collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร ฉบับ พระพุทธจี้กงอรรถาธิบาย  (อ่าน 57779 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

            10  อลังการ วิสุทธิเกษร

        พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคต ประทับอยู่ในสำนักพระทีปังกรพุทธเจ้าเมื่อครั้งอดีต มีธรรมที่ได้อันใดฤา ?"  "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตประทับอยู่ในสำนักของพระทีปังกรพุทธเจ้า ความจริงไร้ธรรมที่ได้"   "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  พระโพธิสัตว์ได้ตบแต่งอลังการพุทธเกษรหรือไม่ ?"   "ไม่แล  ข้าแต่พระสุคต !  เพราะเหตุใด ?  อันว่าตบแต่งอลังการพุทธเกษร คือมิใช่อลังการ เป็นเพียงว่านามอลังการ"  "เพราะฉะนั้นแล  สุภูติ !  ปวงพระโพธิสัตว์  มหาสัตว์  พึงยังจิตให้สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้ ไม่ควรดำรงรูปบังเกิดจิต  ไม่ควรดำรงเสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์บังเกิดจิต  แต่ควรที่จะไร้สิ่งดำรงและบังเกิดจิตต่างหาก  สุภูติ !  อุปมาว่ามีบุคคล  กายดุจเจ้าแห่งขุนเขาพระสุเมรุ  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? กายนี้ถือว่ามโหฬารหรือไม่ ? "  สุภูติตอบว่า  "ช่างมโหฬารยิ่งนัก  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ? พระพุทธองค์ตรัสว่ามิใช่กาย  เป็นเพียงนามว่านามว่ากายมโหฬาร"

          11  อสังขตะ  บุญเหลือคณนา

        "สุภูติ ! อุปมาดั่งจำนวนเม็ดทรายทั้งหมดในคงคานที  จำนวนเม็ดทรายเหล่านี้ ให้เปรียบเป็นแม่น้ำคงคาอีกที ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? เหล่าเม็ดทรายในคงคานทีนี้ นับว่ามากมายหรือไม่ ?"  สุภูติตอบว่า "มากมายยิ่งนัก  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพียงแค่คงคานทีเหล่านี้ ก็เป็นจำนวนที่มิอาจนับได้แล้ว จึงนับประสาอะไรกับเม็ดทรายที่ได้เทียบเท่า"  "สุภูติ !  วันนี้เราขอกล่าวถึงความจริงต่อเธอ  หากมีกุลบุตร  กุลธิดา  อาศัยสัปตรัตนะเต็มจำนวนมหาตรีสหัสโลกธาตุ อันได้มีจำนวนเทียบเท่าเม็ดทรายในคงคานทีที่เปรียบดังกล่าวเพื่อใช้บริจาคทาน  บุคคลนี้จะได้รับบุญมากมายหรือไม่ ?"  สุภูติทูลตอบว่า "มากมายยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !"  พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "หากกุลบุตร  กุลธิดา รับสนองปฏิบัติตามพระสูตรนี้  แม้ที่สุดจะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท และประกาศกล่าวแก่บุคคลอื่น บุญวาสนานี้ ยังจะเหนือยิ่งกว่าบุญวาสนาอย่างแรก"

          12  บูชา ศาสตร์แท้
   
        "อนึ่ง  สุภูติ !  ณ ที่ใดที่ได้กล่าวพระสูตรนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท  ควรรู้ว่า ณ สถานที่นี้ เหล่าเมพ  มนุษย์ อสูรทั้งหลายในโลกนี้ล้วนจะกระทำสักการะดุจพระพุทธสถูปวิหาร จึงนับประสาอะไรกับการที่มีบุคคลล้วนสามารถรับสนองปฏิบัติสวดท่อง  สุภูติ !  ควรรู้ว่าบุคคลนี้ได้ยังความสำเร็จแล้วในอนุตตรธรรมอันเป็นยอดสูงสุดที่หาได้โดยยาก หากว่าพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ ณ สถานที่ใด ที่นั้นก็จะมีพระพุทธเจ้าและอัครสาวกพำนักอยู่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

                 13  ดั่งธรรมวิธี ยึดถือปฏิบัติ

        สมัยนั้นแล สุภูติได้กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  อันพระสูตรนี้ควรมีนามว่าอะไร ? ข้าพระองค์ทั้งหลายพึงสนองปฏิบัติอย่างไร ?" พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "พระสูตรนี้มีนามว่าวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร อาศัยชื่อนามนี้ เธอพึงรับไปปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! พระพุทธเจ้าตรัสว่าปรัชญาปารมิตา มิใช่ปรัชญาปารมิตา เป็นเพียงนามว่าปรัชญาปารมิตา สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตได้แสดงพระธรรมฤา ?" สุภูติทูลตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมิได้แสดงพระธรรมอันใดเลย"  "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ฝุ่นละอองทั้งหมดในมหาตรีสหัสโลกธาตุ จำนวนถือว่ามากหรือไม่ ? " สุภูติทูลตอบว่า "มากมายยิ่งนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !"  "สุภูติ ! ฝุ่นละอองทั้งหลายเหล่านี้ ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าฝุ่นละออง ตถาคตกล่าวว่าโลกธาตุ มิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ" "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?"  "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ไม่สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้  เพราะเหตุใด ? ตถาคตตรัสว่า มหาปริสลักษณะ 32 มิใช่ลักษณะ เป็นเพียงนามว่ามหาปุริสลักษณะ 32"  "สุภูติ ! หากมีกุลบุตร กุลธิดา ได้ใช้ชีวิตเปรียบเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน แต่หากไม่มีบุคคล รับสนองปฏิบัติตามพระสูตรนี้ ที่สุดแม้เพียงแค่โฉลก 4 บทมาประกาศสาธยายแก่ผู้อื่น บุญวาสนาดังกล่าวจะมากมายยิ่งกว่านัก"  !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

          14  ห่างลักษณ์  นิโรธ

        ครั้งนั้นแล สุภูติได้สดับพระสูตรนี้ จนได้เกิดความซาบซึ้งแจ่มชัดในธรรมอรรถ และเกิดอาการสะอื้นไห้ จึงกราบทูลพระสุคตว่า "หาได้ยากหนักหนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธเจ้าทรงได้ตรัสพระสูตรอันลึกซึ้งลุ่มลึกเช่นนี้ ตั้งแต่อดีตที่ข้าพระองค์ได้ปัญญาจักษุมา ยังมิเคยสดับฟังพระสูตรเช่นนี้เลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  หากได้มีบุคคลสดับพระสูตรนี้ จนเกิดจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์ เช่นนี้ก็จะบังเกิดลักษณ์แท้ ควรรู้ว่าบุคคลนี้ ได้บรรลุในบุญกุศลอันยอดเยี่ยมที่หาได้ยากหนักหนา"  ข้าแต่พระสุคต !  อันว่าลักษณ์แท้ มิใช่ลักษณะ ฉะนั้นพระตถาคตจึงจตรัสนามว่าลักษณ์แท้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  วันนี้ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรนี้ เกิดกระจ่างเชื่อถือและนำปฏิบัติ ยังไม่นับว่ายาก แต่ในอนาคตกาลหลัง  500 ปี  ได้มีเวไนยสัตว์ที่ได้สดับฟังพระสูตรฉบับนี้จนเกิดความกระจ่างและนำปฏิบัติ บุคคลนี้นับว่ายอดเยี่ยมชนิดหาได้โดยยากทีเดียว เพราะเหตุใด ?  บุคคลนี้ไร้อาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ ชีวะลักษณะ  ทั้งนี้เพราะเหตุใด ?  อาตมะลักษณะก็คือมิใช่ลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  ก็มิใช่ลักษณะ เพราะเหตุใด ? ห่างจากเหล่าลักษณะ  จึงจะได้ชื่อว่าพระพุทธะทั้งหลายแล"  พระสัมพุทธเจ้าตรัสแก่สุภูติว่า  "อย่างนั้น  อย่างนั้น  หากมีบุคคลได้สดับฟังพระสูตรนี้ โดยไม่วิตก ไม่หวั่น ไม่กลัว ควรรู้ว่าบุคคลนี้ หาได้ยากนักหนา เพราะเหตุใด ? สุภูติ !  ตถาคตกล่าวว่า บารมีอันยอดเยี่ยม มิใช่บารมีอันยอดเยี่ยม เป็นเพียงนามว่าบารมีอันยอดเยี่ยม"  "สุภูติ !  ขันติบารมี ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ขันติบารมี เป็นเพียงนามว่าขันติบารมี เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ดั่งที่เราในอดีตถูกกลิราชาห้ำหั่นกายา เราในขณะนั้น ไร้อาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  เพราะเหตุใด ?  ขณะที่เราในอดีตได้ถูกห้ำหั่นเป็นชิ้น ๆ หากได้มีอาตมลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะแล้ว ควรเกิดความโกรธพยาบาท  สุภูติ !  หวนระลึกกลับไปเมื่อ 500 ชาติก่อน สมัยที่เราเป็นกษานติวาทีดาบส ขณะอยู่ในชาตินั้น ไร้อาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ "  "ด้วยเหตุนี้  สุภูติ !  พระโพธิสัตว์ควรห่างจากลักษณะทั้งปวง และบังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ไม่ควรดำรงรูปบังเกิดจิต ไม่ควรดำรงเสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์บังเกิดจิต แต่ควรบังเกิดจิตที่ไร้สิ่งดำรง หากใจมีการดำรง  ก็คือมิใช่ดำรง  ดังนั้น  พระสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าจิตของพระโพธิสัตว์ไม่ควรดำรงรูปบริจาคทาน  สุภูติ ! พระโพธิสัตว์เพื่อยังประโยชน์สุขแก่เวไนยสัตว์ พึงบริจาคทานด้วยประการเช่นนี้"  "ตถาคตกล่าวว่าลักษณะทั้งปวง มิใช่ลักษณะ  และกล่าวว่าเวไนยสัตว์ทั้งปวง มิใช่เวไนยสัตว์  สุภูติ !  ตถาคตคือผู้กล่าว สัจจวาจา  ภูตวาจา  ตถาวาจา อวิตถาวาจา  อนัญญถวาจา  สุภูติ !  ธรรมที่ตถาคตได้รับ  ธรรมนี้ไร้การเต็มเปี่ยม  ไร้การว่างสูญ"   "สุภูติ !  หากใจของพระโพธิสัตว์ดำรงในธรรมและบริจาคทาน ก็จะเปรียบดั่งคนสู่ที่มืดที่จะไร้การมองเห็นอย่างสิ้นเชิง แต่หากใจของพระโพธิสัตว์ไม่ดำรงในธรรมและบริจาคทาน เปรียบดั่งคนที่มีดวงตาที่ยามแสงสุรีย์สาดส่อง ก็จะเห็นสรรพสีสันนานา  สุภูติ !  ในอนาคตกาล หากได้มีกุลบุตร กุลธิดา สามารถอาศัยพระสูตรนี้ปฏิบัติสวดท่อง ก็คือพระตถาคต  ด้วยพุทธปัญญา เราล้วนเห็นบุคคลนี้ ต่างจักได้บรรลุในบุญกุศลอันไร้ขอบเขตที่มิอาจประเมินปริมาณได้ "     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        15  บุญกุศลของการถือสูตร

        "สุภูติ ! หากได้มีกุลบุตร  กุลธิดา 
ยามเช้า    ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน 
ยามเที่ยง  ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจาคทาน
ยามเย็น    ได้ใช้กายชีวิตเปรียบดั่งจำนวนเม็ดทรายในคงคานทีบริจากทาน  และได้กระทำเช่นนี้นับร้อยพันหมื่น กระทั่งร้อยล้านกัลป์ จนไม่อาจประมาณได้ แต่หากได้มีบุคคลรับสดับพระสูตรนี้ จนบังเกิดจิตศรัทธาไม่คัดค้าน บุญที่ได้ยังเหนือยิ่งกว่าบุญแรก จึงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงได้มีการคัดเขียนและถือปฏิบัติสวดท่อง ทั้งประกาศสาธยายแก่บุคคลอื่นเลย  สุภูติ ! โดยสรุปความสำคัญแล้ว พระสูตรนี้เป็นบุญกุศลอันไร้ขอบเขตและมิอาจคาดคะเนได้ ซึ่งตถาคตจะกล่าวแก่ผู้มุ่งในมหายาน  และจะกล่าวแก่ผู้มุ่งต่ออนุตตรยาน และหากมีบุคคลที่รับสนองปฏิบัติสวดท่อง ทั้งประกาศสาธยายแก่ผู้คนอย่างกว้างขวาง ตถาคตล้วนรู้บุคคลนี้ ล้วนเห็นบุคคลนี้  ต่างได้ประสพความสำเร็จในบุญกุศลที่มิอาจคะเน  มิอาจประมาณ  ไร้ขอบเขตและมิอาจจินตนาการ บุคคลดังนี้เป็นต้น ก็จะเป็นผู้แบกรับอนุตตรสัมมาสัมโพธิของพระตถาคต เพราะเหตุใด ?  สุภูติ !  หากบุคคลใดเป็นผู้ยินดีในธรรมวิธีอันคับแคบยึดติดในอาตมะทัศนะ  บุคคละทัศนะ  สัตวะทัศนะ  ชีวะทัศนะ  ก็จะมิอาจจะสนองรับสดับสวดท่องในพระสูตรนี้  เหล่าเทพมนุษย์อสสูรในโลก ล้วนต้องบูชาสักการะ ควรรู้ว่าสถานที่นี้ ก็คือสถูปเจดีย์  ล้วนควรเคารพนบไหว้ กระทำประทักษิณ และนำบุปผชาตินานาพรรณมาเกลี่ยบูชา" 

        16  สามารถบริสุทธิ์ผลกรรม

        อนึ่ง  สุภูติ !  หากมีกุลบุตร  กุลธิดา  รับสนองปฏิบัติสวดสาธยายพระสูตรนี้  และยังได้ถูกบุคคลอื่นหมิ่นประมาท อันบาปกรรมบุคคลนี้แต่อดีตชาติ ควรต้องตกสู่ทุคติภูมิ แต่ด้วยเหตุที่ถูกดูหมิ่นย่ำยีจากผู้คนในชาตินี้ อันบาปกรรมในอดีตชาติ ก็จะดับสูญไป และจะได้รับอนุตตรสัมมาสัมโธิ"   "สุภูติ !  เราได้ย้อนระลึกไปในอดีตนับด้วยอสงไขยกัปอันจักประมาณมิได้ ที่เป็นกาลก่อนสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า เราได้เฝ้าปฏิบัติบูชาต่อจำนวนพระพุทธเจ้านับแปดร้อยสี่พันร้อยล้านโกฏิอายุตะองค์โดยมิเคยละเลยว่างเว้น  แต่หากมีบุคคลอื่น ในยุคปลายแห่งอนาคต ที่สามารถรับสนองสวดท่องพระสูตรนี้ บุญกุศลที่ได้รับ จักมากมายยิ่งกว่าบุญกุศลที่เราได้บูชาพระพุทธเจ้า แม้เป็นหนึ่งในร้อยก็มิอาจได้ หรือกระทั่งหนึ่งในพันหมื่นร้อยล้านก็ยังมิอาจเทียม จนกระทั่งเป็นสิ่งที่จำนวนตัวเลขมิอาจกล่าวบรรยายได้เลย"  "สุภูติ !  หากมีกลุบุตร  กุลธิดาในยุคปลายแห่งอนาคต ได้มีการสดับสนองสวดท่องพระสูตรนี้ บุญกุศลที่ได้รับ หากเราจะกล่าวให้ชัดเจน และมีบุคคลใดที่ได้รับฟัง ก็จะเกิดความวุ่นวายแก่จิต มีวิจิกิจฉาไม่เชื่อถือเลย  สุภูติ ! ควรรู้ความหมายของพระสูตรนี้มิอาจจินตนาการ ผลานิสงส์ก็มิอาจจินตนาการด้วยเช่นกัน"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        17   ที่สุดคือไร้อาตมะ

        โดยสมัยนั้นแล สุภูติได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! กุลบุตร กุลธิดา เมื่อได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตแล้ว ควรดำรงจิตอย่างไร ? และควรสยบจิตอย่างไร ?  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก้สุภูติว่า "กุลบุตร กุลธิดา  เมื่อได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ควรบังเกิดจิตใจดั่งนี้ว่า เราจะขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งปวง เมื่อได้ขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งปวงเสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็ไม่มีเวไนยสัตว์แม้นเพียงหนึ่งที่ได้รับการขจัดฉุดช่วย เพราะเหตุใด ? สุภูติ !  หากพระโพธิสัตว์มีอาตมะลักษณะ  บุคคละลักษณะ  สัตวะลักษณะ  ชีวะลักษณะ  ก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! ความจริงไม่มีธรรมที่ได้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตเลย"  "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นใด ? ตถาคตประทับอยู่ ณ สำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า ได้มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิฤา ?"  "ไม่แล ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ตามที่ข้าพระองค์เข้าใจในความหมายแห่งธรรมอรรถของพระพุทธองค์ ขณะพระองค์ประทับอยู่ ณ สำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า ไม่มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิเลย "  พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ! ความจริงไม่มีธรรมที่ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! หากมีธรรมที่ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิแล้วไซร์ พระทีปังกรพุทธเจ้าก็จะไม่ทรงประทานจุดแก่เรา และตรัสพยากรณ์ว่าเราในอนาคตกาล จักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระศากยมุนี  ก็เพราะว่าไม่มีธรรมที่ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ ฉะนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าจึงได้ประทานจุดแก่เรา และพยากรณ์ว่าเราในอนาคตกาลจักสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระศากยมุนี เพราะเหตุใด ? อันว่าตถาคตนั้น ก็คือสหธรรมทั้งปวงดั่งความหมายแห่งตถตา หากมีบุคคลกล่าวว่า ตถาคตได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ สุภูติ ! อนุตตรสัมมาสัมโพธิที่ตถาคตได้รับ ในความจริงไร้ความเต็มเปี่ยม ไร้ความว่างสูญ  ด้วยเช่นนี้ ธรรมทั้งปวงที่ตถาคตกล่าว ล้วนเป็นพุทธธรรม  สุภูติ !  ธรรมทั้งปวงที่ได้กล่าวมิใช่ธรรมทั้งปวงเป็นเพียงนามว่าธรรมทั้งปวงเท่านั้น"
        สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ก็ควรเป็นเช่นนี้ หากกล่าวกันเช่นนี้ว่า เราจักขจัดฉุดช่วยเวไนยสัตว์อันไม่อาจคะเนนี้ได้ ก็จะไม่มีนามว่าพระโพธิสัตว์ เพราะเหตุใด ? สุภูติ !  แท้จริงไม่มีธรรมเรียกพระโพธิสัตว์  ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ธรรมทั้งปวง ไร้อาตมะ ไร้บุคคละ ไร้สัตวะ ไร้ชีวะ"  สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์มีวาทะกล่าวเช่นนี้ว่า เราจักตบแต่งอลังการพุทธเกษร ก็จะไม่มีนามว่าพระโพธิสัตว์ เพราะเหตุใด ? ตถาคตกล่าวว่า ตบแต่งอลังการพุทธเกษร มิใช่อลังการ เป็นเพียงนามว่าอลังการเท่านั้น สุภูติ ! หากพระโพธิสัตว์แจ่มแจ้งแทงตลอดในธรรมอันไร้อาตมะแล้ว ตถาคตจึงจะกล่าวว่า เป็นนามพระโพธิสัตว์จริง"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        18  กายเดียวร่วมทัศนะ  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีมังสจักษุฤา ?"   "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีมังสจักษุ"  "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีทิพยจักษุฤา ? "  "ถ้าอย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีทิพย์จักษุ"  "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ตถาคตมีปัญญาจุกษุฤา ?"  "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีปัญญาจักษุ"  "สุภูติ !  ในความหมายน้เป็นเช่นไร ? ตถาคตมีธรรมจักษุฤา ?"  "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีธรรมจักษุ"  "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร  ? ตถาคตมีพุทธจักษุฤา ?"  "ถ้าอย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตมีพุทธจักษุ"
        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? อุปมาดั่งเม็ดทรายทั้งหมดในคงคานที  ตถาคตกล่าวว่าคือทรายฤา ?"  "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตถาคตตรัสว่าเป็นทราย "  "สุภูติิ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? อุปมาให้เม็ดทรายทั้งหมดในหนึ่งสายคงคานที เปรียบให้เป็นคงคานทีอีก และให้จำนวนเม็ดทรายในคงคานทีเหล่านี้ คือะพุทธโลกธาตุ ด้วยจำนวนนี้ถือว่ามากหรือไม่ ? " "มากยิ่งนักข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! พระพุทธองค์ตรัสแก่สุภูติว่า  "ในอาณาดินแดนของเธอ  ปวงเวไนยสัตว์ทั้งหลายมีใจในประเทศต่าง ๆ กันตถาคตล้วนแจ่มแจ้งภายในใจต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะเหตุใด ? ตถาคตกล่าวว่าใจเหล่านี้ล้วนมิใช่ใจ เป็นเพียงนามว่าใจ ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใด ? "สุภูติ ! ใจอดีตไม่ควรมีใจปัจจุบันไม่ควรมี ใจอนาคตไม่ควรมี "

        19  แจ้งในความแปรแห่งธรรมชาติ   "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? หากมีบุคคลนำสัปตรัตนะที่มีปริมาณเปี่ยมมหาตรีสหัสโลกธาตุมาบริจาดทาน บุคคลนี้ ด้วยเหตุปัจจัยเช่นนี้ ได้รับผลบุญมากมายหรือไม่ ?"  "อย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! บุคลนี้ด้วยเหตุปัจจับเช่นนี้ ได้รับบุญมากมายยิ่ง "  "สุภูติ !  หากบุญวาสนามีจริงตถาคตจะไม่กล่าวว่า ได้รับบุญวาสนามากมาย แต่เนื่องด้วยบุญวาสนาไม่มี ตถาคตจึงกล่าวว่า ได้รับบุญวาสนามากมาย"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

         20   ห่างรูป   ห่างลักษณ์

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  ตถาคตสามารถเห็นได้ด้วยเหล่าลักษณะลักษณะที่พร้อมมูลหรือไม่ ?"  "ไม่แล  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ตถาคตไม่ควรเห็นได้ด้วยเหล่าลักษณะที่พร้อมมูล เพราะเหตุใด ? ตถาคตตรัสว่า เหล่าลักษณะพร้อมมูล  มิใช่เหล่าลักษณะพร้อมมูล  เป็นเพียงนามว่าเหล่าลักษณะพร้อมมูล

        21   มิได้กล่าวในสิ่งที่กล่าว

        "สุภูติ !  เธออย่ากล่าวว่า  ตถาคตได้มนสิการว่า เราได้มีการแสดงธรรม อย่าได้นมสิการเช่นนั้น  เพราะเหตุใด ? หากมีคนกล่าวว่าตถาคตได้มีการแสดงธรรม  ก็จะเป็นการกล่าวหาพระพุทธเจ้า เพราะเขาผู้นั้นคือผู้ที่ไม่เข้าใจในพระวจนะของเรา  สุภูติ !  อันว่าแสดงธรรมนั้น  ไม่มีธรรมที่จะแสดง  เป็นเพียงนามว่าแสดงธรรมเท่านั้น"  ก็โดยสมัยนั้นแล  สุภูติผู้มีปัญญาชีพได้ทูลถามพระสุคตว่า  "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  ยังจักจะมีเวไนยสัตว์ในอนาคตกาลที่ได้สดับฟังพระสูตรนี้แล้วบังเกิดศรัทธาจิตหรือไม่ ?"  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  "สุภูติ ! ที่กล่าวนั้นไม่ใช่เวไนยสัตว์  มิไม่ใช่เวไนยสัตว์  เพราะเหตุใด ? สุภูติ ! อันว่าเวไนยสัตว์นั้นตถาคตกล่าวว่ามิใช่เวไนยสัตว์ เป็นเพียงนามว่าเวไนยสัตว์"

        22   ไร้ธรรมที่จะรับได้

        สุภูติได้ทูลถามพระพุทธโลกนาถว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  พระพุทธเจ้าได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิเป็นการไร้การได้อย่างนั้นหรือ ?" พระพุทธองค์ตรัสว่า  "อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ! สำหรับเราในอนุตตรสัมมาสัมโพธิ แม้ธรรมเพียงน้อยนิดก็ไม่มีได้ เป็นเพียงนามว่าอนุตตรสัมมาสัมโพธิ"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        23   ชำระใจ   ปฏิบัติความดี

        "อนึ่ง  สุภูติ !  ธรรมนั้นเสมอภาค  ไม่มีสูงต่ำ  จึงจะนามว่า  อนุตตรสัมมาสัมโพธิ  เนื่องด้วยไร้อาตมะ  ไร้บุคคละ  ไร้สัตวะ  ไร้ชีวะมาบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งปวง  ก็จะได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ  สุภูติ !  กุศลธรรมที่ได้กล่าว  ตถาคตกล่าวว่า มิใช่กุศลธรรม เป็นเพียงนามว่ากุศลธรรม"

        24   บุญปัญญา  มิอาจเปรียบ

        "สุภูติ !  ถ้ามีบุคคลนำเอากองแห่งสัปตรัตนะสูงเท่าเหล่าขุนเขาพระสุเมรุในมหาตรีสหัสโลกธาตุ มาบริจาคทาน แต่หากมีบุคคลอาศัยปรัชญาปารมิตาสูตรนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่คำโฉลก 4 บท  มารับสนองปฏิบัติสวดท่อง และกล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น  บุญวาสนาแรกเมื่อเทียบกับบุญหลังจะไม่ถึงแม้นหนึ่งส่วนร้อย ไม่ถึงแม้นหนึ่งในร้อยพันแสนโกฏิส่วน กระทั่งมิอาจใช้ตัวเลขอุปมาเปรียบเทียบได้"

        25   แปร   ไร้สิ่งที่ได้แปร

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  เธอทั้งหลายอย่าได้คิดว่าตถาคตมนสิการว่า เราเป็นผู้ฉุดช่วยเวไนยสัตว์  สุภูติ !  อย่าได้เข้าใจเช่นนั้น  เพราะเหตุใด ? ความจริงไม่มีเวไนยสัตว์ที่ตถาคตฉุดช่วย  หากมีเวไนยสัตว์ที่ตถาคตได้ฉุดช่วย  ตถาคตก็จะมีอาตมะ  บุคคละ  สัตวะ  ชีวะลักษณะ"  "สุภูติ !  ตถาคตมักกล่าวว่า  มีเรา ! มีเรา !  แท้จริงมิใช่มีเรา  แต่ปุถุชนกลับคิดว่ามีเรา สุภูติ  ! อันปุถุชนนั้น  ตถาคตกล่าวว่ามิใช่ปุถุชน  เป็นเพียงนามว่าปุถุชน""

        26  ธรรมกาย   มิใช่ลักษณะ

        "สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?"  สุถูติทูลตอบว่า  "อย่างนั้น  อย่างนั้น สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้" พระพุทธเจ้าตรัสว่า  "สุภูติ  !  หากสามารถเห็นตถาคตด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็คือพระตถาคตซิ"  สุภูติทูลตอบพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตามที่ข้าพระองค์ได้เข้าใจในความหมายที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไปนั้น ไม่ควรที่จะเห็นตถาคตได้ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เลย"  โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นโศลกว่า 
     หากอาศัยรูปเห็นเรา                อาศัยเสียงวอนเรา
     บุคคลนี้คือผู้เจริญมิจฉาธรรม   ไม่อาจเห็นตถาคตได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        26   ธรรมกาย  มิใช่ลักษณะ

        "สุภูติ ! ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตหรือไม่ ?" สุภูติทูลตอบว่า "อย่างนั้น อย่างนั้น สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 เห็นตถาคตได้" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สุภูติ ! หากสามารถเห็นตถาคตด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิก็คือตถาคตซิ" สุภูติทูลตอบพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! ตามที่ข้าพระองค์ได้เข้าใจในความหมายที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไปนั้น ไม่ควรที่จะเห็นตถาคตได้ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 เลย"

         โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเป็นโศลกว่า 

หากอาศัยรูปเห็นเรา                  อาศัยเสียงวอนเรา
บุคคลนี้คือผู้เจริญมิจฉาธรรม     ไม่อาจเห็นตถาคตได้

        27   ไร้การตัด   ไร้การดับ

        "สุภูติ ! หากเธอมีความคิดเช่นนี้ว่า ตถาคตไม่อาศัยลักษณะพร้อมมูลเป็นเหตุ  ให้ได้รับอนุตตรสัมมาสัมโพธิ  สุภูติ !  หากเธอมีความคิดเช่นนี้ ผู้ที่บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต ก็จักกล่าวว่า ธรรมทั้งปวงขาดสูญ อย่าได้คิดเป็นเช่นนั้นเพราะเหตุใด ? ผู้ที่บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตนั้น ในธรรมจักไม่คิดว่ามีลักษณะแห่งการขาดสูญ"

        28   ไม่เวทนา (ไม่รับ) ไม่โลภ

        "สุภูติ !  หากพระโพธิสัตว์ได้นำสัปตรัตนะปูเต็มทั่วจำนวนโลกธาตุที่มีปริมาณเท่าจำนวนเม็ดทรายในคงคานที เพื่อบริจาคทาน หากแต่ได้มีบุคคลแจ่มแจ้งในธรรมทั้งปวงว่าไร้อััตตา จนได้สำเร็จในขันติ พระโพธิสัตว์องค์นี้จะได้รับบุญกุศลมากยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์องค์แรก เพราะเหตุใด ? สุภูติ !  นั่นเป็นเพราะปวงพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนานั่นเอง" สุภูติทูลถามพระพุทธองค์ว่า  "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เหตุไฉนพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนา ?"  "สุภูติ ! พระโพธิสัตว์ไม่ควรมีความโลภยึดต่อบุญวาสนาที่ได้สร้าง ดังนั้นจึงกล่าวว่าพระโพธิสัตว์ไม่รับ (เวทนา) ในบุญวาสนา"

        29   อิริยาบทสง่า   เงียบสงบ

        "สุภูติ !  หากมีบุคคลกล่าวว่า ตถาคตบ้างมาบ้างไป บ้างนั่งบ้างนอน บุคคลนี้คือผู้ที่ไม่เข้าใจในความหมายของเรากล่าว เพราะเหตุใด ? อันตถาคตนั้นคือ ไร้การมา  ทั้งไร้การไป  จึงจะนามว่าตถาคต"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        30   หลักการเอกฆนลักษณะ

        "สุภูติ !  หากกุลบุตร  กุลธิดา  นำมหาตรีสหัสโลกธาตุมาป่นเป็นฝุ่นละออง ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ? เหล่าฝุ่นละอองนี้นับว่ามากมายหรือไม่ ? " สุภูติกราบทูลว่า "มากยิ่งนัก  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  เพราะเหตุใด ? หากเหล่าฝุ่นละอองนี้มีอยู่จริง พระสุคตจักไม่ตรัสว่า คือเหล่าฝุ่นละออง ทั้งนี้เพราะเหตุใด ? พระสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เหล่าฝุ่นละออง มิใช่เหล่าฝุ่นละออง เป็นเพียงนามว่าเหล่าฝุ่นละออง ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ! มหาตรีสหัสโลกธาตุที่ตถาคตตรัสถึงมิใช่โลกธาตุ เป็นเพียงนามว่าโลกธาตุ เพราะเหตุใด ? หากโลกธาตุมีอยู่จริง ก็คือเอกฆนลักษณะ  มิใช่เอกฆนลักษณะเป็นเพียงนามว่าเอกฆนลักษณะ"
        "สุภูติ !  เอกฆนลักษณะนั้น คือสิ่งที่มิอาจกล่าว แต่ผู้ที่เป็นปุถุชนมักโลภยึดในเรื่องราวดังกล่าว"

        31   รู้เห็น   ไม่เกิด

        "สุภูติ !  หากมีบุคคลกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวอาตมะทัศนะ  บุคคละทัศนะ  สัตวะทัศนะ  ชีวะทัศนะ   สุภูติ !  ในความหมายนี้เป็นเช่นไร ?  บุคคลนี้ถือว่าเข้าใจในความหมายที่เรากล่าวหรือไม่ ?"   "ไม่แล !  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า !  บุคคลนี้ถือว่าไม่เข้าใจในความหมายที่พระตถาคตตรัส เพราะเหตุใด ?  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอาตมะทัศนะ  บุคคลทัศนะ  สัตวะทัศนะชีวะทัศนะ  มิใช่ อาตมะทัศนะ  บุคคลทัศนะ  สัตวะทัศนะ  ชีวะทัศนะ"   "สุภูติ !  ผู้บังเกิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิจิตนั้น ในธรรมทั้งปวง ควรที่จะรู้เช่นนี้ ควรที่จะเห็นเช่นนี้  ด้วยการเชื่อมั่นเข้าใจเช่นนี้ ก็จะไม่บังเกิดธรรมะลักษณะ  สุภูติ !  ธรรมลักษณะที่ได้กล่าว ตถาคตกล่าวว่า มิใช่ธรรมลักษณะ เป็นเพียงนามว่าธรรมลักษณะ"

        32   สนองแปลง   มิใช่จริง

        "สุภูติ !  หากมีบุคคลได้นำสัปตรัตนะมาเติมเต็มอสงไขยโลกธาตุอันไร้จำกัด ใช้ในการบริจาคทาน แต่หากมีกุลบุตร กุลธิดาได้บังเกิดในโพธิจิต ปฏิบัติในพระสูตรนี้ แม้ที่สุดจะเป็นเพียงแค่โศลก 4 บาท  มารับสนองปฏิบัติสวดท่องกล่าวสาธยายแก่ผู้อื่น บุญนี้ยังจะมากยิ่งกว่าอย่างแรก แต่ควรกล่าวสาธยายแก่บุคคลอื่นอย่างไร ?  ไม่ยึดในลักษณะ ตั้งมั่นอยู่ในตถตาภาพโดยไม่หวั่นไหวเพราะเหตุใด ?
                          สังขธรรมทั้งปวง                ดุจฝันมายาฟองน้ำรูปเงา
                          ดุจนิศาชลและอสนี            ควรพินิจด้วยอาการเช่นนี้
        เมื่อพระสัมพุทธเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบ  ผู้อาวุโสสุภูติ รวมทั้งเหล่าภิกษุ  ภิกษุณี  อุบาสก  อุบาสิกา  ตลอดจนปวงเทพ  มนุษย์  อสูรในโลกทั้งหลาย  ได้สดับซึ่งพระพุทธพจน์นี้แล้ว  ก็พากันอนุโมทนาชื่นชมยินดี  มีความศรัทธาน้อมรับไปปฏิบัติด้วยประการฉะนี้แล
                                                          จบพระสูตร     

Tags: