collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)  (อ่าน 71912 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ท่านผู้เจริญ  อย่างไรได้ชื่อว่ามีปัญญา อันปัญญานั้นจีนเรียกว่า ""จื้อฮุ่ย"" ในทุกสภาวะสถาน ทุกขณะจิต ใช้ความคิดแจ้งแห่งจิตอันมิโง่หลง สำแดงปัญญาเป็นปกติวิสัย ก็คือปัญญาปฏิบัติ  หนึ่งความคิดโง่หลงไป คือปัญญาขาด หนึ่งความคิดรู้แจ้งคือปัญญาเกิด  ชาวโลกโง่หลงมิเห็นปัญญา ปากพูดปัญญา ในใจโง่หลงเสมอ มักพูดเองว่า ฉันบำเพ็ญเพียรปัญญา พร่ำบ่นแต่ความว่าง  มิรู้จักความว่างแท้  ปัญญาไร้รูปลักษณ์  จิตรู้แจ้งนั่นแหละใช่ หากเข้าใจได้ดั่งนี้ จึงชื่อว่าปัญญารู้แจ้ง
      อย่างไรได้ชื่อว่า "ปารมิตา" นี่คือภาษาตะวันตก (ชมพูทวีป) จีนเรียกว่าถึงฟากฝั่ง แปลความว่าพ้นจากเกิดตาย ยึดหมายอารมณ์อินทรีย์มีเกิด - ดับ ดั่งพื้นน้ำมีระลอกคลื่น เรียกว่าฝั่งนี้ (ฝั่ง หมายถึง ความเป็นอนิจจัง) พ้นจากยึดหมายในอารมณ์อินทรีย์ไม่มีเกิดดับดั่งสายน้ำไหลราบเรียบ ได้ชื่อว่า ฟากฝั่งอันเกษม ดังนั้ยจึงเรียกว่า ""ปารมิตา""
      ความหมาย...พิจารณา...
       ปารมิตา บางท่านแปลว่า ออกหากจากอารมณ์อินทรีย์  มิให้อินทรีย์หกรบกวนได้  จิตใจเยือกเย็นราบเรียบ เรียกว่าถึงซึ่งปารมิตา   ท่านผู้เจริญ  คนหลงท่องแต่ปาก ขณะท่อง ฟุ้งซ่าน ถูกผิดคิดไป แต่หากปากท่องใจเป็นไปตาม ได้ชื่อว่าจิตแท้ตนจริง ผู้รู้แจ้งในธรรมนี้คือ รู้ปัญญาธรรม ผู้บำเพ็ญดังนี้คือ ผู้บำเพ็ญปัญญา ไม่บำเพ็ญคือ ปุถุชน หนึ่งจิตคิดบำเพ็ญ จะเสมอด้วยพุทธะ
      ท่านผู้เจริญ ปุถุชนคือ พุทธะ  กิเลสคือโพธิ ความคิดในเบื้องต้น หลงคือปุถุชน  ภายหลังคิดได้คือพุทธะ ความคิดเบื้องต้นยึดหมายในอินทรีย์ คือกิเลส  ภายหลังความคิดพ้นจากยึดหมายในอารมณ์อินทรีย์ คือโพธิ
       ความหมาย...พิจารณา...
       ปุถุชนกับพุทธะ แท้จริงเป็นเช่นกัน เหตุด้วยล้วนมีพุทธะภาวะแต่เดิมที  พระอริยเจ้าผู้รู้แจ้งจริงจึงโปรดไว้ว่า ปุถุชนผู้รู้แจ้งคือพุทธะ  พุทธะที่หลงคือปุถุชน   ปุถุชนคนหลงทั่วไปในโลก ล้วนเป็นพุทธะมาก่อนในเบื้องต้น  ความหลงในบัดนี้เป็นเพียงภาพสมมุติ ที่ปรากฏชั่วขณะ (ขณะสั้น ขณะยาว) ตามเหตุปัจจัย ในคัมภีรวัชรญาณฯสูตร  จารึกสัจธรรมว่า ""ปุถุชนนั้น...หาใช่ปุถุชนไม่เพียงได้ชื่อว่าปุถุชน"" กิเลสคือโพธิ กิเลสกับโพธิเป็นจิตใจในกายเดียวกัน อุปมาด้วยรูปกายภายนอกว่าคนจมโคลน โคลนตรมจับเกาะบดบังเนื้อแท้ ภายหลังชำระล้างหมดจด ก็กลับเห็นเป็นเนื้อแท้คนเดิม
       ท่านผู้เจริญ  มหาปัญญาปารมิตา สูงส่งสูงสุด เป็นที่หนึ่ง ไม่มาไม่ไป อันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง  พระพุทธะทั้งหลายในภายหน้าปัจจุบัน อดีตกาล ล้วนบังเกิดจากมหาปัญญาปารมิตานี้ พึงใช้มหาปัญญาทลายขันธ์ห้า ทะลายกิเลสตัณหาเสียให้สิ้น บำเพ็ญเช่นนี้ย่อมบรรลุพุทธะ เปลี่ยนอกุศลมูลเป็นกุศลมูล โลภ โกรธ หลง ให้เป็นศีล สมาธิ ปัญญา
      ความหมาย...พิจารณา...
      พุทธพจน์ว่า เหล่าพุทธะเอาธรรมะเป็นครูอาจารย์ ธรรมะคือปัญญาปารมิตา ใช้มหาปัญญาทะลายขันธ์ห้า ทะลายกิเลสตัณหาดังเช่นที่พระคัมภีร์ ""ปัญญาปารมิตาหฤทัยสูตร""จารึกว่า พาจิตเข้าสู่ความปราณีตแห่งปัญญาปารมิตา ณ บัดนั้น ส่องเห็นขันธ์ห้าล้วนว่างเปล่า ล่วงพ้นทุกข์ภัยทั้งปวง  ขันธ์ห้า กิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นอกุศลมูล  เหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงเหมือนความมืดที่ครอบครองห้องกระจกใส ทันใดที่ปัญญาเกิด เหมือนเปิดสวิทช์ไฟ ความืดพลันหายไป  แสงไฟสว่างยังอาจสาดส่องกระจาย ให้ความสว่างแก่อาณาบริเวณรอบข้างภายนอกได้
      ท่านผู้เจริญ  วิถีธรรมแห่งอาตมานี้ จากหนึ่งปัญญาไปสู่แปดหมื่นสี่พันปัญญา  ด้วยเหตุใดหรือ ก็ด้วยคนมีแปดหมื่นสี่พันตัณหา ดิ้นรนทะยานอยาก ปรารถนาแส่หาต่าง ๆ หากปราศจากตัณหา ปัญญาจะปรากฏเสมอ ไม่พ้นจากจิตญาณตน
       ความหมาย...พิจารณา...
       จากหนึ่งปัญญา จุดเริ่นต้นที่ รู้ผิดรู้หยุด จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง จะรู้ผิดรู้หยุดได้ต่อ ๆ ไป  ผู้บำเพ็ญจะใช้วิธีจดบันทึก จะพิจารณาสิ่งที่รู้ผิดรู้หยุดนั้น  ไม่นานจะเข้าถึงสัจธรรม ที่ท่านลิ่วจู่สอนไว้นี้ จะโสมนัสต่อปัญญาที่เกิดเนื่องมามิขาดสายในตน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ผู้สำนึกรู้แจ้งในวิถีธรรมนี้ จะปราศจากตรึกคิดหมกมุ่นอยู่กับปัญหาของภายหน้าที่เอาแน่ไม่ได้ ปราศจากหวนหาอดีตที่ผ่านมาปราศจากยึดหมาย ปัจจุบันที่กำลังจบลงทุกขณะ จะมิเกิดจิตระเริงฟุ้งซ่าน จะใช้จิตตถตาในตน ส่องเห็นด้วยปัญญา โดยไม่ยึดหมาย ไม่สลัดละ จะไม่ยึดหมายต่อธรรมทั้งปวง นั่นคือ การได้เห็นจิตญาณตน บรรลุวิถีแห่งพุทธะ
       ท่านผู้เจริญ  แม้หากปรารถนาเข้าถึงธรรมธาตุ สัมมาปัญญาอันลุ่มลึกประณีตกับปัญญาสมาธิ พึงทำความเพียรด้วยการเจริญปัญญา สวดท่องพระคัมภีร์วัชรปัญญาปารมิตาสูตร ก็จะเห็นจิตญาณตน พึงรู้บารมีแห่งพระคัมภีร์นี้ อันปราศจากขอบเขต มิอาจประมาณการ ในพระคัมภีร์สรรเสริญแจ่มแจ้ง มิอาจกล่าวได้ทั่วถ้วน
       ความหมาย...พิจารณา...
       บทที่สิบห้าในคัมภีร์วัชรญาณฯ ตถาคตเจ้าตรัสไว้ว่า  พระคัมภีร์นี้มิอาจคำนึงได้ มิอาจประมาณได้บุญกุศลเกินกว่าคณานับตถาคตโปรดแก่พุทธชนแห่งมหายาน โปรดแก่พุทธชนแห่งยานระดับสูงสุด หากมีผู้รักษาปฏิบัติสวดท่อง แพร่หลายต่อไป ตถาคตเรารู้ได้ในผู้นั้น เห็นได้ในผู้นั้น ล้วนอาจบรรลุกุศลผลบุญอันมิอาจประมาณ มิอาจกล่าวอ้าง ปราศจากขอบเขต  มิอาจวัดได้ในผลบุญบารมีนั้น  บุคคลเหล่านี้ คือผู้สืบอนุตตรสัมมาสัมโพธิมรรค  ในบทที่แปดก็จารึกไว้ว่า วิถีธรรมแห่งเหล่าพุทธะทั้งปวง อีกทั้งเหล่าอนุตตรสัมมาสัมพุทธะ ล้วนบังเกิดจากพระคัมภีร์นี้
      วิถีธรรมนี้เป็นญาณระดับสูงสุด กล่าวแก่บุคคลผู้มีมหาปัญญา กล่าวแก่ผู้มีกุศลมูลระดับสูง ผู้มีกุศลมูลน้อย ปัญญาน้อย เมื่อได้สดับ จะบังเกิดใจไม่เชื่อ  พระคัมภีร์ในบทที่สิบหกว่า ""สุภูติ หากกุลบุตร กุลธิดา ในชาติภายหน้า รักษาปฏิบัติสวดท่องพระคัมภีร์นี้ บุญกุศลที่จะได้รับจากการปฏิบัติสวดท่องนั้น หากตถาคตกล่าวจบ หรือมีผู้ได้สดับ ใจเขาจะวิปลาสสงสัยไม่เชื่อในมหากุศลที่ได้รับนั้น สุภูติ พึงรู้ว่าความหมายแห่งพระคัมภีร์นี้ มิอาจคิดคำนึง ผลบุญตอบสนองก็มิอาจคิดคำนึง
     ด้วยเหตุอันใด เปรียบเช่นพญานาคให้ฝนตกลงมายังชมพูทวีป บ้านเรือนในเมือง ในชนบท ล้วนลอยน้ำไป เช่นใบลูกพรุนไหลไปตามน้ำ แต่หากแม้นฝนตกลงในมหาสมุทร จะไม่เห็นการเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้
     ความหมาย...พิจารณา...
     พญานาคให้ฝนหมายถึงฝนตกหนัก น้ำหลากไหลท่วมท้น  บ้านเรือนสมัยนั้น ก่อสร้างอย่างง่าย ๆ ไม่มั่นคงแข็งแรงเช่นปัจจุบันมิใช่สร้างด้วยอิฐ หิน ปูน ทราย  แต่เป็นกิ่งไม้ใบไม้ และพอกด้วยโคลนดินให้อยู่ตัว ฉะนั้น เมื่อฝนตกหนัก จึงแตกกระจายละลายหายเหมือนใบลูกพรุนที่ถูกกระแสน้ำพัดพาไป มหาสมุทรเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่  ปริมาตรจุน้ำได้เกินกว่าปริมาณ เหมือนปริมาตรใจของพุทธะ หรือผู้มีปัญญาสูง กุศลมูลลุ่มลึก ฝนจะตกมากสักเท่าไร ก็ไม่เห็นได้ในความมากน้อยกว่ากัน ฉะนั้น  เมื่อคนระดับนี้สดับพุทธธรรม จิตใจจึงเต็มอิ่มสมบูรณ์อยู่อย่างยิ่ง
     หากผู้มีกุศลมูลมหายาน อีกทั้งผู้มีกุศลมูลมหายานสูงสุด ได้สดับคัมภีร์วัชรญาณสูตร จิตใจก็จะเบิกบานรู้แจ้ง รู้ในจิตญาณตน ว่ามีปัญญานั้นอยู่เอง จะรู้จักใช้ปัญญาแห่งตน สอดส่องพิจารณาอยู่เสมอ ดั่งนี้จึงมิต้องอาศัยอักษรตำรา
      ความหมาย...พิจารณา...
                                   ปัญญาบริสุทธิจากจิตญาณ            มิอาจประมาณประเมินขอบข่าย
                                   ความวิเศษลุ่มลึกหลากหลาย         ยาวไกลอยู่เหนือกาลเวลา 
                                   
                                   พระเครื่องเรืองโรจน์อันศักดิ์สิทธิ์      เกิดด้วยจิตปัญญาประภัสสร
                                   ประจุพลังพุทธาอันถาวร                จากอมรชั้นฟ้ามาสู่ดิน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

    กล่าวเช่นน้ำฝน หาใช่ฟ้ามีอยู่ไม่ เริ่มจากเมฆฟ้าแปรปรวนด้วยมังกรผาดเผ่นเริงร่าย ให้มวลเวไนยฯ ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายสรรพสิ่งสรรพสัตว์ ทั้งที่มีจิตรับรู้เยื่อใยสัมพันธ์หรือไม่อย่างไรล้วนได้รับความชุ่มชื่้น ทางน้ำร้อยสายพากันรี่ไหลลงสู่มหาสมุทร รวมไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน จิตญาณปัญญาเดิมทีของเหล่าเวไนยฯก็เป็นเช่นนี้
    ความหมาย...พิจารณา...
    เหล่าเวไนยฯทั้งปวง ล้วนมีพร้อมด้วยพุทธญาณ แต่มิอาจสมานเข้าสู่พุทธะภาวะได้ ด้วยต่างมีทิฐิยึดหมาย พลันเมื่อรู้แจ้งเห็นจริง ประจักษ์ชัดต่อพุทธญาณอันเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็จะรู้ได้ว่า เหล่าพุทธะมากมาย ดุจเม็ดทรายในคงคามหาสมุทร ล้วนเป็นองค์ธรรมอย่างเดียวกัน องค์ธรรมเล็ก องค์ธรรมใหญ่ ร่วมอยู่ในหนึ่งองค์ธรรม  อุปมาทางน้ำใหญ่น้อยร้อยพันสาย ไหลรวมอยู่ในมหาสมุทรเดียวกันนั้น
     ท่านผู้เจริญ ผู้มีกุศลมูลน้อย ได้สดับคำสอนวิถีฉับพลันนี้ ประหนึ่งต้นหญ้าต้นไม้รากเล็กไม่หยั่งลึกหากถูกฝนตกหนัก ล้วนล้มระเนนระนาดไปเอง ไม่อาจเติบโตได้ ผู้มีกุศลมูลน้อยก็เป็นเช่นนี้
     ความหมาย...พิจารณา...
     พุทธพจน์ที่ว่า "" แม้ฝนจะหลั่งหลากจากฟ้า     
                         แต่ต้นหญ้าขาดรากไม่หยั่งพื้น   
                         ประตูพุทธะไม่อาจฝืน
                         ฉุดชูขึ้น ผู้ขาดบุญสัมพันธ์ """
      พระพุทธองค์จึงโปรดไว้ว่า ""ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน""  "ตน" จิตญาณบริสุทธิ์ นำ ""ตนสังขาร"" ก่อกรรมดี ตนสังขารเคยชินกับการก่อกรรมดี หนุนจิตญาณเดิมทียิ่งทวีปัญญา  ปัญญาที่มีอยู่เดิมที มิต่างจากผู้มีมหาปัญญา (ผู้มีกุศลมูลน้อย ก็มีปัญญาอยู่เป็นเดิมที มิต่างจากผู็มีกุศลมูลมาก) แต่เหตุใดสดับธรรมแล้ว จึงมิรู้แจ้งได้ด้วยตน ด้วยเหตุแห่งความเห็นผิดเป็นอุปสรรคขวางกั้น กิเลสฝังรากลึก อุปมาเมฆผืนใหญ่บดบังสุริยาให้มืดมิดไป  มิได้รับลมพัดกระจาย แสงสุริยาจึงมิอาจปรากฏได้
      ความหมาย...พิจารณา...
      ""กิเลสหนา ตัณหาแรง ทิฐิเหนียวแน่น"" เป็นกำแพงหนาผืนใหญ่ขวางกั้นปัญญาญาณมิให้แสงปรากฏยิ่งเสียกว่าเมฆผืนใหญ่ที่บดบังดวงอาทิตย์ไว้ เมฆบังไม่นาน ผ่านพ้นไป แต่กำแพงหนาใหญ่ ทะลายยาก ความชาญฉลาดแห่งปัญญาก็มิได้มีเล็กใหญ่ แต่ที่ต่างกันไป เพราะจิตใจเวไนยฯแห่งตนลุ่มหลงต่างกัน จิตหลงยังหลงหานอกกาย บำเพ็ญไปเสาะหาพุทธะ ยังมิได้รู้แจ้งจิตญาณตน นั่นคือกุศลมูลน้อย  หากสดับคำสอนวิถีฉับพลัน พลันรู้แจ้ง ไม่ยึดหมาย ไม่เพียรไปภายนอก แต่เห็นชอบได้ในจิตตนอยู่เสมอเช่นนี้ กิเลสตัณหาก็มิอาจแปดเปื้อนได้ นั่นคือ เห็นจิตญาณตน
     ท่านผู้เจริญ ไม่ยึดหมายทั้งในนอก อิสระทั้งมาไป ขจัดใจยึดมั่น จะบรรลุผ่านเป็นอิสระ บำเพ็ญวิถีนี้ มิต่างจากคัมภีร์มหาปัญญาปารมิตา  ท่านผู้เจริญ  พระสูตรอีกทั้งอักษรทั้งปวงที่จารึกไว้ ทั้งยานใหญ่ยานเล็ก พุทธพจน์สิบสองพระสูตร ล้วนจัดวางด้วยคน ด้วยเหตุแห่งปัญญาจากจิตญาณ จึงอาจสร้างคัมภีร์ต่าง ๆ ได้ หากปราศจากชาวโลก หมื่นธรรมคัมภีร์มิอาจเกิดมี
     ความหมาย...พิจารณา...
     หมื่นธรรมคัมภีร์ล้วนเกิดมีจากพุทธะโพธิสัตว์ ลึกล้ำต่างกันไป เพื่อให้เหมาะกับจริต ความพอดีแก่ผู้พึงได้สดับรับรู้ ดังนั้นจึงรู้ว่า หมื่นธรรมคัมภีร์ เดิมทีล้วนระบือจากคน  คัมภีร์พระสูตรทั้งปวง ด้วยคนกล่าวพูดถึงจึงเกิดมี โดยอาศัยเหตุปัจจัยมนท่ามกลางอันมีคนโง่หลงกับปัญาชน โง่หลงเป็นจัณฑชน มีปัญญษเป็นกัลยาณชน คนโง่หลงขอถามปัญญาชน ปัญญาชนแสดงธรรมแก่คนโง่หลง คนโง่หลงพลันรู้ใจรู้แจ้งจิตเบิกบาน ณ บัดนั้น ก็มิต่างจากปัญญาชน คนโง่หลงคือ งมงายอยู่ในโลกีย์วิสัย ปัญญาชนคือ คนที่มิได้ยึดหมายมืดบอด ก็จะกระจ่างชัดได้เช่นเดียวกับปัญญาชน จึงเท่าเทียมกัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ท่านผู้เจริญ  หากไม่รู้แจ้ง แม้พุทธะก็เป็นเวไนยฯ หนึ่งจิตพลันรู้แจ้ง เวไนย์ก็คือพุทธะ จึงรู้ว่า หมื่นธรรมล้วนอยู่ในใจตน ไฉนไม่ส่องเห็นตถตาจิตญาณตนฉับพลันด้วยจิตแห่งตนเล่า ในพระสูตรศีล ""พระโพธิสัตว์  ผูซ่าเจียจิง"" จารึกว่า  จิตเดิมแท้แต่เบื้องต้นแห่งเรานั้นใสสะอาด หากรู้เห็นจิตญาณตนด้วยจิตตน ล้วนบรรลุได้ในวิถีพุทธะ  ในพระสูตร ""ปาริสุทธิ์นามสูตร"" หรือพระสูตรวิมลเกียรติ (วิมลกีรติสูตร จิ้งหมิงจิง) จารึกว่า "ฉับพลันโล่งแจ้ง ได้จิตเดิมทีแห่งตนกลับคืนมา"
       ความหมาย...พิจารณา...
       ในอาณาจักรธรรม ท่านธรรมอธิการจะเตือนพวกเราอยู่เสมอว่า "แม้เธอจะแบ่งพระภาคมาจากพระโพธิสัตว์พระองค์ใด หากไม่รู้แจ้งจิตเดิมแท้แห่งตน ก็มิอาจกลับคืนเบื้องบนได้ สุดท้ายที่ว่า "ฉับพลันโล่งแจ้ง คือภาวะ ณ บัดนั้น"
       ความยึดมั่นพันผูก ภาวะจิตที่อึดอัดขัดข้อง แรงบีบเค้นที่กดดันหนักหนามาเนิ่นนาน พลันเป็นอิสระเสรี ข้อความนี้เพียงแค่คิดก็โล่งแจ้งแล้ว ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า "ไฉนไม่ส่องเห็นจิตแห่งตนเล่า" ความหมายของการแพร่ธรรมที่ว่า ""ตั้งตนตั้งคน บรรลุตนบรรลุท่าน  จี่ลี่ลี่เหยิน  จี่ต๋าต๋าเหยิน""  อุปมา  แสงเทียนเปล่งประกายรายรอบรัศมี 
                                                 สำแดงคุณเต็มที่ได้สาดส่อง
                                                 ด้วยเห็นตนเห็นคนด้วยจิตโล่ง
                                                 พุทธะหลงปรับเปลี่ยนด้วยเทียนเรา
       พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงสูงส่งด้วยกุศลมล เพียงแค่ฟังคำจบ...ผู้รับวิถีจิตในยุคนี้ เข้าพิธีรับการเบิกจุดชี้ชัดทั้งสัมผัส ทั้งฟัง ทั้งพูดตาม อธิบายความทั้งก่อนหน้าและภายหลังชี้ชัดให้เห็นจิตญาณตน แต่น้อยคนที่เห็นได้ บางคนไม่เข้าใจ เข้าพิธีรับการเบิกจุดชี้ชัดซ้ำซ้อนหลายครั้งก็ยังเข้าไม่ถึง จะต้องใช้ความเพียรให้มากกว่าผู้มีกุศลมูลมาดีแล้วให้ยิ่งขึ้น จะละเลยมิได้
      ท่านผู้เจริญ  อาตมาได้สดับจากจากมหาเถระหงเหยิ่น จบคำพลันรู้แจ้ง เห็นจิตญาณตถาคตตนทันใด จึงแพร่นำวิถีธรรมนี้ เพื่อให้ผู้ศึกษาธรรมรู้โพธิญาณตนทันที ต่างสอดส่องจิตตน เห็นจิตญาณตนด้วยตน
     หากไม่สำนึกรู้แจ้งในตนด้วยตนได้ พึงแสวงหาผู้เจริญธรม พระวิสุทธิอาจารย์ วิสัชนาธรรมมหายาน ชี้สัมมาวิถีฉับพลันให้โดยตรง  เนื่องด้วยผู้เจริญธรรมมีเหตุปัจจัยใหญ่ อันพึงกล่อมเกลาชี้นำเพื่อการให้เห็นจิตญาณได้ ด้วยเหตุว่ากุศลธรรมทั้งปวงนั้น ท่านผู้เจริญธรรมอาจสำแดงได้
     พระพุทธะทั้งปัจจุบัน ภายหน้า และอดีตชาติ พุทธพจน์วิบสองพระสูตร ล้วนมีอยู่พร้อมมูลในจิตญาณของคน แต่มิอาจรู้แจ้งด้วยตน จะต้องขอให้ผู้เจริญธรรมชี้แนะ จึงจะเห็นได้
     ความหมาย...พิจารณา...
     ในจิตญาณของตนมีภาวะของพระพุทธะทั้งปัจจุบัน ภายหน้า และอดีตชาติ เป็นธาตุแท้อยู่ เพราะภาวะของพุทธะคือ ภาวะของพุทธญาณที่เป็นอยู่อย่างนั้นแต่เดิมที  พุทธพจน์สิบสองพระสูตร มีอยู่ครบถ้วนในมหาปัญญาบริสุทธิ์ของทุกคน ตนมีอยู่ แต่ตนเข้าไม่ถึง จึงแสดงไม่ออก ที่ว่าคัมภีร์พระสูตร ด้วยคนกล่าวพูดจึงเกิดมี คนที่กล่าวพูดคัมภีร์พระสูตร ท่านได้ความรู้มาจากที่ใด "ได้จากปัญญาบริสุทธิ์ในตน"ปัญญาบริสุทธิ์ได้มาแต่ใด ได้มาจาก ""พุทธญาณ"" พุทธญาณได้มาแต่ใด ได้มาจากมหาพลานุภาพสัจธรรมที่มีอยู่คงอยู่ในมหาจักรวาล ที่เราถวายพระนามว่า มหามารดาแห่งหมื่นโลกธาตุ พระอนุตตรพระแม่องค์ธรรม ฯลฯ  ฉะนั้น จึงกล่าวว่าพระพุทธะทั้งปัจจุับัน ภายหน้า และอดีตชาติ พุทธพจน์ พระสูตร พระอภิธรรมปิฏก ล้วนมีอยู่พร้อมมูลในจิตญาณตน ผู้รู้แจ้งในจิตญาณตน จึงล่วงรู้ความนัยของคัมภีร์ปิฏกอย่างง่ายดายเป็นธรรมดา
      หากรู้แจ้งด้วยตน ก็จะมิพึงแสวงหาจากภายนอก หากเอาแต่ยึดหมายใคร่ขอผู้เจริญชี้แนะ เพื่อหวังการหลุดพ้นก็จะเป็นไปไม่ได้  พึงรู้ว่าธรรมะอยู่กับตน ขณะหลง จำเป็นจะต้องมีอาจารย์ผู้รู้ชี้แนะ เมื่อสำนึกรู้แล้ว จะต้องฉุดนำตนเอง หลังจากสำนึกรู้ นั่นแหละ จึงจะเรียกว่าเริ่มบำเพ็ญ จุดเบิกชี้ชัดจากพระวิสุทธิอาจารย์นั่นแหละ เรียกว่า ""จุดเบิกชี้ชัดจิตสำนึกรู้"" นับแต่วินาทีนั้นจึงต้องเริ่มบำเพ็ญ ฉุดนำตนเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
 
         เหตุอันใดหรือ ด้วยภายในใจตนมีความรู้อันสำนึกเองได้ แต่หากแม้หลงผิดฟุ้งซ่าน ผกผันสับสน ความรู้จากผู้เจริญภายนอก แม้จะสั่งสอนให้ ก็มิอาจช่วยได้
        ความหมาย...พิจารณา...
        ความรู้ภายในใจตนคือปัญญา เป็นพุทธภาวะที่มีอยู่ในตนแต่เดิมที มีสติ สำนึกรู้ได้เท่านั้น ก็จะเหมือนมีครูผู้เจริญธรรมชี้นำแนวทาง จึงกล่าวว่า ใครก็สอนได้ไม่ดีเท่าตัวเราสอนตัวเราเอง  พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ""ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"" หากบังเกิดปัญญาอันแท้จริง สอดส่องสว่างเห็นบัดนั้นเพียงคู่เดียว ฟุ้งซ่านพลันดับสูญ หากรู้จิตญาณตน สำนึกรู้พลันทันที ก็ถึงซึ่งพุทธภูมิ
       ปัญญาแท้จริงสอดส่องสว่างเห็น เหมือนแสงอาทิตย์เจิดจ้าหามีเมฆบังไม่ ณ บัดนั้นยังจะเหลือความมืดอะไรให้แอบแฝงได้อีก แม้แต่อกุศลวิสัยก็พลันหาย ""ญาณทวารประตูวิเศษที่สถิตจิตญาณ"" ผ่านพิธีจุดเบิกชี้ชัดจากพระวิสุทธิ์อาจารย์ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบนที่มีต่อคนโง่หลงมือบอดเช่นชาวเราในกลียุคนี้ ยังได้รับการประคองรักษาอุ้มชูรอวันที่เราจะกระจ่างแจ้งด้วยตน ชาวเราทุกคนจึงต้องทำความเข้าใจให้เป็นได้
      ท่านผู้เจริญ  การสอดส่องสว่างเห็นของปัญญาสว่างใสทั้งภายในภายนอก รู้ได้จากจิตตนภายใน หากจิตภายในตนรู้ได้ นั่นคือ ภายในตนหลุดพ้น  หากได้หลุดพ้นนั่นก็คือ ปัญญา สมาธิ  ปัญญาสมาธิก็คือปัญญาอันมิได้ดำริคิด อย่างไรคือมิได้ดำริคิด ""ธรรมะอันรู้ - เห็น ได้ทั้งปวง จิตใจมิได้ถูกย้อมนั่นคือมิได้ดำริคิด""  เมื่อใช้ปัญญาสมาธิอันมิได้ดำริคิดนี้ ปัญญาสมาธิจะครอบคลุมปรกแผ่ทุกสภาวะ แต่มิจับเกาะกับสภาวะนั้น ๆ
      พึงหมดจดด้วยจิตตน ให้วิญญาณทั้งหกออกไปทางทวารทั้งหก ภายในจิตตนอายตนะหกมิได้คลุกเคล้าแปดเปื้อน มาไปเป็นอิสระ ปลอดโปร่งเรื่อยไปไม่ขัดข้อง นั่นคือปัญญาสมาธิ หลุดพ้นอยู่อย่างนั้นเองชื่อว่าเจริญธรรมโยปราศจากดำริคิด
      ความหมาย...พิจารณา...
      วิญญาณทั้งหก  คือ อารมณ์ที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ลิ้ม ได้สัมผัส ได้รู้สู่ใจ  ท่านว่า ""ให้อารมณ์ทั้งหกออกไปทาง ตา หู จมูก ปาก กาย ใจ ช่องทางทั้งหกลำเลียงขยะเข้าบ้าน ด้วยความเคยชินเรารับมันเข้ามาทุกขณะ"" ท่านว่า "มาทางไหน ให้มันออกไปทางนั้น" แท้จริงแล้ว "ให้มันออกไป" คือ อย่าให้มันเข้ามาใหม่ ส่วนขยะที่ตกค้างหมักหมมอยู่ กำจัดสลายให้สิ้นซากได้ในบัดใจด้วยปัญยาบริสุทธิ์ในตน แต่หากไม่คิดสิ่งใดเลย เพื่อให้ตัดความคิดทั้งหมดขาดสิ้น เช่นนี้เป็นธรรมะผูกมัด เป็นความเห็นสุดโต่ง
      ตัดความคิดทั้งหมดขาดสิ้น เป็นอสัญญีภาพ คือยึดหมายในอสัญญี ความไม่มีโดยสิ้น พุทธธรรม มิได้ยึดหมายทั้งมี ไม่มี ขั้วใดขั้วหนึ่ง  ท่านผู้เจริญ ผู้รู้แจ้งในธรรมอันมิได้ดำริคิด จะเห็นภาวะธาตุแห่งพุทธะทั้งปวง  ผู้รู้แจ้งในธรรมอันมิได้ดำริคิด จะบรรลุถึงฐานะแห่งพุทธะ  ท่านผู้เจริญ สาธุชนรุ่นหลังผู้ได้รับวิถีธรรมแห่งเรานำเอาวิถี ""รุ้รับฉับพลัน"" นี้ไปสู่ในหมู่ผู้ร่วมเห็น ร่วมบำเพ็ญ ตั้งปณิธาน รักษาปฏิบัติ ดั่งปฏิการะพระพุทธะ ฉะนี้แล้วไซร์ จวบสิ้นอายุขัยไม่ถดถอย จะเข้าสู้อริยฐานะแน่แท้  แต่ทว่า พึงถ่ายทอดความเป็นมาจากเบื้องสูง ถ่ายทอดเงียบ ๆ กำชับเป็นการจำเพาะ แต่จะปิดบังสัจวิถีนี้ไม่ได้
      ความหมาย...พิจารณา...
      วันนี้ที่เราได้รับวิถีธรรมกันก็คือได้รับสัจวิถีจากเบื้องสูงเป็นการจำเพาะคือได้รับอนุตตรพระโองการจากเบื้องบน โปรดอนุญาตให้ถ่ายทอด ได้รับจากพงศาธรรมโดยตรง พระพุทธองค์โปรดชูดอกไม้ให้เป็นสัญญลักษณ์ เป็นปริศนาธรรมแก่สงฆ์สาวกที่มาประชุมกัน พระมหากัสสปะยิ้มรับไว้ด้วยเข้าใจความหมายนั้น คำว่า "จำเพาะ" มีคำถามจากผู้เพิ่งได้รับวิถีจิตว่า "วิถีวิเศษนี้ ไฉนมิให้แพร่หลายโจ่งแจ้ง"" โปรดพิจารณา... ไฉนพระพุทธองค์ทรงชูดอกไม้ให้ปริศนาธรรม เหตุใดไม่ทรงประกาศบอกกล่าว เกณฑ์เข้ามาพิธีเบิกจุดชี้ชัดกันไปเสียเลย
     เพราะเหตุปัจจัยแห่งบุญและบุญวาระของเวไนยต่างกัน พระพุทธอริยเจ้าทรงเห็นกาลไกลลึกล้ำแยบยลมิใช่คนระดับเราที่เอาแต่จะถามว่าทำไม ทำไม โดยมิได้ศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญจริง จะเข้าใจได้  หากไม่ร่วมรู้เห็นไม่ร่วมบำเพ็ญไป ซึ่งอยู่ในวิถีธรรมอื่นจะมอบหมายถ่ายทอดให้มิได้ จะเสียหายแก่บรรพจารย์เรา ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง  ยังเกรงคนโง่เขลาไม่เข้าใจใส่ไคล้วิถีธรรมนี้ ร้อยกัปพันชาติที่เกิดกาย เขาจะขาดไปจากเผ่าพันธุ์จิตญาณแห่งพุทธะ
    ความหมาย...พิจารณา...
    มีผู้เข้าใจผิดว่า พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ ทรงแบ่งแยกจำกัดการถ่ายทอด... หากมองดูความเป็นจริง ทุกวงการศาสนาล้วนมีผู้ศรัทธา มีผู้ต่อต้าน เหตุวุ่นวายใหญ่โตเกิดจาก ""ของข้าถูก ของเจ้าผิด"" แทบทั้งนั้น ต่างเดินทางของตนไป ไม่ก้าวก่ายกันจะดีกว่า  พระธรรมาจารย์จึงโปรดว่า "ไม่ร่วมรู้เห็น ไม่ร่วมบำเพ็ญ มิพึงถ่ายทอดให้..."" ประโยคสุดท้ายที่ว่า""เขาจะขาดไปจากเผ่าพันธุ์จิตญาณแห่งพุทธะ..."" มีผู้คิอได้อย่างไรหนอว่าเป็นคำสาปแช่ง บุคคลก่อกรรมเอง รับกรรมเอง  พระธรรมาจารย์มิให้เขาก่อกรรม ไม่อยากให้รับกรรม จึงตักเตือนไว้ให้สังวรระวัง ความคิดของผู้มีจิตบริสุทธิ์พึงเป็นเช่นนี้
    ท่านผู้เจริญธรรม อาตมามีข้อธรรม ""นิรรูปสรรเสริญ"" ต่างพึงท่องไว้  คนบวช คนบ้าน บำเพ็ญตามนี้ หากไม่บำเพ็ญด้วยตน จงจำคำอาตมาไว้ ก็มิใช่จะไร้ประโยชน์  ""นิรรูปสรรเสริญ"" เป็นโศลกว่าด้วยใจว่างปราศจากรูป เป็นธรรมทั้งปวง พันจากรูปลักษณ์ทั้งปวง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
        ๔  :  คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร : บทที่ ๑  รู้แจ้งธรรม มอบหมายจีวร  นิรรูปสรรเสริญ โศลกไร้รูปลักษณ์
                
                                              นิรรูปสรรเสริญ  (ฮู๋เซี่ยงซ่ง)
  
                พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ ฮุ่ยเหนิง  โปรดมีข้อธรรม ""นิรรูปสรรเสริญ"" เป็นโศลกไร้รูปลักษณ์

        จงฟังอาตมาสรรเสริญ ณ บัดนี้   กล่าวถึง.....
                                                      ""ปรุโปร่ง""         ใจจงเข้าถึง       ซึ่งภาวะนั้น
                                                        ดุจแสงตะวัน      อันแจ่มกระจ่าง   ท่ามกลางเวหน
                                                        ถ่ายทอดวิถี       แสงสุรีย์เห็น      เป็นญาณแห่งตน
                                                        ออกห่างจากพ้น  โลกโลกียะ        มิจฉานิกาย
        ความหมาย...พิจารณา...
        คำสอนในวิถีนี้ มุ่งให้เข้าถึงจิตปรุโปร่งฉับพลัน ดุจแสงตะวันเจิดจ้าบนท้องฟ้า ด้วยถ่ายทอดให้รู้แจ้งจิตญาณตน ความคิดจิตใจจึงมิหลงไปกับทางโลกและมิจฉานิกาย
                                                    ปราศจากฉับพลัน    อีกทั้งนานเนื่อง    ในวิถีธรรม
                                                    มีแต่ความรู้           กระจ่างหลงวน      คนเร็วหรือสาย
                                                    วิถีธรรมนี้             ชี้ให้เห็นจิต          ชีวิตเหนือกาย
                                                    คนโง่หลงไซร์        ไม่อาจเข้าถึง        ซึ่งเหนือคำนึง
        ความหมาย...พิจารณา...
        องค์ธรรมะพุทธญาณในตัวเรา เป็นอยู่อย่างนั้นเอง จึงไม่แตกต่างด้วยความฉับพลันและนานเนื่อง แต่ความหลงหรือรู้แจ้งนั้น เปลี่ยนแปรได้ทั้งเร็วไวหรือเนิ่นนาน วิถีธรรมนี้ชี้ให้เห็นจิตทันที มิใช่ทุกคนจะรู้แจ้งเห็นจริงได้ในระดับเดียวกัน  
                                                    
                                                  พระธรรมคำสอน     ว่าวอนมากมาย      หลายหลากนักหนา
                                                  บรรจบรวมมา         ต้นฐานธรรมา        สู่ความเป็นหนึ่ง
                                                  หากกิเลสครอง       ห้องขังมืดมิด        จิตกิเลสตรึง
                                                  หมั่นนำจิตถึง          ซึ่งปัญญาญาณ      จักรวาลตะวัน
        ความหมาย...พิจารณา...
        พุทธธรรมคำสอนทุกสัมมาศาสนา ล้วนมีจัดหมายให้สาธุชนเข้าถึงจิตญาณรู้แจ้งแห่งตน เป็นหนึ่งเดียวกัน จิตมีภาวะปัญญาบริสุทธิ์สว่าง แต่หากปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ ก็จะเหมือนถูกขังในห้องมืด จึงต้องหมั่นเจริญปัญญาญาณอยู่เสมอ

                                                  ดำริมิจฉา             มาถึงจิตใจ           กิเลสวุ่นวาย
                                                  สัมมาครองไซร์      กิเลสห่างหาย       ไม่ก่อกวนนั่น
                                                  สิ้นสองภาวะ         มิจฉา - สัมมา        ไม่พาใจหวั่น
                                                  หมดจดทุกด้าน      ถึงขั้นสุดท้าย        คือได้นิพพาน
        ความหมาย...พิจารณา...
       มิจฉาดำริเกิดขึ้นเมื่อไร กิเลสตัณหาเกิดตามมาทันที มีแต่สัมมาธรรมะแห่งจิตที่จะขจัดกิเลสได้ ให้จิตว่างวางลง สุดท้ายไม่ยึดหมายทั้งดีและชั่ว  จิตหมดจดถึงที่สุดนั่นคือภาวะนิพพาน      
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29/10/2553, 19:17 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                                      อันโพธิญาณ    รากฐานตัวแท้       แต่เริ่มเดิมมา
                                      ใจจิตคิดพา     อารมณ์คล้อยตาม   เกิดความฟุ้งซ่าน
                                      จงชำระใจ       ในภาวะวุ่น           หยุดขุ่นโดยพลัน
                                      เพิกสามเครื่องกั้น  ทั้งโลภโกรธหลง  ปลงปละละวาง

      ความหมาย...พิจารณา...
      สามเครื่องกั้น คือ โลภ โกรธ หลง  "หยุดคิดทันที โพธิเกิด" ทุกความคิดมักเกี่ยวกรรมเกี่ยววิบาก เกี่ยวกิเลส มักตกอยู่ในความโลภ โกรธ หลง อันเป็นสามเครื่องกั้นต่อการเจริญธรรม  จงล้างใจให้หมดจดสงบท่ามกลางความฟุ้งซ่าน ให้จิตใจเที่ยงตรงอยู่ในเอกะธรรมภายในตน ด้วยภาวะที่เป็นเช่นนั้นเอง
 
                                     หากชาวโลกไซร์     ตั้งใจบำเพ็ญ     เป็นผู้มีธรรม
                                     ทุกสิ่งย่อมงาม        มิพึงห่วงใย     ไม่ต้องเห็นต่าง 
                                     ความผิดตนเห็น       เป็นที่รู้อยู่        รู้ตนรู้วาง
                                     ก็จะสล้าง   เหมาะหมายในความ   เป็นธรรมแท้จริง

       ความหมาย...พิจารณา...
       พุทธพจน์ว่า "ไม่กลัวความคิดเกิด กลัวแต่รู้ตัวช้า  ไม่กลัวแต่รู้ตัวช้า กลัวแต่คิดซ้ำย้ำย้อน ถอนใจไม่สิ้น"  ในพระคัมภีร์ "สี่สิบสองบท" จารึกความว่า ระวังอย่าเชื่อ "มโนวิญญาณตน" ความคิดจิตใจตนวกวนเปลี่ยนแปลง เข้าข้างตน อภัยตน ปรนเปรอตน..เป็นทางนำจิตตนไปสู่อบายภูมิ  ""บำเพ็ญ"" ต้องไม่เอาใจตน แต่จงกำราบตนค้นหาสิ่งพึงแก้ไขในตนให้ได้ด้วยตน

                                       ทุก "รูป" ชีวิต      ทุกจิตกายร่าง      ต่างดำรงธรรม
                                       ต่างไม่ก่อนำ        ความวุ่นวายให้    ในรูปทุกสิ่ง     
                                       ห่างร่างห่างธรรม   อย่าต้องหาธรรม   ไร้ซึ่งธรรมจริง
                                       จบสิ้นชีวิน   จะมิพบพาน   ประสบ  "องค์ธรรม"
       
       ความหมาย...พิจารณา...
       จิตเดิมแท้ของทุกคน ปลอดโล่ง ปรุโปร่ง บริสุทธิ์ สะอาด ประภัสสร เรียกว่าองค์ธรรมประจำตน  เช่นโศลกที่ว่า
                                        "องค์ธรรม" ประจำกายในชีวิต
                                         ส่องสถิตจิตสว่างมิว่างได้
                                        ทั้งทิวาราตรีกาลเลยผ่านไป
                                        มิห่างหายจากเธออย่าเผลอตาม     
                                       
                                     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

                                           ระหกระเหิน         เดินด้นค้นหา      ชั่วชีวาวาตม์
                                           สุดท้ายยังพลาด   มิอาจสมหวัง       ยังอาจถลำ
                                           แม้หากใคร่พบ     ประสบจริงแท้      แน่ "สัทธรรม"
                                          "เที่ยงตรง"   จิตนำ    "สัมมาวิถี"     นี่แหละธรรมา   
         ความหมาย...พิจารณา...
         ประโยคแรกที่ว่า "ระหกระเหิน เดินด้นค้นหา ชั่วชีวาวาตม์"  ภาวะนี้เป็นสัญชาตญาณของคน  คนพอเริ่มรู้ความ ก็เริ่มปรารถนา เริ่มไขว่คว้าพยายาม เพื่อให้ได้ในสิ่งพึงปรารถนา ผู้มีกุศลมูลระดับสูง  จะปรารถนาบุญวาสนาเพื่อการสงเคราะห์ ซึ่งต่างจากคนทางโลกทั่วไป ปรารถนาอายุวัฒนะ เพื่อการสร้างคุณประโยชน์ยาวนาน  ปรารถนาปกติสุข เพื่อการเป็นผู้ให้อย่างราบรื่น ปรารถนาปัญญา เพื่อพาตนและคนทั้งหลายให้พ้นผิดบาป
         ที่สุดคือปรารถนาวิถีธรรม เพื่อการหลุดพ้นวัฏสงสาร ตั้งแต่โบราณกาลมา ผู้ปรารถนาวิถีธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากวัฏสงสารนั้นมีไม่น้อย แต่น้อยคนนักจักได้พบ บ้างต้องระหกระเหินเดินป่า เพื่อค้นหาท่านผู้รู้ เพื่อขอรับการถ่ายทอด มีไม่น้อยที่ต้องตายเสียเปล่า ระหว่างดั้นด้นค้นหา  บัดนี้ถึงการปรกโปรด ผู้มีกุศลมูลต่างได้รับวิถีธรรมกันโดยง่าย อีกทั้งร่วมกันบำเพ็ญได้ในครัวเรือน จึงพึงพิจารณาเห็นคุณค่าและโอกาส ที่คนแต่ก่อนต้องเหนื่อยยากนัก

                                           ถ้าหากแม้ใจ      ไร้ซึ่งธรรมา        คู่กายาตน
                                           ดำเนินเดินค้น     เยื่องคนบอดใส   ไม่เห็นธรรมหนา
                                           แม้เป็นผู้เพียร     เรียนรู้ธรรมแท้     แน่วแน่แก่กล้า
                                           ท่ามกลางโลกา   อย่าเห็นผู้ใด       ใช่ร้ายเลวนา

       ความหมาย...พิจารณา...
       ในอาณาจักรธรรมคำว่า "ย้อนมองส่องตน"" เป็นวจนะประทับใจผู้ปฏิบัตบำเพ็ญจริงยิ่งนัก เพราะนั่นหมายถึง การใช้พุทธญาณ ธรรมะอันงดงามของความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในตน ย้อนส่องมองหาข้อตำหนิ จุดบอดในจิตของตน อีกทั้งยังกล่าวว่าเวลาที่จะค้นหาความผิดของตนก็ไม่พออยู่แล้ว ยังจะมัวไปแคะไค้หาความผิดของใครได้อีกหรือ

                                         หากใคร่กล่อมเกลา     เขาใดใครนั่น     ให้ผันเปลี่ยนจิต
                                         ตนเองต้องคิด         พิจารณา     หากุศโลบาย
                                         อย่าให้เขาคิด      วิจิกิจฉา      ระแวงเผลอไผล       
                                         เขาเข้าถึงใน       ภาวะจิตเดิม     เริ่มจากจิตตน   

       ความหมาย...พิจารณา...
                                         พรหมวิหาร        อันสถิต       ในจิตตน
                                         จงขุดค้น           ขนมาใช้      ให้คุ้มค่า
                                         ฉุดช่วยคน         ขนขึ้นฝั่ง      ทางสุทธา
                                          ด้วยสัจจา         ปัญญายิ่ง     มิ่งขวํญธรรม 

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”