collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)  (อ่าน 71981 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      หลงด้วยใจตน ไม่เห็นจิตญาณภายใน เสาะหาตถตาสามองค์ภายนอก ไม่เห็นสามพุทธาที่มีในกายตน ท่านทั้งหลายจงฟังว่า ให้ท่านทั้งหลายได้เห็นจิตญาณตนอันมีสามพุทธา ร่วมอยู่ในกายตน สามพุทธานี้เกิดในจิตญาณตน มิใช่ได้จากภายนอก เหตุใดจึงได้ชื่อว่า "กายธรรมบริสุทธิ์หมดจด" ก็ด้วยจิตญาณของชาวโลกบริสุทธิ์ หมดจดแต่เดิมที ธรรมทั้งปวงเกิดจากจิตญาณตน ดำริคิดชั่วทั้งปวงจึงเกิดการกระทำชั่ว  ดำริคิดความดีทั้งปวงจึงเกิดการกระทำดี
     ดังนั้นจึงกล่าวว่า ธรรมทั้งปวงอยู่ในจิตญาณตนดุจฟ้าใสอยู่อย่างนั้น ตะวันเดือนสว่างอยู่เช่นนั้น ถูกเมฆลอยมาบดบัง บนสว่างล่างมืด พอถูกลมพัดพาเมฆฝนกระจาย บนล่างสว่างด้วยกัน ปรากฏการณ์ทุกอย่างล้วนให้ได้เห็น
    จิตของชาวโลกมักเคว้งคว้างเลื่อยลอย เหมือนเมฆบนท้องฟ้าปกคลุม  ท่านผู้เจริญ จิตปัญญาดุจตะวัน ญาณปัญญาดุจจันทรา จิตปัญญาญาณสว่างอยู่เป็นนิจ แต่หากยึดหมายภายนอก ถูกเมฆแห่งความคิดผกผันฟุ้งซ่านครอบคลุม จิตญาณตนมิอาจกระจ่างใส  หากได้พบผู้เจริญธรรม ให้ได้สดับสัทธรรม กำจัดความหลงผกผันฟุ้งซ่านในตนเอง จะสว่างปลอดโปร่งทั้งนอกใน หมื่นธรรมล้วนปรากฏได้ในจิตญาณตน
   ความหมาย...พิจารณา...
   ผู้เจริญธรรมในวิถีอนุตตรธรรมยุคนี้ พระวิสุทธิอาจารย์แห่งยุค คือ อมตะพุทธจี้กง กับ พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา จากการปกโปรดของทั้งสองพระองค์ ประทานปัจจัยเพิ่มพูน สาธุชนมากมายได้สำนึกรู้ตื่น เจริญธรรม "หมื่นธรรมปรากฏได้ในจิตญาณตน" โดยแท้จริง หมื่นธรรมหรือธรรมทั้งปวงมิพ้นจากจิตญาณตน ท่านที่อรรถาธรรมได้เช่นพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ซึ่งมิต้องการคัมภีร์ มิต้องศึกษาเรียนรู้ท่องจำมา พอขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ข้อธรรมก็พรั่งพรูมิขาดสายเป็นสัจธรรมทุกถ้อยคำโดยมิต้องตระเตรียมเรียบเรียง ท่านผู้เข้าถึงภาวะนี้ ท่านเรียกว่า"พุทธกายธรรมบริสุทธิ์หมดจด"
    ท่านผู้เจริญ ใจตนพึ่งพาจิตญาณตนเป็นสรณะจึงเท่ากับพึ่งพาพุทธะแท้ ผู้ถือจิตญาณตนเป็นสรณะนั้น จะกำจัดอกุศลในจิตญาณตน กำจัดอิจฉาริษยา ใจที่ยโสโอหัง ใจตนยึดมั่นในตน ใจหลอกลวงฟุ้งซ่านผกผัน ใจดูแคลนคน ใจจองหองเฉยเมย ใจเห็นผิด ใจผยองลำพองตน กับการกระทำไม่งามทุกยามทุกอย่าง มีคำกล่าวว่า "ทันทีที่เกิดอัตตา โทษผิดบาปตามมาไม่ห่าง" ความไม่ดีงามที่กล่าวมาล้วนเริ่มจากมีอัตตาเป็นเหตุ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ตนเห็นความผิดตนเสมอ ไม่พูดความดีร้ายของใครเขา คือเอาจิตญาณตนเป็นสรณะ พึงถ่อมใจลงเสมอ เคารพนอบน้อมทั่วไป คือเห็นจิตญาณตนปรุโปร่งราบรื่น ไม่มีอุปสรรคสิ่งกีดกั้นเรียกว่า "เอาจิตญาณตนเป็นสรณะ"
      ความหมาย...พิจารณา...
      ไม่เคารพใด ๆ เท่ากับไม่เคารพตนเอง ทำร้ายใด ๆ ก็เท่ากับทำร้ายตนเอง จะต่างกันเพียงแต่ผลที่ตอบสนองสะท้อนกลับ จะมาช้าหรือเร็ว มาหนักมาเบา หรือมาในรูปแบบใด
      อย่างไรเรียกว่า "นิรมาณกายร้อยพันล้าน" หากไม่ตริตรึกนึกคิด ก่อเกิดหมื่นธรรมารมณ์ จิตญาณแท้จริงว่างจากหมื่นธรรม เมื่อเกิดหนึ่งความคิดดำริได้ชื่อว่า "แปรเปลี่ยนนิรมาณ" เมื่อคิดดำริเรื่องร้ายจิตญาณแปเป็นนรก  เมื่อคิดดำริเรื่องดีจิตญาณแปรเป็นสวรรค์   เมื่อเกิดอำมหิตพิษร้ายจิตญาณแปรเป็นมังกรงูเมื่อเกิดเมตตากรุณาจิตญาณแปรเป็นพระโพธิสัตว์  เมื่อเกิดปัญญาจิตญาณแปรเป็นชาวฟ้า  เมื่อเกิดความโง่หลงจิตญาณแปรเป็นผู้อยู่เบื้องล่าง
     จิตญาณแปรเปลี่ยนมากมาย คนหลงไม่อาจรู้ตัวตื่นใจ ทุกขณะจิตคิดชั่ว มักเดินลงอบายภูมิ พอกลับใจคิดดี ปัญญาก็เกิด ดั่งนี้ได้ชื่อว่า" จิตญาณตนแปรกายเป็นพุทธะ" (จื้อซิ่งฮว่าเซินฝอ)  พุทธะนิรมาณกายอันได้จากจิตญาณตน
    อย่างไรเรียกว่า "สัมโภคกายกลมสมบูรณ์" ตัวอย่างเช่น หนึ่งโคมไฟขจัดความมืดพันปีได้ หนึ่งปัญญาดับความโง่เขลาหมื่นพันปีได้
    ความหมาย...พิจารณา...
    นั่นคือ มหาปัญญาแห่งจิตญาณตนสำแดงพุทธานุภาพเหมือนโคมไฟสำแดงแสงสว่าง แผ่รัศมีไปโดยรอบ ปัญญาแห่งจิตญาณแผ่รัศมีไปกว้างไกลไร้ขอบเขต พระพุทธชินราช มีพระลักษณะรัศมีแปล่งประกายออกโดยรอบ แสดงให้เห็นพระปัญญาบารมีแห่งจิตญาณ เมื่อบรรลุโพธิญาณแล้ว จิตญาณเปล่งรัศมีของมหาปัญญาบริสุทธิ์ไปทั่วสิบทิศ ในท่อนนี้ พระธรรมาจารย์บอกให้เรารู้ว่า เวไนย์สมบูรณ์อยู่ด้วยปัญญาบริสุทธิ์ บรรลุพุทธะคือ การสำแดงมหาปัญญาอันบริสุทธิ์สมบูรณ์ให้ปรากฏออกมาได้ ฉะนั้น แม้ความมืดจะครอบคลุมอยู่พันปี ความโง่หลงจะมาบดบังนานนับหมื่นปี แต่ทันทีที่โคมไฟสว่างขึ้น ทันทีที่ปัญญาปรากฏความมืด ความโง่หลง ก็พลันปลาสนาการไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        อย่ามุ่งคิดคำนึงถึงข้างหน้า อดีตที่ผ่านอันล่วงเลย มิอาจคว้าไว้ หมั่นรำลึก(พิจารณา) ตามไป ให้ทุกขณะจิต (ความรำลึกคิด) กลมใส เห็นในจิตญาณตน ดี ชั่ว แม้จะต่างกัน แต่จิตญาณไม่เป็นสอง จิตญาณไม่เป็นสองได้ชื่อว่าจิตญาณตัวแท้ ในความเป็นจิตญาณตัวแท้นั้น มิแปดเปื้อนด้วย ดี ชั่ว เช่นนี้จึงได้ชื่อว่า "พุทธะสัมโภคกายกลมสมบูรณ์" จิตญาณตนเกิดหนึ่งความคิดชั่ว จะลบล้างบุญปัจจัยที่สั่งสมมาหมื่นกัปให้หมดไป  จิตญาณตนเกิดหนึ่งความคิดดี ความชั่วมากมีเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาหมดสิ้นได้ จนถึงก้าวขึ้นฟากฝั่งสัมมาสัมโพธิ
       ทุกขณะจิตส่องเห็นตน ไม่ผิดจากรำลึกนี้ (รำลึกบริสุทธิ์แห่งจิตญาณ มิใช่มโนวิญญาณ) ได้ชื่อว่า "พุทธะสัมโภคกายกลมสมบูรณ์" ท่านผู้เจริญ จากกายธรรมดำริคิด มาเป็น พุทธะนิรมาณกาย จากทุกขณะจิต จิตญาณตนส่องเห็นตน มาเป็น พุทธะสัมโภคกาย
      บุญบารมีแห่งจิตญาณอันได้จากรู้แจ้งด้วยตน รู้บำเพ็ญด้วยตน เป็นสรณะอันจริงแท้แห่งตน เนื้อหนังคือรูปกาย รูปกายคือเคหา มิอาจกล่าวได้ว่าเป็นสรณะที่พึ่งพาได้ หากรู้แจ้งสามกายในจิตญาณตน คือรู้จักพุทธะจิตญาณตน  อาตมามี ""สรรเสริญนิรรูป"" หนึ่งบท หากสวดท่องทำตามได้ จบคำก็ทำให้ท่านลบล้างความหลงผิดที่สั่งสมเนิ่นนาน อันตรธานได้ในบัดดล

       บทสรรเสริญนิรรูป...สรรเสริญว่า...

คนหลงบำเพ็ญ        หวังเป็นวาสนา       หาใช่เพียรธรรม
ได้แต่พูดพร่ำ         บำเพ็ญวาสนา         ว่าเป็นเพียรธรรม
แจกทานอุปฐาก      มากมีวาสนา           คิดว่าเหลือล้ำ         
แต่ใจสิทำ       ความโลภโกรธหลง         คงไว้เหมือนเดิม
บำเพ็ญเพื่อเอา         วาสนามาลบ         กลบโทษบาปไป     
ชาติหน้าแม้นได้        วาสนามาส่ง          ยังคงบาปหนา
พึงกำจ้ดเหตุ            บาปร้ายให้ผล        ด้วยใจตนนา
ต่างขอขมา              ด้วยตนจิตญาณ      อันสำนึกจริง
พลันสำนึกแจ้ง          แห่งมหายาน         จิตญาณขอขมา
กำจัดมิจฉา              มรรคาตรงธรรม       ไม่ซ้ำผิดบาป
ศึกษาพระธรรม          ย้ำที่จิตตน            ยินยลรู้รับ
บรรลุเนื่องนับ            เช่นกับพุทธา         วงศาเดียวกัน
อาจารย์ของอาตมา     ถ่ายทอดฉับพลัน     หนึ่งธรรมนี้ว่า
ปรกโปรดปรารถนา      ร่วมญาณกายา        เห็นจิตญาณตน
หากใคร่ภายหน้า        พบกายาธรรม         สำเร็จมรรคผล
จงออกหากพ้น          รูปธรรมชำระ           กระจ่างกลางใจ
จงเพียรฝึกฝน           เห็นตนจิตญาณ        อย่านานเนิ่นช้า
ความคิดข้างหน้า        พลันหยุดไม่มา        ชีวานี้สิ้น
หากสำนึกใส             มหายานได้            ภายในจิตจริง
ศรัทธาถวิล               นบนอบประนม        ก้มขอต่อใจ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

           ความหมาย...พิจารณา...บทสรรเสริญนิรรูป
       ย้อนอ่านบทข้างหน้าที่กล่าวว่า กุศลวาสนา กับ บุญบารมี  ต่างกัน  กุศลวาสนา ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าของอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคารบริวารยศศักดิ์ฐานะ แต่ยังมีอาสวะกิเลส เรียกว่า อาสวะวาสนา เป็นวาสนาในกองกิเลส วุ่นวาย จึงเห็นเศรษฐีมากมายฆ่าตัวตาย ตกต่ำเสียหาย วาสนาฐานะ ยังพาให้ก่อเกิดโทษผิดบาปเพิ่มขึ้นกว่าอดีตชาติเสมอ ทั้งคิดผิด พูดผิด ทำผิด ด้วยจริตกำเริบเสิบสานจากยศศักดิ์ฐานะนั้น หากไม่รู้แจ้งจิต ไม่ชำระจิตให้บริสุทธิ์ดังว่าโทษผิดบาปมิอาจลบล้างได้ ยังคงติดตามไปทุกชาติภพ
      สัจธรรมบอกเราว่า "จะเอาวาสนาลาภยศอุดช่องบาปนั้น ยากนัก ทำดีได้ดีตอบ ทำชั่วได้ชั่วสนอง" หนีไม่พ้นแน่นอน เพียงแต่จะมาช้า มาเร็วในรูปแบบไหนเท่านั้น ทางเดียวที่ทำได้คือ "ชำระใจให้หมดจดบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใจมิใช่บานกระจกใส" กระจกแม้จะใส หากเป็นฐาน เป็นบาน ฝุ่นธุลีย่อมจับเกาะได้ใหม่
     ชำระใจจึงหมายถึง ชำระหมดสิ้น แม้แต่ความเป็น "ใจ" ก็ไม่มี เมื่อใจไม่มี ฝุ่นธุลีใหม่ย่อมไม่มีที่จะจับเกาะได้ ภาวะจิตเป็นสูญตาว่างเปล่า แม้มิได้กำหนดหมายว่า จะลบล้างโทษผิดบาป โทษผิดบาปก็ว่างเปล่าไปโดยปริยาย เพราะขาดสิ้นแล้วด้วยเหตุปัจจัยที่ให้ก่อเกิด
    จุดนี้โปรดอย่าได้เข้าใจผิดว่า "ฉันผิดมากมาย แสร้งทำลืมไป ไม่จำไม่ผิด" ในคัมภีร์บุษปบัณทิต หรือ อวตสกสูตร ฮว๋าเอี๋ยนจิง จารึกประโยคว่า
แม้นหากร้อยพันกัป     บาปเวรไม่สิ้นไป
บรรจบพบปัจจัย          ผลภัยยังต้องรับ
     จึงต้องสิ้นจากเหตุปัจจัยโดยเด็ดขาด เราชาวธรรมน้ำตาพรากทุกครั้งที่อมตะพุทธะจี้กงพระอาจารย์ของเราประทับทิพย์ญาณมา เราสำนึก เราขอตั้งต้นใหม่ แต่พอเวลาผ่านไป ไม่มีอะไรจริงจังเหมือนอย่างเดิม มิใช่เสแสร้งน้ำตาพราก แต่ด้วยเหตุไม่เห็นจิตญาณตน ไม่เข้าซึ้งถึงแก่นแท้ หรือกล่าวว่าเมล็ดพันธุ์ป่ายังมิได้ถอนรากถอนโคนจึงแตกกิ่งใบใหม่ เป็นพันธุ์ป่าที่มิได้พัฒนาคุณภาพพันธุ์ต่อไปอีก
     พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า ท่านผู้เจริญ จำเป็นจะต้องท่องจำนำไปปฏิบัติบำเพ็ญตามนี้ จบคำทันทีเห็นจิตญาณ แม้อยู่ห่างจากอาตมาพันลี้ ดุจดั่งอยู่ข้างอาตมา แต่หากจบคำนี้มิรู้แจ้งได้ จะมีประโยชน์อันใดที่อยู่ห่างไกลกันพันลี้ อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่ ถนอมรักษาไว้ให้จงดี กลับไปบำเพ็ญ
    สาธุชนทั้งหมดสดับธรรมดังนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้แจ้ง ต่างปิติยินดีเทิดทูนปฏิบัติตาม
    ความหมาย...พิจารณา...
   รู้สำนึก รู้ตื่น รู้แจ้ง รู้เห็นจิตญาณตน รู้เห็นจิตญาณเดิมแท้ ล้วนเป็นภาวะรู้ที่อยู่เหนือสามัญชน แต่ภาวะรู้นั้น ยังมีตื้นลึกต่างกัน แล้วแต่ความปราณีตของจิตใจในแต่ละคน การจะรู้เห็น เป็นเรื่องเฉพาะตน ใครก็ช่วยไม่ได้ มีแต่เสริมส่งเพิ่มพูนเหตุปัจจัยแก่กัน ผู้ร่วมบำเพ็ญ พึงช่วยเพิ่มพูนปัจจัยแก่กัน อย่าตัดทอน กีดกัน กลั่นแกล้งซึ่งกัน เพราะนั่นคือ โทษในนรกอเวจี ไม่ช่วย ซ้ำยังทำลาย (ด้วยความคิด วาจา กระทำทางอ้อม ทางตรง ฯ) โทษมหันต์เพราะเป็นการตัดสายปัญญาญาณในการบรรลุธรรมของเขา เบื้องบนไม่มีคนประเภทนี้ คนประเภทนี้จึงไปสู่เบื้องบนไม่ได้ จำไว้ว่า "ภาวะจิตขณะนี้ คือที่หมายสำหรับเราที่จะต้องไป จะไปสู่สภาพใดให้มีจิตในสภาวะนั้น"
                                                                             --จบบทที่ ๕ -- เล่ม ๒

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                  คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร   บทที่ ๖   :  กราบนิมตน์บุญวาระ (ซัน ฉิ่ง จี เอวี๋ยน)

       ตั้งแต่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้รับวิถีธรรม จากพระธรรมาจารย์หวงเหมย (หงเหยิ่น) จนกลับมายังหมู่บ้านเฉาโหวที่เมืองเสาโจว  ยังไม่มีใครที่นี่รู้ความเป็นมาเลย ในหมู่บ้านนี้มีผู้คงแก่เรียนนามว่า หลิวจื้อเลวี่ย ให้ความเคารพต่อพระบรรพจารย์เป็นอันมาก  จื้อเเลวี่ยมีป้าบวชเป็นชี ฉายาว่า อู๋จิ้นจั้ง (ขุมทรัพย์เหนือคณา) สวดท่อง มหาปรินิวาณสูตร อยู่เป็นประจำ ทันทีที่พระธรรมาจารย์ได้ยินก้เข้าใจความหมายแยบยลทันที จึงอรรถธิบายให้

     พิจารณา...
 จากบทที่หนึ่งคงจำได้ว่า พระธรรมาจารย์ต้องข้ามเทือกเขาใหญ่ต้าอวี่หลิง (ทางเหนือของมณฑลกว่างตง) กว่าจะลี้ภัยมาถึงหมู่บ้านเฉาโหวนี้ได้เป็นเช่นไร  แม่ชีถือพระคัมภีร์ขอถามความหมายในแต่ละอักษร พระธรรมาจารย์ว่า "อักษรยังไม่รู้จัก จะเข้าใจความหมายกระไรได้" พระธรรมาจารย์ว่า "สัจธรรมวิเศษแห่งเหล่าพุทธะ หาได้เกี่ยวด้วยอักษรไม่" แม่ชีตื่นใจ เที่ยวประกาศไปแก่ผู้สูงส่งคงแก่เรียนทั้งหลายในหมู่บ้านว่า "บุคคลท่านนี้คือผู้ทรงธรรม พึงอุฎฐากท่านนัก" หลานของเจ้าเมืองจิ้นอู่ (โจโฉ) นามว่า เฉาสูเหลียง กับชาวบ้านชิงกันมากราบนมัสการ ในเวลานั้น "วัดป่ารัตนาราม" ก่อนเก่าโบราณมา ตั้งแต่ปลายราชวงศ์สุย ถูกกองทัพเผาผลาญทำลายไปจึงได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ในสถานที่เดิมนั้น ทุกคนพร้อมกันนิมนต์พระมหาเภระเจ้าฮุ่ยเหนิงเข้าจำพรรษา วัดร้างจึงกลายเป็น "รัตนาราม" อย่างแท้จริงไปทันที
       พิจารณา...
 ครั้งนั้น ขณะที่พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น บวชจิตให้แก่ศิษย์ฮุ่ยเหนิงนั้น เป็นยามรัตติกาลเร่งรีบผลีผลาม ด้วยเกรงว่าจะมีผู้ช่วงชิงบาตรกับจีวร  พระอาจารย์จึงมิได้ปลงผมให้แก่ศิษย์ แต่ศิษย์ฮุ่ยเหนิงก็ได้ถือบวชวิถีจิตฉับพลันแล้ว จึงมิได้ผิดแปลกแต่อย่างใด ในครั้งพระโพธิธรรมเสด็จจากชมพูทวีปมาโปรดที่ประเทศจีน พระองค์ก็ทรงพระเกศาประบ่า พระองค์ยังกล่าวด้วยว่า "รู้แจ้งเห็นใสในจิตญาณ จึงเรียกได้ว่า ผู้ออกบวชบำเพ็ญ"  หากมีแต่ลักษณะ รูปแบบ มิได้บวชจิต จะพึงได้รับความเคารพยกย่องว่า "พระเถระ" อย่างไรได้ ผู้บวชจิตในวิถีอนุตตรธรรมที่ขาดการสำรวมเรียนรู้ คงจะได้เห็นความสำคัญของตัวเองมากขึ้น  พระธรรมาจารย์จำพรรษาอยู่เก้าเดือนกว่า ถูกพวกคิดร้ายค้นพบติดตามอีก จึงหลบออกไปซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาหน้าพระอาราม คนร้ายค้นหาไม่พบ จุดไฟเผาป่า พระธรรมาจารย์แทรกตัวเข้าไปซ่อนอยู่ในซอกหิน จึงได้พ้นภัย ปัจจุบันยังคงมีรอยประทับนั่งฌาน กับรอยเส้นด้ายของผ้าที่พระธรรมาจารย์นุ่งห่มปรากฏให้เห็นอยู่ หินก้อนนั้นจึงได้ชื่อว่า "หินหลบภัย" พระธรรมาจารย์คิดถึงคำกำชับต่อเหตุการณ์ล่วงหน้าที่พระอาจารย์ของท่านกล่าวว่า "พบไฮวให้หยุด พบฮุ่ยให้ซ่อน" จากนั้นจึงแฝงองค์ไว้ที่สองอำเภอนี้
      พิจารณา...
ระหว่างจำพรรษาอยู่ที่วัดป่ารัตนารามเก้าเดือนกว่านั้น แม่ชีอู๋จิ้นจั้ง อาราธนามหาเถระเจ้าแจกแจง "มหาปรินิรวาณสูตร" เรื่อยมาเป็นเวลาถึงสิบห้าปี ภายหลังเมื่อมาถึงวัดธรรมญาณ ได้พบกับพระมหาเถระเจ้าอิ้นจงฝ่าซืออภิธรรมาจารย์ศิษย์รุ่นน้องที่มีสมณศักดิ์และบารมีคุณเป็นที่เคารพยิ่งของสาธุชนมากมายซึ่งท่านกำลังอรรถามหาปรินิรวาณสูตรอยู่พอดี พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้แจกแจงพระสูตรโดยนัยอันลึกซึ้งแก่พระธรรมาจารย์อิ้นจงฝ่าซือ นับเป็นบุญปัจจัยอันวิเศษยิ่งในการบรรจบพบกันครั้งนั้น  สงฆ์รูปหนึ่งธรรมฉายาว่า "ธรรมสมุทร ฝ่าไห่" เป็นชาวอำเภอเสาโจว ฉวี่เจียง ได้กราบพระธรรมาจารย์เป็นครั้งแรก ขอคำอธิบายประโยคที่ว่า "เข้าถึงใจ เข้าถึงพุทธะ" ขอได้โปรดชี้นำแจกแจง พระธรรมาจารย์โปรดว่า "ความคิดคำนึงข้างหน้า (ผ่านไป) ไม่เกิดคือเข้าถึงใจ (ไม่อาลัยอาวรณ์ย้อนคิดอดีตผ่าน) ความคิดคำนึงในภายหลังไม่ดับ คือ เข้าถึงพุทธะ (สิ้นเชื้อสิ้นไฟ จึงไม่พึงดับอีก)  ปลงเห็นจริงต่อรูปทั้งปวง คือ เข้าถึงใจ พ้นจากรูปทั้งปวง คือ เข้าถึงพุทธะ ( "ใจคน" รู้หยุดได้ ไม่ก่อเหตุ "พุทธะ" ปราศจากเหตุอันพึงระงับหยุด)
     พิจารณา...
 อมตะพุทธะจี้กงเคยโปรดว่า
อารมณ์        สงบ            ใจนิ่งราบ
หนึ่งนิ้ว        จุดสดับ        วิเศษใส   
ตรงหน้า        เจิดจ้า         ประตูใจ
ร่วมสาย        พุทธะ         อมตะเซียน
ดำริพลัน       ผันใจ          ให้ผิด
พาจิต          ชิดโลก         วิสัย
กลับหวน       เวียนเกิด       เวียนตาย
เสียดาย        ที่ได้ทาง       กระจ่างพลัน
     ภาวะเดิมแท้ของใจ ไม่มีอะไรอยู่ภายในภายนอก บริสุทธิ์ว่างเปล่าดั่งทารกน้อย ไม่รำลึกตรึกคิดย้อนย้ำ ไม่อาลัยปรุงแต่ง ภาวะของความเป็นพุทธะบริสุทธิ์หมดจด ไม่ยึดหมายพัวพันในรูปทั้งปวง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

          โปรดต่อไปว่า
        หากอาตมาจะแจกแจงให้พร้อมมูล เกรงว่าสิ้นกลับเวลายังแจงได้ไม่สิ้น" จงฟังโฉลกจากอาตมาว่า "เข้าถึงใจ" ได้ชื่อว่าปัญญา ( "รู้หยุด" ด้วยปลงเห็นความเป็นจริง)  "เข้าถึงพุทธา" คือ สมาาธิมั่น ( "คงอยู่" กับสัจธรรมปัญญาสมาธิ) สมาธิฺปัญญาเสมอกัน (เมื่อสมาธิกับปัญญามิแยกห่างต่างกัน) คือดำริอันบริสุทธิ์ผุดผ่องแท้ (ดำริคิดทุกอย่างล้วนเหมาะควร)
          พิจารณา
       ดังกล่าวแล้วข้างต้นบทว่า สมาธิกับปัญญาคือหนึ่งเดียวกัน สมานกันไป สำนึกรู้แจ้งในวิถีธรรมนี้ อาศัยอนุสติในจิตญาณของท่าน อันเป็นมา (แต่ก่อนเก่า) ใช้จิตอันมิเกิดดับแต่เดิมทีนั้น บำเพ็ญใจบำเพ็ญพุทธะพร้อมกันไป อันเรียกได้ว่า "สัมมาวิถี" (ทางตรง)
          พิจารณา
        อนุสติ คือ ความระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (ทั้งภายนอกกับภายในตนเอง)  ระลึกถึงศีล ทาน และสุดท้ายคือนิพพาน เหล่านี้ เป็นความระลึกดีที่ควรมีอยู่เสมอ เมื่อเป็นความระลึกดี กาย วาจา ใจ ย่อมดำรงความเคยชินดีที่เคยสั่งสมเป็นมา เมื่อได้เห็นสิ่งดีอันเคยเป็นมา ก็จะระลึกได้ จะคุ้นเคยเจริญอยู่ในสิ่งดีนั้น จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า บางคนพอได้รับวิถีธรรมก็เข้าใจเกิดศรัทธา และปฏิบัติตามบำเพ็ญเพียรทันที ส่วนคนไม่มีอนุสติเดิมมาก่อน เพียรพยายามปลูกฝังตั้งแต่บัดนี้ ก็จะมีได้เป็นได้เช่นเดียวกัน  สงฆ์ฝ่าไห่ได้ฟังพลันรู้แจ้ง ถวายโศลกสรรเสริญมหาเถระเจ้าว่า
                                 "เข้าถึงใจ        เดิมทีนี้        คือพุทธะ
                                มิแจ้งกระจะ         ละตน          คู่ไว้
                                ฉันรู้ปัญญา          สมาธิ           เป็นไป
                                เพียรสองอย่างได้  ละไร้           รูปนาม"
          พิจารณา
        สงฆ๋ฝ่าไห่ เป็นหนึ่งตัวอย่างของผู้มีอนุสติความเคยชินดีที่เคยสั่งสมเป็นมา จึงเข้าใจวิสัชนาธรรมที่ได้ฟังทันที ดังนี้       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        สงฆ์อีกรูปหนึ่งฉายา "เจริญธรรม ฝ่าต๋า" เป็นชาวเมืองหงโจว ออกบวชตั้งแต่อายุเจ็ดปี สวดท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตรเป็นประจำเสมอมา ได้มากราบพระธรรมาจารย์ แต่ศรีษะมิได้จรดพื้น พระธรรมาจารย์จึงตำหนิว่า "อายุเจ็ดปีเช่นนี้ ดูแลความเป็นอยู่ของตนโดยไม่เป็นภาระต่อใคร ไม่กระทบต่อการปฏิบัติบำเพ็ญของผู้ใดได้หรือไม่" เมื่อไม่มีปัญหา พระบรมศาสดาก็โปรดอนุญาตให้บวชเป็นเณรน้อยได้ (สงฆ์ฝ่าต๋าต้องพูดความจริง เพราะพระธรรมาจารย์ทรงหยั่งรู้) จึงได้ตอบว่า "ศิษย์สวดท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตรมาแล้วสามพันเล่มครั้ง"
          พิจารณา
        ในพระคัมภีร์ "สัทธรรมปุณฑริกสูตร" มีอักษรทั้งหมดหกหมื่นกว่าตัว หากสวดท่องเร็วขึ้น วันหนึ่งจะสวดท่องได้เพียงหนึ่งเล่มครั้ง หากสวดเป็นประจำทุกวันวันละหนึ่งเล่มครั้ง จะต้องใ้เวลาสวดนานถึงแปดปี  ฉะนั้น สงฆ์ฝ่าต๋าน่าจะสวดมาแล้วกว่าสิบปี คือสวดก่อนบวชเณร นับว่าเป็นผู้มีกุศลมูลสูงมากทีเดียว
        พระธรรมาจารย์โปรดว่า  :   หากท่านสวดได้ถึงหนึ่งหมื่นเล่มครั้ง เข้าใจความหมายในพระคัมภีร์โดยไม่ถือดี ก็จะเสมอด้วยอาตมา แต่วันนี้ท่านทำผิดต่อกิจนี้ (การสวดท่อง) ยังมิรู้ผิดเลย
          พิจารณา
        "...เสมอด้วยอาตมา...มิใช่พระธรรมาจารย์จะยกตนข่มท่าน มิใช่เสมอด้วยสถานภาพ มิใช่เสมอด้วยปัญญาความสามารถ แต่หมายถึงเสมอด้วยความเป็นผู้รู้แจ้งต่อสัจธรรม ดำเนินไปด้วยกัน ผู้รู้แจ้งต่อสัจธรรม จะปราศจากความถือดีเช่นนี้ "...ทำผิดต่อกิจนี้..." กิจอย่างหนึ่งของผู้บวชเรียนและผู้ศึกษาธรรม จะต้องสวดท่อง เรียนรู้ กระจ่างแจ้งต่อพุทธโอวาท พุทธวจนะ กระจ่างแจ้งต่อพุทธธรรม อันถือเป็นภาระอย่างหนึ่ง  ฉะนั้น หากสวดท่องโดยมิกระจ่างแจ้ง หรือหากอวดตัว ถือเป็นความเขื่องเหนือใคร ๆ เท่ากับตีขลุมผ่านไปวัน ๆ นับว่่าผิดต่อภาระหน้าที่ผิดต่อกิจของผู้บวชเรียน
                                                จงฟังโฉลกจากอาตมา
                                     "จริยะวินัย        ให้สยบ        ลบยโส
                                      แต่ไฉน            ยกหัวโง      ไม่จรดพื้น
                                      มีอัตตา            จึงได้พา       ผิดเกิดขึ้น
                                     ทำลายฝืน          วาสนา         เกินกว่านัก"
          พิจารณา
        รัฐมนตรีท่านหนึ่งได้มารับวิถีธรรม ได้เข้ารับการอบรมประชุมธรรม หลังจากก้มกราบพระพุทธะ พระโพธิสัตว์คารวะนักธรรมอาวุโสทั้งหลายตามจริยะระเบียบแล้ว ท่านกล่าวว่า "ก้มกราบมาก ๆ อย่างนี้ผมชอบ อัตตาจะได้ไม่เกิด" อีกท่านหนึ่งคืออดีตรองนายกรัฐมนตรี กรุณามาให้โอวาท เป็นกำลังใจแก่นักศึกษาที่เข้ารับการอบรมธรรม เมื่อท่านกล่าวสุนทรพจน์จบลง อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมให้นักศึกษาทุกคนก้มกราบขอบพระคุณ ท่านรีบปฏิเสธการกราบ กล่าวว่า "ไม่ต้องก้มกราบ อย่าทำให้ผมลืมตัว"
          หมายเหตุ
        ท่านแรกคือ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม พณฯ ท่านพลตำรวจโทจำรัส มังคลารัตน์
        ท่านที่สองคือ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พณฯท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง
        (จึงขออนุญาตจารึกคติพจน์ของท่านไว้ในที่นั้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        พระธรรมาจารย์ถามต่อไปว่า "ท่านมีฉายาว่าอย่างไร" ตอบว่า "ฝ่าต๋า (ธรรมะเจริญ)"  พระธรรมาจารย์ว่า "ท่านได้ชื่อว่าธรรมะเจริญ เคยเจริญธรรมแล้วหรือ" โปรดกล่าวเป็นโฉลกต่อไปอีกว่า "
 "ท่านวันนี้        มีนามว่า        "ธรรมะเจริญ"
หมั่นสรรเสริญ    สวดประจำ      มิหยุดหย่อน
ท่องเสียเปล่า    หากตามเสียง  เพียงทำนอง
แจ้งใจส่อง       จึงครองชื่อ      คือโพธิสัตว์"
        ชาตินี้ท่านมีเหตุปัจจัยแห่งบุญ  วันนี้อาตมาจะกล่าวแก่ท่าน 
 "เชื่อเถิดว่า       พุทธะหา        ได้กล่าวไม่
ปุณฑริกไซร์       ได้เกิดมี         ที่ปากเอ่ย"
พิจารณา
พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสว่า..."หากผู้ใดกล่าวว่า ตถาคตได้แสดงธรรม ผู้นั้นกล่าวเท็จ"  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมไว้มากมาย แต่พระองค์กลับปฏิเสธว่า "ตถาคตไม่ได้กล่าวอันใดเลย"  หมายถึงธรรมอันได้แสดงแล้วนั้น เป็นสัจธรรมที่มีอยู่คู่ฟ้าดิน มิใช่เกิดจากพระองค์ ในที่นี้ก็โดยความนัยเดียวกัน "...เชื่อเถิดว่า พุทธะหา ได้กล่าวไม่ ปุณฑริกฯไซร์ได้เกิดมีที่ปากเอย" ปุณฑริกสูตรที่ผ่านมา ฝ่าต๋าท่องบ่นก็เป็นสัจธรรมของฟ้าดิน เพียงแต่ได้ออกจากปากท่านฝ่าต๋า จึงควรจะออกจากปากด้วยจิตสำนึกรู้แจ้งจริง ในคัมภีร์คุณธรรมเต้าเต๋อจิงท่านอริยปราชย์เหลาจื่อโปรดว่า "ผู้สูงส่งด้วยมหาบารมี  ปฏิเสธบารมี" (ชั่งเต๋อปู้เต๋อ) นั่นคือผู้เข้าถึงสัจธรรมที่มีอยู่คู่ฟ้าดิน หาใช่สัจธรรมที่ผู้ใดกำหนดให้ไม่  ผู้มีบารมีแท้จริงจึงปฏิเสธว่า "ข้าพเจ้าหามีบารมีไม่..."ดังนี้
       สงฆ์ฝ่าต๋าสดับโฉลกจบลง สำนึกผิดขอบพระคุณว่า "ต่อแต่นี้ไป จะอ่อนน้อมถ่อมตนทุกอย่าง ศิษย์ท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตร ยังไม่เข้าใจความหมาย ในใจเคลียบแคลงสงสัยมิวาย  พระมหาเถระเจ้าปัญญกว้างไกล ได้โปรดอธิบายความหมายในพระสูตรบ้างเถิด" พระมหาเถระเจ้าโปรดว่า "ฝ่าต๋าธรรมะเจริญ ธรรมะนั้นเจริญยิ่ง แต่ใจท่านนั้นไม่เจริญ (เข้าไม่ถึงธรรมะ) พระสูตรนั้น แท้จริงไซร์ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังขา ใจของท่านเองที่กังขาไปเองท่านท่องบ่นพระสุตรนี้ ด้วยจุดหมายอันใดหรือ" ฝ่าต๋ากราบเรียนว่า "ศิษย์ผู้ศึกษานี้ ญาณอินทรีย์มืดมัวที่อทึบ ตั้งแต่ต้นมา ได้แต่สวดท่องตามอักษร ไหนเลยจะเข้าใจว่าสวดท่องเพื่อจุดหมายอันใด" พระมหาเถระเจ้าจึงโปรดว่า "อาตมาไม่รู้หนังสือ ท่านลองเอาพระสูตรมาท่องให้ฟังสักรอบหนึ่ง อาตมาจะอรรถาธิบายให้ท่านฟัง" ฝ่าต๋าจึงท่องเสียงดัง ท่องจนถึงบท "กุศโลบาย" พระมหาเถระเจ้าก็กล่าวว่า " หยุดเถิด พระสูตรนี้ แท้จริงแล้วมีจุดหมายใน "เหตุปัจจัยเพื่อการหลุดพ้น" แม้จะยกตัวอย่างมากมาย แต่ก็มิได้พ้นไปจากขอบข่ายความหมายนี้" อย่างไรเรียกว่า เหตุปัจจัย  ที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์นั้นว่า "เหล่าพุทธะพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเหตุปัจจัยหนึ่งประการใหญ่ จึงปรากฏพระองค์มายังโลกมนุษย์นี้ หนึ่งประการใหญ่คือ การรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะ
พิจารณา
 "เหตุปัจจัยเพื่อการรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะ" เหล่าพุทธะพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พ้นโลกโลกีย์วิสัยไปแล้ว ยังแต่ชาวโลกที่เวียนลึกดิ่งลงมากมายไม่พ้นโลกนรกานต์ไปได้..."ความรู้แจ้งเห็นจริงแห่งพุทธะ"ด้วยเหล่าพุทธะรู้แจ้งเห็นจริงต่อสัจธรรมของการเวียนว่ายเกิดตาย เห็นจริงในชาติ ชรา มรณะ (เกิด แก่ เจ็บ ตาย)  เห็นจริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค  (เหตุผลทางพ้นทุกข์) เหล่านี้คือเหตุปัจจัยหนึ่งประการใหญ่ (เรื่องใหญ่)  ด้วยเมตตามหากรุณาคุณเป็นที่ตั้ง ทำให้พระองค์ต้องเพียรอุบัติกาย หรือปรากฏพระองค์ในธรรมลักษณะต่าง ๆ ในบุฐวาระต่าง ๆ ในสภาพการณ์ต่าง ๆ  เพื่อจูงใจเหล่าเวไนยฯให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงต่อสัจธรรม เพื่อนำพาตนให้พ้นทุกข์ด้วยเช่นกัน ในพิธีถ่ายทอดเบิกธรรม ธรรมประกาศิตประโยคหนึ่งว่า "ทุกคนล้วนได้กลับคืนบ้านเดิม คุ้มครองเจ้าปลอดภัยหมื่นแปดร้อยปี" ธรรมประกาศิตนี้ คิดให้ดี สัมผัสรับรู้ด้วยใจให้ดี...  มหากรุณาฯในธรรมประกาศิตนี้ ล้ำค่าหามีสิ่งใดเปรียบปานได้ บ้านเดิมคือ ภาวะโพธิคือภาวะโพธิญาณอันใสสงบ  เราหนีหายมารับทุกข์ภัยในโลกโลกีย์วิสัยนี้นานแล้ว อมตะพุทธะจี้กง จะชี้ทางให้เราได้กลับคืนบ้านเดิมนั้น และหากเราเดินตามวิถีแห่งพุทธะนี้ อมตะพุทธะพระอาจารย์จี้กงรับรองแก่เราว่า " เจ้าจะปลอดภัยต่อการรับทุกข์ในวัฏสงสารได้ยั้งยืนยาวนานถึงหนึ่งหมื่นแปดร้อยปีทีเดียว"

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”