อันพุทธธรรม เนื่องนำปรกโปรด ในโลกเรื่อยมา
ไม่ห่างมรรคา โลกาสำนึก ตรึกทางหลุดพ้น
แม้ห่างโลกา หา "โพธิจิต" คิดหากจากตน
จะเหมือนดั้นด้น ค้นเขากระต่าย ได้อย่างไรมี
ความหมาย...พิจารณา...
พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ พร่ำสอนชาวโลกไว้มากมาย ด้วยพุทธธรรมอมฤตหลากหลาย ล้วนโปรดว่า "จงมองหาตนเอง จงมองหาตนเอง" แต่เป็นไฉนใจจึงลุกลน ชอบเที่ยวดั้นด้นค้นหาธรรมะ ที่โน้น ที่นั่น วัดโน้นดี วัดนี้ก็ดี วัดที่ไม่ไป เพราะไม่คิดว่าจะดีมีอยู่วัดเดียวคือ "วัดไม่ถึงธรรม" ที่ตนเองเป็นเจ้าอาวาส
เมื่อ "เห็นชอบ" "ไซร์" จึงได้ชื่อว่า สัมมาพ้นโลก
มิจฉาครองปรก คือโลกวิสัย ไม่ได้วิถี
แต่หากตัดสิ้น สัมมา - มิจฉา ทั้งดีไม่ดี
จิตญาณรังษี จะดุษณีย์ โพธิพุทธา
ความหมาย...พิจารณา...
การบำเพ็ญทั้งยุคเขียว ยุคแดง และยุคขาว บัดนี้พุทธธรรมล้วนสอนให้พาใจออกหากจากกิเลสตัณหาออกจากโลกีย์วิสัยโดยเฉพาะการบำเพ็ญในยุคขาวให้พาตนเข้าไปสู่ชาวโลก เพื่อการปรกโปรดฉุดช่วยเขาให้ได้รับวิถีธรรม จงเอาภาระหน้าที่พร้อมพรหมวิหารสี่ เข้าไปสู่ชาวโลก แต่เรื่องอารมณ์ความคิดจิตใจ ยังจะต้องออกหากจากชาวโลก
""สรรเสริญ"" บทนี้ วิถีฉับพลัน อันรู้แจ้งใจ
อีกชื่อหนึ่งไซร์ ว่าเรือธรรมใหญ่ มหานาวา
ผู้หลับหลงใหล ได้สดับธรรม ย้ำกัปกัลป์หนา
ผู้ตื่นศรัทธา กระจ่างแจ้งวาบ ฉับพลันนั่นเอง
ความหมาย...พิจารณา...
โศลกบทนี้ที่เรียกว่า ""บทสรรเสริญ"" ด้วยพระธรรมาจารย์โปรดปรารถนาให้สาธุชนพร้อมกันขึ้นฝั่งธรรมด้วยจิตอันรู้เห็นจริงต่อฟากฝั่งอันเกษม จึงนอกจากจะสรรเสริญต่อพุทธธรรมแล้ว ยังสรรเสริญผู้มีกุศลมูล ณ ที่นั้นด้วย
พระธรรมาจารย์ดปรดอีกว่า ""วันนี้ ณ วัดมหาพรหมได้เทศนาวิถีฉับพลัน ปรารถนาให้สาธุชนแห่งธรรมอาณาจักรเห็นจิตญาณ รู้ความเป็นพุทธะแห่งตนได้ในฉับพลัน"" ณ บัดนั้น ผู้ว่าราชการเอว๋ย กับ ข้าราชการผู้ติดตาม ศาสนิกชน ปราชญ์ และเต๋าได้สดับธรรมจากพระมหาเถระเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดไม่รู้ตื่นกันทั่วหน้า พร้อมกราบนมัสการอุทานด้วยความปีติว่า ""สาธุ คิดไม่ถึงเลยว่า พระพุทธะได้อุบัติมา ณ เมืองหลิ่งหนันนี้""
จบบทที่ ๑