พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก "ลิ่วจู่"
กล่าวเกริ่น ลำดับยุคต้นใน
พุทธศาสนาสายฌาน (เซ็น) หรือนิกายธยานะ รู้แจ้งฉับพลัน เริ่มจากปฐมธรรมาจารย์สมเด็จพระโพธิธรรมจากชมพูทวีปจาริกสู่ประเทศจีน ถ่ายทอดวิถีจิตแด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเข่อ...เรื่อยมาจนถึงลำดับที่หกคือ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแต่หากจะลำดับจากพระมหากัสสปะ นับตั้งแต่ผู้มีพระภาคเจ้า ทรงชูดอกไม้ตรงพระพักตร์ แสดงปริศนาธรรม พระมหากัสสปะเข้าใจโดยฌาณ คือภาวะจิตปราณีตลุ่มลึก
พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน นับจากพระมหากัสสปะเป็นลำดับที่หนึ่งของสายฌาณ หากลำดับจากนี้ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็จะต้องเป็นลำดับที่สามสิบสาม ซึ่งจะต้องเรียกว่า
"พงศาธรรมาจารย์สมัยที่สามสิบสาม" "พระสูตรเว่ยหล่าง" มีชื่อเต็มเป็นทางการอย่างถูกต้องตามต้นฉบับเดิมว่า ""ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตรธรรมราชาพงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก (ลิ่วจู่ต้าซือฝ่าเป่าถันจิง)
"ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร พระสูตรธรรมบัลลังก์พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก" (ฝ่าเป่าถันจิง หรือ ลิ่วจู่ถันจิง) เป็นพระสูตรที่พระอภิธรรมาจารย์ชาวจีน ใช้ภาษาจีน อักษรจีน แจกแจงแสดงหลักพุทธธรรมอันเป็นวิถีจิตที่ให้เข้าถึงรู้แจ้งฉับพลันด้วยอรรถบทชัดเจน ไม่อ้อมค้อมเยิ่ยเย้อ
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง แม้จะไม่รู้หนังสือ แต่สัจธรรมคำสอนทุกถ้อยคำ ทุกประโยค ล้วนชี้ตรงให้เข้าถึงจิตญาณได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ประจักษ์ว่า พระธรรมมิใช่ตายตัวอยู่ที่อักษร แต่ล้วนเกิดด้วยปัญญาญาณล้ำลึกของผู้เข้าถึง ปัญญาณบริสุทธิ์สำแดงสัจธรรมคำสอนได้ โดยมิต้องไตร่ตรองเรียนรู้จากภายนอก เป็นปัญญาโดยธรรมชาติ ธรรมะอันได้โปรดฉุดนำสาธุชนนั้น เป็นวิถีจิตรู้จิตฉับพลัน ที่พลิกผันคนโง่หลงให้รู้ตื่นได้ ณ บัดใจ
เราทั้งหลายได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน ได้รับวิถีอนุตตรธรรม อันเป็นวิถีปลุกใจให้รู้ตื่นฉับพลัน เช่นเดียวกันกับที่พระธรรมาจารย์ได้โปรดถ่ายทอดแก่สาธุชนในสมัยก่อนนั้น จึงจำเป็นจะต้องศึกษาพระสูตรนี้ เพื่อความเข้าใจให้ถูกต้องลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นคุณประโยชน์ยิ่งต่อการเจริญธรรม
พระธรรมาจารย์ได้รับการยกย่องว่า
"พระธรรมราชาสายฌาน"เป็นเอก เป็นราชาแห่งธรรมของจีน พระธรรมคำสอนที่ท่านแสดงมา เบิกทางปัญญากระจ่างแจ้งแก่เทวดา มนุษย์ ทุกเพศวัย ทั้งในทางโลกทางธรรม จึงได้เรียกว่า
"ธรรมรัตนะ" (ฝ่าเป่า) ที่เรียกว่า
"บัลลังก์สูตร" (ถันจิง) นั้น ปรากฏหลักฐานบนศิลาจารึกโบราณ ในยุคหนันเฉาหลิวซ่ง ที่วัด
"กตัญญูรังสี" (กวงเซี่ยวซื่อ) ศิราจารึกแผ่นนั้นสร้างโดย
"สมเด็จพระคุณเจ้าพระคุณาภัทรปิฏก" ท่านได้เดินทางโดยเรือข้ามมหาสมุทรอินเดีย จาริกมาประกาศพุทธธรรมที่ประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง
""สมเด็จพระคุณเจ้าพระคุณาภัทรปิฏก"" สูงส่งด้วยปรีชาญาณ ปัญญาล้ำเลิศ สามารถแปลพระคัมภีร์ พระปิฏกจากภาษาบาลีสันสกฤตเป็นภาษาจีนได้อย่างวิเศษแยบยล พระคัมภีร์ที่ท่านแปลเป็นภาษาจีนไว้ มากมายถึงเจ็ดสิบแปดเล่ม ท่านหยั่งรู้เหตุการณ์หลายร้อยปีว่า วันข้างหน้า พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หกลิ่วจู่ ก็คือพระมหาเถระเจ้าฮุ่ยเหนิง จะมาโปรดสัตว์แสดงธรรม ณ ปริมณฑลนี้ ท่านจึงได้สร้างธรรมศาลาไว้ ได้จารึกหลักฐานคำพยากรณ์ไว้บนแผ่นหินใหญ่มีความว่า"" ภายภาคหน้า จะมีพระโพธิสัตวที่ยังดำรงกายเนื้ออยู่อันได้เจริญศีลบริบูรณ์แล้ว มาเจริญธรรมปรกโปรด ณ ที่แห่งนี้"""
ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ ปีต้นศักราชเทียนเจี้ยน (ค.ศ.502) เหลียงอู่ตี้เทียนเจี้ยนเอวี๋ยนเหนียน ""สมเด็จพระคุณเจ้าพระไภสัชปัญญปิฏก"" จากประเทศอินเดีย ก็ได้ฝ่าฟันอันตรายเดินทางโดยเรือข้ามมหาสมุทรอินเดีย จาริกโปรดธรรมยังประเทศจีนอีกองค์หนึ่ง ""สมเด็จพระคุณเจ้าพระไภสัชปัญญปิฏก"" ได้เห็นศิลาจารึกพยากรณ์ ซึ่งตรงกับญาณหยั่งรู้ของท่าน จึงได้ปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ที่นำมาจากอินเดียลงข้าง ๆ ศิลาจารึกแผ่นนั้น อีกทั้งได้โปรดสร้างศิลาจารึกพยากรณ์อีกแผ่นหนึ่ง ประดิษฐานลงใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ มีใจความว่า ""อีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีในภายหน้า จะมีพระโพธิสัตว์ ที่ยังดำรงกายเนื้ออยู่ มาโปรดแสดงสุทธรรมแห่งมหายาน ณ ที่นี้ จะกอบกู้อุ้มชูเวไนยฯได้ไม่ประมาณ เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดพุทธธรรม ถ่ายทอดวิถีจิตจากพระพุทธะโดยแท้""" เป็นธรรมพยากรณ์อันแยบยลยิ่ง ด้วยถูกต้องเป็นจริงทุกประการ
""พงศาธรรมาจารย์ลิ่วจู่ พระโพธิสัตว์เดินดิน"" โปรดถ่ายทอดธรรมวิถีจิตอยู่นานถึงสามสิบเจ็ดปี มิใช่ ณ ธรรมศาลาก่อนเก่าแห่งนี้เท่านั้น แต่เพื่อแสดงความเคารพรำลึกถึงสมเด็จพระคุณเจ้าทั้งสองที่โปรดสร้างธรรมศาลา สร้างศิลาจารึกพยาการณ์ไว้ พุทธธรรมที่ ""พงศาธรรมาจารย์ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง""โปรดแสดงมา และศิษย์รุ่นหลังได้จารึกไว้ จึงได้ชื่อว่า ""บัลลังก์สูตร""พระสูตร""ภาษาจีนให้คำนิยามว่า ""การแสดงธรรมอันสอดคล้องกับสัจธรรม ที่เหล่าพุทธะเบื้องบนได้โปรดแสดงไว้ เป็นสัทธรรมอันเป็นบุญปัจจัยในการกอบกู้มวลเวไนยฯ
""ธรรมรัตนะบัลลังก์สุตร"" เป็นบัญญัติสั่งความจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง เองก่อนละกายสังขาร ท่านกล่าวแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า ""เริ่มจากวัดมหาพรหมจนถึงกาลปัจจุบัน อันนี้อาตมาได้แสดงธรรมทั้งหมด จงคัดลอกบันทึกแพร่หลาย ให้ชื่อว่า""ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร ฝ่าเป่าถันจิง"" เล่มนี้ใช้เล่ม ""ต้นฉบับโดยตรง"" ดั้งเดิมจาก ""เฉาซี""
พงศาธรรมาจารย์สมัยที่หก " ลิ่วจู่ " มีนามว่า พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง (เว่ยหล่าง) ฮุ่ยเหนิงได้รับวิถีธรรมบวชจิต เมื่ออายุ 24 ปี เมื่ออายุ 39 ปี ได้อุปสมบท ณ วัดธรรมญาณ พระอภิธรรมาจารย์"อิ้นจง" อุปสมบทให้ตามพิธี
บิดาของฮุ่ยเหนิงเป็นคนชาวเมือง "ฟั่นหยาง" แต่เดิมที ( ซึ่งปัจจุบันนี้คือมณฑลเหอเป่ย ) แต่ได้ถูกถอดจากตำแหน่งราชการ และเนรเทศสู่ หลิงหนัน เป็นถิ่นทุรกันดาร เป็นรกรากอาศัยของชนเผ่าน้อย ที่อยู่รอบนอกใจกลางบ้านเมือง ซึ่งห่างไกลอารยธรรม ฮุ่ยเหนิง ถือกำเนิดในดินแดนที่ด้อยความเจริญแห่งนั้น จึงได้รับคำเหยียดหยันจากชาวเมืองว่า""ลูกชาวใต้ป่าเถื่อน "" กายนี้ก็อาภัพ ท่านเกิดมาในสภาพแร้นแค้น ท่านกำพร้าพ่อมาตั้งแต่เล็ก อาศัยมารดาอุ้มชู มารดาท่านก็สูงอายุ และ อ้างว้างเดียวดาย จึงได้ย้ายมาอยู่ที่ หนันไห่ (ซึ่งปัจจุบันคือ อำเภอหนันไห่ มณฑลกว่างตง)
ความเป็นอยู่อัตคัดยากจนข้นแค้นยิ่งนัก ฮุ่ยเหนิงไม่ได้เรียนหนังสือ จึงได้ประกอบอาชีพตัดฟืนขายที่ตลาดมาประทังชีวิต ท่านโปรดสาธุชนอยู่ 37 ปี และดับขันธปรินิพพานเมื่ออายุ 76 พรรษา เป็นพระสังฆปริณายกองค์ที่หก ของจีน ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรที่สุด กายสังขารยังไม่เน่าเปื่อย อยู่ในท่านั่งสมาธิ จนบัดนี้นับเป็นเวลาพันปีเศษ โดยเก็บรักษาไว้ที่เจดีย์ ณ เมืองเฉาซี
สรุป
ท่านฮุ่ยเหนิง บิดาท่านแซ่หลู มารดาท่านแซ่หลี่ ถือกำเนิดในสมัยราชวงศ์ถาง ศักราชเจินกวน ที่ 12 (ค.ศ.638) เดือน 2 วันที่ 8 เวลาเที่ยงคืน ในเวลานั้น ได้มีแสงอ่อน ๆ พวยพุ่งไปสู่ฟ้า อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมประหลาดคลุ้งไปเต็มห้อง เมื่อถึงเวลารุ่งเช้าก็ได้มีภิกษุสองรูปมาเยือน และปรารภแก่บิดาของท่านว่า ""ทราบว่าท่านได้มีบุตรเมื่อคืนนี้ จึงมาเยือนคำนับเพื่อตั้งชื่อให้โดยเฉพาะ เด็กคนนี้ควรมีชื่อว่า "" ฮุ่ยเหนิง "" จะดีนักแล อันว่า ""ฮุ่ย""นั้นหมายถึงนำธรรมโปรดแก่เวไนยฯ ส่วนคำว่า ""เหนิง""นั้นหมายถึงสามารถประกอบกิจแห่งพุทธะได้ """ เมื่อกล่าวจบแล้วก็เดินจากไป และก็ไม่ได้เห็นร่องรอยของพระสองรูปนี้เลย