collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)  (อ่าน 71892 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

 โศลกท่านเสินซิ่ว  ::  กาย คือ ต้นโพธิ์  ใจดั่งบานกระจกใส
                           หมั่นเช็ดถูทุกเวลาไป   อย่าให้จับด้วยฝุ่นธุลี   ( มีรูปลักษณ์ )

        เสินซิ่ว เขียนโศลกเสร็จแล้ว ก็กลับไปที่ห้องพัก คนทั้งวัดไม่มีใครรู้เห็นการนี้  เสินซิ่วกลับถึงห้องพักแล้ว ก็ยังคงคิดคำนึงวกวนไปมาอยู่ว่า "พรุ่งนี้หากพระเถระเจ้าเห็นโศลกนี้แล้วยินดี นั่นก็หมายความว่า เรามีบุญปัจจัยมากับพุทธธรรม  แต่หากเห็นว่าใช้ไม่ได้ ก็คือตัวเราเองยังหลงอยู่ในเวรกรรมเก่า อุปสรรคปิดกั้นปัญญาไว้หนาแน่นไม่ตรงต่อพุทธธรรม จิตใจของอริยะพระธรรมาจารย์ ยากจะหยั่งได้แท้เทียว  เสินซิ่ว คิดกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง นั่งนอนไม่สงบ จนถึงฟ้าสางยามห้า
       พระธรรมาจารย์ทราบแต่ต้นแล้วว่า เสินซิ่วยังมิได้เข้าสู่ประตูวิมุตติ ยังมิได้เห็นจิตญาณตนอย่างถึงที่สุด
       ความหมาย...พิจารณา...
       แต่ในเมื่อทราบแล้วตั้งแต่ต้น เหตุใดจึงยังให้เขียนโศลกอีกนั่นด้วยจิตปรารถนาจะเสริมสร้างให้ศิษย์ "รู้ตน-รู้คน  รู้เขา-รู้เราเพื่อเจริญความเพียรให้ยิ่งขึ้น
       ฟ้าสาง วันรุ่งขึ้น พระธรรมาจารย์เรียกช่างหลวงเข้าพบ เตรียมการเขียนจิตรกรรมลงบนฝาผนังด้านใต้ของระเบียงทางเดินพลันได้เห็นโศลกนั้น จึงกล่าวแก่ช่างหลวงว่า "ช่างหลวง มิต้องวาดภาพบูชาแล้ว เหนื่อยยากแก่ท่านที่ต้องเดินทางไกลมา พระคัมภีร์ว่า""รูปทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นมายา"" เพียงเก็บโศลกนี้ไว้ให้ได้สวดท่อง บำเพ็ญตามโศลกนี้ มีคุณประโยชน์ใหญ่หลวง  ดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ศิษย์จุดธูปบูชา สวดท่องโศลกนี้ ก็จะเห็นจิตญาณตนได้ ศิษย์ต่างสวดท่อง ต่างสาธุการว่าประเสริฐแท้
       ความหมาย...พิจารณา...
       ความสัตย์จริงมิได้เป็นเช่นนั้น พระธรรมาจารย์กำลังดำเนินกุศโลบายประคองอุ้มชูศิษย์ต่างหาก โศลกนี้แม้จะไม่ถึงที่สุดของการรู้แจ้ง แต่สำหรับศิษย์ผู้น้อยทั้งหลาย โศลกนี้เป็นบันไดเบื้องต้นที่จะเดินก้าวขึ้นไป
       พระธรรมาจารย์เรียกเสินซิ่วเข้าพบยามเที่ยงคืนถามว่า "โศลกนี้ท่านเป็นผู้เขียนหรือ" เสินซิ่วตอบว่า "ศิษย์เขียนเองจริงมิกล้าอาจเอื้อมหวังตำแหน่งพระธรรมาจารย์ ขอพระเถระเจ้าได้โปรดพิจารณาว่า ศิษย์นี้มีปัญญาน้อยนิดเพียงไรหรือไม่" พระธรรมาจารย์กล่าวว่า "โศลกของท่านนี้ ยังมิได้เห็นในจิตญาณตน อุปมาดั่งยืนอยู่นอกประตู ยังมิได้ก้าวเข้ามา ความคิดเห็นเช่นนี้ จะแสวงหาอนุตตรโพธิญาณไม่พบเลย" จากนั้น พระธรรมาจารย์ได้โปรดชี้แนะวิธีค้นพบอนุตตรโพธิญาณตนแก่เสินซิ่วต่อไป
       ความหมาย...พิจารณา...
       การนี้เราจะเห็นได้ว่า กลางวันต่อหน้าคนทั้งหลาย พระธรรมาจารย์โปรดชมเชยเสินซิ่ว เที่ยงคืนยามสงัดปลอดคน กลับเรียกเสินซิ่วเข้าพบ ชี้ให้เห็นทางที่เสินซิ่วเดินหลงไป  นี่คือมหาเมตตากรุณาคุณของพระธรรมาจารย์ หากชี้ทางหลงต่อหน้าใคร ๆ เสินซิ่วยังจะมีสถานภาพความน่าเชื่อถือที่จะอรรถาธรรมแก่ใครได้
      อนุตตรโพธิญาณ คือ ภาวะรู้อันสูงส่ง พระโพธิสัตวฺทรงรู้แจ้งว่า ทุกคนล้วนมีจิตญาณอันรู้แจ้งได้ จึงบังเกิดปณิธานกอบกู้เวไนยฯ  ในขณะที่กอบกู้เวไนยฯ ก็บำเพ็ญพุทธบารมีให้เข้าถึงภาวะอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณไปด้วย นั่นคือภาระศักดิ์สิทธิ์ของ "พุทธโพธิสัตว์"ที่ปฏิบัติบำเพ็ญเป็นเช่นเดียวกันเรื่อยมา 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พระธรรมาจารย์โปรดว่า "จะบรรลุอนุตตรโพธิญาณ จะต้องรู้ชัดจิตญาณตนโดยฉับพลัน ณ บัดใจ เห็นจิตญาณตน ไม่เกิดไม่ดับทุกขณะเวลา ทุกขณะจิตเห็นได้ในธรรมทั้งปวง โดยไม่มีอุปสรรคขัดข้อง หนึ่งจิตญาณจริง เข้าถึงสัจธรรมความเป็นจริง จะเห็นสรรพสิ่งล้วนเป็นสัจธรรมจริง จะอยู่ในภาวะใดจิตญาณก็เป็นภาวะตถตาไม่หวั่นไหว จิตใจที่ไม่หวั่นไหวนั่นคือ "ตัวแท้"ของจิตญาณหากรู้เห็นเช่นนี้ได้ นั่นคือ ภาวะอนุตตรโพธิญาณ
       ความหมาย...พิจารณา...
       ผู้มีภาวะจิตบริสุทธิ์พ้นจากอาสวะกิเลส เมื่อได้สดับวิถีจิต หรือมีนิมิตหนึ่งสกิดใจให้รู้ จะตื่นใจทันที โดยมิต้องพิจารณาวนหาจะเข้าถึงจิตเดิมแท้บริสุทธิ์ เข้าถึงปัญญาญาณแท้บริสุทธิ์แห่งตนทันที ดังพุทธพจน์ว่า ""หนึ่งจริงแท้ ทุกอย่างจริงแท้"" หรือที่ว่า ""เอาทองทำภาชนะ ทุกภาชนะล้วนเป็นทอง"" ในเมื่อจิตบริสุทธิ์อยู่แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดแต่จิต ก็ล้วนเป็นทองทั้งสิ้น จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร
       พระธรรมาจารย์โปรดนิเทศธรรมแก่เสินซิ่วแ้ล้วสั่งว่า "ท่านจงไปไตร่ตรองสักวันสองวัน แล้วเขียนโศลกมาใหม่หนึ่งบทให้เราดู หากโศลกของท่านเข้าถึงจิตภายใน จะมอบจีวรพงศาธรรมให้" เสินซิ่วกราบลาแล้วจากไป ผ่านไปอีกหลายวัน โศลกเขียนไม่สำเร็จ ในใจพะว้าพะวัง จิตประสาทไม่อาจสงบได้ เหมือนอยู่ในความฝัน นอนนิ่งไม่มีความสุข
       อีกสองวันต่อมา มีเด็กชายคนหนึ่งผ่านมาทางโรงตำข้าว พลางท่องโศลกนั้น ฮุ่ยเหนิงได้ฟังก็รู้ได้ว่าโศลกนั้น ยังเข้าไม่ถึงจิตญาณเดิมแท้  แม้ฮุ่ยเหนิงจะยังมิได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระธรรมาจารย์ แต่ก็รู้แจ้งแก่ใจก่อนอยู่แล้ว จึงเอ่ยถามเด็กชายว่า"ท่องโศลกใดหรือ" เด้กชายตอบว่า "เจ้าคนป่าคนเยิงนี้ ไม่รู้ที่พระเถระเจ้ากล่าวว่า "ความเป็นความตายของชาวโลกนั้นเป็นเรื่องใหญ"หากแม้ใคร่จะได้รับมอบหมายถ่ายทอดจีวรพงศาธรรม ศิษย์ทุกคนจะต้องเขียนโศลกมาให้ดู หากรู้แจ้งในจิตญาณตน ก็จะมอบหมายถ่ายทอดจีวรพงศาธรรมให้รับฐานะเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หกสืบไป  พระเถระเสินซิ่ว เขียนโศลกนิรรูปไว้บนฝาผนังด้านใต้หน้าระเบียงธรรมศาลา พระธรรมาจารย์โปรดให้ทุกคนท่องโศลกนี้ บำเพ็ญตามโศลกนี้ ก็จะพ้นจากอบายภูมิ
       ความหมาย...พิจารณา...
       คำเรียกขานเด็กชายต่อท่านฮุ่ยเหนิง ทำให้รู้ความแตกต่างระหว่างผู้เข้าถึงจิตญาณตนหรือไม่อย่างไร ผู้เข้าถึงจิตญาณตน จะเห็นทุกชีวิตเสมอภาคกัน มิแบ่งแยกเหลื่อมล้ำต่ำสูง
       ในมหาปณิธานสิบของพระโพธิสัตว์สมันตะภัทระ  ปณิธานข้อที่หนึ่งคือ "จะให้ความเคารพนมัสการเหล่าพุทธะ" นั่นคือการบำเพ็ญจิตเสมอภาค "เคารพนมัสการเหล่าพุทธะ" คือ เคารพนมัสการเวไนยฯทั้้งหลายอันอาจบรรลุพุมธะได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุที่เหล่าเวไนยฯ ล้วนมีภาวะ "พุทธญาณ"  เป็นชีวิตจาก  "ธรรมญาณ"  แต่เดิมที  ผู้รู้แจ้งจิตญาณตนจะรู้ว่า ""ฟ้าดินต้นรากเดียวกัน สรรพสิ่งกำเนิดเดียวกัน"" เด็กชายยังไม่รู้แจ้งในจิตญาณตน จึงเรียกขานอย่างหยามเหยียดว่า ""คนป่า คนเยิง""
       ฮุ่ยเหนิง ได้ฟังดังนั้นจึงเอ่ยว่า "เราก็ใคร่จะท่องโศลกนี้ด้วย เพื่อผูกบุญสัมพันธ์ไปชาติหน้า ร่วมเกิดในพุทธภูมิ "อาวุโสท่าน""เราเหยียบกระเดื่องตำข้าวอยู่ตรงนี้แปดเดือนกว่า ยังไม่เคยเดินไปที่หน้าธรรมศาลาเลย ขออาวุโสท่านช่วยนำเราไปนมัสการตรงหน้าโศลกด้วย""
       ความหมาย...พิจารณา...
       แม้ฮุ่ยเหนิงจะรู้ว่าโศลกนั้นยังเข้าไม่ถึงภาวะรู้แจ้งจิตญาณ แต่ก็ยังมีความเคารพจะไปนมัสการโศลกนั้น ยังให้เกียรติเด็กชายว่าอาวุโสสูงกว่า แม้เด็กชายจะดูแคลนฮุ่ยเหนิงว่าคนป่าคนเยิงก็ตาม
       จากจุดนี้ก็จะเห็นได้อีกว่า ผู้รู้แจ้งจิตญาณจะยกย่องให้เกียรติแก่ทุกชีวิต

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        เด็กชายนำฮุ่ยเหนิงไปนมัสสการโศลกที่หน้าธรรมศาลา  ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า ""เราไม่รู้จักหนังสือ อาวุโสได้โปรดอ่านให้ฟังด้วย"" ในเวลานั้นในที่นั้นมีเลขาธิการเมืองเจียงโจว แซ่จาง นาม ยื่ออย้ง  อยู่ด้วยอาสาท่องให้ฟังเสียงดัง ฮุ่ยเหนิงฟังจบ รำพึงว่า""เราก็มีโศลกบทหนึ่ง หวังให้ท่านเลขาช่วยเขียนให้"" เลขาว่า "คนป่าคนเยิง เจ้าจะเขียนโศลกกับเขาด้วยหรือ เรื่องนี้มันประหลาด ไม่น่าเป็นไปได้เลย" (คำพูดและน้ำเสียงขอเลขา ก็ปรามาสเหยียดหยามเช่นกัน) ฮุ่ยเหนิงกล่าวแก่เลขาว่า ""จะเรียนรู้อนุตตรโพธิญาณ จะดูแคลนผู้เริ่มเรียนมิได้ คนระดับล่าง ๆ มีสติปัญญาระดับสูง ๆ  คนระดับสูง ๆ อาจมีปัญญาดำริหรือไม่ หากดูแคลนเขา จะเป็นบาปมหันต์""
        ความหมาย...พิจารณา...
       ความคิดจิตใจที่ดูแคลนผู้อื่น เป็นผลเสียหายยิ่งต่อตนเอง บดบังจิตญาณตนหลงหายไปจากพุทธญาณ ดูแคลนผู้อื่นเป็นมโนวิญญาณ เป็นจิตคิดแบ่งแยก เป็นใจโอหัง  จึงเป็นเมล็ดพันธุ์ของการเวียนว่าย
       เลขาได้ฟังดังนั้น ก็สำนึกได้ในความผิดตนทันที
       ความหมาย...พิจารณา...
       นี่คือคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญ  ตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า ""ไม่กลัวความคิดเกิด กลัวแต่รู้ตัวช้า"" เราศึกษาพระสูตรพระคัมภีร์ จะต้องย้อนคิดถึงจิตตนว่า พุทธะอริยะเจ้าท่านถ่ายทอดธรรมะสาระอะไรไว้แก่เรา ทุกเรื่องราวความเป็นมาล้วนมีค่าต่อการปฏิบัติบำเพ็ญ เช่นนั้จึงจะเรียกว่าศึกษาพระสูตร พระคัมภีร์อย่างแท้จริง
      เลขากล่าวว่า "ท่านท่องโศลกมา ข้าพเจ้าจะเขียนให้ หากท่านเข้าถึงวิถีธรรม จะต้องช่วยข้าพเจ้าเป็นคนแรก อย่าลืมคำนี้""
     ความหมาย...พิจารณา...
     เลขาจะเป็นผู้ช่วยเขียนโศลกให้แก่ท่านฮุ่ยเหนิง แต่มีข้อเรียกร้องตอบแทนว่า หากเข้าถึงวิถีธรรม จะต้องโปรดเลขาเป็นคนแรกเรื่องนี้ในพระสูตรมิได้จารึกไว้ จึงไม่ทราบว่าในประวัติของการถ่ายทอดวิถีธรรม ท่านฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) ได้โปรดเลขาหรือไม่ แต่ที่เลขาได้เป็นผู้เขียนโศลกบทสำคัญบทแรกของท่านลิ่วจู่นั้น ได้แสดงให้เห็นเหตุปัจจัยแห่งบุญสัมพันธ์อันได้หยั่งรากลงแล้วแน่นอน
     ฮุ่ยเหนิงกล่าวโศลกว่า      ""โพธิเดิมทีไม่มีต้น        กระจกใสก็มิใช่บาน
                                        แต่เดิมทีหามีสิ่งใดไม่   ฝุ่นธุลีจะจับลงที่ตรงไหน""
     ความหมาย...พิจารณา...
     จิตญาณตน แท้จริงก็มิได้ตายตัวอยู่ ณ จุดนั้น  ก็ด้วยจิตญาณเป็นพลังงาน เป็นธรรมธาตุอิสระไร้รูปในธรรมจักรวาล พระวิสุทธิอาจารย์เบิกจุดญาณทวารให้ นั่นคือ ในขณะที่ชีวิตร่างกายยังดำรงประสิทธิภาพการใช้งานอยู่ โดยเฉพาะประสิทธิภาพในการปฏิบัติบำเพ็ญ เพื่อการหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการทั้งหลาย  จึงมิได้ยึดหมายเหนียวแน่นอยู่  ณ  จุดนั้น อันจะเป็นการยึดหมายในนามรูป เช่นนี้แล้ว จิตญาณตนก็จะหลุดพ้นได้ยาก
     โศลกของท่านฮุ่ยเหนิง ได้สนองรับสนองตอบโสลกของท่านเสินซิ่วอย่างแยบคลาย ไม่เพียงเติมเต็มให้แก่โศลกของท่านเสินซิ่วในส่วนขาดพร่อง อีกทั้งยังเสริมสร้างความสำคัญแก่บันไดขั้นแรกสำหรับการเจริญธรรมตามโศลกของท่านเสินซิ่วอีกด้วย
     โศลกของท่านฮุ่ยเหนิง จึงมิได้เป็นการลบล้างโศลกของท่านเสินซิ่วแต่อย่างใด ตามความเข้าใจของคนบางคน  จิตญาณตนอิสระไร้รูป เมื่อไร้รูป ก็ไม่น่าจะเป็นที่จับเกาะของฝุ่นธุลีได้ เพราะมิใช่บานกระจก  แต่จิตญาณอิสระกลับต้องตกเป็นทาสของฝุ่นธุลีรับทุกข์รับภัยไม่จบสิ้นทุกชาติมา"จากการจับเกาะของฝุ่นธุลี"  หรืออีกนัยหนึ่งคือ จากการ "ยินดีให้ฝุ่นธุลีจับเกาะ"เสียมากกว่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

         โศลกท่านฮุ่ยเหนิง  ::    "" โพธิเดิมทีไม่มีต้น        กระจกใสก็มิใช่บาน
                                           แต่เดิมทีหามีสิ่งใดไม่   ฝุ่นธุลีจะจับลงที่ตรงไหน ""  ( ไร้รูปลักษณ์ )
       
  ( หมายเหตุ  :  เลขาธิการเมืองเจียงโจว  แซ่จาง  นามยื่ออย้ง   ได้เป็นผู้เขียนโศลกบทสำคัญบทแรกของท่านลิ่วจู่ )

      พอเลขาเขียนโศลกบนฝาผนังเสร็จ ศิษย์ทั้งหลายของพระธรรมาจารย์ต่างตื่นเต้นประหลาดใจ ต่างอุทานว่าไม่น่าเชื่อ ต่างวิเคราะห์วิจารณ์กันว่า  ""มหัศจรรย์แท้ จะตัดสินคุณสมบัติของคนจากรูปลักษณ์หน้าตาไม่ได้เชียว ชั่วระยะเวลาไม่นาน เขาได้บรรลุความเป็นพระโพธิสัตว์เดินดินไปแล้ว""
      พระธรรมาจารย์  เห็นทุกคนต่างตื่นเต้นแปลกใจแกรงจะมีผู้ให้ร้าย จึงใช้รองเท้าลบโศลกของฮุ่ยเหนิงแล้วกล่าวว่า ""ก็ยังไม่เห็นจิตญาณ"" ทุกคนจึงหยุดอุทานประหลาดใจ
      วันรุ่งขึ้น พระธรรมาจารย์แอบเข้าไปในโรงตำข้าว เห็นฮุ่ยเหนิงคาดก้อนหินใหญ่ไว้กับเอว กำลังตำข้าวอยู่ จึงกล่าวด้วยว่า ""ผู้แสวงธรรม ลืมกายสังขารเพื่อธรรม พึงเป็นเช่นนี้หนอ ""
      ความหมาย...พิจารณา...
      ท่านฮุ่ยเหนิงร่างเล็ก  ซึ่งอาจเป็นเหตุจากที่เกิดมาในถิ่นทุรกันดารและมีฐานะยากจนข้นแค้น  อีกทั้งต้องทำงานหนักเกินตัวตลอดมาก็เป็นได้  การเหยียบกระเดื่องตำข้าว จะต้องมีน้ำหนักตัวเพียงพอ มิฉะนั้น จะไม่อาจเหยียบคันกระเดื่องให้ขึ้นลงตำข้าวได้ท่านฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) รับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย แก้ปัณหาให้ได้ ทำให้สำเร็จจนได้ จึงใช้ก้อนหินใหญ่คาดไว้กับเอวเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัว  แน่นอน  เมื่อทำเช่นนี้  สายคาดเอวเชื่อมจากคันกระเดื่องมีน้ำหนักมาก ย่อมกดรัดมาก  นานวัน นานวัน ไหล่ทั้งสองข้างนั้นของท่านฮุ่ยเหนิงเนื้อแตกเฟะ แต่ท่านมิได้ใส่ใจ  เพราะความคิดจิตใจของท่าน มิได้ยึดหมายอยู่กับกายสังขาร
      ที่พระธรรมาจารย์กล่าวว่า ผู้แสวงธรรม ลืมกายสังขารเพื่อธรรม  มีความหมายของการชื่นชม เชื่อมั่นต่อฮุ่ยเหนิง  และประโยคสุดท้ายที่ว่า พึงเป็นเช่นนี้หนอ มีความหมายของการฝากฝัง หวังว่าฮุ่ยเหนิงจะจริงจังรับหมอบหมายงานใหญ่ของเบื้องบนได้ตลอดไป ด้วยคุณสมบัติดังนี้ ซึ่งฮุ่ยเหนิงก็น้อมรับไว้ด้วยความเข้าใจ
      พระธรรมาจารย์จึงถามต่อไปอีกว่า ""ข้าวได้ที่แล้วหรือยัง"" (เผิน ๆ เป็นคำสั่ง หมายความว่า ข้าวตำเสร็จแล้วหรือยัง) ฮุ่ยเหนิงตอบว่า ""ข้าวได้ที่นานแล้ว ขาดแต่ร่อนตะแกรงเท่านั้น"" พระธรรมาจารย์มิตอบว่ากระไร ใช้ไม้เท้าเคาะที่ครกตำข้าวนั้นสามทีแล้วเดินจากไป  ฮุ่ยเหนิงเข้าใจเจตนาปริศนาของพระธรรมาจารย์   คืนนั้น ยามสาม  จึงเข้าไปกราบพระธรรมาจารย์ยังในห้อง
      ความหมาย...พิจารณา...
      ปุถุชนนั้น  ในแต่ละวันจะพูดคุยสื่อความกันด้วยคำพูดหลากหลาย เสียเวลาไปมากมายแต่ได้สาระไม่สมบูรณ์ ซ้ำบางคนยังพูดกันไม่รู้เรื่อง นั่นเพราะเหตุใด ? เพราะเหตุที่เป็นปุถุชน
      แต่สำหรับผู้เข้าถึงจิตญาณตน คำพูดเพียงสามคำ ห้าคำ  ก็เข้าถึงความหมายลึกซึ้งกว้างไกลได้ บางท่านวิเศษแยบยล จนแม้มิต้องเอ่ยขานก็เข้าใจกัน นั่นคือจิตญาณสื่อถึงจิตญาณกัน จึงมีคำกล่าวว่า ""ขณะนี้ คำพูดภาษาหาต้องการใช้ไม่...  ฉื่อเค่อเอี๋ยนอวี่เหอชวีอย้ง"" จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ท่านฮุ่ยเหนิงจะเข้าใจในทันที เมื่อพระธรรมาจารย์เคาะที่ครกกระเดื่องสามที
      คนดีมักมีผู้อิจฉา  เป็นเรื่องปกติ ที่ ผิดปกติ  ผู้บำเพ็ญจะต้องช่วยกันปรับเปลี่ยน โดยเริ่มจากจิตใจของตน จนถึงช่วยกันปรับเปลี่ยนจิตใจของใคร ๆ ให้กลายเป็นคำขวัญว่า "" คนดีมักมีผู้ติดตาม "" จะดีกว่า
      พระธรรมาจารย์เกรงว่า ศิษย์ฮุ่ยเหนิงจะถูกอิจฉาทำร้าย จึงสื่อความด้วยวาจาปริศนา  ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันระหว่างพระธรรมาจารย์กับฮุ่ยเหนิง แต่ผู้อื่นที่ได้ยินในที่นั้นกลับเข้าใจว่า พระธรรมาจารย์กวดขันเร่งรัดให้ฮุ่ยเหนิงรีบตำข้าว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       คืนนั้น !!!  พระธรรมาจารย์เอาจีวรล้อมบังฮุ่ยเหนิงไว้มิให้ใครเห็น (เบิกจุดญาณทวาร  ถ่ายทอดวิถีจิตฉับพลัน) นี่คือร่อนตะแกรงคัดสรรค์เมล็ดพันธุ์  พร้อมกับแสดงธรรมจากคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร จนถึงประโยคที่ว่า ""พึงบังเกิดจิตอันมิได้ยึดหมาย"" ฮุ่ยเหนิงแจ้งใจในบัดดลว่า ""ธรรมทั้งปวงมิพ้นจากจิตญาณตน""
       ความหมาย...พิจารณา...
      การกราบขอรับวิถีธรรม  อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมประกอบพิธีอาราธนาแทนอมะพุทธะจี้กง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พุทธะโพธิสัตว์ทั่วทุกสากล ทรงโปรดปกป้องรักษาตำหนักธรรม
      ขณะนั้น  มองดูผู้คนมากมายอยู่ในพิธี อย่างกับเป็นที่เปิดเผยทั่วไปได้ แต่หารู้ไม่ เบื้องหลังล้วนผ่านการเลือกสรรจำกัดเฉพาะผู้สมควรได้รับ ไม่อนุญาตให้ส่งแปลกปลอมอื่นใดเข้าใกล้ หรือมิให้ใครเห็น เช่นเดียวกับในขณะอยู่ภายใต้จีวรล้อมบัง
      ในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร จารึกว่า ""อันว่าพุทธธรรมนั้น หาใช่พุทธธรรมไม่"" ที่พระธรรมาจารย์กล่าวแก่ฮุ่ยเหนิงในขณะถ่ายทอดวิถีธรรมนั้น จุดมุ่งหมายสำคัญมิใช่อยู่ที่ข้อความตามตัวอักษรที่ได้มาจากวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เพียงแต่อาศัยข้อความตามอักษรนั้น ยืนยันให้เห็น ""วัชรญาณปัญญา"" แห่งตน ประจักษ์ชัดในความมีอยู่เป็นอยู่จริงนั้น  เรามักจะพูดถึง ""ธรรมะแท้จริง (เต้าเจิน)  หลักธรรมแท้จริง (หลี่เจิน)  อนุตตรพระโองการแท้จริง  (เทียนมิ่งเจิน) จริงอย่างไร  อย่างไรจึงเรียกว่าจริง
      หากเราได้ศึกษาประวัติการรับวิถีธรรมของพระพุทธะอริยเจ้า หรือผู้บรรลุธรรมวิเศษทั้งหลายในอดีตกาลมา จะเห็นได้ว่าล้วนเป็นวิถีธรรมที่เป็น""วิถีจิต"" เข้าถึงวิถีจิตจึงเข้าถึงโพธิญาณตน โพธิยาณก็คือภาวะของพุทธะ ภาวะของพุทธะ ก็คือภาวะของการบรรลุธรรม ได้ภาวะนั้นจริง จึงจะเรียกได้ว่า ธรรมะแท้จริง  หลักธรรมแท้จริง  ล้วนสอนให้ย้อนมองส่องตน ค้นหาโพธิญาณตน
      ข้อธรรมต่าง ๆ ที่ศึกษา ล้วนเปรียบเสมือนแรงลม หรืออากาศธาตุที่เคลื่อนไหว  พัดพาก้อนเมฆที่น้อยใหญ่ ให้พ้นไปจากการเป็นอุปสรรคบดบังที่มิให้สุริยา (โพธิญาณ) ได้ฉายแสงทอง จึงเรียกได้ว่าเป็น หลักธรรมแท้จริง
      อนุตตรพระโองการจริง  การถ่ายทอดการมอบหมาย การสืบสายพาศาธรรม ล้วนเป็นแนวตรงหนึ่งเดียวชัดเจนเรื่อยมา ผู้ขัดขวางเหยียดหยาม ล่วงละเมิด บิดเบียน อุปโลกน์แหวกแนว ไม่เป็นไปตามความถูกต้องยุติธรรม แม้จะพยายามจัดลำดับตนเข้าไว้ในประวัติการพงศาธรรมอย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้
      ในที่นี้  ใคร่ขอพิจารณาจากท่านลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงเป็นตัวอย่าง ในสยตาของคนทางโลก คนป่าคนเยิง ผิวคล้ำ ร่างเล็กแกร็น ไม่รู้จักหนังสือ ไม่มีธรรมวุติ...มีแต่คนดูถูกเหยียดหยาม ทำงานหยาบเป็นกิจวัตร ไร้ผู้สนับสนุน  กับ เสินซิ่วพระเถระผู้ใหญ่ ลักษณะสวยสง่า ผิวผ่องงดงามสดใส อรรถาธรรมล้ำเลิศ มีผู้กราบไหว้สรรเสริญไปทั่วบ้านทั่วเมือง
      ระหว่างสองรูปนี้  ในสายตาของคนทางโลก รูปใดน่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมาจารย์มากกว่ากัน  หลังจากได้รับถ่ายทอดวิถีจิตจากพระธรรมาจารย์ ฮุ่ยเหนิงแจ้งใจในบัดดลว่า ""ธรรมทั้งปวงมิพ้นจากจิตญาณตน""

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      พลันบังเกิดปิติ  จึงอุทานกราบเรียนพระธรรมาจารย์ว่า โดยแท้จริงจิตญาณตนแต่เดิมทีหมดจดสดใสได้ถึงเพียงนี้เชียวหนอโดยแท้จริง จิตญาณตนแต่เดิมทีไม่มีการแตกดับได้เช่นนี้เองหนอ โดยแท้จริงจิตญาณตนแต่เดิมทีสมบูรณ์พร้อมอยู่ในตัวดังนี้ได้เชียวหนอ  โดยแท้จริง จิตญาณตนแต่เดิมทีหาได้หวั่นไหวส่ายคลอนไม่เช่นนี้หนอ โดยแท้จริง จิตญาณตนแต่เดิมทีก่อเกิดหมื่นข้อธรรม ธรรมทั้งปวง ได้ถึงเพียงนี้เชียวหนอ
     ความหมาย...พิจารณา...
     ทั้งห้าประโยค นอกจากจะแสดงความไม่น่าเป็นไปได้ แล้ว ยังกล่าวได้ว่าเป็นการกราบถวายราบงานภาวะจิตหลังจากได้รับถ่ายทอดวิถีธรรมแล้วของฮุ่ยเหนิงต่อพระธรรมาจารย์ คำสำคัญในแต่ละประโยค ที่น่าจะเอามาพิจารณากันอีกทีคือคำว่าโยแท้จริง แต่เดิมที ที่ได้รับวิถีธรรมกันก็คือได้รับรู้ภาวะโดยแท้จริงแต่เดิมทีที่มีอยู่ที่ปฏิบัติบำเพ็ญจริง ก็เพื่อฟื้นฟูภาวะโดแท้จริงแต่เดิมทีที่มีอยู่ที่บรรลุธรรมกัน ก็คือกลับคืนสู่ภาวะโดยแท้จริงแต่เดิมทีที่มีอยู่ จึงสรุปเป็นสูตรง่าย ๆ ว่ารับรู้ ฟื้นฟู กลับสู่โดยแท้จริงแต่เดิมที เช่นนี้แล้วยังจะต้องแสวงหาสิ่งแปลกใหม่ให้วกวนหลงทางต่อไปอีกทำไม
     พระธรรมาจารย์ได้ฟัง พลันรู้ว่าฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่)รู้แจ้งจิตญาณตนโดยตลอดแล้ว  ณ  บัดนี้ได้ชื่อว่่าสามี ""มหาบุรุษ"" ได้ชื่อว่าครูอาจารย์ชองเทวดาและมนุษย์ ได้ชื่อว่าพุทธะ  พระธรรมาจารย์ได้ถ่ายทอดวิถีธรรมให้ในยามสาม ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย จึงมอบหมายถ่ายทอดวิถีจิตฉับพลัน (จักษุครรภนิพพาน อนุตตรสัมมาสัมโพธิมรรค) พร้อมด้วยบาตรกับจีวรพงศาธรรม แล้วกล่าวว่า ""ท่านจงดำรงฐานะพระธรรมาจารย์สมัยที่หก (ลิ่วจู่) จงรักษาจิตดำริไว้ให้ดี ปรกโปรดฉุดช่วยสัตว์โลกผู้มีลสปราณ ผู้มีเยื่อใยสัมพันธ์แพร่หลายต่อไปภายหน้า อย่าได้ขาดสาย
     ความหมาย...พิจารณา...
     ที่พระธรรมาจารย์กล่าวว่า ณ  บัดนี้ท่านได้ชื่อว่าสามี  หมายถึงมหาบุรุษผู้มีความเพียรชอบ มีความแกร่งกล้ามิถดถอย  ได้ชื่อว่าครูอาจารย์ของเทวดาและมนุษย์ หมายถึง ผู้ประพฤติการอันเกื้อกูล เอื้อคุณ อบรมสั่งสอน  ปลุกจิต นำศิษย์เข้าสู่วิถีจิตเพื่อการหลุดพ้น ได้ชื่อว่าพุทธะ ในที่นี้ มิได้หมายถึงพุทธะในระดับอมิตาภะ พระพุทธเจ้า หรือสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นที่สุดแห่งพุทธะ แต่หมายถึง พุทธะผู้เข้าถึงจิตญาณตนโดยแท้จริงแต่เดิมที
    ในพงศาธรรมาจารย์แห่งยุค โปรดมอบหมายถ่ายทอดตำแหน่งพระธรรมาจารย์แก่ผู้สืบสายต่อไป ย่อมจะต้องกำชับความสำคัญในการดำรงฐานะนั้น พระองค์โปรดกำชับลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ว่า จงรักษาจิตดำริไว้ให้ดี หมายถึง การรักษาพุทธภาวะแห่งตนไว้ให้มั่นคง
    วันนี้เรากราบรับวิถีธรรมกัน ก็ได้รับโปรดกำชับจากอมตะพุทธะพระอาจารย์ เช่นกันว่า ""เจ้าได้รับหนึ่งจุดเบิกบัดนี้ ปลอดโปร่ง ณ เบื้องบน ปราศจากการเกิดตาย (จิตญาณปราศจากการเกิดตาย จงหล่อหลอมแสงญาณ ไว้ทุกขณะจิต...หนี่จินเต๋ออี้จื่อ  เพียวเพียวไจ้เทียนถัง  อู๋โหย่วเซิงเหอสื่อ   จงยื่อเลี่ยนเสินกวง)   ธรรมะประกาศิตจากอมตะพุทธะพระอาจารย์ ได้ยืนยันให้รู้ชัดว่า จุดนี้คือความปลอดโปร่งของจิตบริสุทธิ์อันสูงส่งจากเบื้องบนแต่เดิมที
     พึงทำความเพียรเพื่อกลับคืนเบื้องบน แต่เดิมทีเช่นนี้ จิตญาณจึงจะ"ปราศจากการเกิดตาย"อีกต่อไป ในขณะมีชีวิต ให้หล่อหลอมประคองรักษาแสงญาณของจิตพุทธะไว้ทุกขณะเวลา มิให้มืดมัวผิดเพี้ยน...ประโยคต่อไปที่พระธรรมาจารย์โปรดกำชับแก่ลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ที่ว่า "จงปรกโปรดฉุดช่วยสัตว์โลกผู้มีลมปราณเยื่อใยสัมพันธ์" นั้น หมายความว่า ให้แพร่ธรรมนำพาสาธุชนผู้มีกุศลเจตนา อันมิได้ขาดจากรากมูลแห่งพุทธะ ผู้ขาดจากรากมูลของพุทธะ คือผู้มีบาปล้นพ้นตัว  ผู้ทำลายศาสนา  ทำร้ายผู้บำเพ็ญ ฯ และที่พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่กล่าวไว้ในภายหลังว่า "ผู้ไม่ร่วมรู้ ไม่ร่วมบำเพ็ญ...มิให้มอบหมายถ่ายทอด เพราะจะเสียหายแก่บรรพจารย์เรา ซึ่งไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง"
     ...ยังเกรงคนโง่เขลาไม่เข้าใจ ใส่ไคล้วิถีธรรมนี้ ร้อยกัปพันชาติที่เกิดตาย เขาจะขาดไปจากเผ่าพันธ์จิตญาณแห่งพุทธะ นั่นก็คืิอขาดจากรากมูลแห่งพุทธะ  ฉะนั้น  พระธรรมาจารย์จึงกำชับลิ่วจู่ว่า "จงปรกโปรดฉุดช่วยสัตว์โลก ผู้มีลมปราณเยื่อใยสัมพันธ์"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พระธรรมาจารย์ยังโปรดเป็นโศลกแก่ลิ่วจู่อีก ณ บัดนั้นว่า จงฟังโศลกจากอาตมา  :::::

                                  ปรกโปรดสู่ ผู้มี                เยื่อใย
                                  เนื้อนาให้   เป็นเหตุ          เกิดผล
                                  ปราศจากชีพ คือปราศจาก   พันธุ์เพาะ
                                  ปราศจาก เนื้อนา  บุญไซร์   ไม่อาจ  เกิดมี

       ความหมาย...พิจารณา...
       ประโยคสุดท้ายสองบาทของโศลก แฝงความหมายไว้สองประการ  ประการที่หนึ่ง  "ปราศจากชีพ" หมายถึง ปราศจากรากมูลแห่งพุทธะ  คนระดับจิตนี้ แม้มีเหตุปัจจัยให้ได้รับวิถีธรรม แต่ก็ยากที่จะเจริญธรรมได้
       ประการที่สอง  หมายถึงจงปรกโปรดฉุดช่วย เพิ่มพาบุญปัจจัยแก่เขาเหล่านั้น มิให้ยึดหมายเฉพาะคุณสมบัติและหรือนามรูปนั้น ๆ ...ปราศจากเนื้อนาบุญไซร์...จิตญาณที่เกิดปัญญาบริสุทธิ์ ปราศจากอาสวะ เป็นเนื้อนาบุญของผู้นั้น
      ในเชิงปฏิเสธ ผู้ปราศจากเนื้อนาบุญด้วยปัญญาบริสุทธิ์ ไม่อาจปลูกกุศลมูลให้งอกงามได้ จึงไม่อาจมีการเกิด ไม่อาจเจริญธรรมได้ต่อไป
      ในเชิงรับ   หากปราศจากเยื่อใยสัมพันธ์ในการปรกโปรด ไม่พยายามฉุดช่วยปรับสภาพเนื้อนาแห้งแล้ง ยากจะเสาะหาเนื้อนาอุดมได้ เมื่อปราศจากเนื้อนาบุญ ก็ไม่อาจเกิดมีเผ่าพันธ์แห่งพุทธะ จึงดูเหมือนเป็นสองทางเลือกในการปรกโปรด
       พระธรรมาจารย์โปรดอีกต่อไปว่า "ในครั้งกระนั้น เมื่อสมเด็จพระโพธิธรรมเพิ่งจาริกมาสู่ดินแดนแห่งนี้ ผู้คนยังไม่ศรัทธาเชื่อถือ จึงต้องมอบหมายจีวรพงศาธรรมาจารย์นี้ไว้เป็นหลักฐานสัญญา สืบต่อกันมาทุกสมัย"
      ส่วนสัทธรรมวิถีแห่งจิตนั้นถ่ายทอดด้วยจิตสู่จิต ล้วนให้ประจักษ์รู้แจ้งได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น "ตั้งแต่โบราณกาลมา พระพุทธะสู่พระพุทธะ ทุกพระองค์ ล้วนถ่ายทอดแต่ "ตัวจริง ตัวแท้แห่งจิต" แต่ละพระอาจารย์ มอบหมายกำชับลับเฉพาะตัวแท้ของจิตนั้น"
      ความหมาย...พิจารณา...
      ...ถ่ายทอดแต่ตัวจริงตัวแท้... ก็คือ ถ่ายทอดให้เข้าถึงจิตญาณตนตัวแท้จริงแต่เดิมทีที่มีอยู่ เช่นเดียวกับที่พระวิสุทธิอาจารย์โปรดถ่ายทอดวิถีธรรมแก่เราในยุคนี้ ...กำชับลับเฉพาะจิตนั้น...มอบให้โดยตรงคือผู้สมควรได้รับตามเหตุปัจจัยแห่งบุญ เราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยุคกาลนี้ แม้เบื้องบนจะปรกโปรดกว้างใหญ่ แต่เหตุใดจิตของคนมากมาย จึงรับไม่ได้ ไม่ได้รับ หรือยังรับไม่ได้ ยังไม่ได้รับ เพราะการจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์ เป็นพิธรถ่ายทอด ""จิตสู่จิต"" ""จิตประทับรู้ในจิต"" ""กำซาบซึ้งถึงโพธิจิตพุทธญาณ ตัวจริง ตัวแท้ของจิต"" เป็นการเบิกทางให้จิตรู้แจ้งเข้าใจในจิตตนโดยฉับพลัน  ภาวะนี้ ไม่มีใครเกิดเป็นแทนใครได้ ไม่อาจฝากให้ช่วยรับ เหมือนฝากไปทำบุญ หรือฝากให้ไปดูแล้วกลับมาบอกเล่าให้ฟังได้
      พระธรรมาจารย์กล่าวกำชับต่อไปอีกว่า ""บาตรกับจีวรเป็นสาเหตุของการแย่งชิงกัน จึงให้หยุดการถ่ายทอดมอบหมายลงตรงท่านเป็นองค์สุดท้าย หากมอบหมายสืบต่อบาตรกับจีวรนี้ ชีวิตจะเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย อันตรายนัก ท่านจะต้องรีบไป เกรงจะมีผู้ทำร้ายท่าน !!!
      ความหมาย...พิจารณา...
      เป็นคำนิยมเคยชินอย่างหนึ่งของคนที่ยึดหมายเอาวัตถุเป็นสัญลักษณ์สัญญาที่แสดงถึงความสำคัญ หลายคนจึงยึดติดว่า ผู้ได้ตราประทับ (วัตถุ) ได้สิ่งของประจำตัวอริยบุคคล เท่ากับเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจมอบหมายให้เป็นใหญ่ในการดำเนินการ มีสถานภาพได้รับความศักดิ์สิทธิ์ปรกแผ่แก่ตน ค่านิยมความเคยชินนี้ ทำให้พระธรรมาจารย์ พระธรรมจาริณีของเรา ต้องพลอยได้รับความลำบากไปด้วยเช่นกัน จวบจนบัดนี้ พระอริยะร่างของพระองค์ บรรจุฝังอยู่ที่ใด จะรู้กันอยู่เฉพาะนักธรรมสำคัญเพียงไม่กี่ท่าน ซึ่งแทนที่จะเปิดเผยอย่างสง่างามให้ได้กราบไหว้โดยทั่วกัน กลับต้องกลายเป็น พระอริยเจ้าที่ถูกแอบแฝงไว้  บางพระองค์ นับร้อยพันปีผ่านไป ยังต้องเก็บเป็นความลับมิกล้าเปิดเผย ด้วยเกรงว่าจะถูกโจรกรรมแย่งชิง
       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        โศลกพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นสมัยที่ห้า  :::  ปรกโปรดสู่  ผู้มี               เยื่อใย
                                                             เนื้อนาให้   เป็นเหตุ          เกิดผล 
                                                             ปราศจากชีพ คือปราศจาก   พันธ์เพาะ
                                                             ปราศจาก  เนื้อนา บุญไซร์   ไม่อาจ เกิดมี
                                                             โหย่ว ฉิง ไหล เซื่ย จ่ง       อิน ตี้ กว่อ หวน เซิง
                                                              อู๋ ฉิง จี้ อู๋ จ่ง                  อู๋ ซิ่ง อี้ อู๋ เซิง
  (หมายเหตุ !!!  บาตรกับจีวร หยุดการมอบหมายลงตรงท่านพระธรรมาจารย์สมัยที่หกลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ในเวลายามสาม )

       ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง กราบเรียนถามว่า ""ศิษย์ควรไปที่ใด"" พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""พบ ไฮว๋ ให้หยุด (ไฮว๋ เป็นชื่ออำเภอ ปัจจุบันคือ อำเภอไฮว๋จี๋ มณฑลกว่างซี  พบ ฮุ่ย (ฮุ่ย คือ อำเภอซื่อฮุ่ย มณฑลกว่างตง  ภายหลังแผนที่ประเทศปรับเปลี่ยนใหม่ ทั้งสองอำเภอรวมอยู่ในมณฑลกว่างตง ) ให้ซ่อนตัว""
       ลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) ได้รับมอบบาตรกับจีวรในเวลายามสามแล้ว กราบเรียนพระธรรมาจารย์ว่า ""ศิษย์เป็นชาวใต้ส่วนกลาง นานมาไม่เคยรู้จักเส้นทางป่าเขานี้ มิรู้ที่จะออกไปสู่ริมแม่น้ำเพื่อข้ามฝั่งได้อย่างไร"" พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""มิพึงกังวลห่วงใย เราจะส่งท่านออกไปด้วยตนเอง""
      พระธรรมาจารย์โปรดส่งศิษย์ฮุ่ยเหนิงจนมาถึงแม่น้ำจิ่วเจียง ข้างศาลาที่พักคนเดินทางมีเรือลำหนึ่ง  พระธรรมาจารย์ให้ศิษย์ฮุ่ยเหนิงขึ้นเรือ (ลงเรือ) พระธรรมาจารย์จับคันแจว ลงมือแจวข้ามฝั่งด้วยพระองค์เอง ศิษย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า ""ขอพระเถระเจ้าโปรดนั่งศิษย์ควรเป็นผู้แจว"" พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""ควรเป็นเราส่งท่านข้ามฝั่ง""
      ความหมาย...พิจารณา...
      พระธรรมาจารย์ให้ศิษย์ฮุ่ยเหนิงขึ้นเรือ แฝงความหมายอวยชัยว่า ศิษย์จะต้องข้ามจากห้วงโอฆะไปสู่ฟากฝั่งอันเกษมให้ได้ต่อแต่นี้ไป ศิษย์จะต้องเป็นต้นหนธรรมนาวา ขนถ่ายเวไนยไม่ประมาณ (ฝากฝังมอบหมาย) ""ควรเป็นเราส่งท่านข้ามฟาก"" มีคำกล่าวว่า "แม้ไม่มีครูอาจารย์ มิกล้ากล่าวอ้างว่าล่วงรู้โพธิญาณ ไม่มีผู้นำทางมิกล้าบุ่มบ่ามข้ามป่าเขา โดยความเป็นครูอาจารย์ ล้วนมีหน้าที่ทุ่มเทนำทาง พระธรรมาจารย์จึงลงมือแจวเรือข้ามฝั่งเอง
      ผู้ทรงธรรมย่อมอยู่ในธรรมทุกสภาวะ จะคิด พูด ทำ  ล้วนเป็นธรรมไปทุกสิ่ง มีคำกล่าวว่า "ศึกษาพระธรรมคัมภีร์ ให้ถึงที่ซึมรู้สู่แก่นแท้" เข้าสู่ความหมายแก่นแท้ของคัมภีร์ก็คือ เข้าที่ซึมรู้สู่แก่นแท้จิตญาณตน รอบตัวทุกอย่างล้วนเป็นพระธรรมคัมภีร์ หากจิตปราณีต รู้การพิจารณาให้ดี ทุกขณะ ก็จะได้ศึกษาพระธรรมคัมภีร์ทุกกรณีตลอดเวลา
      ลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) กราบเรียนว่า ""ขณะหลง อาจารย์ฉุดนำ รู้แจ้งพลัน ฉุดนำตนเอง""  ""ฉุดนำ"" คำเดียวกัน ใช้ในความหมายต่างกัน ฮุ่ยเหนิงเกิดที่ชายแดน สำเนียงพูดไม่ชัดเจน ยังได้รับกรุณาคุณจากพระเถระเจ้า ถ่ายทอดสัทธรรม  บัดนี้ศิษย์รู้แจ้งแล้ว จึงสมควรฉุดนำจิตญาณตนด้วยตนเอง
    ความหมาย...พิจารณา...
    ""ฉุดนำ ฉุดพา หรือ ฉุดช่วย"" ที่ใช้กันอยู่ในอาณาจักรธรรมนั้น ให้ความหมายทั้งฉุดเวไนยให้ขึ้นจากทะเลทุกข์ ฉุดเวไนย์ให้ดำเนินธรรม ""นำพา"" หรือช่วยส่งเสริมให้เขาเจริญธรรม อักษรจีนใช้คำว่า ""ตู้"" แปลว่าพายเรือ หรือส่งให้ข้ามฝั่ง
      พระธรรมาจารย์โปรดว่า ""เป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้"" วันข้างหน้าสัทธรรมวิถีฉับพลัน อาศัยท่านถ่ายทอดแพร่หลายเต็มที่ ท่าจากไปแล้วสามปี เราจึงจะละสังขาร ท่านจงเดินทางให้ดี พยายามมุ่งสู่ทิศใต้ มิควรด่วนเทศนาแสดงธรรม ด้วเหตุว่าวาระนี้พุทธรรมมิใช่ง่ายที่จะริเริ่มจำเริญกาล"" พระธรรมาจารย์กล่าวจบก็ให้รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ แต่พระองค์มิได้แสดงอาการแต่อย่างใด
      ความหมาย...พิจารณา...
      ""ท่านจากไปแล้วสามปี เรา "จึงจะละ" กายสังขาร..."" พระอริยเจ้าเห็นความตายเหมือนมิได้เห็น รู้วันตายเหมือนรู้วันทั่วไป และอาจกำหนดรู้ว่าจะอยู่จะไป ""สามปีเราจึงจะละกายสังขาร"" เป็นกำหนดหมายที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก ศิษย์กำลังจะดั้นด้นเดินทางไปสู่หนทางข้างหน้าที่มีผู้ปองร้ายติดตาม แต่สามปีนี้ยังมีพระธรรมาจารย์คุ้มอยู่ หากพระองค์กล่าวว่าสามปีเราจะละกายสังขารก็คือกำหนดด้วยจิตปรารถนาจะอยู่เพื่อศิษย์อีกสักระยะหนึ่ง
      เมตตากรุณาธรรมอันลึกซึ้งของพระอริยเจ้า ใครเลยจะเข้าถึงได้ถี่ถ้วน ""มิควรด่วนเทศนาแสดงธรรม"" ลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) เป็นชาวป่า ยังมิเคยเข้าสู่โลกภายนอกอันซับซ้อนสับสน แม้จะรู้แจ้งในจิตตน แต่ประสบการณ์ต่อคนทางโลกก็จำเป็น อีกทั้งคนนับร้อยที่ตามล่าบาตรกับจีวร ก็เป็นปัญหาสำคัญที่พระธรรมาจารย์รู้ล่วงหน้าทุกอย่าง จึงต้องเป็นไปให้เหมาะแก่วาระบุญ
      การนำพาส่งเสริมญาติธรรมใหม่ก็เช่นกัน หากเร่งด่วน ดึงดัน เขารับไม่ได้ ละไปจากทางธรรมเราจะกลับมีผิดบาปที่ดึงให้เขาขาดจากปัญญาญาณ 
   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”