ในยุคชุนชิว แว่นแคว้น (ก๊ก)ต่าง ๆ แตกแยกกันมากมาย มีสงครามไม่หยุดหย่อน ขงจื๊อเสนอแนวคิดสร้างความสันติสุขโดยยึดแนวทางจารีตเก่า ๆ สมัยราชวงศ์โจวซึ่งมันค่อนข้างจะล้าหลังจากพัฒนาการทางสังคมไปแล้ว เจ้าแคว้นต่าง ๆ จึงไม่รับแนวความคิดขงจื๊อไปปฏิบัติ มองอีกมุมหนึ่งก็คือคำสอนของขงจื๊อมันงดงามในทางอุดมคติแต่เอามาปฏิบัติยากในสังคมวุ่นวายเป็นจลาจล แต่หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งได้ หลังจากผ่านการปกครองของราววงศ์ฮั่นตะวันตก (ไซ่ฮั่น)มาระยะหนึ่งสังคมจึงสงบร่มเย็นมีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของสังคมขึ้น คำสอนเชิงอุดมคติของขงจื๊อถูกปรุงแต่งใหม่ โดยลากเอาแนวคิดปรัชญาเต๋า ทฤษฏีโหงวเฮ้ง-หยินหยาง เข้ามาผสมผเสทำให้คำสอนแนวขงจื๊อ (หญูเจีย) เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ต้งจ้งชู (179 BC-104 BC) ปราชญ์ลัทธิหญู ในสมัยพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ปฏิรูปลัทธิหญูใหม่ สามารถโน้มน้าวให้พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ประกาศให้ลัทธิหญูเป็นคำสอนหลักของประเทศได้สำเร็จ มนุษย์ปัจจุบันส่วนไม่น้อยขาดความรักต่อมนุษย์ด้วยกัน แบ่งเป็นพวก พวกฉันฉันรัก พวกที่ไม่เหมือนฉันฉันไม่รัก หรือกระทั่งรังเกียจ เป็นศรัตรูกันต้องฆ่ากันให้หมดเผ่าพันะ์ไป ศาสนาทุกศาสนาสอนให้มนุษย์รักกัน แต่กลับมีคนใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยก แตกจนบ้าคลั่ง ฆ่าฟันกันใหญ่ในประวัติศาสตร์มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน
นักวัตถุนิยม (หรือสสารธรรม -Materialism) มองว่าคำสอนเรื่องความรักศาสนานั้นเป็นเรื่องนามธรรม เป็นเรื่องที่อยู่เหนือความจริงทางวัตถุนิยมอย่างเช่นมองว่าสังคมมนุษย์มีการแบ่งแยกชนชั้น มีชนชั้นกดขี่ขูดรีดกับชนชั้นผู้ถูกกดขี่ขูดรีดแล้วจะให้สองชนชั้นนี้รักันด้วยความจริงใจได้อย่างไร แต่ถ้าจะยืนยันกันให้ได้ว่ามนุษย์มีแบ่งเป็นพวก มีพวกที่เป็นศรัตรูกันโดยธรรมชาติสังคมมนุษย์ก็ไม่มีวันสันติสุขเพราะพวกต่าง ๆ ก็จะตั้งหน้าฆ่ากันจนกว่าพวกใดพวกหนึ่งสูฐเผ่าพันธ์ไป คิดแล้วไม่มีใครรู้สึกเป็นสุข (เอ ! แต่ประวัติศาสตร์โลกก็ไม่เคยสันติสุขนี่นา หรือว่าพวกนักวัตถุนิยมจะถูกต้อง?) ถ้าเราเถียงกันตามแนวความคิดสองแนวข้างต้น จะถึงจุดต้นไปข้างหน้าต่อไม่ได้ ต้องเอาชนะคะคานกันให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดให้ได้
แนวปรัชญายุค นวยุค (โมเดิร์น) แก้ปัญหานี้ไม่ได้ เพราะปรัชญานวยุควางกรอบไว้กรอบเดียว กรอบนี้ตอบปัญหาได้หมด กรอบนี้ถูกต้องทั้งหมดใครไม่ยอมอยู่ในกรอบนี้ก็จะเข้ากับสังคมส่วนใหญ่เขาไม่ได้ สุดท้ายต้องดิ้นรนต่อไปจนมาตั้งสำนัก หลังนวยุค (โพสต์โมเดิร์น) ซึ่งก็ดูดี แต่ขณะนี้สถาบันทางสังคมทุกสถาบันในสังคมโลก ยังมีลักษณะแบบยุคนวยุคอยู่มันจึงขัดแย้งกับแนวคิด(และวิถีชีวิตจริง) ของคนรุ่นใหม่ (หลังนวยุค หรือ Postmodern)ความขัดแย้งนี้กำลังรอเวลาระเบิด แต่ก็อย่ากังวลอะไรมากเพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ เมื่อบังเอิญเกิดมาเผชิญกับปัณหานี้ ก็จงพยายามศึกษาปรัชญาและธรรมะกันบ้าง เราก็จะสามารถลดเบา "ความทุกข์ที่หลีกเลี่ยงได้" นี้ไปได้