collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย  (อ่าน 57783 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                                บรรพที่  ๑๒ :  บูชา   ศาสตร์แท้

อธิบายพระสูตร  :

        พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนต่อไปว่า  "สุภูติ !  ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งหนใดก็ตาม หากมีบุคคลได้ประกาศสาธยายพระสูตรนี้ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงแค่โศลก 4 บาทก็ดี ด้วยการประกาศสาธยายของบุคคลนี้ ได้ส่งผลให้ผู้ที่ได้รับฟังสามารถจัดอกุศลจิตจนลุล่วงไปได้ด้วยประการนี้แล้ว ควรที่จะรู้ว่า พระสูตรเล่มนี้ได้สถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในร่างกาย ซึ่งเช่นนี้ก็จะสามารถบังเกิดความประทับใจให้แก่ปวงเทพโพธิสัตว์แห่งอนุตตรภูมิ เหล่าเวไนยสัตว์แห่งมนุษยภูมิ อีกทั้งมวลมารอสูรแห่งอสูรภูมิ ซึ่งเขาเหล่านั้นล้วนจะมากระทำสักการะ โปรยดอกไม้หอมอันเป็นดั่งการบูชาเคารพพระพุทธรูปและสถูปอาราม ฉันนี้แล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดไกลถึงบุคคลที่ได้บังเกิดศรัทธาและรับสนองปฏิบัติสวดท่องในพระสูตรเพื่อหวังให้เกิดญาณที่รู้แจ้งเลย"
        พระพุทธองค์ทรงเมตตาต่อไปว่า  "สุภูติ !  พึงทราบว่าบุคคลประเภทนี้จักสามารถสำเร็จในอนุตตรโพธิธรรม (อนุตตรสัมมาสัมโพธิธรรม)  อย่างแน่นอน และนอกจากนี้แล้ว ก็ไม่อาจมีธรรมใดที่จะสูงส่งเหนือยิ่งกว่านี้ได้อีก เราควรมีความตระหนักเป็นสำคัญว่า แท้จริงแล้วใจตนก็คือพระพุทธะ ซึ่งไม่ใช่ได้พระพุทธะมาจากภายนอกแต่อย่างใดเลย ดังนั้น  สถานที่ ๆ พระสูตรนี้อยู่ ก็คือ สถานที่ ๆ พระพุทธะประทับอยู่นั่นเอง อนึ่ง ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ ก็จะเป็นดั่งได้อยู่ร่วมอาศัยกับไตรรัตน์แห่งพุทธสาวก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไหนเลยที่จะไม่สามารถสำเร็จได้ และไหนเลยที่จะไม่ควรค่าแก่การบูชาได้ ?"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
               วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                         บรรพที่  ๑๓ :  ดั่งธรรมวิธี  ยึดถือปฏิบัติ

อธิบายบท  :

        อันธรรมนั้น จะหมายถึงธรรมอันแยบยลแห่งปรัชญานั่นเอง แต่สำหรับพระวินัยปิฏก พระสุตันตะปิฏก และ พระอภิธรรมปิฏก ที่เรารู้จักกันในนามว่า พระไตรปิฏกนั้น ก็จะเป็นเพียงแค่ศาสตร์คำสอน ซึ่งจะแตกต่างกับธรรมอันแยบยลแห่งปรัชญาอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้น คำว่า ดั่งธรรมวิธียึดถือปฏิบัติ ที่ได้กล่าวถึงในบรรพนี้จึงมีความหมายว่า "การอิงตามธรรมและนำมาปฏิบัติ" แล  แต่ก่อนอื่นควรต้องเริ่มจากพหูสูตรเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีเสียก่อน ครั้นได้มีความเข้าใจเป็นอันดีแล้วค่อยนำไปสู่การปฏิบัติ หลังจากได้ปฏิบัติก็ค่อยนำไปสู่การบรรลุ แต่หากจะตีแผ่ขยายความให้กว้างยิ่งขึ้น ก็จะเป็น 84,000 ความกลัดกลุ้มของเวไนย์ โดยธรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาอาการ ล้วนต้องเป็นการเจียดยาที่ให้ตรงกับโลกของเวไนยสัตว์ทั้งสิ้น อย่างเช่น อาการราคะ โทสะ และโมหะของเวไนยสัตว์ ก็จักต้องใช้ศีล สมาธิ ปัญญามารักษากำราบ แต่ นอกจากศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว ยังมีอินทรีย์ 5  พละ 5  ความเพียร4   อิทธิบาท4  โพธิ7  มรรค8  โพธิปักขิยธรรม37  ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นธรรมอันวิเศษของผู้บำเพ็ญธรรมได้ทั้งสิ้น แต่สำหรับการ ยึดถือ ปฏิบัติ ที่ได้กล่าวถึงในบรรพนี้ จะหมายถึงการยึดถือปฏิบัติในธรรมอันแยบยลแห่งปรัชญา เพราะว่าการยึดถือปฏิบัติในปรัชญา ก็เท่ากับได้มีความเพียบพร้อมซึ่งธรรมทั้งปวงแล้วนั่นเอง  สำหรับประเด็นของ ธรรมกายมิใช่ลักษณะ ที่ได้กล่าวถึงในตอนก่อน ๆ อันเป็นการทำลายทิฐิออกไปอย่างเป็นลำดับนั้น ก็ถือว่าได้ค่อย ๆ แสดงหลักอันแยบยลแห่งปรัชญานี้ออกมาอย่างกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นในบรรพแม้ไร้หนึ่งลักษณะแล้ว จวบถึงบัดนี้ ความสงสัยทั้งปวงก็ได้รับการคลี่คลายออกไปจนหมดสิ้น ด้วยคำสอนและหลักธรรมที่ลึกซึ้งฉันนี้ จึงทำให้สุภูติแจ่มแจ้งเข้าใจในแก่นธรรม  ฉะนั้น  สุภูติจึงได้กราบทูลให้พระตถาคตทรงประทานนามให้แก่พระสูตรนี้ขึ้นนั่นเองแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                         บรรพที่  ๑๓ :  ดั่งธรรมวิธี  ยึดถือปฏิบัติ

เนื้อหา  :

        สมัยนั้นแล สุภูติได้กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  อันพระสูตรนี้ควรมีนามว่าอะไร ?  ข้าพระองค์ทั้งหลายพึงสนองปฏิบัติอย่างไร ?"  พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "พระสูตรนี้มีนามว่าวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  อาศัยชื่อนามนี้ เธอพึงรับไปปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !   พระพุทะเจ้ากล่าวว่าปรัชญาปารมิตา  มิใช่ปรัชญาปารมิตา เป็นเพียงนามว่า ปรัชญาปารมิตา  สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ์  ตถาคตได้แสดงพระธรรมฤา ?"  สุภูติทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ตถาคตมิได้แสดงพระธรรมอันใดเลย"  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ฝุ่นละอองทั้งหมดในมหาตรีสหัสโลกธาตุ จำนวนถือว่ามากหรือไม่ ?" สุภูติทูลตอบว่า "มากมายยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! "  "สุภูติ !  ฝุ่นละอองทั้งหลายเหล่านี้ ตถาคตว่ามิใช่ฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าฝุ่นละออง ตถาคตกล่าวว่าโลกธาตุ มิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ"  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32  เห็นตถาคตหรือไม่ ?"    "ไม่แล  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ไม่สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32เห็นตถาคตได้  เพราะเหตุใด ?  ตถาคตตรัสว่า มหาปุริสลักษณะ32 มิใช่ลักษณะ เป็นเพียงนามว่ามหาปุริสลักษณะ32" "สุภูติ ! หากกุลบุตร  กุลธิดา ได้ใช้ชีวิตเปรียบเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน แต่หากได้มีบุคคล รับสนองปฏิบัติตามพระสูตรนี้ ที่สุดแม้เพียงแค่โศลก 4 บาทมาประกาศสาธยายแก่ผู้อื่น บุญวาสนาดังกล่าวจะมากมายยิ่งกว่านัก"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                       บรรพที่  ๑๓ :  ดั่งธรรมวิธี  ยึดถือปฏิบัติ 

                                             ความสังเขป

        สำหรับเหตุปัจจัยของบรรพนี้  ก็เป็นเพราะในบรรพก่อนสุภูติได้สดับว่า "การสนองและสาธยายพระสูตรนี้ จักสามารถสำเร็จในธรรมอันหายากยิ่ง"   ซึ่งก็คือ ณ ที่ ๆ พระสูตรนี้อยู่ก็จักมีพระพุทธะประทับอยู่นั่นเอง และเนื่องจากความเคารพที่มีต่่อพระสูตรเป็นเช่นนี้ ดังนั้น  สุภูติจึงกราบทูลถามถึงนามและหลักของการสนองปฏิบัติพระสูตร เพื่อใช้สำหรับเป็นแนวทางในการยึดถือปฏิบัติ  ซึ่งพระตถาคตก็ทรงประทานนามพระสูตรนี้ว่า "วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร และพวกเธอพึงรับไปปฏิบัติกันเช่นนี้"  สาเหตุที่พระพุทธองค์ตรัสเช่นนี้ได้แฝงไว้ด้วยอนุตตรโพธิธรรม ซึ่งหากบุคคลใดได้บังเกิดจิตศรัทธาจริงใจในการสนองปฏิบัติแล้ว ก็จักสามารถแจ้งในหลักธรรมแห่งการไร้ลักษณ์ไร้ดำรง จนที่สุดได้บังเกิดปรัชญา (ปัญญาแยบยล) อันสุกสกาวที่มีความแกร่งคมดุจวัชร จนได้ก้าวขึ้นสู่ฝั่งแห่งพุทธแดน ณ ฟากโน้นได้ และนี่นี้เองที่เป็นอนุตตรธรรม อันเป็นสุดยอดเยี่ยมที่พระพุทะองค์ทรงมีพระประสงค์จะตักเตือนศิษย์สาวกทั้งหลายได้สนองปฏิบัติตามธรรมฉะนี้แล  การที่พระพุทธองค์ทรงประทานนามให้แก่พระสูตรเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นพระเจตนาในการแสดงธรรมให้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นก็จริง แต่ในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ก็ทรงเกรงว่าศิษย์ทั้งหลายจะเกิดการยึดติดต่อนามของพระสูตรนี้ จนกระทั่งได้ลืมซึ่งความจริงไปว่า "อันว่าปรัชญานั้น ก็คือปรัชญาแห่งธรรมญาณตนนั่นเอง"  ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสต่อจากนั้นเพื่อทำลายความยึดติดลักษณะแห่งนามของพระสูตรนี้ โดยพระองค์ตรัสว่า "ปรัชญาปารมิตา มิใช่ปรัชญาปารมิตาเป็นเพียงแค่อาศัยนามว่าปรัชญาปารมิตามาใช้เท่านั้นเอง  ณ ตรงนี้ได้ทำให้เราทราบว่า แม้แต่ชื่อของพระสูตรก็ยังไม่ควรยึดติดลักษณะด้วยฉะนี้แล ยังจะมีธรรมใดกล่าวสอนกันได้อีก ?  เพราะว่าภายในใจจริงที่วิสุทธิ์แต่เดิมก็ไร้ลักษณะอยู่แล้ว โดยสูตรปารมิตานี้ ก็เป็นเพียงแค่พระสูตรที่ทำให้คนแจ้งในธรรมญาณตนด้วยตนเท่านั้นเอง แต่ทว่า  ภายในใจจริงที่วิสุทธิ์นี้แต่เดิมก็ไร้ธรรมอันใดอยู่แล้วเช่นกัน อนึ่ง  ในเมื่อไร้ธรรม แล้วจะมีพระสูตรไปใยได้ ?  และในเมื่อไร้พระสูตรแล้ว   ไฉนจะมีการเทศนากันได้อีก ?  พึงทราบว่าในสิ่งทั้งปวงที่เป็นการกล่าวอธิบายนั้น ก็เป็นเพียงแค่ยาขนานต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับยารักษาโรคนั่นเอง ในคัมภีร์ฉวนซินฝ่าเย่าได้กล่าวไว้ว่า "ปวงธรรมที่พระตถาคตตรัส เป็นเพียงเพื่อขจัดใจทั้งปวง หากไร้ใจทั้งปวงแล้ว ไฉนต้องมีธรรมเหล่านั้นอีก"  กล่าวคือก็เพราะว่ายังไม่แจ้ง จึงจำเป็นต้องอาศัยคำพูดมาอธิบาย หากได้แจ้งแล้ว คำอธิบายทั้งปวงล้วนผิดทั้งสิ้น หรือก็คือ หากมีโรคแต่ไม่ทานยา ยานั่นแหละกลับกลายเป็นตัวก่อโรคเสียเอง  นอกจากนี้ พระองค์ก็ยังทรงยกตัวอย่างให้ทราบว่า ไม่ว่าจะเป็นความจุลละเอียดดั่งผงธุลี หรือจะเป็นความมหาศาลที่เปรียบดั่งโลกธาตุ หรือกระทั่งมหาปุริสลักษณะ 32  ประการก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นนามบัญญัติของความว่างทั้งสิ้น  การที่พระตถาคตทรงค่อย ๆ นำพาเหล่าสาวกให้เกิดความเข้าใจ แท้จริงแล้ว ก็เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงต้องการให้เหล่าสาวกสามารถทำลายลักษณะและพบตถาคตแห่งธรรมญาณตนได้นั่นเอง ฉะนั้น พระองค์จึงทรงทำการเปรียบเทียบบุญและปัญญาให้เห็น เป็นครั้งที่ 3 ของการเปรียบประลองเพื่อให้สาวกทั้งหลายเกิดความกระจ่างในความหมายของศักยะแห่งการพ้นลักษณะ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของพระสูตรนี้  ในอีกทางหนึ่งด้วย โดยพระองค์ตรัสว่า "มาตรว่าจะบริจาคทานด้วยทรัพย์สมบัติที่เป็นจำนวนเท่าเม็ดทรายในคงคานที หรือจะบริจาคทานด้วยชีวิตที่มีจำนวนเทียบเท่าเม็ดทรายในคงคานทีก็ตามแต่  ที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นเพียงลักษณะภายนอกที่ยังมิอาจเทียบได้กับการสนองพระสูตรและแจ้งในธรรมญาณได้เลย และอันบุญที่เขาจักได้รับการตอบสนองปฏิบัติพระสูตรนั้น ก็ยังเป็นบุญที่มากยิ่งกว่าการบริจาคทานที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นอย่างมากมายเสียอีก"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                       บรรพที่  ๑๓ :  ดั่งธรรมวิธี  ยึดถือปฏิบัติ

อธิบายพระสูตร  :

        หลังจากที่สุภูติได้สดับพระธรรมที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ในบรรพที่แล้วก็ได้ถือโอกาสทูลถามพระพุทธองค์ว่า  "ข้าแแต่พระสุคต !พระสูตรนี้ควรจะมีชื่อเรียกว่าอะไรดี ?  และเราควรที่จะสนองปฏิบัติพระสูตรนี้อย่างไร ?"  พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่สุภูติว่า "ด้วยปัญญาแยบยลอันเฉียบคมเช่นนี้ ก็จะสามารถพาไปสู่ฝั่งโน้น(ฝั่งนิรวัณ) ได้ ฉะนี้ พระสูตรนี้จึงควรเรียกว่า วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร และพวกเธออาจอิงตามธรรมนี้ไปปฏิบัติ นี่ก็คือเหตุผลที่เราใช้นามว่า วัชรปรัชญาปารมิตา แต่ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใดหล่ะ ?"  พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "สุภูติ !  สำหรับปรัชญาปารมิตาที่พระตถาคตกล่าวนั้น ก็คือความแจ้งอันแยบยลแห่งธรมญาณ ซึ่งเป็นความว่างเปล่าที่ปราศจากสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น และในเมื่อเป็นองค์เดิมที่ไร้สิ่งใด ๆ แล้ว ไฉนจะมีชื่อนามอีกหล่ะ ?  เป็นเพียงแต่เกรงว่าจะมีคนเกิดความคิดดับสูญ จึงได้บัญญัติเป็นนามว่าปรัชญาปารมิตาสูตรด้วยความจำใจ ทั้งนี้  ก็เพื่อเป็นความสะดวกในการให้ศิษย์ทั้งหลายได้สนองปฏิบัติเท่านั้นเอง"    พระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "สุภูติ !  เธอมีความเห็นเป็นเช่นไร ?  พระตถาคตได้กล่าวสอนพระธรรมหรือไม่ ?  สุภูติทูลตอบว่า "ข้าแต่พระสุคต !   อันปรัชญาก็คือธรรมญาณตนที่ต้องแจ้งด้วยตน ก็ในเมื่อยังไร้นามที่จะปฏิบัติได้แล้ว  ฉะนั้น  พระองค์จึงไร้การตรัสสอนพระธรรมด้วยเฉกเช่นกัน "  พระพุทธองค์ทรงถามต่อไปว่า  "สุภูติ !  เธอมีความเห็นเป็นเช่นไร ?  ฝุ่นละอองทั้งหมดทั่วมหาตรีสหัสโลกธาตุนี้ ถือว่ามากหรือไม่ ?"  สุภูติทูลตอบว่า "ข้าแต่พระสุคต !  ช่างมากมายยิ่งนัก" พระพุทธองค์ตรัสว่า "สุภูติ !  แม้ฝุ่นละอองนี้จะมาก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงมายาที่ไม่มีรูปลักษณ์ตายตัวที่ได้ถูกบัญญัติให้เป็นนามว่าฝุ่นละอองเท่านั้นเอง และถึงแม้พระตถาคตจะกล่าวว่า โลกธาตุนี้มโหฬารอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาสิ้นกัปแล้ว โลกธาตุนี้ก็ยังคงต้องสูญสิ้นไปอยู่ดี ซึ่งที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่มีความจริงแท้ โดยมันก็เป็นเพียงแค่นามว่าโลกธาตุเท่านั้นเอง  พระสัพพัญญตรัสต่อไปว่า  "สุภูติ !  เธอมีความเห็นเป็นเช่นไร ?  สามารถที่จะอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 ที่พระองค์ได้ตรัส จะมิใช่ลักษณะแห่งธรรมกายที่ได้พ้นจากลักษณะแต่อย่างใด หากแต่เป็นลักษณะแบบรูปลักษณ์ที่ได้สนองเกิดต่างหาก ซึ่งโดยแท้แล้วก็ยังคงเป็นเพียงนามสมมุติเท่านั้นเอง"  พระพุทธองค์ทรงถามต่อไปว่า  "สุภูติ  !  หากได้มีกุลบุตร กุลธิดาสละอุทิศชีวิตของตนเอง อันเป็นปริมาณเท่าเม็ดทรายในคงคานทีมาบริจาคทานเพื่อหวังบุญ และหากได้มีอีกบุคคลหนึ่ง ที่ได้สนองปฏิบัติในพระสูตรนี้ อีกทั้งยังได้นำไปกล่าวสอนให้ผู้อื่นได้ฟังอีก ด้วยแม้นเขาจะได้กระทำไปเพียงแค่โศลก 4 บาทก็ตาม  แต่สำหรับบุญที่เขาได้จากการสนองปฏิบัติในพระสูตรนี้นั้น ยังจะมีความมหาศาลยิ่งกว่าการใช้ชีวิตอุทิศสละทานไปเสียอีก"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                        บรรพที่ 14  ห่างลักษณ์  นิโรธ

อธิบายบท  :   

        อันว่าห่างลักษณ์นั้น ก็คือการห่างออกจากรูปลักษณะแห่งมายาทั้งหลาย ซึ่งลักษณะทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนคือลักษณะที่เป็นมายาผกผัน โดยปุถุชนยังจะไม่รู้แจ้งเข้าใจซึ่งมายาอันไม่จริงแท้เหล่านี้ จึงก่อให้เกิดความยึดติดในการยึดการละ และได้ถูกความเป็นมายาเหล่านี้มามอมรัดอยู่ทุกขณะซึ่งภาวะแห่งมายาได้คลุ้งซ่านอยู่ภายในใจเป็นเช่นนี้เสมอ กระทั่งญาณแท้แห่งตนได้ถูกอายตนะลักษณะภายนอกบดบัง จนส่งผลให้ถูกแวดล้อมภายนอกมาพลิกหมุนอยู่ทุกเมื่อ เนื่องด้วยถูกพลิกหมุนจึงเกิดความฟุ้งซ่าน เนื่องด้วยความฟุ้งซ่านจึงเกิดการสร้างกรรม เนื่องด้วยการสร้างกรรมจึงเกิดทุกขเวทนา จนในที่สุดจึงเวียนว่ายชั่วกัปชั่วกัลป์อย่างไม่มีวันหมดสิ้นได้เลย แต่หกเขาสามารถห่างพ้นจากลักษณะ เช่นนี้ก็จะไม่ถูกลักษณะมอมเมา ซึ่งเขาก็จะไร้การยึดติด ในการยึดการละ ครั้นไร้การยึดติดในการยึดการละแล้ว อายตนะลักษณะก็จะว่างเปล่า ใจภายในก็จะไม่เลื่อยลอยออกไป อายตนะภายนอกก็ไม่อาจเข้าจู่โจมได้ ถ้าเช่นนี้แล้ว ทั้งนิ่งและไหวก็จะไม่บังเกิดครั้นทั้งนิ่งและไหวไม่บังเกิดแล้ว ความสงบศาติก็จะปรากฏเช่นนั้นเองแล   สำหรับความสงบศานติที่ได้กล่าวถึงนั้น   ในเริ่มแรกจะสยบอายตนะภายนอก จากนั้นจะขจัดอินทรีย์ภายใน แต่ก่อนที่ทั้งอายตนะและอินทรีย์จะสิ้นซากไปนั้น  จักต้องทำลายบุคคละอัตตา แล้วค่อยทำลายธรรมอัตตา จนในที่สุด แม้แต่ลักษณะแห่งการแจ้งในสิ่งที่แจ้งก็ต้องหลีกพ้น เมื่อขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็คือ ความว่างทั้งหลายไม่มีบังเกิด และในที่สุด แม้แต่ลักษณะแห่งการว่างในสิ่งที่ว่างก็ต้องสูญ ด้วยการเกิดดับที่ได้ดับด้วยประการเช่นนี้แล้ว ความสงบศานติก็จักปรากฏนั่นเองแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                        บรรพที่ 14  ห่างลักษณ์  นิโรธ

เนื้อหา   :

        ครั้งนั้นแล สุภูติได้สดับพระสูตรนี้ จนได้เกิดความซาบซึ้งแจ่มชัดในธรรมอรรถ และเกิดอาการสะอื้นไห้ จึงกราบทูลพระสุคตว่า "หาได้ยากหนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  !  พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระสูตรอันลุ่มลึกเช่นนี้ ตั้งแต่อดีตที่ข้าพระองค์ได้ปัญญาจักษุมา ยังมิเคยได้สดับฟังพระสูตรเช่นนี้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  หากได้มีบุคคลสดับฟังพระสูตรนี้ จนเกิดจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์ เช่นนี้ก็กบังเกิดลักษณ์แท้ ควรรู้ว่าบุคคลนี้ ได้บรรลุในบุญกุศลอันยอดเยี่ยมที่หาได้ยากหนักหนา "ข้าแต่พระสุคต !  อันว่าลักษณ์แท้มิใช่ลักษณะ ฉะนั้นพระตถาคตจึงตรัสนามว่าลักษณ์แท้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !   วันนี้ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรนี้ เกิดกระจ่างเชื่อถือและนำปฏิบัติ บุคคลนี้นับวายอดเยี่ยมชนิดหาได้โดยยากทีเดียว เพราะเหใด !   บุคคลนี้ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวลักษณะ   ชีวลักษณะ ทั้งนี้พราะเหตุใด !  อาตมะลักษณะก็คือมิใช่ลักษณะ  บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ ชีวลักษณะ ก็คือมิใช่ลักษณะ เพราะเหตุใด  !  ห่างจากเหล่าลักษณะจึงจะได้ชื่อว่าพระพุทธทั้งหลายแล" พระสัมพุทธเจ้าตรัสแก่สุภูติว่า "อย่างนั้น  อย่างนั้น"  หากมีบุคคลได้สดับฟังพระสูตรนี้ โดยไม่วิตก ไม่หวั่น ไม่กลัว ควรรู้ว่บุคคลนี้หาได้ยากหนักหนา เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !  ตถาคตกล่าวว่า บารมีอันยอดเยี่ยม มิใช่บารมีอันยอดเยี่ยม เป็นเพียงนามว่าบารมีอันยอดเยี่ยม"   "สุภูติ !  ขันติบารมี ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ขันติบารมี เป็นเพียงนามว่าขันติบารมี เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !  ดั่งที่เราในอดีตถูกกลิราชาห้ำหั่นกายา เราในขณะนั้น ไร้อาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  เพราะเหตุใด ? ขณะที่เราในอดีตได้ถูกห้ำหั่นเป็นชิ้น ๆ หากได้มีอาตมะลักษณะ บุคคละลักษณะ สัตวะลักษณะชีวะลักษณะแล้ว ควรเกิดความโกรธพยาบาทสุภูติ !  หวนระลึกกลับไป 500 ชาติก่อน สมัยเมื่อเราเป็นกษานติวาทีดาบส ขณะอยู่ในชาตินั้น ไร้ตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ"  ด้วยเหตุนี้สุภูติ !  พระโพธิสัตว์ควรต่างจากลักษณทั้งปวง และบังเกิอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ไม่ควรดำรงรูปบังเกิดจิต ไม่ควรดำรงเสียง กลิ่น รสสัมผัส ธรรมารมณ์บังเกิดจิต แต่ควรบังเกิดจิตที่ไร้สิ่งดำรง หากใจมีการดำรง ก็คือมิใช่ดำรง ดังนั้น พระสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าจิตของพระโพธิสัตว์ไม่ควรดำรงรูปบริจาคทาน สุภูติ !  พระโพธิสัตว์เพื่อยังประโยชน์สุขแก่เวไนยสัตว์  พงบริจาคทานด้วยประการเช่นนี้"   "ตถาคตกล่าว่าลักษณะทั้งปวง มิใช่ลักษณะและกล่าวว่าเวไนยสัตว์ทั้งปวงมใช่เวไนยสัตว์สุภูติ !  ตถาคตคือผู้กล่าว สัจจวาจา ภูตวาจา ตถาวาจา อวิตถวาจา อนัญญะถวาจา สุภูติ ! ธรรมที่ตถาคธรรมนี้ไร้การเต็มเปี่ยมไร้การว่างสูญ" สุภูติ !  หากใจของพระโพธิสัตว์ดำรงในพระธรรมและบริจาคทานก็จะเปรียบดั่งคนสู่ที่มืดที่จะไร้การมองเห็นอย่างสิ้นเชิง แต่หากใจของพระโพธิสัตว์ไม่ดำรงในธรรมและบริจาคทาน เปรียบดั่งคนมีดวงตาที่ยามสงสุรีย์สาดส่อง ก็เห็นสรรพสีสันนานา สุภูติ ! ในอนาคตกาล หากได้มีกุลบุตร กุลธิดา สามารถอาศัยพระสูตรนี้ปฏิบัติสวดท่อง ก็คือพระตถาคตด้วยพุทธปัญญา เราล้วนเห็นบุคคลนี้ ต่างจักได้บรรลุในบุญกุศลอันไร้ขอบเขตที่มิอาจประเมินปริมาณได้"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
            วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร  ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย

                        บรรพที่ 14   :  ห่างลักษณ์  นิโรธ

ความสังเขป  :   ในบรรพนี้ได้กล่าวถึงสุภูติ ที่หลังจากได้สดับพระสูตรนี้แล้ว ก็ทำให้เกิดความสว่างไสวขึ้นภายในใจ  คือสุภูติได้เข้าใจในความหมายของคำว่า  "หากเห็นเหล่าลักษณะมิใช่ลักษณะ  ก็จะเห็ยตถาคต" อันเป็นเหตุทำให้สุภูติเกิดความปลาบปลื้มร่ำไห้ และอุทานสรรเสริญออกมาว่า "หาได้ยากนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !"นั่นเอง ถึงแม้ในบรรพที่ 2 ก็มีการสรรเสริญพระเกัยรติคุณในกรณีเช่นนี้แล้วก็จริง แต่กรณีการสรรเสริญพระเกียรติคุณในบรรพที่ 2 จะมีนัยที่แตกต่างบรรพนี้กล่าวคือ ในบรรพที่ 2 จะเป็นการอุทานสรรเสริญเพราะได้เข้าใจในเจตนาของพระพุทธองค์ โดยพระพุทธองค์ทรงแสดงให้เราเข้าใจในใจจริงแห่งปรัชญาซึ่งสามารถเห็นได้จากพระจริยวัตรในชีวิตประจำวันของพระองค์เอง แต่สำหรับกรณีการอุทานสรรเสริญพระเกียรติคุณครั้งที่สอง ที่ได้เกิดขึ้นในบรรพนี้นั้น จะเป็นการสรรเสริญอุทานพระเกียรติคุณแห่งตถาคต ที่ได้แสดงให้เห็นในศักยะอันแยบยลแห่งปรัชญา ซึ่งสามารถอุปมาให้เข้าใจได้ด้วยการชมคฤหาสน์หลังหนึ่ง ที่ในอดีตจะเห็นเฉพาะความสง่างามภายนอกของตัวอาคารเท่านั้น แต่ ณ บัดนี้ ได้ก้าวเข้าไปสู่ภายในตัวอาคาร และสามารถยลความอลังการของคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างหมดสิ้นนั่นเอง เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงทราบว่า สุภูติได้เข้าใจความหมายอันแยบยลของคำว่า "อันสิ่งที่เป็นลักษณะทั้งหลายล้วนแต่เป็นมายา และหากไร้ลักษณะแล้วไซร์ จึงจะสามารถเห็นตถาคตได้" ดังนั้น พระองค์จึงทรงให้กำลังใจเพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดความเพียรปฏิบัติ แต่สำหรับการเพียรปฏิบัติก็ไม่อาจพ้นจาก 6 ปารมิตาได้ และใน 6 ปารมิตานี้ ก้ต้องยกเอาปัญญาบารมีว่าเป็นสิ่งหาได้ยากที่สุด ดังนั้น พระองค์จึงทรงนำเอาบารมีอันยอดเยี่ยมขึ้น
มาตรัสก่อน ซึ่งก็มีนัยให้เราเกิดปัญญา เพราะเมื่อได้เกิดปัญญาแล้วก็จะสามารถเจริญในบารมีที่เหลือต่อไปได้อีก  อนึ่ง พระพุทธองค์ยังทรงได้ตรัสถึงขันติบารมีโดยไม่ได้ตรัสถึงบารมีชนิดอื่น ทั้งนี้ก็เพราะขันติบารมีเจริญได้ยากที่สุด และพระองค์ก็ยังทรงยกเอาตัวอย่างของพระองค์เองมาพิสูจน์ให้เห็น เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นชัดยิ่งขึ้นถึงการไร้อาตมะ บุคคละ  สัตวะและชีวลักษณะ โดยมิใช่จะกล่าวเฉพาะแต่ด้านจิตใจอย่างเดียว กล่าวคือ ควรที่จะเป็นดั่งพระองค์ 500 ชาติก่อนที่แม้นจะถูกห้ำหั่นอย่างสาหัสปานใดก็ตาม แต่พระองค์ก็ยังคงสงบนิ่งไม่มีอาการหวั่นไหว ฉันนี้ จึงจะถึอว่าเป็นสัมมาสมาธิอย่างแท้จริง เพราะหากไม่มีขันติจนถึงระดับนี้หล่ะก็ ที่สุดแล้ว ลักษณะแห่งมายาก็ไไม่ได้ดับไปและหากขันติยังมิได้เจริญจนถึงระดับนี้และเกิดอาการวิตก หวั่น และกลัวแล้ว นั่นก็หมายความว่าความมั่นใจยังไม่แกร่งพอ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงยกเอาตัวอย่างของพระองค์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์และกำลังใจในการเจริญขันติโดยไร้ 4 ลักษณะนั่นเอง อนึ่ง พระพุทธองค์ยังทรงแสดงให้เห็นว่า าหกพระโพธิสัตว์ได้มีลักษณะแห่งอาตมะ บุคคละต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว ก็มิใช่พระโพธิสัตว์ นอกจากในบรรพก่อน ๆ จะกล่าวถึงแต่เรื่องบุญวาสนา ก็จะมีแต่บรรพนี้เท่านั้นที่ได้กล่าวถึงบุญกุศล นั่นก็ป็นเพราะยามที่ผลพูนกุศลพร้อมแล้ว  บุญวาสนาก็ไม่มีคุณค่าพอที่จะเอ่ยถึงอีกต่อไป

Tags: