collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย  (อ่าน 57830 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                บรรพที่  ๑๒ :  บูชา   ศาสตร์แท้

อธิบายบท   :

        อัน ศาสตร์  นั้นหมายถึงคำสอนแห่งพระตถาคตนั่นเอง กล่าวคือ ในช่วงเวลา 80 พรรษาที่พระตถาคตทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ทรงใช้เวลาถึง 49 พรรษาในการเทศนาธรรม โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาของการเทศนาธรรมออกเป็น 5 ยุคด้วยกันคือ

ยุคที่  1  ทรงถ่ายทอดอวตัมสกมหายานธรรม
ยุคที่  2  ทรงถ่ายทอดอริยสัจสี่แห่งหีนยานธรรม
ยุคที่  3  ทรงถ่ายทอดสุรางคมสูตร
ยุคที่  4  ทรงถ่ายทอดปรัชญาสูตร
ยุคที่  5  ทรงถ่ายทอดสัทธรรมปุณฑริกสูตร
       
แม้คำสอนของตถาคตจะมีมากมาย  แต่สำหรับศาสตร์แท้ที่ได้กล่าวถึงในที่นี้จะหมายถึงศาสตร์แท้ที่พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดในยุคปรัชญานั่นเองแล  การบูชาศาสตร์แท้นั้น หมายถึงพระพุทธะและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงล้วนสำเร็จมาจากพระสูตรนี้ทั้งสิ้น แต่การที่จะให้เวไนยสัตว์ในยุคท้ายมาสดับพระสูตรเช่นนี้ได้นั้น ก็ช่างเป็นสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญเสียยิ่งนัก ฉะนั้น  ทั้งอรรถาจารย์และผู้สดับจึงควรมีจิตใจที่เคารพบูชาต่อธรรมอันแยบยลแห่งปรัชญาอย่างที่สุด อันเป็นดังสุภาษิตที่ได้กล่าวไว้ว่า "ธรรมแยบยลอันแสนลึกซึ้ง แม้นกาลนทีล่วงร้อยพันหมื่นกัปก็ยากจะพบพาน" นั่นเอง

เนื้อหา   : 

        "อนึ่ง   สุภูติ !  ณ ที่ใดที่ได้กล่าวพระสูตรนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่คำโศลก 4 บาท ควรรู้ว่า ณ สถานที่นี้ เหล่าเทพ  มนุษย์  อสูรทั้งหลายในโลกนี้ล้วนจะกระทำสักการะดุจพระพุทธสถูปวิหาร จึงนับประสาอะไรกับการที่มีบุคคลล้วนสามารถรับสนองปฏิบัติสวดท่อง  สุภูติ !  ควรรู้ว่าบุคคลนี้ได้ยังความสำเร็จแล้วในอนุตตรธรรมอันเป็นยอดสูงสุดที่หาได้โดยยาก หากว่าพระสูตรนี้ประดิาฐานอยู่ ณ สถานที่ใด ที่นั้นก็จะมีพระพุทธเจ้าและอัครสาวกพำนักอยู่"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                บรรพที่  ๑๒ :  บูชา   ศาสตร์แท้

ความสังเขป   :

        สำหรับบรรพนี้จะเป็นบรรพที่ต่อเนื่องจากบรรพก่อน อันได้กล่าวถึงเรื่องบุญวาสนาแห่งอานุภาพธรรมญาณว่า ยังจะมีความสูงส่งล้ำค่ายิ่งกว่าบุญวาสนาที่ได้รับจากการยึดติดอยู่ในลักษณะเสียอีก  เพียงแต่บรรพนี้จะเป็นบรรพที่มีการแจกแจงลึกซึ้งมากยิ่งกว่า ซึ่งก็คือ บุญวาสนาที่ได้จากการใช้สิ่งของมีค่าบริจาคทาน ก็ยังมิอาจเทียบได้กับบุญวาสนาที่ได้จากการสนองปฏิบัติในพระสูตรนี้ได้เลย นั่นเอง นอกจากนี้  พระพุทธองค์ก็ยังทรงสนับสนุนให้มีการเคารพบูชาต่อการสนองปฏิบัติพระสูตร หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่ได้เข้าใจในพระสูตรและบริจาคทานโดยไม่ยึดติดจักได้มีบุญเป็นฉันนี้ คุณค่าที่ควรแก่การเคารพบูชาก็ควรเป็นฉันนี้ดุจเดียวกัน  ดังนั้นในตอนที่หนึ่งจึงได้แสดงให้เห็นถึงความควรค่าแก่การเคารพบูชา ณ  ที่ ๆ มีการสาธยายพระสูตรฉบับนี้ เพราะ ณ สถานที่ ๆ มีการสาธยายพระสูตรนี้ ในนั้นก็จะมีพระตถาคตประทับอยู่ ซึ่งเหล่าเทพ  มนุษย์  อสูรแห่งปวงภูมิทั้งหลาย ล้วนต้องกระทำสักการะ โดยเปรียบเช่นมีพระพุทธองค์ประทับอยู่ในพระวิหารเช่นนั้น นอกจากนี้ ก็ยังจะมีเทพมังกรฟ้า ทั้ง 8 ฝ่าย มาเป็นธรรมอารักษ์ในที่ ๆ มีการสาธยายพระสูตรนี้อีกด้วย
        ในตอนที่สอง จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความควรค่าแก่การเคารพบูชาต่อการสนองปฏิบัติสวดท่องพระสูตรนี้ นั่นก็เป็นเพราะอนุตรโพธิธรรมทั้งหลายล้วนเกิดมาจากพระสูตรนี้ทั้งสิ้น ซึ่งหากมีคนที่ได้สนองปฏิบัติสวดท่องตามพระสูตรนี้ ก็จะบังเกิดจิตอันวิสุทธิ์ และในจิตอันวิสุทธิ์เช่นนี้ก็จะำไร้ลักษณะและไร้การดำรง ซึ่งถือว่าเป็นการสำเร็จในอนุตตรธรรมที่หาเปรียบได้โดยยากอย่างแท้จริง อนึ่ง  หากจิตใจของบุคคลฉันนี้ได้มีทัศนะว่า ณ ที่ ๆ พระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ ก็คือที่ ๆ พระพุทธะสถืตอยู่แล้วละก็ ฉันนี้  ณ สถานที่ ๆ ได้สนองปฏิบัติพระสูตรนี้ ก็จะเป็นไตรรัตน์แห่งพุทธสาวก  (พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์) และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เราควรกระทำการสักการะบูชานั่นเองแล

เทพมังกรฟ้าทั้ง 8 ฝ่าย  :  เทวดา  นาค  ยักษ์  คนธรรพ์  อสูร  ครุฑ  กินนร  มโหรกา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                บรรพที่  ๑๒ :  บูชา   ศาสตร์แท้

อธิบายพระสูตร  :

        พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนต่อไปว่า  "สุภูติ !  ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งหนใดก็ตาม หากมีบุคคลได้ประกาศสาธยายพระสูตรนี้ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงแค่โศลก 4 บาทก็ดี ด้วยการประกาศสาธยายของบุคคลนี้ ได้ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับฟังสามารถจัดอกุศลจิตจนลุล่วงไปได้ด้วยประการนี้แล้ว ควรที่จะรู้ว่า พระสูตรเล่มนี้ได้สถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในร่างกาย ซึ่งเช่นนี้ก็จะสามารถบังเกิดความประทับใจให้แก่ปวงเทพโพธิสัตว์แห่งอนุตตรภูมิ เหล่าเวไนยสัตว์แห่งมนุษยภูมิ อีกทั้งมวลมารอสูรแห่งอสูรภูมิ ซึ่งเขาเหล่านั้นล้วนจะมากระทำสักการะ โปรยดอกไม้หอมอันเป็นดั่งการบูชาเคารพพระพุทธรูปและสถูปอาราม ฉันนี้แล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดไกลถึงบุคคลที่ได้บังเกิดศรัทธาและรับสนองปฏิบัติสวดท่องในพระสูตรเพื่อหวังให้เกิดญาณที่รู้แจ้งเลย"
        พระพุทธองค์ทรงเมตตาต่อไปว่า  "สุภูติ !  พึงทราบว่าบุคคลประเภทนี้จักสามารถสำเร็จในอนุตตรโพธิธรรม (อนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรม)  อย่างแน่นอน และนอกจากนี้แล้ว ก็ไม่อาจมีธรรมใดที่จะสูงส่งเหนือยิ่งกว่านี้ได้อีก เราควรมีความตระหนักเป็นสำคัญว่า แท้จริงแล้วใจตนก็คือพระพุทธะ ซึ่งไม่ใช่ได้พระพุทธะมาจากภายนอกแต่อย่างใดเลย ดังนั้น  สถานที่ ๆ พระสูตรนี้อยู่ ก็คือ สถานที่ ๆ พระพุทธะประทับอยู่นั่นเอง อนึ่ง ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ ก็จะเป็นดั่งได้อยู่ร่วมอาศัยกับไตรรัตน์แห่งพุทธสาวก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไหนเลยที่จะไม่สามารถสำเร็จได้ และไหนเลยที่จะไม่ควรค่าแก่การบูชาได้ ?"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
               วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                         บรรพที่  ๑๓ :  ดั่งธรรมวิธี  ยึดถือปฏิบัติ

อธิบายบท  :

        อันธรรมนั้น จะหมายถึงธรรมอันแยบยลแห่งปรัชญานั่นเอง แต่สำหรับพระวินัยปิฏก พระสุตันตะปิฏก และ พระอภิธรรมปิฏก ที่เรารู้จักกันในนามว่า พระไตรปิฏกนั้น ก็จะเป็นเพียงแค่ศาสตร์คำสอน ซึ่งจะแตกต่างกับธรรมอันแยบยลแห่งปรัชญาอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้น คำว่า ดั่งธรรมวิธียึดถือปฏิบัติ ที่ได้กล่าวถึงในบรรพนี้จึงมีความหมายว่า "การอิงตามธรรมและนำมาปฏิบัติ" แล  แต่ก่อนอื่นควรต้องเริ่มจากพหูสูตรเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีเสียก่อน ครั้นได้มีความเข้าใจเป็นอันดีแล้วค่อยนำไปสู่การปฏิบัติ หลังจากได้ปฏิบัติก็ค่อยนำไปสู่การบรรลุ แต่หากจะตีแผ่ขยายความให้กว้างยิ่งขึ้น ก็จะเป็น 84,000 ความกลัดกลุ้มของเวไนย์ โดยธรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาอาการ ล้วนต้องเป็นการเจียดยาที่ให้ตรงกับโลกของเวไนยสัตว์ทั้งสิ้น อย่างเช่น อาการราคะ โทสะ และโมหะของเวไนยสัตว์ ก็จักต้องใช้ศีล สมาธิ ปัญญามารักษากำราบ แต่ นอกจากศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว ยังมีอินทรีย์ 5  พละ 5  ความเพียร4   อิทธิบาท4  โพธิ7  มรรค8  โพธิปักขิยธรรม37  ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นธรรมอันวิเศษของผู้บำเพ็ญธรรมได้ทั้งสิ้น แต่สำหรับการ ยึดถือ ปฏิบัติ ที่ได้กล่าวถึงในบรรพนี้ จะหมายถึงการยึดถือปฏิบัติในธรรมอันแยบยลแห่งปรัชญา เพราะว่าการยึดถือปฏิบัติในปรัชญา ก็เท่ากับได้มีความเพียบพร้อมซึ่งธรรมทั้งปวงแล้วนั่นเอง  สำหรับประเด็นของ ธรรมกายมิใช่ลักษณะ ที่ได้กล่าวถึงในตอนก่อน ๆ อันเป็นการทำลายทิฐิออกไปอย่างเป็นลำดับนั้น ก็ถือว่าได้ค่อย ๆ แสดงหลักอันแยบยลแห่งปรัชญานี้ออกมาอย่างกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นในบรรพแม้ไร้หนึ่งลักษณะแล้ว จวบถึงบัดนี้ ความสงสัยทั้งปวงก็ได้รับการคลี่คลายออกไปจนหมดสิ้น ด้วยคำสอนและหลักธรรมที่ลึกซึ้งฉันนี้ จึงทำให้สุภูติแจ่มแจ้งเข้าใจในแก่นธรรม  ฉะนั้น  สุภูติจึงได้กราบทูลให้พระตถาคตทรงประทานนามให้แก่พระสูตรนี้ขึ้นนั่นเองแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                         บรรพที่  ๑๓ :  ดั่งธรรมวิธี  ยึดถือปฏิบัติ

เนื้อหา  :

        สมัยนั้นแล สุภูติได้กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  อันพระสูตรนี้ควรมีนามว่าอะไร ?  ข้าพระองค์ทั้งหลายพึงสนองปฏิบัติอย่างไร ?"  พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "พระสูตรนี้มีนามว่าวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  อาศัยชื่อนามนี้ เธอพึงรับไปปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !   พระพุทะเจ้ากล่าวว่าปรัชญาปารมิตา  มิใช่ปรัชญาปารมิตา เป็นเพียงนามว่า ปรัชญาปารมิตา  สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ์  ตถาคตได้แสดงพระธรรมฤา ?"  สุภูติทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ตถาคตมิได้แสดงพระธรรมอันใดเลย"  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ฝุ่นละอองทั้งหมดในมหาตรีสหัสโลกธาตุ จำนวนถือว่ามากหรือไม่ ?" สุภูติทูลตอบว่า "มากมายยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! "  "สุภูติ !  ฝุ่นละอองทั้งหลายเหล่านี้ ตถาคตว่ามิใช่ฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าฝุ่นละออง ตถาคตกล่าวว่าโลกธาตุ มิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ"  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32  เห็นตถาคตหรือไม่ ?"    "ไม่แล  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ไม่สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32เห็นตถาคตได้  เพราะเหตุใด ?  ตถาคตตรัสว่า มหาปุริสลักษณะ32 มิใช่ลักษณะ เป็นเพียงนามว่ามหาปุริสลักษณะ32" "สุภูติ ! หากกุลบุตร  กุลธิดา ได้ใช้ชีวิตเปรียบเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน แต่หากได้มีบุคคล รับสนองปฏิบัติตามพระสูตรนี้ ที่สุดแม้เพียงแค่โศลก 4 บาทมาประกาศสาธยายแก่ผู้อื่น บุญวาสนาดังกล่าวจะมากมายยิ่งกว่านัก"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                       บรรพที่  ๑๓ :  ดั่งธรรมวิธี  ยึดถือปฏิบัติ 

                                             ความสังเขป

        สำหรับเหตุปัจจัยของบรรพนี้  ก็เป็นเพราะในบรรพก่อนสุภูติได้สดับว่า "การสนองและสาธยายพระสูตรนี้ จักสามารถสำเร็จในธรรมอันหายากยิ่ง"   ซึ่งก็คือ ณ ที่ ๆ พระสูตรนี้อยู่ก็จักมีพระพุทธะประทับอยู่นั่นเอง และเนื่องจากความเคารพที่มีต่่อพระสูตรเป็นเช่นนี้ ดังนั้น  สุภูติจึงกราบทูลถามถึงนามและหลักของการสนองปฏิบัติพระสูตร เพื่อใช้สำหรับเป็นแนวทางในการยึดถือปฏิบัติ  ซึ่งพระตถาคตก็ทรงประทานนามพระสูตรนี้ว่า "วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร และพวกเธอพึงรับไปปฏิบัติกันเช่นนี้"  สาเหตุที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้ได้แฝงไว้ด้วยอนุตตรโพธิธรรม ซึ่งหากบุคคลใดได้บังเกิดจิตศรัทธาจริงใจในการสนองปฏิบัติแล้ว ก็จักสามารถแจ้งในหลักธรรมแห่งการไร้ลักษณ์ไร้ดำรง จนที่สุดได้บังเกิดปรัชญา (ปัญญาแยบยล) อันสุกสกาวที่มีความแกร่งคมดุจวัชร จนได้ก้าวขึ้นสู่ฝั่งแห่งพุทธแดน ณ ฟากโน้นได้ และนี่นี้เองที่เป็นอนุตตรธรรม อันเป็นสุดยอดเยี่ยมที่พระพุทะองค์ทรงมีพระประสงค์จะตักเตือนศิษย์สาวกทั้งหลายได้สนองปฏิบัติตามธรรมฉะนี้แล  การที่พระพุทธองค์ทรงประทานนามให้แก่พระสูตรเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นพระเจตนาในการแสดงธรรมให้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ก็ทรงเกรงว่าศิษย์ทั้งหลายจะเกิดการยึดติดต่อนามของพระสูตรนี้ จนกระทั่งได้ลืมซึ่งความจริงไปว่า "อันว่าปรัชญานั้น ก็คือปรัชญาแห่งธรรมญาณตนนั่นเอง"  ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสต่อจากนั้นเพื่อทำลายความยึดติดลักษณะแห่งนามของพระสูตรนี้ โดยพระองค์ตรัสว่า "ปรัชญาปารมิตา มิใช่ปรัชญาปารมิตาเป็นเพียงแค่อาศัยนามว่าปรัชญาปารมิตามาใช้เท่านั้นเอง  ณ ตรงนี้ได้ทำให้เราทราบว่า แม้แต่ชื่อของพระสูตรก็ยังไม่ควรยึดติดลักษณะด้วยฉะนี้แล ยังจะมีธรรมใดกล่าวสอนกันได้อีก ?  เพราะว่าภายในใจจริงที่วิสุทธิ์แต่เดิมก็ไร้ลักษณะอยู่แล้ว โดยสูตรปารมิตานี้ ก็เป็นเพียงแค่พระสูตรที่ทำให้คนแจ้งในธรรมญาณตนด้วยตนเท่านั้นเอง แต่ทว่า  ภายในใจจริงที่วิสุทธิ์นี้แต่เดิมก็ไร้ธรรมอันใดอยู่แล้วเช่นกัน อนึ่ง  ในเมื่อไร้ธรรม แล้วจะมีพระสูตรไปใยได้ ?  และในเมื่อไร้พระสูตรแล้ว   ไฉนจะมีการเทศนากันได้อีก ?  พึงทราบว่าในสิ่งทั้งปวงที่เป็นการกล่าวอธิบายนั้น ก็เป็นเพียงแค่ยาขนานต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับยารักษาโรคนั่นเอง ในคัมภีร์ฉวนซินฝ่าเย่าได้กล่าวไว้ว่า "ปวงธรรมที่พระตถาคตตรัส เป็นเพียงเพื่อขจัดใจทั้งปวง หากไร้ใจทั้งปวงแล้ว ไฉนต้องมีธรรมเหล่านั้นอีก"  กล่าวคือก็เพราะว่ายังไม่แจ้ง จึงจำเป็นต้องอาศัยคำพูดมาอธิบาย หากได้แจ้งแล้ว คำอธิบายทั้งปวงล้วนผิดทั้งสิ้น หรือก็คือ หากมีโรคแต่ไม่ทานยา ยานั่นแหละกลับกลายเป็นตัวก่อโรคเสียเอง  นอกจากนี้ พระองค์ก็ยังทรงยกตัวอย่างให้ทราบว่า ไม่ว่าจะเป็นความจุลละเอียดดั่งผงธุลี หรือจะเป็นความมหาศาลที่เปรียบดั่งโลกธาตุ หรือกระทั่งมหาปุริสลักษณะ 32  ประการก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนามบัญญัติของความว่างทั้งสิ้น  การที่พระตถาคตทรงค่อย ๆ นำพาเหล่าสาวกให้เกิดความเข้าใจ แท้จริงแล้ว ก็เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงต้องการให้เหล่าสาวกสามารถทำลายลักษณะและพบตถาคตแห่งธรรมญาณตนได้นั่นเอง ฉะนั้น พระองค์จึงทรงทำการเปรียบเทียบบุญและปัญญาให้เห็น เป็นครั้งที่ 3 ของการเปรียบประลองเพื่อให้สาวกทั้งหลายเกิดความกระจ่างในความหมายของศักยะแห่งการพ้นลักษณะ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของพระสูตรนี้  ในอีกทางหนึ่งด้วย โดยพระองค์ตรัสว่า "มาตรว่าจะบริจาคทานด้วยทรัพย์สมบัติที่เป็นจำนวนเท่าเม็ดทรายในคงคานที หรือจะบริจาคทานด้วยชีวิตที่มีจำนวนเทียบเท่าเม็ดทรายในคงคานทีก็ตามแต่  ที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นเพียงลักษณะภายนอกที่ยังมิอาจเทียบได้กับการสนองพระสูตรและแจ้งในธรรมญาณได้เลย และอันบุญที่เขาจักได้รับการตอบสนองปฏิบัติพระสูตรนั้น ก็ยังเป็นบุญที่มากยิ่งกว่าการบริจาคทานที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นอย่างมากมายเสียอีก"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                       บรรพที่  ๑๓ :  ดั่งธรรมวิธี  ยึดถือปฏิบัติ

อธิบายพระสูตร  :

        หลังจากที่สุภูติได้สดับพระธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ในบรรพที่แล้วก็ได้ถือโอกาสทูลถามพระพุทธองค์ว่า  "ข้าแแต่พระสุคต !พระสูตรนี้ควรจะมีชื่อเรียกว่าอะไรดี ?  และเราควรที่จะสนองปฏิบัติพระสูตรนี้อย่างไร ?"  พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่สุภูติว่า "ด้วยปัญญาแยบยลอันเฉียบคมเช่นนี้ ก็จะสามารถพาไปสู่ฝั่งโน้น(ฝั่งนิรวัณ) ได้ ฉะนี้ พระสูตรนี้จึงควรเรียกว่า วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร และพวกเธออาจอิงตามธรรมนี้ไปปฏิบัติ นี่ก็คือเหตุผลที่เราใช้นามว่า วัชรปรัชญาปารมิตา แต่ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใดหล่ะ ?"  พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "สุภูติ !  สำหรับปรัชญาปารมิตาที่พระตถาคตกล่าวนั้น ก็คือความแจ้งอันแยบยลแห่งธรมญาณ ซึ่งเป็นความว่างเปล่าที่ปราศจากสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น และในเมื่อเป็นองค์เดิมที่ไร้สิ่งใด ๆ แล้ว ไฉนจะมีชื่อนามอีกหล่ะ ?  เป็นเพียงแต่เกรงว่าจะมีคนเกิดความคิดดับสูญ จึงได้บัญญัติเป็นนามว่าปรัชญาปารมิตาสูตรด้วยความจำใจ ทั้งนี้  ก็เพื่อเป็นความสะดวกในการให้ศิษย์ทั้งหลายได้สนองปฏิบัติเท่านั้นเอง"    พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "สุภูติ !  เธอมีความเห็นเป็นเช่นไร ?  พระตถาคตได้กล่าวสอนพระธรรมหรือไม่ ?  สุภูติทูลตอบว่า "ข้าแต่พระสุคต !   อันปรัชญาก็คือธรรมญาณตนที่ต้องแจ้งด้วยตน ก็ในเมื่อยังไร้นามที่จะปฏิบัติได้แล้ว  ฉะนั้น  พระองค์จึงไร้การตรัสสอนพระธรรมด้วยเฉกเช่นกัน "  พระพุทธองค์ทรงถามต่อไปว่า  "สุภูติ !  เธอมีความเห็นเป็นเช่นไร ?  ฝุ่นละอองทั้งหมดทั่วมหาตรีสหัสโลกธาตุนี้ ถือว่ามากหรือไม่ ?"  สุภูติทูลตอบว่า "ข้าแต่พระสุคต !  ช่างมากมายยิ่งนัก" พระพุทธองค์ตรัสว่า "สุภูติ !  แม้ฝุ่นละอองนี้จะมาก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงมายาที่ไม่มีรูปลักษณ์ตายตัวที่ได้ถูกบัญญัติให้เป็นนามว่าฝุ่นละอองเท่านั้นเอง และถึงแม้พระตถาคตจะกล่าวว่า โลกธาตุนี้มโหฬารอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาสิ้นกัปแล้ว โลกธาตุนี้ก็ยังคงต้องสูญสิ้นไปอยู่ดี ซึ่งที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีความจริงแท้ โดยมันก็เป็นเพียงแค่นามว่าโลกธาตุเท่านั้นเอง  พระสัพพัญญตรัสต่อไปว่า  "สุภูติ !  เธอมีความเห็นเป็นเช่นไร ?  สามารถที่จะอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 ที่พระองค์ได้ตรัส จะมิใช่ลักษณะแห่งธรรมกายที่ได้พ้นจากลักษณะแต่อย่างใด หากแต่เป็นลักษณะแบบรูปลักษณ์ที่ได้สนองเกิดต่างหาก ซึ่งโดยแท้แล้วก็ยังคงเป็นเพียงนามสมมุติเท่านั้นเอง"  พระพุทธองค์ทรงถามต่อไปว่า  "สุภูติ  !  หากได้มีกุลบุตร กุลธิดาสละอุทิศชีวิตของตนเอง อันเป็นปริมาณเท่าเม็ดทรายในคงคานทีมาบริจาคทานเพื่อหวังบุญ และหากได้มีอีกบุคคลหนึ่ง ที่ได้สนองปฏิบัติในพระสูตรนี้ อีกทั้งยังได้นำไปกล่าวสอนให้ผู้อื่นได้ฟังอีก ด้วยแม้นเขาจะได้กระทำไปเพียงแค่โศลก 4 บาทก็ตาม  แต่สำหรับบุญที่เขาได้จากการสนองปฏิบัติในพระสูตรนี้นั้น ยังจะมีความมหาศาลยิ่งกว่าการใช้ชีวิตอุทิศสละทานไปเสียอีก"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                        บรรพที่ 14  ห่างลักษณ์  นิโรธ

อธิบายบท  :   

        อันว่าห่างลักษณ์นั้น ก็คือการห่างออกจากรูปลักษณะแห่งมายาทั้งหลาย ซึ่งลักษณะทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนคือลักษณะที่เป็นมายาผกผัน โดยปุถุชนยังจะไม่รู้แจ้งเข้าใจซึ่งมายาอันไม่จริงแท้เหล่านี้ จึงก่อให้เกิดความยึดติดในการยึดการละ และได้ถูกความเป็นมายาเหล่านี้มามอมรัดอยู่ทุกขณะซึ่งภาวะแห่งมายาได้คลุ้งซ่านอยู่ภายในใจเป็นเช่นนี้เสมอ กระทั่งญาณแท้แห่งตนได้ถูกอายตนะลักษณะภายนอกบดบัง จนส่งผลให้ถูกแวดล้อมภายนอกมาพลิกหมุนอยู่ทุกเมื่อ เนื่องด้วยถูกพลิกหมุนจึงเกิดความฟุ้งซ่าน เนื่องด้วยความฟุ้งซ่านจึงเกิดการสร้างกรรม เนื่องด้วยการสร้างกรรมจึงเกิดทุกขเวทนา จนในที่สุดจึงเวียนว่ายชั่วกัปชั่วกัลป์อย่างไม่มีวันหมดสิ้นได้เลย แต่หกเขาสามารถห่างพ้นจากลักษณะ เช่นนี้ก็จะไม่ถูกลักษณะมอมเมา ซึ่งเขาก็จะไร้การยึดติด ในการยึดการละ ครั้นไร้การยึดติดในการยึดการละแล้ว อายตนะลักษณะก็จะว่างเปล่า ใจภายในก็จะไม่เลื่อยลอยออกไป อายตนะภายนอกก็ไม่อาจเข้าจู่โจมได้ ถ้าเช่นนี้แล้ว ทั้งนิ่งและไหวก็จะไม่บังเกิดครั้นทั้งนิ่งและไหวไม่บังเกิดแล้ว ความสงบศาติก็จะปรากฏเช่นนั้นเองแล   สำหรับความสงบศานติที่ได้กล่าวถึงนั้น   ในเริ่มแรกจะสยบอายตนะภายนอก จากนั้นจะขจัดอินทรีย์ภายใน แต่ก่อนที่ทั้งอายตนะและอินทรีย์จะสิ้นซากไปนั้น  จักต้องทำลายบุคคละอัตตา แล้วค่อยทำลายธรรมอัตตา จนในที่สุด แม้แต่ลักษณะแห่งการแจ้งในสิ่งที่แจ้งก็ต้องหลีกพ้น เมื่อขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็คือ ความว่างทั้งหลายไม่มีบังเกิด และในที่สุด แม้แต่ลักษณะแห่งการว่างในสิ่งที่ว่างก็ต้องสูญ ด้วยการเกิดดับที่ได้ดับด้วยประการเช่นนี้แล้ว ความสงบศานติก็จักปรากฏนั่นเองแล

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”