งใหญ่โอฬาร อัครสถานสูงล้ำของเขา  (บอกตนเองว่า) วันใดเรามีอย่างนี้ได้ เราจะไม่หรูหราฟุ่มเฟือยเยี่ยงเขา   เห็นเขาเรียงรายอาหารชั้นเลิศเต็มโต๊ะใหญ่  เลี้ยงนางสนมกำนัลนับร้อย  (บอกตนเองว่า) วันใดเรามีได้ก็จะไม่สุรุ่ยสุร่ายเยี่ยงนี้  เห็นเขาควบม้าล่าสัตว์ทุกวัน รถม้าพันคันเป็นขบวนบริวาร ชีวิตเปล่าประโยชน์ วันใดเรามีอย่างนี้ได้ ก็จะไม่ทำ เรื่องที่เขาเสพสุขสนุกสนาน เราไม่ทำ  ที่จะทำก็คือ จริยระเบียบของบรรพอริยะ  เราเคารพต่อคุณธรรมวิสัยในตนเป็นที่ตั้ง จึงไม่ขยาดต่อความยิ่งใหญ่ใด ๆ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                               ๗ 

                                    บทจิ้นซิน   ตอนท้าย

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "อุ้มชูใจ ไม่มีอะไรดีกว่าละกิเลส (หย่างซินม่อซั่นอวี๋กว่าอวี้)  ละกิเลสได้ แม้บางครั้งจะพลาดเผลอไป กิเลสก้ไม่มาก  หากไม่ฝึกละเสียเลย แม้จะระงับ กิเลสก็ยังมากมาย" 

        ครั้งที่ปราชญ์เจิงซี ยังมีชีวิต ชอบรับประทานลูกพรุน (หยังเจ่า) เจิงซี สิ้นไป ปราชญ์เจิงจื่อบุตรชาย ไม่อาจทำใจกินลูกพรุน (หยังเจ่า) ได้  ศิษย์กงซุนโฉ่วเรียนถามครูปราชญ์ว่า "หมูหยอง  หมูแผ่น  กับลูกพรุน รสชาติใดดีกว่า" 
ครูปราชญ์ว่า "หมูหยองหมูแผ่นย่อมดีกว่า"
กงซุนโฉ่วว่า "ถ้าเช่นนั้น บิดาของเจิงจื่อก็ชอบกินด้วย เช่นนี้แล้ว ไฉนเจิงจื่อยังกินหมูหยองหมูแผ่นที่บิดาเคยชอบอยู่ได้  เฉพาะแต่ทำใจกินลูกพรุนไม่ได้"   
        ครูปราชญ์ว่า   "เหตุด้วยหมูหยองหมูแผ่นเป็นอาหารทั่วไปที่ใคร ๆ ก็ชอบกิน  แต่ ... ลูกพรุน (หยังเจ่า) เฉพาะบิดาของเจิงจื่อชอบกินพิเศษ อย่างเช่นคนทั่วไป หลีกเลี่ยงไม่เรียกชื่อพ่อแม่ของใครตรง ๆ แต่ไม่หลีกเลี่ยงเรียกแซ่ เพราะแซ่เป็นสกุลร่วมใช้  แต่ชื่อใช้เฉพาะตัว"

        ศิษย์วั่นจังเรียนถามครุปราชญ์ว่า   "ครั้งที่บรมครูหาคนดีไม่ได้ที่เมืองเฉิน สะท้อนใจว่า "ไยไม่กลับเมืองหลู่ของเรา ที่นั่นมีพวกทะยานกล้า เพียงแตเขามักจะละเลยเรื่องเล็กน้อย แม้เขาจะใฝ่ก้าวหน้า แต่ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมเท่านั้น" (คนประเภทนี้ยังพอใช้ได้)   เรียนถามครูปราชญ์ "เหตุใดอยู่เมืองเฉิน บรมครูท่านจึงหวนคิดถึงคนกล้าเหล่านั้น"

        ครูปราชญ์ว่า   "เหตุที่บรมครูแสวงคนที่จิตใจสุขุมอยู่ในทางสายกลาง เช่นศิษย์เอี๋ยนเอวียน  ซึ่งถ่ายทอดวิชาให้ได้ไม่มี เมื่อไม่มี จึงต้องหวนคิดถึงคนระดับรองลงไป  คนทะยานกล้าจะบ้าบิ่น  คนสำรวมมาก จะรักษาตัวรอด แต่ไม่ค่อยก้าวเดิน บรมครูมีหรือจะไม่แสวงหาคนสุขุม แต่ในเมื่อไม่อาจหาได้ก็จำใจพิจารณาคนระดับรองลงไปเช่นนี้"

        ศิษย์วั่นจังเรียนถามว่า   "อย่างไรเรียกว่าทะยานกล้าบ้าบิ่น"
ครูปราชญ์ว่า   "อย่างจื่อจาง  เจิงซี  มู่ผี่  เป็นศิษย์ที่ท่านบรมครูจัดไว้ว่าทะยานกล้า"
ถามว่า   "ไฉนจึงว่าบ้าบิ่น"

        ครูปราชญ์ว่า   "มุ่งมั่นทะยานใหญ่  คุยโว  วิจารณ์คนโบราณอย่างนั้นอย่างนี้  แต่เมื่อดูพฤติกรรมของพวกเขาเอง ก็ไม่อาจปิดบังสิ่งที่วิจารณ์ผู้อื่นได้ เมื่อผู้ที่ใฝ่ก้าวหน้ามากไป ไม่อาจรับวิถีอริยะได้ ก็จะต้องแสวงหาคนที่ไม่ยอมสกปรกตกต่ำ เพื่อถ่ายทอดวิถีอริยะให้   นั่นก็คือ คนที่สำรวมรักษาตัวรอด ซึ่งดีกว่าพวกใฝ่ก้าวหน้าเกินไประดับหนึ่ง"

        ศิษย์วั่นจังเรียนถามอีกว่า   "ท่านบรมครูเคยกล่าวว่า "ผ่านหน้าประตูเราไป ไม่เข้ามา (สถานศึกษาอริยปราชญ์) การที่เราไม่เสียดายค้างใจนั้น ก้ด้วยเขาเป็นคนลวง คนลวงคือ นักย่องเบาเอาความดีบังหน้า" (ไม่กล้าทุ่มตัวเจาะลึกศึกษา ชอบแต่แสดง ทั้งที่รู้ไม่จริง)
        ศิษย์วั่นจังเรียนถามว่า   "อย่างไรเรียกว่าคนลวง"

        ครุปราชญ์ว่า   "คนลวงดูดี ชอบที่จะยิ้มเยาะนักศึกษาที่ทะยานกล้าว่า "ใฝ่ก้าวหน้าอะไนนักหนา"  พูด  ไม่คำนึงการกระทำ   ทำ   ไม่คำนึงถึงเคยพูด  คนลวงเอ่ยปาก มักวิจารณ์ครโบราณอย่างนั้นอย่างนี้   คนลวงชอบยิ้มเยาะพวกรักษาตัวรอดว่า  พฤติกรรมแอบแฝงเย็นชา (ดีเกินไป)  เกิดมาทั้งที น่าจะเข้ากับชาวโลก คล้อยตามหมู่มากจะดีกว่า  แต่พวกคนลวงเอง กลับหลบหลีดปิดบังตน สีหน้าน่ายินดีที่แท้คือคนลวง"

        ศิษย์วั่นจังว่า   "ชาวตำบลยกย่องคนลวงว่า  "คนจริง"  เมื่อไปถึงไหนไม่มีที่จะไม่เป็นคนจริง แต่ท่านบรมครูว่า เขาเป็นคนลวง ย่องเบาเอาความดี ด้วยเหตุใด"  ตอบว่า "จะว่าเขาไม่ดี ก็ไม่มีเหตุให้ว่าได้ จะโจมตีก็ไม่มีข้อกล่าวหา เขาเข้ากับโลกีชนได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น เห็นการพนันเป็นบันเทิงสำเริงเล่นเป็นสุขี ดูดีมีน้ำใจ สัตย์ซื่อ สุจริต  เป็นที่ชื่นชอบของใคร ๆ ตัวเขาเองก็พอใจในตน แต่เขาไม่อาจเจริญธรรมตามอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น ได้ ไม่อาจศึกษาวิถีปราชญ์ จึงกล่าวว่า เป็นคนลวงย่องเบา เอาความดีบังหน้า"

      บรมครูเคยกล่าวว่า   "เราชิงชังนักคือคนที่ดูอย่างกับสัตย์ซื่อมีน้ำใจ
ชิงชังความเป็นหญ้าหางหมา ด้วยเกรงว่า จะทำให้ข้าวกล้ากลายพันธุ์
ชิงชังนัก  กับคนที่พูดดี แต่ไม่มีความจริงใจ เกรงจะวุ่นวายต่อหลักมโนธรรม 
ชิงชังนัก  กับคนพูดพล่อยคล่องปาก ด้วยเกรงว่าจะสับสนต่อสัตยธรรม
ชิงชังนัก  กับดนตรีเย้ายวน ด้วยเกรงว่าจะก่อกวนดนตรีสุนทรีย์
ชิงชังสีผสมซ้ำเลือดซ้ำหนองที่ผิดต่อสีแดงโดยแท้
ชิงชังคนจำพวกเสแสร้งเป็นคนดี อารีอารอบ  จะทำให้คุณธรรมความดีแท้ยุ่งเหยิง   ดังนั้น  กัลยาณชนจงทำตามธรรมะ อันเป็นปกติที่ยั่งยืนเรื่อยไป เป็นใช้ได้  เมื่อเราเที่ยงตรง คนทั่วไปจะซาบซึ้งฟื้นฟูวิถีธรรมเที่ยงตรง ต่อไปก็จะไม่ชั่วร้ายแอบแฝงอีก"

        ปราชญ์เมิ่งจื่อว่า   "จากอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น จนถึงกษัตริย์ซังทัง รวมเวลากว่าหกร้อยปี    กษัตริย์อวี่ กับเกาเอี่ยว เคยเห็นการดำเนินธรรมของท่านมากับตา จึงรู้เห็นชัดเจนในอริยบารมี  ถ้าเป็นกษัตริย์ซังทัง ซึ่งต่อมาในภายหลัง ก็จะได้แต่สดับรับฟังอริยบารมี จึงรู้ความตามที่สรรเสริญ จากสมัยซังทัง ถึงอริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วง ห่างกันอีกห้าร้อยกว่าปี คือ อีอิ่น  กับ  ไหลจู  ได้รู้ชัดเห็นจริงต่อบารมีธรรมของพระเจ้าซังทัง  แต่อริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วงได้แต่สดับรับฟังบารมีที่สรรเสริญ

        จากอริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วง จนถึงบรมครูขงจื่อ ก็ล่วงเลยมาอีกห้าร้อยกว่าปี  พระเจ้าปู่ หรือปู่เจ้าเจียงไท่กง (ไท่กงอ้วง) กับ ซั่นอี๋เซิง ได้รู้เห็นชัดจริงในคุธรรมบารมีของอริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วงด้วยตนเอง ตั้งแต่บรมครูขงจื่อ จนถึงบัดนี้ (สมัยปราชญ์เมิ่งจื่อ)  ห่างกันเพียงหนึ่งร้อยกว่าปี ถือว่าไม่ห่างไกลกันมากนัก อีกทั้งไม่ห่างถิ่นฐานบ้านท่านสักเท่าไร แต่ดูเหมือนน้อยคนจะรู้ชัดเห็นจริงต่อคุณธรรมบารมีของท่านบรมครู  เช่นนี้  ภายหน้านานไปเกรงว่าคนยุคใหม่ ยากที่จะสดับหลักธรรมคำสอนของท่านบรมครูเสียแล้ว"

        (ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อเกรงว่า  กรุณามโนธรรมจะห่างหายไปจากจิตสำนึกของคน จึงสรุปปรัชญาของท่านลงด้วยความสะท้อนใจต่ออนาคตทางธรรม อีกทั้งแฝงความมุ่งมั่นสืบต่อภาระศักดิ์สิทธิ์ของท่านบรมครูดังนี้)

                           ~ จบบทจิ้นซิน  ตอนท้าย ~

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ปรัชญาเมิ่งจื่อ  :   ปราชญ์เมิ่งจื่อ 

                                            ดรรชนี

(ผู้น้อยต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ที่ไม่สามารถนำลงรูปลักษณ์ของทุกพระองค์มาให้ทุกท่านดู  ขอบพระคุณค่ะ)

อริยกษัตริย์ฝูซี                  อริยกษัตริย์เสินหนง                  เซวียนเอวี๋ยนหวงตี้                  เจียงไท่กง (ไท่กงอ้วง)

อริยกษัตริย์เหยา                อริยกษัตริย์ซุ่น                       อริยกษัตริย์อวี่                        อริยกษัตริย์ทัง

อริยกษัตริย์โจวเหวินอ๋วง       อริยกษัตริย์โจวอู่อ๋วง               ปู่เจ้าโจวกง                           อีอิ่น

จื่อเซี่ย                            ป๋อหนิว                               เจิงจื่อ                                 จ้งกง

เอี๋ยนจื่อ                          ไจ่หว่อ                                จูซี                                      เมิ่งจื่อ   

จื่อเซียน                           จื่อก้ง                                 จื่ออิ๋ว                                   จื่อจาง

จื่อลู่                                จื่อซือ                                หยั่นโหย่ว                              จื่ออวี๋     

ท้ายเล่ม ...

                    หากท่านปราชญ์เมิ่งจื่อคือเมธาชนคนยุคนี้
                          ปรัชญาจากเมธีจะเป็นที่ชื่นชอบไหม     
                       จะฟันฝ่าหิงสาชนคนต่ำทรามได้อย่างไร   
                          โลกมนุษย์สุดฟ้าไกลยังมีใครเป็นสุชน 

                                 ~ จบเล่ม ~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19/12/2554, 17:25 โดย jariya1204 »

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”