ท่านผู้เจริญ อย่างไรได้ชื่อว่ามีปัญญา อันปัญญานั้นจีนเรียกว่า ""จื้อฮุ่ย"" ในทุกสภาวะสถาน ทุกขณะจิต ใช้ความคิดแจ้งแห่งจิตอันมิโง่หลง สำแดงปัญญาเป็นปกติวิสัย ก็คือปัญญาปฏิบัติ หนึ่งความคิดโง่หลงไป คือปัญญาขาด หนึ่งความคิดรู้แจ้งคือปัญญาเกิด ชาวโลกโง่หลงมิเห็นปัญญา ปากพูดปัญญา ในใจโง่หลงเสมอ มักพูดเองว่า ฉันบำเพ็ญเพียรปัญญา พร่ำบ่นแต่ความว่าง มิรู้จักความว่างแท้ ปัญญาไร้รูปลักษณ์ จิตรู้แจ้งนั่นแหละใช่ หากเข้าใจได้ดั่งนี้ จึงชื่อว่าปัญญารู้แจ้ง
อย่างไรได้ชื่อว่า "ปารมิตา" นี่คือภาษาตะวันตก (ชมพูทวีป) จีนเรียกว่าถึงฟากฝั่ง แปลความว่าพ้นจากเกิดตาย ยึดหมายอารมณ์อินทรีย์มีเกิด - ดับ ดั่งพื้นน้ำมีระลอกคลื่น เรียกว่าฝั่งนี้ (ฝั่ง หมายถึง ความเป็นอนิจจัง) พ้นจากยึดหมายในอารมณ์อินทรีย์ไม่มีเกิดดับดั่งสายน้ำไหลราบเรียบ ได้ชื่อว่า ฟากฝั่งอันเกษม ดังนั้ยจึงเรียกว่า ""ปารมิตา""
ความหมาย...พิจารณา...
ปารมิตา บางท่านแปลว่า ออกหากจากอารมณ์อินทรีย์ มิให้อินทรีย์หกรบกวนได้ จิตใจเยือกเย็นราบเรียบ เรียกว่าถึงซึ่งปารมิตา ท่านผู้เจริญ คนหลงท่องแต่ปาก ขณะท่อง ฟุ้งซ่าน ถูกผิดคิดไป แต่หากปากท่องใจเป็นไปตาม ได้ชื่อว่าจิตแท้ตนจริง ผู้รู้แจ้งในธรรมนี้คือ รู้ปัญญาธรรม ผู้บำเพ็ญดังนี้คือ ผู้บำเพ็ญปัญญา ไม่บำเพ็ญคือ ปุถุชน หนึ่งจิตคิดบำเพ็ญ จะเสมอด้วยพุทธะ
ท่านผู้เจริญ ปุถุชนคือ พุทธะ กิเลสคือโพธิ ความคิดในเบื้องต้น หลงคือปุถุชน ภายหลังคิดได้คือพุทธะ ความคิดเบื้องต้นยึดหมายในอินทรีย์ คือกิเลส ภายหลังความคิดพ้นจากยึดหมายในอารมณ์อินทรีย์ คือโพธิ
ความหมาย...พิจารณา...
ปุถุชนกับพุทธะ แท้จริงเป็นเช่นกัน เหตุด้วยล้วนมีพุทธะภาวะแต่เดิมที พระอริยเจ้าผู้รู้แจ้งจริงจึงโปรดไว้ว่า ปุถุชนผู้รู้แจ้งคือพุทธะ พุทธะที่หลงคือปุถุชน ปุถุชนคนหลงทั่วไปในโลก ล้วนเป็นพุทธะมาก่อนในเบื้องต้น ความหลงในบัดนี้เป็นเพียงภาพสมมุติ ที่ปรากฏชั่วขณะ (ขณะสั้น ขณะยาว) ตามเหตุปัจจัย ในคัมภีรวัชรญาณฯสูตร จารึกสัจธรรมว่า ""ปุถุชนนั้น...หาใช่ปุถุชนไม่เพียงได้ชื่อว่าปุถุชน"" กิเลสคือโพธิ กิเลสกับโพธิเป็นจิตใจในกายเดียวกัน อุปมาด้วยรูปกายภายนอกว่าคนจมโคลน โคลนตรมจับเกาะบดบังเนื้อแท้ ภายหลังชำระล้างหมดจด ก็กลับเห็นเป็นเนื้อแท้คนเดิม
ท่านผู้เจริญ มหาปัญญาปารมิตา สูงส่งสูงสุด เป็นที่หนึ่ง ไม่มาไม่ไป อันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง พระพุทธะทั้งหลายในภายหน้าปัจจุบัน อดีตกาล ล้วนบังเกิดจากมหาปัญญาปารมิตานี้ พึงใช้มหาปัญญาทลายขันธ์ห้า ทะลายกิเลสตัณหาเสียให้สิ้น บำเพ็ญเช่นนี้ย่อมบรรลุพุทธะ เปลี่ยนอกุศลมูลเป็นกุศลมูล โลภ โกรธ หลง ให้เป็นศีล สมาธิ ปัญญา
ความหมาย...พิจารณา...
พุทธพจน์ว่า เหล่าพุทธะเอาธรรมะเป็นครูอาจารย์ ธรรมะคือปัญญาปารมิตา ใช้มหาปัญญาทะลายขันธ์ห้า ทะลายกิเลสตัณหาดังเช่นที่พระคัมภีร์ ""ปัญญาปารมิตาหฤทัยสูตร""จารึกว่า พาจิตเข้าสู่ความปราณีตแห่งปัญญาปารมิตา ณ บัดนั้น ส่องเห็นขันธ์ห้าล้วนว่างเปล่า ล่วงพ้นทุกข์ภัยทั้งปวง ขันธ์ห้า กิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นอกุศลมูล เหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงเหมือนความมืดที่ครอบครองห้องกระจกใส ทันใดที่ปัญญาเกิด เหมือนเปิดสวิทช์ไฟ ความืดพลันหายไป แสงไฟสว่างยังอาจสาดส่องกระจาย ให้ความสว่างแก่อาณาบริเวณรอบข้างภายนอกได้
ท่านผู้เจริญ วิถีธรรมแห่งอาตมานี้ จากหนึ่งปัญญาไปสู่แปดหมื่นสี่พันปัญญา ด้วยเหตุใดหรือ ก็ด้วยคนมีแปดหมื่นสี่พันตัณหา ดิ้นรนทะยานอยาก ปรารถนาแส่หาต่าง ๆ หากปราศจากตัณหา ปัญญาจะปรากฏเสมอ ไม่พ้นจากจิตญาณตน
ความหมาย...พิจารณา...
จากหนึ่งปัญญา จุดเริ่นต้นที่ รู้ผิดรู้หยุด จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง จะรู้ผิดรู้หยุดได้ต่อ ๆ ไป ผู้บำเพ็ญจะใช้วิธีจดบันทึก จะพิจารณาสิ่งที่รู้ผิดรู้หยุดนั้น ไม่นานจะเข้าถึงสัจธรรม ที่ท่านลิ่วจู่สอนไว้นี้ จะโสมนัสต่อปัญญาที่เกิดเนื่องมามิขาดสายในตน