collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย  (อ่าน 57832 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                        บรรพที่ 14  ห่างลักษณ์  นิโรธ

เนื้อหา   :

        ครั้งนั้นแล สุภูติได้สดับพระสูตรนี้ จนได้เกิดความซาบซึ้งแจ่มชัดในธรรมอรรถ และเกิดอาการสะอื้นไห้ จึงกราบทูลพระสุคตว่า "หาได้ยากหนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  !  พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระสูตรอันลุ่มลึกเช่นนี้ ตั้งแต่อดีตที่ข้าพระองค์ได้ปัญญาจักษุมา ยังมิเคยได้สดับฟังพระสูตรเช่นนี้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  หากได้มีบุคคลสดับฟังพระสูตรนี้ จนเกิดจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์ เช่นนี้ก็กบังเกิดลักษณ์แท้ ควรรู้ว่าบุคคลนี้ ได้บรรลุในบุญกุศลอันยอดเยี่ยมที่หาได้ยากหนักหนา "ข้าแต่พระสุคต !  อันว่าลักษณ์แท้มิใช่ลักษณะ ฉะนั้นพระตถาคตจึงตรัสนามว่าลักษณ์แท้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !   วันนี้ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรนี้ เกิดกระจ่างเชื่อถือและนำปฏิบัติ บุคคลนี้นับวายอดเยี่ยมชนิดหาได้โดยยากทีเดียว เพราะเหใด !   บุคคลนี้ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวลักษณะ   ชีวลักษณะ ทั้งนี้พราะเหตุใด !  อาตมะลักษณะก็คือมิใช่ลักษณะ  บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวลักษณะ ก็คือมิใช่ลักษณะ เพราะเหตุใด  !  ห่างจากเหล่าลักษณะจึงจะได้ชื่อว่าพระพุทธทั้งหลายแล" พระสัมพุทธเจ้าตรัสแก่สุภูติว่า "อย่างนั้น  อย่างนั้น"  หากมีบุคคลได้สดับฟังพระสูตรนี้ โดยไม่วิตก ไม่หวั่น ไม่กลัว ควรรู้ว่บุคคลนี้หาได้ยากหนักหนา เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !  ตถาคตกล่าวว่า บารมีอันยอดเยี่ยม มิใช่บารมีอันยอดเยี่ยม เป็นเพียงนามว่าบารมีอันยอดเยี่ยม"   "สุภูติ !  ขันติบารมี ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ขันติบารมี เป็นเพียงนามว่าขันติบารมี เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !  ดั่งที่เราในอดีตถูกกลิราชาห้ำหั่นกายา เราในขณะนั้น ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  เพราะเหตุใด ? ขณะที่เราในอดีตได้ถูกห้ำหั่นเป็นชิ้น ๆ หากได้มีอาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะชีวะลักษณะแล้ว ควรเกิดความโกรธพยาบาทสุภูติ !  หวนระลึกกลับไป 500 ชาติก่อน สมัยเมื่อเราเป็นกษานติวาทีดาบส ขณะอยู่ในชาตินั้น ไร้ตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ"  ด้วยเหตุนี้สุภูติ !  พระโพธิสัตว์ควรต่างจากลักษณทั้งปวง และบังเกิอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ไม่ควรดำรงรูปบังเกิดจิต ไม่ควรดำรงเสียง กลิ่น รสสัมผัส ธรรมารมณ์บังเกิดจิต แต่ควรบังเกิดจิตที่ไร้สิ่งดำรง หากใจมีการดำรง ก็คือมิใช่ดำรง ดังนั้น พระสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าจิตของพระโพธิสัตว์ไม่ควรดำรงรูปบริจาคทาน สุภูติ !  พระโพธิสัตว์เพื่อยังประโยชน์สุขแก่เวไนยสัตว์  พงบริจาคทานด้วยประการเช่นนี้"   "ตถาคตกล่าว่าลักษณะทั้งปวง มิใช่ลักษณะและกล่าวว่าเวไนยสัตว์ทั้งปวงมใช่เวไนยสัตว์สุภูติ !  ตถาคตคือผู้กล่าว สัจจวาจา ภูตวาจา ตถาวาจา อวิตถวาจา อนัญญะถวาจา สุภูติ ! ธรรมที่ตถาคธรรมนี้ไร้การเต็มเปี่ยมไร้การว่างสูญ" สุภูติ !  หากใจของพระโพธิสัตว์ดำรงในพระธรรมและบริจาคทานก็จะเปรียบดั่งคนสู่ที่มืดที่จะไร้การมองเห็นอย่างสิ้นเชิง แต่หากใจของพระโพธิสัตว์ไม่ดำรงในธรรมและบริจาคทาน เปรียบดั่งคนมีดวงตาที่ยามสงสุรีย์สาดส่อง ก็เห็นสรรพสีสันนานา สุภูติ ! ในอนาคตกาล หากได้มีกุลบุตร กุลธิดา สามารถอาศัยพระสูตรนี้ปฏิบัติสวดท่อง ก็คือพระตถาคตด้วยพุทธปัญญา เราล้วนเห็นบุคคลนี้ ต่างจักได้บรรลุในบุญกุศลอันไร้ขอบเขตที่มิอาจประเมินปริมาณได้"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
            วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                        บรรพที่ 14   :  ห่างลักษณ์  นิโรธ

ความสังเขป  :   ในบรรพนี้ได้กล่าวถึงสุภูติ ที่หลังจากได้สดับพระสูตรนี้แล้ว ก็ทำให้เกิดความสว่างไสวขึ้นภายในใจ  คือสุภูติได้เข้าใจในความหมายของคำว่า  "หากเห็นเหล่าลักษณะมิใช่ลักษณะ  ก็จะเห็ยตถาคต" อันเป็นเหตุทำให้สุภูติเกิดความปลาบปลื้มร่ำไห้ และอุทานสรรเสริญออกมาว่า "หาได้ยากนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !"นั่นเอง ถึงแม้ในบรรพที่ 2 ก็มีการสรรเสริญพระเกัยรติคุณในกรณีเช่นนี้แล้วก็จริง แต่กรณีการสรรเสริญพระเกียรติคุณในบรรพที่ 2 จะมีนัยที่แตกต่างบรรพนี้กล่าวคือ ในบรรพที่ 2 จะเป็นการอุทานสรรเสริญเพราะได้เข้าใจในเจตนาของพระพุทธองค์ โดยพระพุทธองค์ทรงแสดงให้เราเข้าใจในใจจริงแห่งปรัชญาซึ่งสามารถเห็นได้จากพระจริยวัตรในชีวิตประจำวันของพระองค์เอง แต่สำหรับกรณีการอุทานสรรเสริญพระเกียรติคุณครั้งที่สอง ที่ได้เกิดขึ้นในบรรพนี้นั้น จะเป็นการสรรเสริญอุทานพระเกียรติคุณแห่งตถาคต ที่ได้แสดงให้เห็นในศักยะอันแยบยลแห่งปรัชญา ซึ่งสามารถอุปมาให้เข้าใจได้ด้วยการชมคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ในอดีตจะเห็นเฉพาะความสง่างามภายนอกของตัวอาคารเท่านั้น แต่ ณ บัดนี้ ได้ก้าวเข้าไปสู่ภายในตัวอาคาร และสามารถยลความอลังการของคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างหมดสิ้นนั่นเอง เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงทราบว่า สุภูติได้เข้าใจความหมายอันแยบยลของคำว่า "อันสิ่งที่เป็นลักษณะทั้งหลายล้วนแต่เป็นมายา และหากไร้ลักษณะแล้วไซร์ จึงจะสามารถเห็นตถาคตได้" ดังนั้น พระองค์จึงทรงให้กำลังใจเพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดความเพียรปฏิบัติ แต่สำหรับการเพียรปฏิบัติก็ไม่อาจพ้นจาก 6 ปารมิตาได้ และใน 6 ปารมิตานี้ ก้ต้องยกเอาปัญญาบารมีว่าเป็นสิ่งหาได้ยากที่สุด ดังนั้น พระองค์จึงทรงนำเอาบารมีอันยอดเยี่ยมขึ้น
มาตรัสก่อน ซึ่งก็มีนัยให้เราเกิดปัญญา เพราะเมื่อได้เกิดปัญญาแล้วก็จะสามารถเจริญในบารมีที่เหลือต่อไปได้อีก  อนึ่ง พระพุทธองค์ยังทรงได้ตรัสถึงขันติบารมีโดยไม่ได้ตรัสถึงบารมีชนิดอื่น ทั้งนี้ก็เพราะขันติบารมีเจริญได้ยากที่สุด และพระองค์ก็ยังทรงยกเอาตัวอย่างของพระองค์เองมาพิสูจน์ให้เห็น เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นชัดยิ่งขึ้นถึงการไร้อาตมะ บุคคละ  สัตวะและชีวลักษณะ โดยมิใช่จะกล่าวเฉพาะแต่ด้านจิตใจอย่างเดียว กล่าวคือ ควรที่จะเป็นดั่งพระองค์ 500 ชาติก่อนที่แม้นจะถูกห้ำหั่นอย่างสาหัสปานใดก็ตาม แต่พระองค์ก็ยังคงสงบนิ่งไม่มีอาการหวั่นไหว ฉันนี้ จึงจะถึอว่าเป็นสัมมาสมาธิอย่างแท้จริง เพราะหากไม่มีขันติจนถึงระดับนี้หล่ะก็ ที่สุดแล้ว ลักษณะแห่งมายาก็ไไม่ได้ดับไปและหากขันติยังมิได้เจริญจนถึงระดับนี้และเกิดอาการวิตก หวั่น และกลัวแล้ว นั่นก็หมายความว่าความมั่นใจยังไม่แกร่งพอ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงยกเอาตัวอย่างของพระองค์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์และกำลังใจในการเจริญขันติโดยไร้ 4 ลักษณะนั่นเอง อนึ่ง พระพุทธองค์ยังทรงแสดงให้เห็นว่า าหกพระโพธิสัตว์ได้มีลักษณะแห่งอาตมะ บุคคละต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ก็มิใช่พระโพธิสัตว์ นอกจากในบรรพก่อน ๆ จะกล่าวถึงแต่เรื่องบุญวาสนา ก็จะมีแต่บรรพนี้เท่านั้นที่ได้กล่าวถึงบุญกุศล นั่นก็ป็นเพราะยามที่ผลพูนกุศลพร้อมแล้ว  บุญวาสนาก็ไม่มีคุณค่าพอที่จะเอ่ยถึงอีกต่อไป

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”