collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : บทบรรณาธิการ  (อ่าน 26464 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           แรงปณิธาน

                         กับ  แรงบาปเวร

                    ศุภนิมิต - แปลและเรียบเรียง

                    สำนักพิมพ์ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
         23 ชอย 44  ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางยี่ขัน     
                  เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700
                    โทร 02 - 8830620 - 1   
              ไท่ถงธรรมสถาน  โทร 044 - 322087     

พิมพ์ที่  :  อักษรสยามการพิมพ์ 1137/1  จรัญสนิทวงศ์ 13  เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 10160  โทร 02 - 410 - 7813         

                                บทบรรณาธิการ

        ความสูงส่งล้ำค่าของวิถีธรรม  ความวิเศษยิ่งของหนึ่งจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์ เพียงแค่พุทธระเบียบอันประณีตจริงจังของศิษย์ธรรมกาลยุคขาว อีกทั้งด้วยความเป็นธรรมะ ทั้งพูดและปฏิบัติตน จนกระทั่งจิตดำริที่กลั่นกรองกันจนใส ก็เพียงพอที่จะทำให้พ้นจากกิเลสขุ่นข้อง และอาจล่วงพ้นเกิดตายได้แล้ว  บัดนี้ ยุคกาลสุดท้าย ขณะที่ศิษย์ธรรมกาลยุคขาว กำลังขะมักเขม้นที่จะสร้างบุญก่อเกิดคุณธรรม แต่ก็มักจะมีการหลงหายไปจากความตั้งใจแต่เดิมที หายไปจากใจตน  บ้างก็มีชั่วโมงการปฏิบัติธรรม แล้วก่อเกิดความยโสโอหังลืมตัว นั่นเกิดจากความหละหลวมต่อพุทธระเบียบ ละเลยต่อความเคารพศรัทธา  เอางานของฟ้ามาทำเยี่ยงงานชาวบ้าน เอาความรู้สึกนึกคิดของใจคนสำคัญผิดว่าเป็นใจฟ้า หลงอยู่ในลาภสักการะทางธรรม ถลำตัวอยู่ในกรอบกักโดยไม่รู้ตัว ยิ่งกว่านั้น ยังถูกการงานทางโลกกักขังไว้ งานอริยะกับงานทางโลกขัดแย้งกัน ไม่อาจฝ่าฟันการทวงถามติดตามของแรงกรรมกับผลประโยชน์ที่รมใจให้มืดมัวได้ ทำให้ลืมแรงปณิธานเบื้องต้นด้วยประการฉะนี้ 
        เมื่อเกิดหนึ่งความคิดก็เกิดหนึ่ง "เหตุต้น"  จากมโนกรรม  เป็น "ผลตาม"  มา แรงของเวรกรรมจึงตามมาถึงประตูหน้าบ้านตน ฟ้าเบื้องบนต้องการเตือนใจผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในยุคสุดท้ายให้รู้ตื่น จงอย่าเนื่องด้วยความคิดเพียงวูบเดียวที่โลภอยากยึดหมาย ทำลายความดีที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาชั่วชีวิต  ดังนั้นจึงอาศัยตัวอย่างจากเหตุและผลกรรมของ ฟั่นเจี่ยงซือ ............... ที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาด้วยความศรัทธาจริงใจฉุดช่วยคนมาแล้วมากมาย เป็นข้อคิดเตือนใจแก่ศิษย์ธรรมกาลยุคขาว ที่กำลังปฏิบัติบำเ็พ็ญด้วยความศรัทธาอยู่ขณะนี้ให้ได้รู้ว่า  "จะส่องเห็นจิตสำนึกต่อสัจธรรมที่ไหวคลอนไม่คงที่ของตนขณะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร จะฉุดช่วยจิตวิญญาณตนขณะที่คิดเห็นเอนเอียงให้ตรงทาง ขณะฉุดช่วยผู้คนได้อย่างไร"  มิจฉาดำริกับความคิดฟุ่งซ่าน ฟั่นเจี่ยงซือกล่าวว่า "ผู้น้อยเองแต่ก่อนก็เชื่อมั่นปฏิบัติตนทุกเวลา รู้สึกว่าตนก็คือผู้บำเพ็ญที่ได้มาตรฐานคนหนึ่ง  แต่สุดท้ายจึงได้รู้ว่า การเป็นผู้บำเพ็ญธรรมของตนมีคุณสมบัติเพียงขณะอยู่ในตำหนักพระเท่านั้น"   ถ้าหากไม่ได้บำเพ็ญธรรมอยู่กับการปฏิบัติธรรมกิจ ถ้าหากเวลาที่ไม่มีปณิธานครองใจ แรงของเวรกรรมก็จะมาปรากฏตรงหน้า   ฟั่นเจี่ยงซือ ...............  เป็นอาจารย์บรรยายธรรม เป็นชายหนุ่มในอาณาจักรธรรมวงการปัญญาชน ด้วยความศรัทธาจริงใจ ได้ฉุดช่วยนำพาญาติเพื่อนพ้องมากมายให้ได้รับวิถีธรรม ไม่เคยย่อท้อต่อการฉุดช่วยเสียสละตน อีกทั้งได้รับความเกื้อหนุนจากพุทธะเซียน  แต่โดยไม่คาดคิดด้วยเหตุที่ใจไหวเอนปรารถนาจะหาเงิน ใจธรรมถดถอยไป แรงเวรกรรมตามติด จากแต่เดิมทีที่ยังมีใจของพระโพธิสัตว์  กลายเป็นใจของปุถุชนไป
        ในขณะหัวเลี้ยวหัวต่อของความเป็นความตาย เบื้องบน ได้โปรดเห็นแก่ที่ "ฟั่นเจี่ยงซือ" เคยปฏิบัติบำเพ็ญมา ซึ่งยังนับว่ามีศรัทธาจริงใจมาก่อน จึงให้เขาได้ผ่านพ้นจากสนามรบที่ ต้องต่อสุ้ปะทะกันระหว่างความเป็นกับความตายในครั้งนี้ อีกทั้งโดยพระองค์ "จอมชันษาเจ้าทักษิณาลัย....................................หนันจี๋เหล่าเซียน - อง"  ได้โปรดนำไปท่องสวรรค์ ให้เขาได้เห็นเหตุ - ผลกรรมของตนเองในอดีตชาติ กับบาปบุญในการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม  ฟั่นเจี่ยงซือท่องสวรรค์  ไม่ใช่การท่องเที่ยวอย่างเดียว  แต่จากการท่องเที่ยวได้เห็นตนเอง อีกทั้งสิ่งละเอียดประณีต ที่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในยุคสุดท้ายละเลยไปเป็นทั้งคุณกับโทษ  บทบันทึกนี้ ยังไม่เคยมีมาก่อนในท่องสวรรค์บทอื่น ๆ   ฟั่นเจี่ยงซืออธิบาย "เหตุต้นผลตาม"  ของตนเองทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อย่างหมดสิ้น อีกทั้งพิจารณาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ นั่นคือจิตดำริคิด  จากการบอกเล่าของเขา เราจึงได้พบว่าผู้ปฏิบัติในยุคสุดท้าย ได้ละเลยเมล็ดพันธุ์โพธิ  ละเลยศีล  ละเลยพุทธระเบียบ ที่ผู้บำเพ็ญพึงมี  ฟ้าเบื้องบนอาศัย "เหตุต้นผลตาม" ที่ฟั่นเจี่ยงซือท่องสวรรค์เป็นตัวอย่างจริง เป็นข้อเตือนใจชาวเราศิษย์ธรรมกาลยุคขาว ที่หละหลวมต่อพุทธระเบียบ ต่อการบำเพ็ญที่ปรากฏอยู่ทั่วไป
        หวังว่าทุกคนจะกลับใจสอดส่องตนทันที ทุกขณะจิตรักษาไว้ให้ดี จึงจะไม่ตกไปเมื่อใกล้เวลาบรรลุ  เท่ากับบำเพ็ญเสียเปล่าชั่วชีวิต   สำนักพิมพ์เมื่อได้ฟังเทปที่ฟั่นเจี่ยงซือพูดไว้  ตื่นตระหนกกับใจที่โง๋หลง ความสะท้านสำนึกเิกิดขึ้นเองในใจ คิดว่าเราผู้ปฏิบัติบำเพ็ญด้วยศรัทธานั้น เป็นจริงแท้แค่ไหน ยังจะมีปัญหาน่าละอายใจต่อใคร ๆ อีกไหม  ควรเป็นเวลาวางกรอบในตนเองได้แล้ว  ปรารถนาช่วยแพร่ข่าวจากเบื้องบน จึงลงมือเขียนบทบรรณาธิการนี้ แจกจ่ายเป็นวิทยาทาน

                                                    จาก   กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์หมิงเต๋อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21/11/2554, 03:59 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : คำนำ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 9/10/2554, 12:36 »
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                        คำนำ

        โลกปัจจุบัน แม้สรรพวัตถุจะอุดมสมบูรณ์ แต่จิตใจของผู้คนกับเสียหายมากที่สุด เนื่องด้วยสังคมไม่อาจเคารพคุณธรรม ทำให้ธาตุแท้ดีงามสว่างศักดิ์สิทธิ์แต่เดิมทีของทุกคนเปลี่ยนเป็นมืดมัว คุณสัมพันธ์ต่อกันสูญหาย เรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวต่าง ๆ เกิดขึ้นในสังคม คุณสัมพันธ์ระหว่างคนไม่มีทางจริงใจดีงามต่อกันได้อีก ทุกแห่งหนมีแต่การขับเคี่ยวเล่ห์เหลี่ยม จิตใจมืดมัว ทำผิดต่อคุณความดีมากขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่เพียงการบำเพ็ญตน อีกทั้งบาปเวรท่วมท้น ตรงกับที่พุทธะเซียนได้กล่าวไว้ว่า โลกโลกีย์หรือโลกอาสวะกิเลสชั่วร้าย คนเกิดมาในโลก จะต้องรู้จักย้อนคำนึงถึงความผิดตน จึงจะมีความก้าวหน้าในด้านความประพฤติ คุณธรรม หรือในด้านอื่น ๆ ได้ แต่ที่น่าสะท้อนใจก็คือ คนปัจจุบันล้วนทุ่มเทให้ความสำคัญในด้านวัตถุ ผลประโยชน์ส่วนตน ต่อจิตญาณเดิมแท้อันสว่างศักดิ์สิทธิ์เป็นรากฐาน กลับไม่มีความตั้งใจให้แม้แต่น้อย เป็นการทิ้งต้นไปหาปลาย โดยแท้ หนึ่งชีวิตของคนเรา ไม่กี่สิบปีจะต้องรู้บำเพ็ญ รู้ตื่น รักบุญวาสนา  สร้างบุญวาสนา  จึงจะบำเพ็ญให้จิตญาณสว่างใสได้ หากไม่รู้เป้าหมายของการคิดคำนึง ก็จะจมอยู่กับทะเลทุกข์ของบาปเวรต่อไป  ฟ้าเบื้องบไม่อาจทนดูคนดีต้องประสบภัยพิบัติพร้อมกับคนชั่ว จึงโปรดประทานวิถีธรรมลงกอบกู้คนหลง  เราทั้งหลายได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ชี้นำจิตญาณรู้ตื่นแท้จริง รู้หลักของชีวิตแท้จริง พ้นจากวัฏจักรการเกิดตายได้อย่างฉับพลัน  เป็นพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์อันยากจะตอบแทนได้  แต่เรามักจะถือว่าบำเพ็ญมาหลายปี ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งปกป้องตนเอง ยิ่งเห็นแก่ตัวเอง ทุกอย่างเอาตัวเองเป็นสำคัญ รู้ชัด ๆ ว่าบำเพ็ญเป็นเรื่องดี แต่ก็ยอมบดบังจิตดีงาม ละทิ้งไป รู้ชัดว่าการปฏิบัติงานธรรมเป็นการสร้างบุญคลี่คลายโทษภัยได้ แต่กลับหยุดยั้งไม่ดำเนินต่อไป จิตดีงามของฟ้าคลุมเคลือ เพิ่มโทษผิดมากขึ้น เช่นนี้ ล้วนเนื่องจากจิตญาณยังไม่สว่าง หลักชีวิตของตนยังไม่อาจทำหน้าที่เป็นหลักให้แก่ตนเองได้
        ผู้น้อย ได้ผ่านเคราะห์ภัยใหญ่ปางตายครั้งนี้ จึงได้เชื่อว่า บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญใจ ปฏิบัติธรรมสุดความตั้งใจ  ความคิดวูบเดียวของคนในโลก ฟ้าเห็นชัดสว่างดุจสายฟ้า จิตดำริของเราไม่เพียงมีผลต่อทั้งชีวิตของตนยังเป็นผลต่อผุ้เกี่ยวพันกับเรา จึงพึงจัดให้ตรง อย่าให้ผิดต่อใจดีงาม คิดแล้วจึงทำ ความผิดลดน้อย อีกทั้งไม่สร้างผิดบาปใหม่  ทำอย่างนี้เป็นประจำ ความผิดย่อมไม่เกิด การบำเพ็ญย่อมสำเร็จ  ชีวิตมีค่า อยู่ที่สามารถเตือนตน ตื่นใจ สามารถรักษาจิตญาณสว่างใส ตนรู้ตื่นช่วยให้ใคร ๆ รู้ตื่น ก่อเกิดประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ทุกคนทำได้เช่นนี้ โลกพระศรีอาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้ในโลกเรา

                                                    ผู้น้อย  ฟั่นเซิ่งเจี๋ย

                                            ค.ศ. 2004  ปีวอกเดือนแปด ยี่สิบค่ำ

                                                             ณ  ไถจง     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      คำนำ

        อาณาจักรธรรมแห่งธรรมกาลยุคขาว ตั้งแต่เบื้องบนปรกโปรดอนุญาตให้ถ่ายทอดวิถีจิตแก่สาธุชนทั่วไป แม้เวลาจะผ่านมาไม่ถึงหนึ่งร้อยปี แต่สามารถแปรเปลี่ยนใจคนไปแล้วนับไม่ถ้วน ที่ร้ายให้กลายเป็นดี ที่ดีให้ดียิ่งขึ้น ผู้ใดเป็นศาสนิกในศาสนาใด ก็ให้ทำตัวเป็นศาสานิกผู้เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาตน  ปรากฏการณ์อันวิเศษที่เกิดขึ้นนี้ ที่สำคัญคือ เซียนพุทธะ พระโพธิสัตว์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทุกสากลโลกโปรดหนุนนำ 
        บันทึกเรื่องราวความเป็นจริงจากคุณ "ฟั่นเซิ่งเจี๋ย ....................."  เป็นอีกประจักษ์หลักฐานหนึ่งที่ได้รับการปรกโปรดส่งเสริมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องราวที่ให้คติสอนใจ เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเป็นอย่างดี  ข้าพเจ้าได้รับหนังสือต้นฉบับภาษาจีน จากอาจารย์เลี่ยว ท่านขอให้ช่วยแปลเพื่อผู้บำเพ็ญชาวไทยจะได้อ่านกันบ้าง ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง  สองวันต่อมา บรรณาธิการสำนักพิมพ์หมิงเต๋อ คือ อาจารย์หวงได้โปรดมาเยี่ยม พูดถึงหนังสือเล่มนี้ ซึ่งท่านเป็นผู้จัดพิมพ์ ได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้ข้าพเจ้าแปลอีกเช่นกัน   ท่านบอกว่า ในภาคภาษาจีน ได้พิมพ์ครั้งแรกแปดหมื่นเล่ม แจกจ่ายหมดไปแล้ว ยังมีผู้เรียกร้องอีกมาก แสดงว่า จะต้องก่อเกิดกุศลประโยชน์แน่นอน  ภาษิตฝรั่งที่กล่าวว่า "แมวสีอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่จับหนูได้" เช่นกัน ข้าพเจ้าก็คิดว่า คติธรรมรูปแบบใดก็ตาม ขอเพียงมีผลต่อการกระตุ้นเตือนใจให้ผู้บำเพ็ญได้เห็นความผิดจากจิตตน เป็นแนวทางแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อความบริสุทธิ์โปร่งใสในการบำเพ็ญได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าจะทำ ข้าพเจ้าจึงได้ลงมือแปลหนังสือเล่มนี้

                    ด้วยความปรารถนาให้ท่านเจริญธรรม

                                        ศุภนิมิต 

                                 แปลและเรียบเรียง 

                                        สารบัญ

   @ ตอนที่ ๑

๐๑.  รับธรรมะ
๐๒.  อาจารย์นำพารับรองส่งเสริม
๐๓.  ขอพระอาจารย์โปรดช่วย
๐๔.  พระองค์กวนอริยมาราชทรงโปรดฯ
๐๕.  ชมรมโภชนาธรรมหมื่นกราบ
๐๖.  แบกปืนปฏิบัติธรรมทำหน้าที่พิธีกร
๐๗.  กดกริ่งประตูบ้าน นำพาสาธุชน

   @ ตอนที่ ๒

๐๘.  ทุ่มเทชีวิตหาเงิน ไม่ร่วมงานธรรม
๐๙.  ชั่วพริบตาของความเป็นความตาย
๑๐.  จูงรถยับเยินเดินสองกิโลเมตร
๑๑.  วิถีนรกในโรงพยาบาล
๑๒.  วิถีแห่งเปรตในโรงพยาบาล
๑๓.  ความแยบยลจากการกำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร

    @ ตอนที่ ๓

๑๔.  ติดตามพระองค์จอมซันษาเจ้าทักษิณาลัยฯ
๑๕.  มังกรทอง  มังกรมรกตต่างทำหน้าที่
๑๖.  สามชีวิตเมื่อสามร้อยปีก่อน
๑๗.  นำพาผู้รับรองจากสามร้อยปีก่อน
๑๘.  เหตุต้นผลตามสามชาติชดใช้ในสามวัน
๑๙.  วิถีนรก  วิถีเปรตสามวันในโรงพยาบาล

     @  ตอนที่ ๔

๒๐.  บัวดอกน้อยของฟั่นเซิ่งเจี๋ย
๒๑.  บัวดอกใหญ่ของพระอาจารย์
๒๒.  ฐานบัวใหญ่เล็กต่างกัน
๒๓.  ความแตกต่างระหว่างดอกบัวกับ  '' เซียนเถา ''

    @  ตอนที่ ๕

๒๔.  แจกแจงเกี่ยวกับ '' หอคุณธรรมบารมีธรรม ''
๒๕.  นำพากล่อมเกลามีกุศล
๒๖.  ตักเตือนกล่อมเกลามีกุศล
๒๗.  กุศลน้อยนิดไม่ผิดพลาด
๒๘.  บุญกุศลแท้จริง
๒๙.  ช่วยงานธรรมะมีกุศล
๓๐.  แจกแจง "" หอผิดบาป ""
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27/07/2556, 20:00 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                             ตอนที่ 1   :  รับธรรมะ

        เริ่มแรก  ผู้น้อยได้รับธรรมะที่ไทเป ในอาณาจักรธรรมของท่านเฉินเฉียนเหยิน (ฟาอีฉงเต๋อ)  ซึ่งขณะนั้นผู้น้อยอยู่ในระหว่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย "ตั้นเจียง"  ไทเป  ผู้น้อยเป็นชาวเมืองจังฮว่า คืนวันหนึ่งอากาศหนาวจัด กินอาหารอุ่นท้องแล้วจะเข้านอน พลันมีเสียงเคาะประตูห้องอย่างจริงจัง จึงลุกขึ้นชะโงกหน้าดูที่ช่วงประตู เห็นว่าเป็นนักศึกษารุ่นพี่ ถามได้ความว่า ต้องการพบเพื่อนร่วมห้องที่เรีนยภาคค่ำซึ่งเขายังไม่กลับมา รุ่นพี่เสื้อผ้าเหี่ยวชื้นด้วยความหนาว ผู้น้อยกำลังจะเอ่ยปากเชิญให้เข้ามาดื่มน้ำชาร้อน ๆ สักถ้วยหนึ่งก่อน แต่รุ่นพี่ไม่รอให้เชื้อเชิญ  เดินเข้าห้องมาอย่างคนคุ้นเคย  เรานั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน รุ่นพี่ถามผู้น้อยว่า เชื่อเรื่องทางโลกวิญญาณไหม?... แล้วเราก็คุยเข้าเรื่องนี้ไป คุยกันนานถึงสองชั่วโมง  สุดท้ายรุ่นพี่ลากลับและบอกว่า "คืนพรุ่งนี้จะมาคุยกันต่อ" คืนต่อมารุ่นพี่ถามว่า "คุณรู้ไหม วิญญาณของเราเข้าออกทางไหนของร่างกาย" ผู้น้อยเด่สุ่มไปหลายจุดที่คิดว่า "น่าจะใช่" แต่ก็ไม่ใช่ รุ่นพี่จึงถามว่า "อยากรู้ไหม ถ้าอยากรู้ให้เตรียมตัวกินเจไว้ก่อน  และเตรียมเงินสร้างกุศลจำนวนหนึ่ง จะต้องถวายปณิธานความตั้งใจจริงจึงจะรู้ได้..." ผู้น้อยแม้จะระทึกใจใคร่รู้ แต่ก็เบี่ยงบ่ายไปตามวิสัยคนทางโลกบ้าง "ผมยังไม่พร้อม" รุ่นพี่ตอบว่า "ไม่เป็นไร คืนพรุ่งนี้เราค่อยคุยกันใหม่" คืนวันที่สาม ผู้น้อยจะปฏิเสะไม่เสวนาด้วยก็ไม่กล้าจึงคุยกันต่อในเรื่องต่าง ๆ ของอาณาจักรธรรม รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ใกล้ ๆ หอพักนี้ มีนักศึกษาผู้ใฝ่ธรรมเช่าบ้านอยู่รวมกัน เรียกว่า "ชมรมโภชนาธรรม หั่วซึถวน ................"  มีตำหนักพระ มีผู้รู้ที่จะอธิบายเรื่องราวของธรรมะได้ดีกว่า พรุ่งนี้จะพาไปดู คืนวันต่อมา รุ่นพี่มาพาผู้น้อยไปที่ตำหนักพระ "ชมรมโภชนาธรรม" พอดีเป็นเวลาที่ชมรมกำลังร่วมศึกษาปรัชญาของท่านปราชญ์เมิ่งจื่ออยู่พอดี ผู้น้อยนั่งลงร่วมฟัง นักศึกษาในชมรมช่วยกันพิจารณาวิเคราะห์หลักธรรมในคัมภีร์ "เมิ่งจื่อ .........." ผู้น้อยฟังรู้แต่ไม่เข้าใจ สุดท้าย ทุกคนพยายามชักชวนให้ผู้น้อย กราบขอรับวิถีธรรม  ผู้น้อยก็พยายามปฏิเสธทุกวิถีทาง ขณะที่บรรยายกาศเริ่มอึดอัดอับเฉานั่นเอง รุ่นพี่ในชมรมคนหนึ่งที่เพิ่งพ้นค่ายทหารออกมา ทนฟังการยึกยักไม่ไหว  ตบโต๊ะดังปัง พูดเสียงดังว่า "จะรับธรรมะก็ไม่รับ ไม่รับก็กลับไป ตำหนักพระเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อการถ่ายทอดวิถีธรรม  ไม่ใช่ที่ดึงรั้งสำแดงโวหาร"  ผู้น้อยสะดุ้งตกใจ จึงรีบตอบว่า "จะรับธรรมะ"  รับปากว่า "จะรับธรรมะ" แต่ยังมิได้รับทันที กำหนดวันที่จะทำพิธีจะต้องรอไปอาทิตย์หน้าในระหว่างนั้น เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งเป็นพุทธมามกะสายสุขาวดี มักจะมาชวนให้ไปกินเจด้วยกัน เพื่อนจะแนะนำเรื่องเมตตาจิต งดฆ่าสัตว์ ฉะนั้น จึงเท่ากับได้เตรียมตัวกินเจ ไว้ก่อนหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันขอรับวิถีธรรม เงินสร้างกุศลในการรับธรรมะ ผู้น้อยเทกระเป๋าห้าร้อยเหรียญอันเป็นงบประมาณค่าใช้จ่ายในหนึ่งสัปดาห์ รับธรรมะเสร็จ ได้หนังสือกลับมาสองเล่ม คือ "สัจจคาถาพระเมตเตยยะ" กับ  "ตำนานเซียนกัลยาณี เหอเซียนกู"  เล่มแรกพอจะอ่านรู้เรื่อง เล่มที่สองไม่ค่อยเข้าใจ จึงโทรถามรุ่นพี่ว่า  "ทำไมต้องมีคำว่า ฮา ฮา  ไฮ ไฮ  ฮิฮิ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย"  รุ่นพี่ตอบว่า "เอาอย่างนี้ หาเวลามาค้างที่ตำหนักพระสักสองสามวัน จะได้อธิบายให้ฟัง" วันหนึ่งหลังจากนั้น  รุ่นพี่ขับรถมาเยี่ยมพร้อมด้วยญาติธรรมที่ขี่มอเตอร๋ไซค์มาด้วยเจ็ดแปดคน รุ่นพี่บอกว่า คืนนี้ไปค้างที่ตำหนักพระด้วยกันไหม ผุ้น้อยตอบตกลง ทันทีที่รับปาก รุ่นพี่หกเจ็ดคนจัดการช่วยขนของทั้งหมดของผู้น้อยขึ้นรถ ย้ายที่อยูไปตำหนักพระทันที วันรุ่งขึ้นผู้น้อยบอกแก่รุ่นพี่ว่า "อยากกลับไปอยู่หอ ช่วยบรรทุกสัมภาระได้ไหม" รุ่นพี่ตอบว่า "ตอนนี้ที่ตำหนักพระไม่มีใครอยู่ คงจะต้องขนย้ายเอง"  ผู้น้อยจำใจยังจะต้องค้างอยู่ต่อไป จึงถามว่า "มีที่ทางเป็นสัดส่วนให้พักอยู่ชั่วคราวไหมล่ะ" รุ่นพี่ตอบว่า "ชั้นล่างไม่มี มีแต่ชั้นบนที่เป็นส่วนของตำหนักพระแต่อยู่บนชั้นนี้จะต้องเคร่งครัดต่อพุทธระเบียบ"  ผู้น้อยตอบว่า "ได้ ไม่เป็นไร"  เหตุุการณ์ทั้งหมดนี้ บอกได้เลยว่า ถูกหลอกให้ใกล้ชิดตำหนักพระ วันแล้ววันอีก อยู่ไปจนจบการศึกษาสี่ปี สี่ปีที่อยู่กับตำหนักพระทำให้รู้ว่า "บุญสัมพันธ์เป็นอย่างนี้เอง เมื่อถึงวาระบุญนั้น จะหนีก็หนีไม่พ้นได้" จึงยิ่งจะต้องถนอมรักษาบุญวาระไว้ให้ดี       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                             ตอนที่ 1   :  รับธรรมะ

                          อาจารย์นำพารับรองส่งเสริม

        วิถีธรรมที่เบื้องบนปรกโปรดให้  เป็นวิถีธรรมจริง  เป็นหลักสัจธรรมจริง  ด้วยพระโองการฟ้าจริง  ฉะนั้นจึงไม่ว่าจะเข้าสู่อาณาจักรธรรมด้วยบุญปัจจัยหนุนนำอย่างไร ต้นธรรมอ่อนล้วนเจริญงอกงามได้ในที่สุด หลายครั้งที่คิดจะออกหาก  คิดว่านี่ไม่ใช่วิถีชีวิต ที่เราเคยวางแผนอนาคตไว้ คนทางบ้านก็ไม่เข้าใจไม่เห็นด้วย เพื่อนฝูงก็ห่างหาย  หรือบางครั้งชวนเพื่อนให้มารับวิถีธรรม เขาไม่มา ซ้ำยังถกเถียง  หันหน้าหนี เป็นภาวะอึดอัดขัดข้องจริง ๆ   แต่ ถึงช่วงนี้ผู้น้อยได้เกิดจิตสำนึกคุณแล้วเพราะสี่ห้าปีที่เดินผ่านมาในอาณาจักรธรรม ตลอดรายทางไม่เคยถูกละเลยจากสายตาสายใจของนักธรรมรุ่นพี่ หนังสือพระคัมภีร์ซื้อหามาให้อ่าน  ใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ทุกอย่าง  วันหนึ่ง ผู้น้อยคิดว่าในเมื่อจะปฏิบัติบำเพ็ญ ก็จะต้องเอาจริง ไม่ต้องให้ใครคอยควบคุมห่วงใย  พอไปถึงมหาวิทยาลัย อาจารย์ยังไม่เข้าสอน ผู้น้อยจึงจับไมโครโฟนประกาศต่อเพื่อนนักศึกษาในห้องว่า "เพื่อน ๆ โปรดรับทราบ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะกินเจ"  เพื่อน ๆ ย้อนตอบว่า "เสียสติละซิ นายทำไม่ได้หรอก อย่างมากไม่เกินสิบวัน "  ผู้น้อยกำพร้าแม่มาแต่อายุสามปี เมื่อเข้าสู่อาณาจักรธรรม จิตสำนึกรับรู้ต่อความอบอุ่นที่เหมือนครอบครัว  หวังว่าตนเองน่าจะไม่ต้องจากพรากไปจากครอบครัวนี้ จึงตั้งใจกินเจอย่างจริงจังตลอดมาผู้น้อยได้รับการอุ้มชูส่งเสริมให้เจริญธรรม เจริญปณิธานด้วยการให้ร่วมทางไปนำพาคนมารับธรรมะเสมอ  จนสุดท้าย เมื่อปัญญาของตนค่อย ๆ เพิ่มพูน กิเลสหม่นหมองของตนลดน้อยลง จนกระทั่งอาวุโสไม่ต้องใส่ใจถามอีกเลยว่า "มีปัญหาอะไรอีกหรือ จะให้ช่วยอะไรบ้าง"  วิธีส่งเสริมที่ง่ายที่สุดนี้ คือ การให้  "ปฏิบัติงานธรรม" นั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร

                                  ตอนที่ 1 

                           ขอพระอาจารย์โปรดช่วย

        เริ่มแรกนำพาคนมารับธรรมะ เป้าหมายคือ เพื่อน  นักศึกษา  เพื่อนสนิท  นำพามาได้ง่ายเพราะเชื่อถือกัน แต่ต่อมาชักจะนำพาคนอื่น ๆ ได้ยากขึ้นทุกที พอรู้สึกว่ายาก จึงคิดว่า ตอนที่รับธรรมะ อาจารย์ได้ถวายคำขอซึ่งมีชื่อของเราจารึกไว้ในนั้น  ถ้าอย่างนั้นคงจะต้องเขียนชื่อคนที่เราจะไปนำพาลงในกระดาษจุดพุทะประทีปสามองค์ แล้วเผาชื่อคนเหล่านั้นถวายขึ้นไปก่อนจะดีกว่า จะได้นำพาเขามาได้ง่าย  ขณะเผา ได้คุกเข่ากราบวอนพระอาจารย์ด้วยว่า ขอให้ศิษย์ได้นำพาคนนั้น ๆ มารับธรรมะได้ด้วยเถิด  เริ่มแรกที่นำพาเพื่อนนักศึกษากับเพื่อนสนิทมารับธรรมะนั้น ใจคิดว่า "พวกเขามีบุญสัมพันธ์กับเรา ถ้าไม่นำพาเขามา เท่ากับเราเสียสถานภาพของความเป็นเพื่อน"  คิดดังนั้นแล้ว ก็รวบรวมรายชื่อเพื่อนทั้งหมด ท่องให้พระอาจารย์ฟัง เขียนใส่กระดาษแทนใบคำขอ (เปี่ยวเหวิน                        ) เผาถวายให้พระอาจารย์ทราบด้วย  เป็นเรื่องแปลกเมื่อเรามีความตั้งใจอย่างนี้ ก็เกิดพลังอย่างนี้  สำเร็จการนี้ได้  เพื่อนบางคนมีปัญหา ไม่ยอมรับธรรมะ เช่นไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนถูกขัดขวาง มีอุปสรรคอย่างไร ผู้น้อยก็เขียนอาการของเขาบอกกล่าวพระอาจารย์ไปด้วย เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า "เมื่อคืนฝันเห็นนายพูดอะไรมากมายไม่รู้"  ผู้น้อยรีบตอบทันทีว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาผมไปเข้าฝันคุณ ให้มารับธรรมะเสียทีน่ะซิ"  สุดท้ายเขาก็ยอมมารับธรรมะโดยดี เพื่อนนักศึกษาหลายคน ขณะเดินทางมาเรียน หรือ จะกลับบ้าน ได้ยินเสียงคนมาบอกว่า "ไปหาฟั่นเซิ่งเจี๋ย                     "  ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น  เหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้เพื่อนที่ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องเชื่อและตามมารับธรรมะหลายคน ที่จำได้แม่นยำก็คือ  ครั้งหนึ่ง เพื่อนนักศึกษาหกคนรับปากว่า จะมารับธรรมะ แต่พอถึงวันนัดหมาย กลับบอกว่าเปลี่ยนใจจะไปเที่ยว ขณะที่หงุดหงิดใจอยู่นั้น อยู่ ๆ เพื่อนหกคนกลับมาปรากฏตัวอยู่ชั้นล่าง จึงลงไปถามว่า "อ้าว ไหนว่าจะไปเที่ยวยังไง ทำไมจึงมาที่นี่ล่ะ" เพื่อน ๆ ตอบว่า ออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ตั้งใจจะไปเที่ยวให้สนุก  แต่มันเกิดไม่สนุก จึงพากันเดินมาเรื่อย ๆ จนเมื่อย นึกว่าจะนั่งพักตรงนี้สักครู่ ไม่รู้ว่าที่แท้ชั้นบนคือตำหนักพระที่นัดหมายกันไว้ เป็นอันว่า ทุกคนได้รับธรรมะ ตามที่ได้นัดหมายกันมาก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/10/2554, 08:29 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร

                                  ตอนที่ 1 

                      พระองค์กวนอริยมหาราชทรงโปรด ฯ

        หลังจากรับธรรมะ กินเจแล้ว ผู้น้อยไม่กล้ากลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าทางบ้านจะคิดอย่างไร  จะตอบโต้อย่างไร กลัวพ่อจะโมโหด้วย  วันขึ้นปีใหม่จึงกลับบ้านไปให้เห็นหน้าหน่อยหนึ่งแล้วรีบกลับออกมา หลังจากนั้นทั้งเทอม เหมือนลืมบ้านไปเลย  สู้อุตส่า่ห์กินเจสะสมต่อเนี่ยงมาครึ่งปี กลับบ้านถ้าจำใจต้องกินไก่หนึ่งชิ้น แตกเจทันที  กุศลที่สะสมหมดเกลี้ยง  ต้องเริ่มใหม่มันน่าเสียดาย จึงไม่กล้ากลับบ้าน แต่ปิดเทอมใหญ่หลายวัน ไม่กลับคงไม่ได้  คราวนี้จะทำอย่างไรดี คิดแล้วจึงไปซื้อแอปเปิ้ลห้าผลมาถวายกราบวิงวอนพระอาจารย์ว่า "ศิษย์จะกลับบ้าน อาจถูกทำให้แตกเจได้ ขอพระอาจารย์โปรดช่วยศิษย์ด้วย".......เป็นความคิดไร้เดียงสาจริง ๆ ผู้น้อยขอพระอาจารย์แล้วกราบร้อยกราบ เสร็จแล้วลุกขึ้น แต่พลันนึกขึ้นได้ว่า เมื่องานประชุมธรรม เห็นพระอาจารย์ประทับทิพย์ญาณมา ท่าทางล้อชีวิตอย่างกัยวิปลาส อย่างนี้อาจไม่ได้การ น่าจะสำรองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จริงจังกว่าอีกพระองค์หนึ่งไว้เผื่อกันพลาด คิดแล้วก็คารวะคุกเข่าลงอีก แต่ก็ลังเลอยู่ว่า น่าจะเป็นพระองค์ใดหนอที่ไว้ใจได้  พลันก็นึกถึงพระองค์ "                       กวนเซิ่งตี้จวิน" กวนอริยมหาราชเจ้า จอมเทพวินัยธรพระผู้ทรงฤทธิ์น่าคร้ามเกรง จึงกราบหนึ่งร้อยกราบ ขอพระองค์โปรดช่วย จากนั้นก็เก็บแอปเปิ้ลที่ถวายกลับบ้านด้วยความมั่นใจ เหตุที่ไม่ได้กลับบ้านครึ่งปี จึงใจสั่นผิดปกติ ไม่รู้ว่าพ่อจะด่าว่าไหม หรือจะอย่างไร... แต่ปรากฏว่า เมื่อพบหน้ากัน คำแรกที่พ่อพูดคือ ได้ยินชาว "
           อี๋ก้วนเต้า "  (อนุตตรธรรม) เขาพูดว่า บัดนี้พระองค์ "                   กวนเซิ่งตี้จวิน" ดำรงพระอริยะฐานะเป็น "                     อวี้หวงต้าตี้"   (ท้าวสักกะเทวราช) แล้ว ...  ผู้น้อยชงักงัน  แล้วคิดว่า "พระองค์กวนเซิ่งตี้จวิน มีเครดิตเชื่อถือได้จริง ๆ "  ตอนนั้น ผู้น้อย แม้จะนำพาคน ศึกษาปฏิบัติธรรม อยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้หลักธรรมดีนัก  ยังแบ่งแยกว่าพระองค์ไหนใหญ่เล็กกว่ากัน พอพ่อพูดจบ  ผู้น้อยตื่นเต้นดีใจรีบฉวยโอกาสทันทีว่า "ในอาณาจักรธรรมอี๋ก้วนต้า พระองค์เป็นเพียงจอมเทพวินัยธรพระองค์หนึ่งเท่านั้น พ่อจะต้องมากราบพระที่สถานธรรมเราแล้วล่ะ"  พ่อฟังแล้วเห็นด้วยตอบว่า "ใช่ ถ้าจะกราบไหว้ก็ต้องกราบไหว้พระองค์ที่ใหญ่กว่า"  พ่อจึงไปรับธรรมะ พ่อบุญธรรมก็ไป ทำให้ผู้น้อยสำนึกพระคุณเป็นที่สุด ธรรมะนี้ ใครมีพลังความมุ่งมั่นตั้งใจเท่าใด ทำได้เท่านั้น เกรงแต่จะไม่มีปณิธานจริงใจ  ถ้าปณิธานถึง จริง - ใจถึง แรงหนุนจากเบื้องบนจะถึงทันที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/10/2554, 08:29 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                  ตอนที่  1   

                       ชมรมโภชนาธรรมหมื่นกราบ

        อยู่กับชมรมโภชนาธรรมเรื่อยมาจนเรียนปีสาม จึงได้ทำหน้าที่รับผิดชอบชมรม ฯ รับผิดชอบตำหนักพระเหมือนถันจู่ ดูแลนำพาธรรมกิจ จนกระทั่งเรียนอยู่ปีสี่ จากชมรม ฯ หกคน กลายเป็นห้าสิบคน นักศึกษาชาวธรรมกินข้าวตำหนักพระร่วมกัน มื้อละห้าโต๊ะเต็ม  ใกลเรียนจบแล้ว ชมรมฯ จะต้องมีน้องใหม่มารับหน้าที่ น้องปีหนึ่งปีสองที่ส่งเสริมมาดีถูกเขาชิงตัวไปหมด ที่เหลือคือยังใช้ไม่ได้ แล้วเราจะเอาใครขึ้นมาแทน คืนนั้น ใจคอห่อเหี่ยวขึ้นไปบนตำหนักพระ คุกเข่าลงร้องเรียนต่อเบื้องบนว่า "สถานธรรมนั้น ๆ อาวุโสท่านนั้น คนในชมรมโภชนาธรรมนั้น มาดึงเอาน้อง ๆ ของทางนี้ไป ไม่บอกกล่าว ทำให้เราเสียหายไม่มีใครรับผิดชอบงาน ..." ร้องเรียนโทษโพยเสร็จ ใกล้เที่ยงคืนกว่าจึงออกจากตำหนักพระ ทุกครั้งเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ พอกราบพระ ระบายความในใจที่เบื้องพระแท่นแล้ว จิตสำนึกตนก็จะเกิดกลับรู้สึกละอายใจว่า "ทำไมจะต้องรบกวนพระองค์ด้วยความคิดและคำพูดเหล่านี้ด้วย" เสร็จแล้วก็ต้องคุกเข่าลงไปใหม่ กราบขอขมา ก่อนหน้านี้เคยได้ยินนักธรรมข้างหน้าท่านเล่าปฏิปทาสูงส่งของพระธรรมจาริณีว่า ในครั้งกระนั้นนักธรรมผู้ใหญ่ถูกทางการจับขังไม่ให้แพร่ธรรม ไม่ให้อาจารย์ถ่ายทอดวิถีธรรมได้ต่อไป  พระธรรมจาริณี ตั้งมหาปณิธานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อทันที พร้อมกับกราบหนึ่งหมื่นกราบ..... วันรุ่งขึ้น ก็มีข่าวดีมารายงานว่า ทางการปล่อยตัวทุกคนทั้งหมด เพราะไม่มีหลักฐานจะตั้งข้อหาได้ คิดถึงตรงนี้ ผู้น้อยจึงกราบหนึ่งหมื่นกราบเพื่อขอประทานแสงสว่างคลี่คลายปัญหาอย่างพระธรรมจาริณีบ้าง กราบเสร้จยืนขึ้น จึงสำนึกได้ทันทีอีกว่า "ซือหมู่พระธรรมจาริณีของเรา เฝ้าเพียรกราบครั้งละหนึ่งหมื่น หนึ่งหมื่น  คลี่คลายปัญหาให้ผู้น้อยทั้งหลายได้ แต่พระองค์ต้องได้รับความทุกข์เนื่องด้วยข้อเข่าข้อเท้า เกิดมีปัญหาจากการกราบมากมายอย่างนี้" ผู้น้อยเพิ่งอายุจะยี่สิบกว่า หนึ่งหมื่นกราบตั้งแต่ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า กราบเสร็จยืนขึ้นก้าวเท้าไม่ออก หลังแข็งยืดตัวไม่ได้ นำ้ลาย น้ำตาประดังกันไหล ต้องใช้คลานไปล้มฟุบพักฟื้นอยู่ข้าง ๆ พระตำหนัก สักพักพอหายเหนื่อยแล้ว จึงเข้าไปถวายธูปแล้วจึงกลับไปพักที่ชมรมโภชนาธรรม ฉะนั้น จึงรู้ว่าหนึ่งหมื่นกราบนั้น หากไม่มีพลังวิริยะจริง ๆ แล้ว จะไม่อาจกราบได้เลย  กลับไปถึงชมรม ฯ พอดีมีเวลาหุงหาอาหาร พอดีมีโทรศัพท์เข้ามา เสียงจากสายสวัสดีแล้วถามว่า "ที่นั่นเป็นสถานธรรมใช่ไหม ผมเป็นนักศึกษาที่จินเหมิน........(คีมอย) ปีนี้สอบเข้าได้ ได้ยินว่ามาพักอยู่ที่นี่ได้" ผู้น้อยรู้สึกตื่นใจ อะไรจะสัมฤทธิ์ผลเร็วถึงเพียงนี้  (ภายหลังต่อมาน้องใหม่จากจินเหมินก็เข้ามาอยู่ในชมรมฯ) พอทานข้าวเสร็จ ก็ได้รับโทรศัพท์อีกสายหนึ่งจากเฉินเจี่ยงซือว่า "คุณฟั่น ผมเพิ่งนำพาคนได้หนึ่งครอบครัวที่ไทเปนี่ ลูกชายของเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คุณจะส่งเสริมเขาไหมล่ัะ" ผู้น้อยตอบว่า "ขอหมายเลขโทรศัพท์ ผมจะโทรไปคุยกับเขาเดี๋ยวนี้เลย" รุ่นน้องคนนี้ยินดีจะเข้ามาอยู่ในชมรมฯ นี่คือโทรศัพท์สายที่สอง  ก่อนแปดนาฬิกา ยังไม่เข้าห้องเรียน  ผู้น้อยมีรุ่นน้องคนหนึ่งคือ คุณหลิน โทรศัพท์เข้ามาบอกว่า "วันนี้ ผมพบเห็นนักศึกษาใหม่ที่เพิ่งมาลงทะเบียนคนหนึ่งน่ารักมาก ดูแล้วเหมือน" เซียนถง.....(พระกุมารน้อย)" พี่รีบมาดูเร็ว ๆ " ผู้น้อยกับคุณหลินพากันไปพบน้องใหม่คนนั้น ซึ่งได้นัดหมายกันไว้  สุดท้ายน้องใหม่ตกลงจะรับธรรมะ เข้ารับการอบรมประชุมธรรม เกิดศรัทธาปณิธานเต็มกำลัง บัดนี้ น้องใหม่ทั้งสามล้วนเป็นเจี่ยงซือ ผู้น้อยเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ถ้าตอนนั้นไม่ได้เป็นเพราะขาดผู้สืบสานงาน ผู้น้อยก็คงไม่ได้ทุ่มเทใจกราบวอนต่อเบื้องบน  ครั้ง เพียงหนึ่งหมื่นกราบเท่านั้น ไม่ทันถึงสองชั่วโมง ก็มีญาติธรรมน้องใหม่จะมาร่วมอยู่ในชมรมฯถึงสามคน ทำให้ตำหนักพระแห่งนี้เกิดมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก ฉะนั้น เราปฏิบัติบำเพ็ญจะต้องเต็มกำลัง งานปรกโปรดเป็นศิษย์ขาดจากเบื้องบน เมื่อเรามีความขัดข้องหมองใจต่องานของเบื้องบน จึงกราบรายงานได้ดต็มที่ วอนขอปัญญา ความกล้า ความสามารถได้     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/10/2554, 08:30 โดย jariya1204 »

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”