collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน  (อ่าน 23785 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      หลักการพื้นฐานของมนุษยสัมพันะ์ที่สมานฉันท์คือ สัจจะ หลักการพื้นฐานของการเมืองที่สมานฉันท์คือ ราษฏรมีความเชื่อมั่นต่อรัฐ ท่านขงจื๊อสอนเรื่องหลักการพื้นฐานของการเมืองไว้ตั้งแต่สองพันห้าร้อยปีก่อนแล้ว หลักการนี้เริ่มมาจากคำถามของจื่อก้ง จื่อก้งถามอาจารย์ว่า "หลักการสำคัญที่สุดของการเมืองการปกครองคืออะไร" ขงจื๊อตอบว่ามีอยู่สามประการได้แก่ "เสบียงอาหารเพียงพอ  กองทัพแข้มแข็งพร้อมเพียง  ราษฏรมีความเชื่อมั่นต่อรัฐ" จื่อก้งถามต่อว่า "หากจำเป็นต้องสละทิ้งไปประการหนึ่ง จะสละข้อใดได้ " ขงจื๊อบอกว่า "ควรสละเรื่องการอุดหนุนกองทัพ" จื่อก้งรุกถามถึงที่สุดว่า "หากจำเป็นต้องสละสองประการเลือกจุดสำคัญที่สุดไว้เพียงประการเดียว เราควรเลือกตัดอะไรอีก" ขงจื๊อไม่ลังเลที่จะตอบ "ถ้าเช่นนั้นก็ต้องตัดเรื่องเสบียงอาหาร เหตุด้วยมนุษย์เรานั้นต้องถึงวันตายกันทุกคนไม่มีใครจะหนีพ้น แต่ถ้าราษฏรไม่มีความเชื่อมั่นต่อ "รัฐ" เสียแล้ว เขามีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมายอะไร" เทียบกับความเป็นจริงในเมืองไทยเอาก็แล้วกันว่า เมื่อชนชั้นปกครองไร้ความสัตย์ซื่อ ชาวบ้านหมดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลแล้วผลมันเป็นอย่างไร หลักการอยู่ร่วมกันที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ "เหอ" หรือ ความสมานฉันท์ ความปรองดอง ขงจื๊อสอนไว่ว่า "วิญญูชนสมัครสมานปรองดอง แต่ไม่ประสมประเส พวกหยาบช้าประสมประเสแต่ไม่สมัครสมานปรองดอง วิญญูชนนั้นรักษาอุดมคติ มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็สามารถประสามปรองดอง รังสรรค์พัฒนาสังคมและบ้านเมืองร่วมกับคนอื่น ๆ ได้
     พวกหยาบช้านั้น ไร้อุดมคติของตน ประสมประเสเฮละโลสาระพาตามก้นกันไป แต่ไม่อาจสมัครสมานร่วมมือร่วมใจกันได้อย่างแท้จริง ปัญหาในวงการเมืองไทยรุนแรงซ้ำซาก ก็เพราะหานักการเมืองที่เป็นวิญญูชนได้น้อยนัก มนุษย์สัมพันธ์เกี่ยวกับการเลือกคบเพื่อน ก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่สำคัญ ขงจื๊อสอนว่า "อย่าคบคนที่ (คุณธรรม ความรู้) ต่ำกว่าเป็นมิตร และแยกประเภทของเพื่อนไว้สองอย่าง หนึ่งคือเพื่อนที่มีประโยชน์ ได้แก้ผู้ซื่อตรงเที่ยงธรรม สัตย์ซื่อ และมีความรอบรู้กว้างขวาง สองคือเพื่อนที่ไร้ประโยชน์ ได้แก่ผู้ที่หาแต่ความสุขสบาย หลบเลื่องความยากลำบาก ฉกฉวยโอกาส เลือกได้หลีกเสีย ประจบสอพลอ
      เชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่านที่ผ่านพ้นวัยรุ่นมาแล้ว คงมีบทเรียนเกี่ยวกับเพื่อนด้วยตนเองมาแล้วทุกคน ควรจะสรุปบทเรียน และมองคนให้ออก จัดแบ่งลำดับความสำคัญของเพื่อนแต่ละกลุ่มได้ ที่น่าเป็นห่วง ก็คือวัยรุ่นที่ยังไม่รู้จักคัดเลือกเพื่อน ตรงนี้ ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยเหลือแนะนำพวกเขา หลักมนุษยสัมพันธ์ การปฏิบัติตัวต่อผู้มีวัยอาวุโสกว่าตน ขงจื๊อสอนว่า "ต่อเรื่องที่ผู้อาวุโสมิได้เอ่ยปากถาม อย่าเอ่ยปากพูด เมื่อผู้อาวุโสสอบถาม ต้องตอบคำถาม ยามสนทนากับผู้อาวุโสนั้นต้องคอยสังเกตุสีหน้าท่าทีของท่านด้วย"  ผู้บังคับบัญชาก็พอจะเทียบเป็นผู้อาวุโสวัยกว่าเราได้ เพราะฉะนั้น ต่อผู้บังคับบัญชา ก็พึงปฏิบัติตามหลักข้างต้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        แนวคิดของขงจื๊อนั้นเคร่งครัดเข้มงวดต่อตนเองมาก จนบางทีก็เหมือนเป็นเพียงรูปแบบภายนอก ฝ่านเต๋าจึงวิพากษ์ว่า การทำความดีอย่างจงใจ ตั้งใจบังคับตนเองอย่างพวกลัทธิขงจื๊อนั้น ยังไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องแท้จริง ต้องบรรลุอย่างเต๋า ทำไปตามธรรมชาติ (ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาติด้านดี ไม่ต้องไปตั้งอกตั้งใจบังคับตนเอง) จีงเป็นทางออกที่ถูกต้องแท้จริง มองทางสายกลางอย่างพุทธศาสนา ก็ให้ทางออกไว้ทั้งสองส่วน คือ ต่างก็ดีทั้งนั้น แนวคิดขงจื๊อเป็นเรื่องระดับจริยธรรม ที่จะจรรโลงความสงบร่มเย็น ความเจริญรุ่งเรืองของสังคม บ้านเมือง
      ขงจื๊อนั้นสอนให้มนุษย์ปฏิบัติตาม "เหญิน" หรือ มนุสสธรรม เป็นอุดมคติสูงสุดที่มนุษย์ควรยึดถือ ศิษย์ผู้หนึ่งถามขงจื๊อถึงสามครั้งว่า เหญินหมายถึงอะไร ขงจื๊อตอบสามครั้งไม่เหมือนกัน ถามครั้งแรก ขงจื๊อตอบว่า""เหญินคือการรักผู้อื่น"" ถามครั้งที่สอง ขงจื๊อตอบว่า ""เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หากเรื่องใดเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม รู้ทั้งรู้ว่าต้องเหนื่อยยากหนักแต่ผลงานผลได้น้อยก็กล้าที่จะไปปฏิบัติ นี่เรียกว่ามีเหญิน"" ถามครั้งที่สาม ขงจื๊อตอบเป็นรูปธรรมมากขึ้นว่า ""ในการครองชีวิตประจำวันต้องให้ความสำคัญกับการงาน ตั้งอกตั้งใจทำงาน ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสัตย์ซื่อ นี่คือมีเหญิน""
     ไม่ทราบว่า อ่านแล้วจะซาบซึ้งกับคำตอบใดกันมากที่สุด สำหรับผู้เขียนเองนั้น คำว่าเหญินก็คือความรักนั่นเอง เป็นความรักต่อมวลมนุษยชาติอย่างเป็นสากล คือรักทุก ๆ คนหากเรามีความรักให้แก่กันทุกคนแล้ว สังคมมนุษย์ย่อมจะมีสันติสุข ธรรมที่เชื่อมโยงคนให้อยู่ร่วมกันได้ก็คือ "ความรัก" แต่ถึงแม้จะมี ""ความรักต่อมนุษยชาติ"" หรือ เหญิน สูงเพียงใด ขงจื๊อก็ยังรังเกียจ รำคาญ ผู้คนบางประเภทอยู่เหมือนกัน
      จื่อก้ง เคยถามขงจื๊อว่าท่านรังเกียจคนแบบไหน ขงจื๊ออธิบายว่าคนที่น่ารังเกียจมีอยู่สี่ประเภท ดังนี้
๑. ชอบพูดข้อด้อยของผู้อื่น
๒. ผู้น้อยล่วงละเมิดต่อผู้ใหญ่
๓. กล้าหาญแต่ไร้จรรยามารยาท
๔. เด็ดเดี่ยวแต่ไม่ฟังความเห็นของผู้อื่น ทำตามอำเภอใจของตนเอง
      คนที่ผิดศีลอย่างชัดเจน ขงจื๊อไม่รำคาญ รังเกียจ แต่กลับรำคาญ รังเกียจคนที่ดูเหมือนเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่เป็นแบบลวงโลก ทั้งนี้ก็เพราะเป็นคนเลวชัด ๆ นั้นมีโอกาสสร้างความเสียหายได้ไม่ใหญ่หลวง แต่คนเลวที่สวมคราบนักบุญต่างหาก สามารถสร้างความเลวได้ใหญ่หลวงมาก ขงจื๊อสอนว่า คนเราถึงแม้จะแสดงน้ำใจ แสดงความกระตือรือร้น แต่ถ้าการปฏิบัติจริงกับท่าทีภายนอกไม่ตรงกัน แม้ดูจะซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา แต่ทว่ากะล่อนปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์ คนสามประเภทนี้ ไม่มีทางจะเยียวยารักษาได้ ขงจื๊อยังวิจารณ์ท่วงทำนองของผู้นำไว้อีกว่า ""เป็นผู้นำของคน แต่ขาดความมีใจกว้าง เมื่อประกอบพิธีกรรมก็ขาดความจริงใจ เมื่อร่วมพิธีศพก็ไร้ความโศกเศร้าสร้อยแม้สักนิด ผู้นำแบบนี้ มิควรค่าต่อการกล่าวถึงเลย เมื่อรักผู้อื่น เราก็ย่อมมีความจริงใจ ซื่อตรงต่อผู้อื่น การไร้สัจจะ ไร้ความสัตย์ซื่อต่อผู้อื่น ก็คือไม่มีความรักให้คนอื่นเลย ฉะนั้นสองด้านที่ขงจื๊อสอนคือ เชิดชูกับรังเกียจ แท้จริงก็คือ ด้านสองด้านของเหรียญเดียวกัน คนที่น่ารังเกียจสรุปแล้วก็คือคนที่ไม่มีความสัตย์ซื่อต่อผู้อื่น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือไม่มีความรักให้ผู้อื่นเลย ควรที่ควรสดุดี อุดมคติที่ควรส่งเสิมคือ "ความรัก - เหญิน" หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ความซื่อตรงนั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ธรรมะขงจื๊อ สอนคนให้เป็นคน : วิญญูชน
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 17/01/2554, 06:47 »

        คำว่า ""จวิ้นจื่อ"" ในปรัชญาขงจื๊อเป็นอีกคำหนึ่งที่แปลยาก ในสมัยโราณนั้นหมายถึงคนระดับประมุข แต่ต่อ ๆ มาก็ค่อย ๆ ลดความสูงศักดิ์ลงมาจนหมายถึง "ผู้ดี" หรือ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ" ซึ่งมีผู้รู้แปลไว้ว่า นรชน หรือ วิญญูชน กล่าวในแง่การบริหาร หรือ ผู้นำ หรือ บอส" การที่จะเป็นผู้นำของคน ขององค์กร เป็นผู้แบกรับความผิดชอบสูงกว่าคนอื่น ดังนั้นจึงต้องมีความรู้ความสามารถ มีบุคคลิกภาพ มีคุณธรรมเพียงพอ อีกทั้งยังต้องพัฒนาปรับปรุงตัวเองให้ก้าวหน้าดีขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ใครที่เกียจคร้าน ไม่มีวันที่จะได้นั่งตำแหน่งบริหาร
       ท่านขงจื๊อสนใจให้ความสำคัญต่อการอบรมบ่มเพาะลูกศิษย์ลูกหา สร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมารับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านเลิกใส่ใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะบริหารบ้านเมือง ท่านก็หันมาทุ่มเทให้กับการสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเดียว ขงจื๊อสอนคนให้รู้จักหน้าที่ของคน สอนคนให้สร้างสังคมที่อยู่ดีมีสุข สงบ รุ่งเรือง ท่านเรียกร้องว่าคนที่ดีต้องเป็นจวิ้นจื่อ หรือ วิญญูชน อย่างไรจึงเรียกว่า วิญญูชน
      ขงจื๊อสอนไว้ในคัมภีร์หลุนอวี่ว่า "วิญญูชน ควรจะรับผิดชอบ ทำงานในส่วนรับผิดชอบของตนให้เสร็จโดยเร็ว ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตน อีกทั้งรับฟังคำแนะนำจากผู้ดำรงธรรม ดัดแปลงแก้ไขความผิดพลาดบกพร่องของตน วิญญูชนยึดมั่นสัจจะวาจาของตน และปฏิบัติงานด้วยความคล่องแคล่ว ท่านชงจื๊อไม่ชอบพวกดีแต่พูดแล้วไม่ยอมปฏิบัติ ท่านไม่สนับสนุนพวกเล่นวาทะศิลป์ ใช้ฝีปากเอาตัวรอด หรือไต่เต้าสร้างความดีความชอบ ขงจื๊อสอนว่า วิญญูชน เอ่ยปากพูดสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่จำเป็นเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว วิญญูชนมีศักดิ์ศรีแต่ไม่แก่งแย่งแข่งขัน วิญญูชนมีกลุ่ม แต่ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก วิญญูชนถือเกียรติถือศักดิ์ศรี แต่ไม่เย่อหยิ่ง  วิญญูชนสงบเสงี่ยม วิญญูชนย่อมไม่เอะอะมะเทิ่ง ไม่แสดงความตื่นเต้นออกอาการเกินสมควร ทุกขณะมีสติตั้งมั่น สงบพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว พิจารณาปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติปัญญา ใช้ปัญญาไตร่ตรองรอบคอบก่อนจึงแสดงท่าที
       สิ่งที่ท่านขงจื๊อสอนวิญญูชน ยังเป็นคุณสมบัติสำหรับผู้นำในยุคปัจจุบันเสมอ แม้กาลเวลาจะผันผ่านมาถึงสองพันกว่าปีแล้วก็ตาม สมัยนี้มีความเชื่อผิด ๆ ฮิตกันเหมือนแฟชั่นว่า ทำชั่วจะได้ดี ผู้บริหารธุรกิจส่วนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จนั้น ทำงานอย่างไม่สุจริต แต่ก็ยังรุ่งเรืองมีหน้ามีตาในสังคม คนไม่สุจริต เจ้าเล่ห์แสนกล จะเป็นผู้นำ เป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จได้จริงหรือ ? บางทีภาพระยะสั้น อาจทำให้ผู้คนหลงไปว่ามันเป็นไปได้ แต่ถ้ามองภาพระยะยาว มองคน ๆ หนึ่งกันทั้งชีวิตก็คงจะเชื่อขงจื๊อว่า...ไม่มีทางหรอก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน เพราะในวงการณ์ธุรกิจและวงการเมือง มีตัวอย่างบุคคลที่ได้สวมหัวโขนบทบาทเป็นผู้นำของชาติ เป็นผู้บริหารบ้านเมืองมากมายหลายคน มีธาตุแท้เป็นคนเลว ขาดคุณสมบัติของวิญญูชน ถ้าปล่อยให้สภาพอย่างนี้ ดำรงอยู่ต่อเนื่องยาวนานต่อไป วิญญูชนย่อมหมดเมืองไทยแน่นอน...

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

     คัมภีร์บันทึกคำสอนของขงจื๊อที่เป็นเนื้อหาแท้ ๆ เป็นคำกล่าวของขงจื๊อเอง ไม่ใช่การแปลความของศิษย์รุ่นหลัง ๆ คือคัมภีร์หลุนอวี่  เนื้อหาในหลุนอวี่มีหลากหลาย ถ้าศึกษาดูดี ๆ จะเห็นว่าศิษย์ของขงจื๊อได้จัดเนื้อหาไว้เป็นระบบเหมือนกัน เพียงแต่ระบบในทัศนะของคนโบราณอาจแตกต่างกับระบบที่นักวิชาการสมัยใหม่คุ้นเคย จึงมีบางเสียงวิจารณ์ว่า คัมภีร์หลุนอวี่ จัดรวบรวมคำสอนของขงจื๊อไว้อย่างไม่มีระเบียบ
     ในคัมภีร์หลุนอวี่ มีเนื้อหาตอนหนึ่งอธิบายถึงคุณลักษณะของ "สื้อ" ว่าควรเป็นเช่นไร  "สื้อ" ในยุคโน้น หมายถึงชนชั้นนำในสังคม รวมความไปถึงผู้นำ ปราชญ์และบัณฑิตทั่วไป  จื่อก้งศิษย์ของขงจื๊อถามอาจารย์ว่า "คนที่เป็น สื้อ เป็นคนเช่นไร" ขงจื๊อตอบว่า คนที่รู้จักละอายในคำพูดและการกระทำของตน (มีหิริอัปปะนั่นเอง) คนที่เมื่อถูกส่งไปสร้างสัมพันธ์ไมตรีกับแคว้นอื่น ก็สามารถทำสำเร็จอย่างสมบูรณ์ คนเช่นนี้คือสื้อ  จื่อก้งถามต่อว่า สื้อระดับต่ำลงมาชั้นหนึ่ง เป็นคนประเภทใด  ขงจื๊อตอบว่า ภายในวงศ์ตระกูลเรียกเขาว่า บุตรกตัญญู ในหมู่เพื่อนบ้านว่าเขาเป็นคนน่ารักน่าคบ" ฟังดูแล้วก็จะแสนธรรมดา แต่ก้เนื่องจากเป็นความปกติธรรมดานี่เอง เวลาปฏิบัติจริง ๆ จึงลำบากมากทีเดียว  จื่อก้งอาจจะคิดว่ายังปฏิบัติตามยากไปก็ได้ จึงถามอีกว่า "แล้วสื้อที่ต่ำลงไปอีกชั้นหนึ่งละ เป็นคนประเภทใด ทีนี้ขงจื๊ออธิบายว่า คนที่พูดจามีสัจจะ การปฏิบัติต้องมีหัวมีท้าย บุคคลแบบฉบับอย่างนี้ แม้จะไม่มีความสามารถดีเด่นอะไร แต่ก้พอจะกล้อมแกล้มจัดเป็นพวกสื้อได้อยู่ ใช้คำง่าย ๆ ก็คือ คุณสมบัติพื้นฐานของคนชั้นนำในสังคมคือ "คำพูดต้องเป็นสัตย์ การกระทำเห็นผล" จื้อก้งพูดต่อว่า "พวกไม่มีความรู้อะไร จะนับเป็นสื้อได้หรือ..." ฟังน้ำเสียงดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับอาจารย์ ที่ยกให้คุณสมบัติพื้นฐานสองข้อนั้น อยู้สูงกว่ามาตรฐานทางความรู้ความสามารถ แต่ผู้เขียนกับเห็นว่า ขงจื๊อพูดถูก ไม่เชื่อลองเทียบดูกับชนชั้นนำในสังคมไทยสิ เอาคุณสมบัติสองข้อนี้มาเป็นมาตรวัดนักการเมืองไทยแล้วสอบตกเกินครึ่งสภา
       ในยุคโบราณ ""คัมภีร์หลุนอวี่"" เป็นตำราพื้นฐานที่นักศึกษาทุกคนต้องศึกษาค้นคว้าให้แตกฉาน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ตำราเล่มนี้เลยถูกมองว่าเชยล้าสมัย แต่บัดนี้ ความคิดทำนองนั้นน่าจะต้องแก้ไข นักบริหารถ้าไม่เคยอ่านคัมภีร์หลุนอวี่ของขงจื๊อ ผู้เขียนเห็นว่าเชย และขี้เท่อด้วย แก่นของคำสอนในคัมภีร์หลุนอวี่คือ ""เหญิน"" หรือมนุสสธรรม ในหลุนอวี่มีเนื้อหาที่กล่าวถึงมนุสสธรรมถึงหนึ่งส่วนในสิบส่วน มนุสสธรรมในคำสอนนี้โยงไปถึงปัญหาชีวทัศน์ ปัญหาการเมือง ปัญหาการนำ ปัญหามนุษยสัมพันธ์ ซึ่งก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในชีวิตประจำวันของเราทุกคนในยุคปัจจุบัน
       อ่านหลุนอวี่แล้วเลือกใช้ให้เหมาะสม จะช่วยพัฒนาตนเอง สร้างเสริมความก้าวหน้าให้เราด้วย ความรู้ทางวิชาเฉพาะ ความรู้ทางเทคโนโลยีจำเป็นแน่นอน แต่จริยศาสตร์ในหลาย ๆ ด้านเช่น มนุษยสัมพันธ์ ชีวทัศน์ปรัชญาของตะวันออก ก้เป็นส่วนที่จำเป็นด้วยเช่นกัน คำสอนของท่านขงจื๊อในคัมภีร์หลุนอวี่ เกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองมีอยู่ไม่น้อย เช่น "ท่านขงจื๊อว่า วิถีแห่งการปกครองก๊กระดับที่มีรถม้าศึกพันเล่มคือ ทำงานอย่างเข้มงวดจริงจังและรักษาสัจจะ ประหยัดมัธยัสถ์ และ รักราษฏร เกณฑ์แรงงานราษฏรเหมาะสมตามกาลเวลา" ก๊กที่สามารถมีรถม้าศึกได้ถึงพันเล่มในยุคพุทธกาล นับได้ว่าเป็นก๊กใหญ่ การปกครองประเทศหรือก๊ก ที่สำคัญก็คือ ผุ้นำต้องรักษาสัจจะ
       ในประเทศไทย การไม่รักษาสัจจะของผู้กุมอำนาจรัฐ เคยก่อให้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬมาแล้ว การประหยัดมัธยัสถ์เป็นการแสดงออกถึงความรักราษฏรเพราะถ้าผู้นำฟุ่มเฟือย ก้จะต้องเก็บส่วนจากราษฏรมากทำให้ราษฏรเดือดร้อน ท่านขงจื๊อว่า หากปกครองโดยธรรม ท่านก้เป็นเหมือนดาวเหนือ อยู่ในตำแหน่งมีดวงดาวทั้งปวงแวดล้อม" ท่านขงจื๊อว่า การปกครองโดยระบบการเมือง ระบบกฏหมาย รักษากฏเกณฑ์ด้วยอาญา ราษฏรย่อมหลีกเลี่ยงการกระทำผิด แต่มิได้มีหิริโอตัปปะ และภัคดีด้วยความเต็มใจ "หลู่อายกง ถามว่า ทำอย่างไร ราษฏรจึงจะจงรักภัคดี" ขงจื๊อว่า หากแต่งตั้งบุคคลสัตย์ซื่อให้เป็นใหญ่เหนือกว่าคนชั่ว ราษฏรจะจงรักภัคดี หากแต่งตั้งคนชั่วให้เป็นใหญ่เหนือกว่าคนสัตย์ซื่อ ราษฏรจะไม่จงรักภัคดี" เรื่องอย่างนี้เห็นได้ง่าย รัฐบาลใดมีรัฐบาลคดโกง ที่ประชาชนร้องยี้ ด้วยความรังเกียจละก็ จะได้พลังสนับสนุนจากประชาชนไม่มาก ถ้าเป็นรัฐบาลผสมว่าต้องทนยอมเพราะเข้าใจในเรื่องข้อจำกัดทางการเมืองก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าหากเป็นรัฐบาลที่แข้งแข็งมาก ๆ  มีเสียงในสภาเต็มสภา แล้วยังเลือกคนที่ประชาชนที่เคลือบแคลงในความซื่อสัตย์มาเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องรับเสียงโจมตีไม่จบสิ้น ท่านขงจื๊อว่า  ศรัทธามั่นในคุณธรรมจึงปรากฏกาย  หากใต้ฟ้านี้ไม่ดำรงธรรม จงเร้นกายในรัฐที่ดำรงธรรม หากจนและต่ำต้อยเป็นเรื่องน่าอาย ในรัฐที่ไม่ดำรงธรรม หากร่ำรวยและสูงศักดิ์ เป็นเรื่องน่าอาย
      แดนที่มีอันตรายหมายถึง ประเทศที่ดำเนินนโยบายผิด ๆ อันจะนำพาให้เกิดความยุ่งยากอันตราย เช่น นโยบายรุกรานเพื่อนบ้านเป็นต้น แดนที่จลาจลหมายถึง ประเทศที่ปกครองไม่ดี ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านเป็นจลาจลเป็นต้น "จื่อลู่  เจิงเตี่ยน  หญานอิ๋ว  กงชีหัว  นั่งอยู่กัยท่านขงจื๊อ... (ท่านขงจื๊อให้แต่ละคนพูดถึงความใฝ่ฝันของตน) เจิงเตี่ยนว่า ในเดือนสามปลายฤดูวสันต์ เครื่องนุ่งห่ม สำหรับฤดูวสันต์ตัดเย็บเสร็จได้สวมใส่ ข้าไปกับคนห้าหกคนและเด็กอีกหกเจ็ดคน ไปอาบน้ำที่แม่น้ำอี๋ (ทางใต้ของเมืองหลู่) แล้วไปตากลมที่หอขอฝน แล้วเดินร้องเพลงกลับบ้าน ท่านขงจื๊อถอนใจยาวแล้วว่า "เราเห็นด้วยกับเจิงเตี่ยน" ท่านผู้อ่านอย่างงเลย ภาพความใฝ่ฝันนั้น แม้จะแสนธรรมดา แต่ถ้าเมืองใดปกครองไม่ดี บ้านเมืองมีความวุ่นวายยุ่งเหยิง ภาพชีวิตที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ มีความสงบสุขเช่นนั้น ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น คติพจน์บทนี้จึงเกี่ยวพันกับเรื่องการปกครองด้วย  "จื่อก้ง ถามถึงเรื่องการปกครอง ท่านขงจื๊อว่า มีเสบียงอาหารเพียงพอ มีกองทหารเพียงพอ และราษฏรมีความเชื่อมั่นศรัทธา" ท่านขงจื๊อว่า ในการสอบสวนคดีความ เราไม่ต่างจากผู้อื่นดอก แต่ที่ดีที่สุดคือไม่มีคดีความเกิดขึ้นเลย"  ""จี้คังจื่อ ถามขงจื๊อเรื่องการปกครอง ขงจื๊อตอบว่า การปกครองก็คือการซื่อตรง เมื่อท่านซื่อตรงแล้วใครอื่นฤาจะกล้าไม่ซื่อตรง" จี้คังจื่อ กังวลเรื่องโจรขโมย จึงถามไถ่ขงจื๊อ ขงจื๊อว่า หากท่านไม่ละโมบโลภมากแล้วละก็ต่อให้มีรางวัลให้คนเป็นโจรขโมย ก็ไม่มีใครทำ" ท่านขงจื๊อสั่งสอนชนชั้นปกครองได้ตรงไปตรงมาเหลือเกินเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น ถ้าหัวไม่สั่น หางก็ไม่กล้ากระดิก เกี่ยวกับเรื่องโจรขโมยที่เกิดจากปัญหาความยากจน ถ้าชนชั้นปกครองไม่ขูดรีดจนทำให้ราษฏรยากจน ใครเล่าอยากจะไปเป็นโจรเป็นขโมย  "จื่อลู่ ถามถึงเรื่องการปกครอง ท่านขงจื๊อว่า สิ่งใดที่ต้องการให้ผู้อื่นกระทำ ท่านจงกระทำสิ่งนั้นก่อน อภัยแก่ความผิดเล็กน้อย เลือกใช้บุคคลผู้มีความปรีชาสามารถ" จงกง ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนปรีชาสามารถ ท่านขงจื๊อว่า ก็แต่งตั้งคนที่เจ้าเข้าใจรู้จักเขาดีก่อน แล้วเขาจะปกปิดผู้ปรีัชาที่เจ้าไม่รู้จักไว้ทำไม" ผู้เขียนชอบคำที่ท่านขงจื๊อตอกหน้าชนชั้นปกครองที่ว่าการปกครองคือการซื่อตรง หากท่านซื่อตรง แล้วใครจะกล้าไม่ซื่อ
   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       วิญญูชนย่อมไม่นิยมชมชอบความรุนแรง และวิญญูชนส่วนไม่น้อยต่อต้านความรุนแรงทั้งมวล โดยเฉพาะความรุนแรงระดับสูงที่มีการต่อสู้การสงคราม แต่อย่างไรก็ตาม การตีขลุมเหมาเอาว่าความรุนแรงเป็นสิ่งเลวร้ายที่จะต้องทำลายล้างให้หมดไปนั้น เป็นทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ เราต่อต้านใช้ความรุนแรงก็จริง แต่เราก็ต้องเข้าใจธาตุแท้ของความรุนแรงด้วย มิฉะนั้นการต่อต้านจะเป็นไปอย่างมือบอดสุดโต่ง ไม่บังเกิดผลสำเร็จ ความรุนแรงหรือที่ปราชญ์จีนโบราณใช้ศัพท์ว่า "การทหาร" ในบางครั้งนั้นยังเป็นภาพมายาที่มนุษย์มองจำแนกไม่ชัดเจน
     คัมภีร์ "หลี่สื้อชุนชิว" ซึ่งหลี่ปู้เหว่ย เป็นผู้อำนวยการให้เรียบเรียงขึ้น  เป็นตำราที่เชิดชูลัทธิหญู หรือ ลัทธิขงจื๊อ เนื้อหาในบรรพที่สิบสาม "หยิวสื่อ" เขียนถึงความรุนแรง ๘ ประการ ตรงนี้ช่วยเตือนสติเราให้ระมัดระวังเรื่องความรุนแรงให้มากขึ้น ดังนี้""การทหารความรุนแรงดำรงคงอยู่มาช้านานแลัว จะหยุดเลิกกันภายในระยะสั้น ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้  ไพร่ ผู้ดี เด็ก แก่ หรือแม้ผู้ที่ปรีชา ต่างล้วนมีการทหารรุนแรงอยู่เหมือน ๆ กัน จะต่างกันอยู่เพียงระดับมากน้อยของความรุนแรงเท่านั้น เงื่อนงำของการทหารความรุนแรงเป็นไฉนฤา
๑. ความโกรธแม้อยู่ภายในใจ มิได้แสดงออกมา  ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๒. ถลึงตาเขม้นมอง   ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๓. โกรธจนแสดงออกทางสีหน้า   ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๔. กล่าววาจาสามหาว    ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๕. ยื้อยุดดึงดัน   ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๖. พลิกพลิ้วกลับดำเป็นขาว  ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๗. แก่งแย่งแข่งขัน  ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
๘. รบทัพจับสึก  ก็เป็นการทหารความรุนแรงแบบหนึ่ง
        ทั้งแปดประการล้วนคือการทหารความรุนแรง ต่างกันแต่การะดับชิงชัยว่าใหญ่หรือน้อยกว่าเท่านั้น เหล่าพวกที่โพนทะนาให้หยุดการทหารความรุนแรงอยู่ขณะนี้นั้น พวกเขาก็ใช้การทหารความรุนแรงมาชั่วชีวิต โดยมิได้สำนึกรู้ตัวเลย ช่างเลอะเทอะเสียนี่กระไร เช่นนี้เอง แม้ถ้อยคำพวกเขาจะดูเข้มแข็ง แม้วาทะที่เอ่ยจะคมคาย แม้อักษรศิลป์จะลุ่มลึกเพียงใด ก็ยังไม่อาจนำพาคนให้เห็นตาม มองสถานการณ์ความขัดแย้งในการเมืองในสังคมไทยช่วง พ.ศ.2548 - 2551 หากมองตามปราชญ์จีนที่เสนอให้ไว้ใน "หลี่สื้อชุนชิว" ก็ต้องยอมรับว่าสังคมไทยเป็นสังคมแห่งความรุนแรงไปแล้ว แล้วทีนี้จะทำกันอย่างไร  ปราชญ์จีนโบราณสอนว่า ต้องยอมรับว่าความรุนแรงเป็นธรรมชาติหนึ่งของสังคมมนุษย์ และรู้จักควบคุมความรุนแรงที่เป็นอธรรม ด้วยความรุนแรงที่เป็นธรรม ลองพิจารณาดูเนื้อหารายละเอียดทั้งหมดต่อไปนี้ ตัดเฉพาะส่วนที่อธิบายถึงความรุนแรงแปดประการข้างต้นออกเท่านั้น
       "ธรรมมิกราชแต่เบื้องโบราณทรงมีกองทัพที่เป็นธรรม จะไม่ละเลิกกองทัพนั้นเป็นอันขาด เรื่องการทหารความรุนแรงนั้นมีสืบเนื่องมาแต่เบื้องบรรพกาล พร้อม ๆ กับกำเนิดของมนุษย์้นั้นแล การทหารความรุนแรงแสดงถึงเดชศักดา เดชศักดาแสดงถึงอำนาจ อันธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ทุกผู้ ย่อมมีเหตุศักดาความกำแหง ฟ้ากำหนดธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ไว้เช่นนี้ มิใช่มนุษยืมาคิดสร้างกันเอง และถึงแม้จะใช้อาวุธมาบังคับใช้หัตถศิลปินมาสลักเสลา ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ การทหารความรุนแรงมีมานมนานนักหนาแล้ว ยุคประมุขหวงตี้  เหยียนตี้  ก็รู้จักใช้ไฟใช้น้ำมาต่อสู้กัน ยุคก้งกงสื้อ เริ่มใช้การทหารความรุนแรงเพื่อช่วงชิงตำแหน่งปนะมุขกันแล้ว ถึงยุคห้าจักรพรรดิ (อู่ตี้) พวกเขาก็ใช้การทหารความรุนแรงเพื่อช่วงชิง เพื่อครองพิภพกัน บ้างรุ่งเรือง ได้ครองแผ่นดินบ้างถูกถอดถูกอัปเปหิ ใครชนะย่อมได้เป็นผู้ครองพิภพ...ผู้ชนะจะได้เป็นหัวหน้าเผ่า ครั้นเมื่อหัวหน้าเผ่ามิอาจปกครองควบคุมมวลหมู่มนุษย์ได้อีกต่อไป จึงก่อตั้งตำแหน่งขุน (จวิ้น) ขึ้น ครั้นเมื่อขุนมิอาจปกครองควบคุมมนุษย์ได้อีกต่อไปจึงก่อตั้งตำแหน่งโอรสสวรรค์ (เทียนจื่อ)ขึ้น การก่อตั้งตำแหน่งโอรสสวรรค์เริ่มมาจากขุน การก่อตั้งตำแหน่งขุนเริ่มมาจากหัวหน้าเผ่า การก่อตั้งตำแหน่งหัวหน้าเผ่าแท้จริงแล้วเริ่มจากการต่อสู้ชิงชัยนั่นเองหากในครอบครัวขาดเสียซึ่งพระเดชของบิดามารดา ความผิดพลาดบกพร่องของบุตรจะปรากฏให้เห็นทันที หากภายในแคว้นขาดเสียซึ่งทัณฑ์อาญาอันเข้มงวดการข่มแหงรังแกรุกรานกันระหว่างชาวบ้านจะปรากฏให้เห็นทันที หากในพิภพขาดเสียซึ่งการปราบปรามฆ่าของกองทัพธรรมภาวะใหญ่ขม้ำเล็ก เข้มแข็งรุกรานอ่อนแอ ระหว่างพระยาสามนตราชจะปรากฏให้เห้นทันที เช่นนี้เองภายในครอบครัวก็มิอาจสร้างเสียถึงพระเดช ภายในแคว้นมิอาจร้างเสียซึ่งทัณฑ์อาญา ในพิภพมิอาจร้างเสียถึงการฆ่าฟันจะต่างกันไปก็เพียงแค่นำมาใช้อย่างเหมาะควรหรืออย่างหยาบกระด้างเท่านั้น ดังนั้นอริยกษัตริย์แต่เบื้องโบราณ จึงต้องมีกองทัพธรรมมิอาจจะเลิกกองทัพเป็นอันขาด
มีคนกินอาหารติดคอจุกตาย เลยคิดจะห้ามใช้อาหารทั่วทั้งพิภพ ช่างเลอะเทอะเสียนี่กระไร
มีคนโดยสารเรือแล้วจมน้ำตาย เลยคิดจะห้ามใช้เรือทั่วพิภพ ช่างเลอะเทอะเสียนี่กระไร
มีคนใช้การทหารความรุนแรงแล้วแคว้นล่มจม เลยคิดจะห้ามใช้การทหารความรุนแรงทั่วพิภพ ช่างเลอะเทอะเสียนี่กระไร
      มีทหารความรุนแรงนั้น มิอาจหยุด มิอาจเลิก เปรียบได้ดั่งน้ำและไฟ หากสันทัดการใช้จะเป็นมงคล แต่หากใช้ไม่เป็นย่องอัปมงคล เช่นเดียวกับการใช้ยา ใช้ยาดีจะช่วยชีวิตคนได้ แต่หากใช้ยาไม่เป็น คนก้เสียชีวิต บทบาทของกองทัพธรรมในการรักษาพิภพนั้นยิ่งใหญ่นัก อริยะกษัตริย์แต่โบราณจึงมีกองทัพธรรมมิอาจละเลิกครองธรรม ใช้กำจัดทรราชย์ ปลดเปลื้องทุกขเวทนาของเหล่ารษฏรแล้วไซร์ ปวงราษฏรย่อมมอบใจเชื่อฟัง เช่นเดียวกับลูกกตัญญูปฏิบัติต่อผู้บังเกิดเกล้า (ปวงราษฏร) จะเบิกบานประหนึ่งคนกำลังโหยหิวได้พบอาหารเลิศรส กระแสธารมวลชนที่พรูออกเรียกร้องหนุนเนื่องกันเป็นกลุ่มก้อน มีมหิทธานุภาพประหนึ่งเกาทัณฑ์ทรงพลังยิงลงสู่ธารลึกประหนึ่งทำนบเขื่อนกั้นน้ำพังทลาย มิอาจที่จะต่อต้านได้เลย หากปล่อยถึงภาวะเช่นนั้น แม้แต่ประมุขทั่ว ๆ ไป ยังไม่อาจครองใจราษฏรไว้ได้เลย ยิ่งถ้าเป็นทรราชย์เล่าจะหนักปานใด ผู้เขียนจะไม่สรุปปัญหาเรื่องความรุนแรง ขอฝากแต่เพียงว่าท่านผู้อ่าน อ่านแล้วใคร่ครวญกันมาก ๆ ว่าเราจะหาทางยุติปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยได้อย่างไร ?. เราจะปลูกฝังมนุสสธรรม - สอนคนให้เป็นคนได้อย่างไร?. เราจะปลูกฝังจิตสำนึกสมานฉันท์ได้อย่างไร ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

        ท่านขงจื๊อเป็นชาวแคว้นหลู่ อันมีพื้นที่ดินแดนอยู่ในเขตมณฑลซานตง (ซานตุง) ในปัจจุบัน หลังจากท่านมรณกรรมไปนานแล้ว และลัทธิหญูหรือลัทธิขงจื๊อได้รับการยกย่องให้เป็นลัทธิคำสอนประจำราชสำนัก (คือประจำชาตินั่นเอง) ก็ได้มีการสร้างตำหนักขงจื้อสำหรับเคารพบูชาท่านขงจื๊อ ขึ้นที่เมืองชุวีอา ท้องที่ซานตงในปัจจุบัน
       ตำหนัก หรือ วัด หรือ ศาลเจ้า "ขงจื๊อ" แห่งนี้ใหญ่โตและสืบเนื่องยาวนานมาประมาณสองพันปี มีโบราณสถาน โบราณวัตถุที่สำคัญ ๆ มากมาย ในวิหารกลางนั้นมีศิลาจารึกสลักภาพและอักษรบอกเล่าประวัติตอนสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคำสอนของท่านอยู่ ๑๑๐ หลัก เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านขงจื๊อ ศิลาจารึกแม้จะคงทน แต่ก็ย่อมมีวันลบเลือนได้ในปีที่ ๑๓ ของศกถงจื๊อ (ค.ศ. ๑๘๗๔) ปลายราชวงศ์ชิง ท่านข่งเซียนหลาน ทายาทรุ่นที่ ๗๒ ของท่านขงจื๊อ ได้ร่วมกับบัณฑิตอีกหลายท่านลอกลายศิลาจารึกเหล่านั้นออกมาทำแม่พิมพ์เป็นหนังสือเพื่อสืบทอดรักษาและเผยแพร่
      ภาพศิลาจารึกและบันทึกชีวประวัติชุดนี้ยังไม่แพร่หลายเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักอ่านชาวไทย จึงขอแปลนำเสนอส่วนที่เป็นชีวประวัติและภาพบางภาพที่สอนหลักธรรมะการครองชีวิตที่เข้าใจง่าย ๆ บางภาพเป็นตัวอย่าง เพราะถ้าจะแปลทั้งหมดก็คงต้องคิดจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มหนาอีกเล่มหนึ่ง

                                            ประวัติท่านขงจื๊อ

         ภาคประวัติบุคคลสำคัญในหนังสือ "สื่อจี้" (จดหมายเหตุประวัติศาสตร์ - เป็นหนังสือประวัติศาสตร์เล่มแรกของโลก) กล่าวว่า ขงจื๊อนามว่า "ซิว" (ปัจจุบันอ่าน -ชิว  แต่โบราณอ่าน - มู่) ฉายา "จงหนี" บิดาเป็นชาวแคว้นซ่ง ชื่อ ซูเหลียงเหอ มารดาแซ่ "เหยียน" คลอดขงจื๊อในวัน "คังจื่อ" เดือนสิบเอ็ด ปีที่ยี่สิบสองของหลู่เซียงกง (ประมุขแคว้นหลู่) ที่ตำบลช่างผิง เมืองชุวี  เมื่อยามเด็ก ชอบเล่นแต่สิ่งของที่เป็นภาชนะที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ  เมื่อโตขึ้นได้เริ่มเป็นพนักงานในแผนกชั่งตวงวัด ท่านทำงานชั่งตวงวัดอย่างเที่ยงตรง  ต่อมาได้เป็นพนักงานดูแลปศุสัตว์ ฝูงสัตว์เพิ่มจำนวนและสมบูรณ์อ้วนท้วนดี ต่อมาได้เดินทางไปราชสำนักราชวงศ์โจว ได้สอบถามความรู้เกี่ยวกับ "จารีต" (หลี่) ต่าง ๆ จากท่านเหลาจื่อ (เล่าจื๊อ - ปรมาจารย์ลัทธิเต๋า) เมื่อท่านขงจื๊อกลับมา (แคว้นหลู่) มีคนมาขอเป็นศิษย์มากมาย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

     ครั้นถึงปีที่ยี่สิบห้า รัชกาลหลู่จาวกง ขงจื๊ออายุสามสิบห้า หลู่จาวกงหนีไปที่แคว้นฉี ในแคว้นหลู่เกิดจลาจลร้ายแรง ท่านขงจื๊อเดินทางไปที่แคว้นฉี และได้เป็นขุนนางบ้านในจวนของเกาจาวจื่อ (เชื้อพระวงศ์ของแคว้นฉี) ท่านจึงได้พบกับฉีจิ่งกง (ประมุขแคว้นฉี) ฉีจิ่งกงอยากจะสถาปนาให้ขงจื๊อไปครอบครองดินแดนนีซือ แต่เถียนเอี้ยนอิง (ขุนนางใหญ่ของแคว้นฉี) คัดค้านความเห็นของฉีจิ่งกง ขงจื๊อจึงเดินทางกลับไปแคว้นหลู่
     ปีืั้หนึ่งในรัชการหลู่ติ้งกง ขงจื๊ออายุสี่สิบสาม สกุลจี้เผด็จอำนาจ หยางหู่ขุนนางบ้านสกุลจี้ กุมอำนาจบริหารเกิดความวุ่นวาย ขงจื๊อจึงลาออกจากราชสำนัก ไปทำการชำระแก้ไขคัมภีร์ "ซือ" (กวี) "ซู" (ประวัติศาสตร์) "หลี่" (จารีต) และ "เยวี่ย" (ดนตรี) ในช่วงที่ท่านมีลูกศิษย์มากมาย
     ปีที่เก้า (รัชกาลหลู่ติ้งกง) ขงจื๊ออายุห้าสิบเอ็ด กงซาน ปู้หนิว ก่อกบฏขึ้นในดินแดนมี่ สกุลจี้คิดแต่งตั้งขงจื๊อมาช่วย ขงจื๊อก็ต้องการไป แต่แล้วเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ต่อมาหลู่ติ้งกงแต่งตั้งขงจื๊อเป็นขุนนางตำแหน่งจงตู หนึ่งปีผ่านไปผู้คนทั้งสี่ทิศเริ่มปฏิบัติตนตามแบบอย่างของขงจื๊อ ต่อมาท่านได้เป็นขุนนางตำแหน่งซือคง (โยธาธิการ) ต่อมาได้เป็นต้าซือโขว้ (กระทรวงยุติธรรม)
     ปีที่สิบ (รัชกาลหลู่ติ้งกง) ท่านติดตามหลู่ติ้งกงไปพบกับประมุขแคว้นฉี ที่เจี๋ยกู่ ชาวฉีได้มอบคืนพื้นที่ ที่แคว้นฉีรุกรานแย่งไป  ปีที่สิบสอง ท่านส่งจงหยิวไปเป็นขุนนางบ้านของสกุลจี้ (สามสกุลใหญ่ทำผิดกฏมณเฑียรบาล) จึงให้เผาเมืองที่สามสกุลใหญ่ตั้งขึ้นใหม่นั้น พร้อมทั้งยึดกองทหารชุดเสื้อเกราะ สกุลเหมิ่งไม่ยินยอม จึงถูกล้อมเมืองไว้ แต่ (ฝ่ายจงหยิว) ก็ตีไม่สำเร็จปีที่สิบสี่ ขงจื๊ออายุห้าสิบหก ได้เป็นมหาเสนาบดี ประหารเส้าเจิ้งเม้า และได้บริหารแคว้นหลู่ ภายในสามเดือนแคว้นหลู่ก็มีการปกครองที่ดีงาม ชาวแคว้นฉีจึงส่งคณะนักแสดงหญิงสาวให้แคว้นหลู่เพื่อบ่อนทำลาย จี้หวนจื่อยอมรับสินบน (คณะหญิงนักแสดง) จึงแกล้งไม่ส่งเนื้อในพิธีบวงสรวงแบ่งให้กับเหล่าเสนาบดี ด้วยเหตุนี้ขงจื๊อจึงเดินทางออกจากแคว้นหลู่ เมื่อขงจื๊อผ่านแคว้นเหวย ได้พักอาศัยที่บ้านของเหยียนโชโส่ว ซึ่งเป็นพี่ชายของภริยา "จื่อลู่" (ศิษย์เอกของขงจื๊อ) เมื่อขงจื๊อผ่านแคว้นเฉิน ผ่านเมืองข้วง ชาวข้วงเข้าใจผิดว่าขงจื๊อคือหยาวหู่ จึงล้อมจับตัวไว้ เมื่อถูกปล่อยตัว ท่านเดินทางกลับไปแคว้นเหวย พำนักที่บ้านของฉูผออวี้ และได้พบกับท่านหนานจื่อด้วย เมื่อขงจื๊อผ่านแคว้นซ่ง หวนเถี่ย ขุนนางตำแหน่งซือหม่าอยากจะฆ่าขงจื๊อ ท่านจึงออกจากแคว้นซ่งกลับไปแคว้นเฉิน พำนักที่บ้านของเซินเฉิงเจินจื่อ พำนักอยู่สามปี จึงเดินทางกลับไปที่แคว้นเหวย เหวยหลิงกงไม่ปรารถนาจะใช้ขงจื๊อเป็นขุนนาง  ฝอสื่อ ขุนนางบ้านของสกุลจ้าว แห่งแคว้นจิ้นก่อกบฏขึ้นในดินแดนแคว้นจงโหม่ว เชิญขงจื๊อไปร่วมงาน ขงจื๊อเองก็ปรารนาจะไปร่วม แต่ไม่อาจไปถึง
      ขงจื๊อเดินทางไปทางตะวันตกเพื่อพบกับจ้าวเจี๋ยนจื่อ เมื่อเดินทางไปถึงฝั่งแม่น้ำเหลือง (ฮวงโห) ก็กลับ แล้วไปพำนักที่บ้านของฉูผออวี้ เหวยหลิงกงถามท่านขงจื๊อเรื่องการทหาร แต่ขงจื๊อไม่ตอบ จากนั้นจึงเดินทางไปแคว้นเฉิน
      เมื่อจื่อหวนจื่อจะตาย ได้สั่งเสียคังจื่อให้เชิญขงจื๊อกลับมาแคว้นหลู่ แต่พวกขุนนางของคังจื่อห้ามปรามไว้ คังจื่อจึงให้เชิญหญ่านฉิว (ศิษย์ของขงจื๊อ) มาแทน  ขงจื๊อเดินทางไปที่แคว้นไช่ และแคว้นเซอ ต่อมาฉู่จาวหวาง (ประมุขแคว้นฉู่) ปรารถนาจะสถาปนาให้ขงจื๊อครองพื้นที่แดนซูเส้อ แต่ทว่าลิ่งอิ๋นจือชีต่อต้าน ต้องยุติเรื่องไว้ จากนั้นขงจื๊อเดินทางกลับไปแคว้นเหวยอีก ขณะนั้นเหวยหลิงกงมรณกรรมแล้ว ประมุขแคว้นคนใหม่ต้องการได้ขงจื๊อเป็นผู้บริหารแว่นแคว้น  หญ่านฉิว เป็นขุนพลกองทัพสกุลจี้ ทำศึกชนะแคว้นฉีมีความดีความชอบมาก คังจือจึงให้เชิญขงจื๊อกลับแคว้นหลู่ ขงจื๊อกลับแคว้นหลู่ในปีที่สิบเอ็ด รัชกาลหลู่อายกง ขงจื๊ออายุหกสิบแปดปี  แต่แคว้นหลู่ไม่ได้คิดใช้ขงจื๊อ (บริหารแคว้น) ขงจื๊อก็ไม่ปรารนาจะเป็นขุนนางอีก
       ท่านตรวจชำระแก้ไขคัมภีร์ต่าง ๆ ได้แก่ "ซู" และ "จ้วน" (ประวัติศาสตร์) "หลี่จี้" (จารีต) "ซือ" (กวี) "เยวี่ย" (ดนตรี) "อี้" (คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง - อี้จิง)
       ขงจื๊อมีลูกศิษย์มากถึงสามพันคน มีศิษย์ผู้เชี่ยวชาญศิลปศาสตร์ทั้งหกแขนงถึง ๗๒ คน  ปีที่สิบสี่ ชาวแคว้นหลู่จับกิเลนได้ตัวหนึ่ง ขงจื๊อเขียนเรื่องชุนชิว  ปีต่อมา จื่อลู่ตายที่แคว้นเหวย  ปีที่สิบหก เดือนสี่ ขงจื๊อตายในวัยเจ็ดสิบสามปี ฝังศพไว้ที่ริมแม่น้ำซือ ทางเหนือของเมืองหลู่ ศิษยยานุศิษย์ไว้ทุกข์สามปี ส่วนจื่อก้งสร้างกระท่อมอยู่ใกล้หลุมฝังศพ เฝ้าไว้ทุกข์อยู่หกปี ขงจื๊อมีบุตรชายชื่อหลี่ ฉายาป๋ออวี๋  ป๋ออวี๋ตายก่อนบิดา  ป๋ออวี๋มีบุตรชายชื่อฉี ฉายาจื่อซือ จื่อซือเป้นผู้เขียนคัมภีร์จงยง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   ต่อจากนี้ จะแปลตัวอย่างภาพศิลาจารึกตำหนักขงจื๊อ บางภาพ

ภาพที่ ๑๔  เข้าเรียนที่สำนักผิงจง  :  เล่าขานกันว่าขงจื๊อเจ็ดขวบเข้าศึกษาที่สำนักของเยี่ยนผิงจง (ตามประวัติว่า) เยี่ยนผิงจงปกครองพื้นที่ตงอา ขงจื๊อเมื่อเริ่มต้นเข้าศึกษาเล่าเรียนจึงน่าจะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาซึ่งเยี่ยนผิงจงตั้งขึ้น

ภาพที่ ๑๙  สอบถามเรื่องจารีตพิธีกรรมในราชสำนัก :  ขงจื๊อเคยช่วยงานพิธีกรรมในราชสำนัก ขงจื๊อสอบถามทุกสิ่งทุกเรื่อง บางคนจึงว่า ใครว่าบุตรของชาวโซวรู้เรื่องพิธีกรรม เข้ามาในราชสำนักกลับต้องถามไถ่คนอื่นทุกเรื่อง ขงจื๊อได้รับฟังจึงว่านี่แลจารีตพิธีกรรม

ภาพที่ ๒๑  คารวะเล่าตาน (เล่าจื๊อ) :  เมื่อขงจื๊อ กับ หนานกงจิ้งซือ ไปราชสำนักโจวได้ไปสอบถามเรื่องจารีตพิธีกรรมจากท่านเล่าจื๊อ จูจื่อกล่าวไว้ว่า ท่านเล่าจื๊อเป็นเลขาราชสำนักโจว จึงรอบรู้เรื่องพิธีกรรมและจารีตต่าง ๆ เป็นอย่างดี ขงจื๊อจึงตามไปไถ่ถาม

ภาพที่ ๒๓  ชมสายน้ำ :  ขงจื๊อยืนอยู่ริมแม่น้ำชมสายน้ำอยู่ จื่อก้ง (ศิษย์เอกคนนหนึ่ง) ถามว่า เมื่อวิญญูชนพบแม่น้ำท่านจะชมดูเสมอ เป็นเพราะเหตุใด  ขงจื๊อตอบว่า เนื่องจากสายน้ำไหลไปไม่เคยอยู่นิ่ง เสมือนกับธรรมะ (เต๋า) ที่ไหลไปตลอดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คุณธรรมแห่งสายน้ำเป็นดังนี้ วิญญูชนจึงต้องแลชม

ภาพที่ ๓๑  ชมชาวบ้านยิงธนู :  ขงจื๊อชมดูชาวบ้านแข่งขันยิงธนู ท่านกล่าวว่า ผู้ที่ฝึกตนจนยิงมิพลาดกลางเป้าต้องปรีชาสามารถ ถ้าไม่ปรีชาสามารถและมีวินัยแล้ว จะยิงถูกกลางเป้าได้อย่างไร คัมภีร์ซือจิง (กวี) เขียนไว้ว่า"ต้องมีเป้าหมายที่แจ่มชัด จึงจะบรรลุความประสงค์ได้"

ภาพที่ ๓๒  ถามถึงการปกครองที่เขาไท่ซาน :  ขงจื๊อเดินทางไปแคว้นฉี เมื่อผ่านภูเขาเขตไท่ซาน ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญ จึงกล่าวว่า ดูเหมือนนางจะมีทุกข์ใหญ่หลวง แล้วให้จื่อลู่ (ศิษย์เอกคนหนึ่ง) ไปไถ่ถามดู นางตอบว่าน้าชายเิ่พิ่งถูกเสือกัดตาย สามีและลูกของนางก็ถูกเสือกัดตายไปก่อนหน้านี้แล้ว จื่อลู่ถามต่อว่า เหตุใดไม่หลบไปอยู่ที่อื่น นางตอบว่าที่นี่ไม่มีขุนนางเลว จื่อลู่มารายงานขงจื๊อ ขงจื๊อกล่าวว่า การปกครองที่เลวนั้นดุร้ายกว่าเสีย

ภาพที่ ๓๗  แบ่งปันเอื้ออาทร :  จี้หวนจื่อมอบข้าวพันถังให้ขงจื๊อ ขงจื๊อยอมรับไว้ แล้วแบ่งข้าวนั้นให้คนที่ขาดแคลน จื่อก้งถามว่า จี้ซุนเห็นว่าท่านยากจนจึงมอบข้าวให้ท่าน แต่ท่านรับมาแล้วกลับแบ่งให้คนอื่นอีก เรื่องนี้ไม่ตรงกับความประสงค์ของจี้ซุนเป็นแน่  ขงจื๊อตอบว่า ข้ารับข้าวพันถังของจี้ซุนไว้ แสดงความยอมรับการเอื้ออาทรของจี้ซุน แต่ทว่าการเอื้ออาทรต่อคนเพียงคนเดียว จะสู้การเอื้ออาทรต่อคนเป็นจำนวนร้อยได้หรือ

ภาพที่ ๔๕  ศิษย์เอกทั้งสี่ :  จื่อลู่  เจิงสือ  หญานอวี้  กงชีหัว  นั่งอยู่ข้างขงจื๊อ ขงจื๊อกล่าวว่า พวกเจ้าจงบอกความใฝ่ฝันของพวกเจ้าออกมา ศิษย์ทั้งสามตอบว่า อยากทำให้ประเทศเจริญมั่นคง อยากทำให้ประเทศเจริญเข้มแข็งมั่นคง อยากเป็นอัครมหาเสนาบดี  มีแต่เตี่ยนเจิงสือ ผู้เดียว ตอบว่า อยากอยู่ริมน้ำยามมีสายลมฤดูใบไม้ผลิโชยพลิ้ว ขงจื๊อตอบว่าเห็นด้วยกับเตี่ยน

ภาพที่ ๕๗  อาภรณ์แบบหญู ปฏิบัติตนแบบหญู :  หลู่อายกงถามขงจื๊อว่า อาภรณ์ของท่านเป็นอาภรณ์แบบบัณฑิตหญูหรือไม่ขงจื๊อตอบว่า ชุดผ้าเฝิงเย่ และผ้าจังผู่ เป็นชุดที่ชาวบ้านสวมใส่ ข้าไม่รู้ว่านี่คืออาภรณ์ของบัณฑิตหญูหรือไม่  หลู่อายกงถามต่อว่า ขอถามเรื่องการปฏิบัติตนของบัณฑิตหญู  ขงจื๊อตอบว่า ถ้าจะกล่าวอย่างสั้น ๆ ก็ไม่อาจจะอธิบายได้ครบถ้วน ถ้าจะอธิบายให้ครบถ้วน แม้ว่าท่านจะเปลี่ยนผู้รับใช้แล้ว (หมายความว่าเวลายาวนาน) ก็ยังอธิบายไม่หมด ขงจื๊อจึงกล่าวถึงหลักการปฏิบัติตนของบัณฑิตหญูเพียงบางข้อ เช่น พึ่งพาตนเอง มีความกล้าหาญ มีวินัยต่อตนเอง ใจคอกว้างขวาง สนับสนุนผู้ปรีชาสามารถ เลือกใช้คนดีมีความสามารถบรรลุภารกิจได้ด้วยตนเอง เป็นต้น

ภาพที่ ๗๓  ผ่านแดนผู  ชมเชยการปกครอง :  จื่อลู่ ได้ไปบริหารการปกครองที่ "ผู" ขงจื๊อผ่านแดนเข้าไปสามหน ล้วนแต่ชมเชยการปกครองของแดนผู จื่อก้งถามว่า ท่านยังไม่เคยเข้าไปดูการบริหารปกครองในทำเนียบเลย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่บริหารปกครองได้ดี ขงจื๊อตอบว่า เมื่อเราเข้าสู่เขตท้องที่ผู นาข้าวปลูกเป็นระเบียบเรียบร้อยงอกงามดี หญ้าวัชพืชถูกตัด ชาวบ้านมีความสุภาพเรียบร้อยและเชื่อมั่นศรัทธาในภาระหน้าที่ของตน เมื่อเราเข้าไปในเขตเมือง กำแพงเมืองมั่นคงแข็งแรง ต้นไม้ใหญ่งอกงาม ผู้คนมีความซื่อสัตย์และภักดี ปราศจากโจรขโมย เมื่อเข้าไปในอาคารสำนักงาน สะอาดสะอ้าน เหล่าพนักงานระดับล่างมีระเบียบเรียบร้อย แสดงว่าไม่มีปัญหาในการบริหารปกครอง เช่นนี้แล้วชมเชยสามครั้งก็ยังน้อยไป

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”