คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 3
บทที่ 7 : ใต้ฉับพลัน เหนือนานเนื่อง ( หนัน ตุ้น เป่ย เจี้ยน )
สงฆ์จื้อเฉิงสดับโศลกจบลง ขอบพระคุณด้วยจิตสำนึกที่ได้ผอดพลาดไป จึงถวายโศลกขอบพระคุณบทหนึ่งว่า
รูปกายนี้ มีขันธ์ห้า มายาเห็น
ในเมื่อเป็น เช่นมายา หาใดแน่
มุ่งหมายใน ตถตา ว่าจริงแท้
หากยังแปร แวะเวียนไป ไม่ใสจริง
พระธรรมาจารย์เห็นด้วยกับคติธรรมในโศลกนี้
พิจารณา : ธรรมะบริสุทธิ์ใส แต่หากมีความมุ่งหมาย แม้แต่มุ่งหมายในความเป็น " เช่นนั้นเอง " ของจิตญาณ ของธรรมะ ของตถตา ธรรมะบริสุทธิ์ใส ก็แปดเปื้อนไปไม่เอี่ยมอ่องหมดจดเสียแล้ว ด้วยเหตุจากความมุ่งหมายยึดมั่นนั้น
พระธรรมาจารย์โปรดแก่สงฆ์จื้อเฉิงอีกว่า "ศีล สมาธิ ปัญญาตามคำสอนของอาตมา เหมาะสำหรับตักเตือนผู้มีรากฐานปัญญาระดับใหญ่ (สูง) หากรู้แจ้งจิตญาณตน อีกทั้งไม่ตั้งญาณทัสสนะ ความรู้เห็นต่อความเป็นโพธิ และความถึงซึ่งนิพพาน อีกทั้งไม่ตั้งญาณทัสสนะความรู้เห็นต่อกานหลุดพ้น เข้าถึงความว่างเปล่าอันปราศจากหนึ่งธรรมใดที่ได้รับ ดังนี้จึงอาจก่อเกิดธรรมทั้งปวงได้ในจิตญาณ"
พิจารณา : "ความไม่มีทำให้เกิดมี" "ความมี" จะด้วยการรู้เห็น การยึดหมายในความมี ล้วนทำให้ไม่อาจมีอย่างแท้จริงได้" มีโพธิก็ด้วยมีลุ่มหลง มีนิพพานก็ด้วยมีเวียนว่าย มีหลุดพ้นก็ด้วยมีผูกมัด ปราศจากผูกมัด จะปรารถนาจากการหลุดพ้นทำไม หากเข้าถึงจิตญาณตนอันบริสุทธิ์หมดจดได้ ก็ไม่จำเป็นอีกเลยที่จะตั้งญาณทัสสนะความรู้เห็นต่อโพธิ ต่อนิพพาน ต่อการหลุดพ้น เมื่อภาวะจิตหมดจด จนมิได้ยึดหมายในหนึ่งธรรมใด ธรรมทั้งปวงย่อมเกิดขึ้นได้เองท่ามกลางความหมดจดนั้น ในภาวะอิสระไร้ขอบเขต
พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า "หากเข้าใจความหมายนี้ ก็จะได้ชื่อว่า "กายแห่งพุทธะ" (พุทธะกายตน) ได้ชื่อว่าภาวะโพธิ นิพพาน ได้ชื่อว่าหลุดพ้นจากญาณทัสสนะรู้เห็น"
พิจารณา : หากเข้าใจความหมายนี้..หมายถึง หากเข้าใจความหมายในภาวะตถตา ที่ "เป็นอยู่อย่างนั้นเอง" นั้น โดยไม่ต้องเอามโนสัยยาความคิด ความจำ ความรู้ใด ๆ ไปเกาะเกี่ยวด้วย... ภาวะนั้นเองที่เรียกได้ว่าโพธิ นิพพาน" นิพพานในที่นี้หมายถึงจิตญาณบริสุทธิ์หมดจด ดับสิ้นจากความข้องทุกประการ
โปรดต่อไปว่า ผู้เห็นจิตญาณตน จะกำหนด (นามรูป โพธิ นิพพาน) หรือไม่กำหนด ก็เป็นได้อยู่เอง มีอิสระจะมาจะไป (จะอยู่จะละสังขาร จะเกิดใหม่ตายไป) ล้วนปราศจากอุปสรรคขัดข้อง (ผู้เห็นจิตญาณตน) จะทำการใด ๆ ล้วนเป็นไปได้อย่างราบรื่นเหมาะสม จะสนทนาธรรม ตอบคำ ชี้นำ ได้ฉับพลันถูกต้อง (ผู้เห็นจิตญาณตน) จะสำแดงนิรมานกายไปทั่ว (อยู่กับชนหมู่ใด ก็สำแดงคุณสมบัติโปรดธรรมตามจริตของชนหมู่นั้น ๆ ) โดยไม่พ้นจากจิตญาณตน ดังนี้ คือการเข้าสู่ภาวะรู้ เห็น เป็น อยู่อย่างศักดิ์สิทธิ์อิสระ ท่องเที่ยวไปในสมาธิ ชื่อว่า " เห็นจิตญาณตน "
พิจารณา : อมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์ของเราชาวอนุตตรธรรม โปรดประทับใช้ร่างพรหมจารีแสดงธรรมแก่ศิษย์นับไม่ถ้วนครั้ง พระองค์ไปมาอิสระ สำแดงนิรมาณกายหลายรูปแบบ เมื่อนั้น เมื่อนี้ ที่นี่ ที่นั่น ท่องเที่ยวไปในสมาธิ เป็นประจักษ์หลักฐานชัดเจนตามคำกล่าวข้างต้น พระองค์จึงได้พระนามว่า " อมตะพุทธะ" พุทธะที่ไม่มีวันตายจากพุทธชน