ใครเอ่ยถึงความว่าง แน่นอนเขาย่อมพูดไม่ถูกว่าความว่างคืออะไร ได้แต่คาดและเดาเอาตามสภาพที่นัยน์ตาเห็นเท่านั้น ห้องที่ไม่มีอะไรวางอยู่เลยเราเรียกว่า "ห้องว่าง" จิตใจที่ไม่มีอะไรแผ้วพานหรืออารมณ์ใดครอบงำเลยเรียกว่า "ใจว่าง" เหมือนกัน แต่ความว่างทั้งสองอย่างต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะห้องว่าง ไม่ก่อเกิดสรรพสิ่งและไม่อาจควบคุมสรรพสิ่งได้เลย เป็นความว่างที่ยังปรากฏรูปลักษณ์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดสัมผัสได้ด้วย นัยน์ตา และอายตนะของมนุษย์ เป็น "ความว่าง" อันกำหนดหมายให้เป็นไปเพราะในห้องที่ "ว่าง" นั้นเองยังเต็มไปด้วย จุลชีวัน สิ่งมีชีวิต ฝุ่นผง ที่นัยน์ตาไม่อาจเห็นได้ ความว่างเช่นนี้จึงไม่อาจดำรงอยู่ได้ตลอดกาล และไม่มีอานุภาพใดเลย
เพราะฉะนั้นบรรดานักศึกษาธรรมที่กำหนด "ความว่าง" ขึ้นมาในจิตใจของตนเองจึงไม่ต่างอะไร "ห้องว่าง" ที่ยังเต็มไปด้วยสรรพสิ่งอันไม่อาจสัมผัสได้ด้วยอายตนะหกเพราะเหตุนี้จึงตกอยู่ในความหลง "ความว่าง" ที่ตนเองกำหนดหมายขึ้นไว้ว่าเป็นความว่างอันแท้จริง "ใจว่าง" จึงมีความหมายอยู่สองนัย "ว่าง" โดยการกำหนดหมายเอาเอง "ว่าง" ตามธรรมชาติเดิมของธรรมญาณ
ความว่างโดยการกำหนดหมายจึงตกอยู่ในกฏของอนิจจัง เพราะหาความเที่ยงแท้ มิได้แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยแห่งจิตที่สร้างมาจึงมีความสิ้นสุดและหายไปได้ แต่ความว่างตามธรรมชาติแท้แห่งธรรมญาณ เป็นคุณลักษณ์อันแท้จริงที่มีมาแต่เดิมและไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้ว่างหรือกำหนดเลย ความว่างเช่นนี้จึงยากที่จะหาศัพท์บัญญัติหรือภาษาใด ๆ มาอธิบายให้เข้าใจได้ เพราะไม่อาจเปรียบเทียบให้เห็นเป็นภาพลักษณ์ได้เลย
ธรรมญาณ ของมนุษย์จึงไม่มีสิ่งใดมาปรุงแต่ง
ธรรมญาณ จึงไม่อาจอธิบายด้วยภาษาคน
เพราะธรรมญาณ เป็นธรรมที่แท้จริง
ความว่าง เช่นนี้จึงมีอานุภาพควบคุมและก่อให้เกิดสรรพสิ่งได้อย่างไม่มีจำกัด ถ้ามองออกไปจนนอกโลกก็จะเห็นความเป็นจริงได้ว่า ความว่างอันแท้จริงที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลสามารถเคลื่อนไหวไปตามสภาพของตนเอง แต่แท้จริงเป็นพลังงานแห่งความว่างที่ำทำให้สรรพสิ่งเหล่านั้นเคลื่อนไหวในทางที่ถูกต้อง
หากมองย้อนกลับมาสู่กายมนุษย์ ธรรมญาณ อันแท้จริงที่สถิตอยู่ภายในเป็นผู้ควบคุม กาย นี้ให้เดินไปตามแนวทางของตนเองการกิน การนอน การยืน การนั่ง ทุกอิริยาบถของกายนี้ล้วนอยู่ในความควบคุมของ "ความว่าง" อันเป็นธรรมญาณแท้ แต่เพราะ อิริยาบถ ที่กายนี้ปฏิบัติจนเคยชินเพราะฉะนั้นจึงมิได้สังเกตุว่าเป็นเพราะ "ความว่าง" ควบคุม
เวลาที่เกิดอาการคันขึ้นตามร่างกายส่วนไหนก็ตาม มือที่เอื้อมไปเกาไม่ต้องรอรับคำสั่งจากใคร เราจึงดูเหมือนว่า เป็นไปตามธรรมชาติ แท้ที่จริงแล้วเป็นไปตามที่ "ธรรมญาณ" เคยสั่งเอาไว้หรือสั่งทุกครั้งจนแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่อาจรับรู้ถึงการสั่งนั้นได้เลยแต่เมื่อใดที่กายกระทำผิดไปจากการควบคุมนั้นย่อมก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมาทันทีอย่างเช่น ฟันกัดลิ้นตัวเอง เป็นต้น
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "ธรรมที่แท้จริงจึงปราศจากการปรุงแต่ง ธรรมที่แท้จริงจึงไม่อาจอธิบายได้ แต่เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่รับรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น" การเข้าถึงความว่างอันแท้จริง จึงเป็นเรื่องที่ยากและไม่อาจเข้าได้ด้วยการนั่งสมาธิเป็นแน่นอน หากการเข้าถึง "ความว่าง" ตามนัยยะอันแท้จริงด้วยวิธีการสมาธิ บรรดาฤาษีทั้งปวงที่ฝึกฝนการนั่งสมาธิย่อมเข้าถึงพ้นไปจากการปรุงแต่ง พ้นเวียนว่ายตายเกิดหมดสิ้นแล้ว แต่พระพุทธองค์ทรงเป็นประจักษ์พยานได้ดีที่สุด เพราะพระองค์ทรงปฏิบัติสมาธิจนถึงที่สุดแล้วจึงตรัสว่า "มิใช่หนทางแห่งการบรรลุถึงธรรมญาณแห่งตน" พระองค์จึงทรงเลิกวิธีการเช่นนั้นเสีย และใช้ปัญญาพิจารณาจนค้นพบ "ความว่าง" อันแท้จริง
พระองค์จึงรู้ว่า "ความว่าง" เช่นนี้ปราศจากการปรุงแต่ง และไม่เวียนว่ายไปในสามโลกอีกแล้ว ดังนั้นจึงเปร่งพระวาจาว่า "พรหมจรรย์ เราสิ้นสุดแล้ว" เมื่ออานุภาพของ "ความว่าง" ปรากฏชัดจึงควบคุมสรรพสิ่งทั้งภายในและภายนอกหมดสิ้น การกระทำทุกประการจึงเป็นไปตามสัจธรรมอันยิ่งใหญ่แลเห็นได้ว่าตลอดพระชนม์ชีพของพระพุทธองค์ทรงเมตตาต่อเวไนยสัตว์หาขอบเขตมิได้ พระองค์ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเลย แต่การกระทำทุกอย่างเป็นไปตามหลักสัจธรรมอันแท้จริง แต่ผลที่ปรากฏขึ้นในภายหลังจึงยิ่งใหญ่ไพศาลนัก
พระเมตตาคุณของพระพุทธองค์ จึงยังให้เวไนยสัตว์ทั้งปวงที่มีเหตุปัจจัยพร้อมพ้นไปจากวัฏสงสาร ความว่างอันแท้จริงของพระพุทธองค์จึงทรงควบคุมทั้งพระองค์เองและสรรพสัตว์ทั้งปวงซึ่งตามสายตาของปุถุชนจึงเห็นว่าพระองค์มิได้ควบคุมสิ่งใดเลย