collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ตามรอยอริยา : คำนำ  (อ่าน 15574 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 4 ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 28/02/2555, 09:52 »
                               ตามรอยอริยา 

                         4  ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ

        นับแต่ครั้งโบราณมา ท่านจอมปราชญ์ขงจื่อกับศิษย์เมิ่งจื่อ  "ปราชญ์เจริญรอยอริยธรรม"  จะได้รับการเทิดทูนอยู่ในระดับเดียวกันเสมอ จะเห็นได้จากกลอนคู่ที่ติดไว้สองข้างประตูใหญ่ข้างบ้านหรือสถานที่สำคัญในวันตรุษจีนที่ว่า 

"ขงจื่อการุณย์  เมิ่งจื่อมโนธรรม  โจวกงจริยา
กษัตริย์เหยาโปร่งฟ้า  ซุ่นประชาสันต์  ฮั่นวิชญา"

ข่งเหยินเมิ่งอี้โจวหลี่เอวี้ย
เหยาเทียนซุ่นยื่อฮั่นเหวินจัง" 

        ขุนนางวีรชนผู้ยิ่งใหญ่คือ ท่าน "เหวินเทียนเสียง"  ผู้มีพลังเที่ยงธรรมพุ่งฟ้า เขียนหนังสือตาลาย ยังได้ยกเอาพระวจนะของท่านจอมปราชญ์ขงจื่อกับท่านเมิ่งจื่อเป็นเกียรติคุณในการพลีชีพเพื่อจรรโลงคุณธรรมไว้ว่า

ขงจื่อว่า  พลีชีพ - ลุ กรุณา     เมิ่งจื่อว่า  มโนมั่น  บรรลุได้
ถึงที่สุด แห่งธรรม มโนไชร์     จึงได้ ชื่อว่า  การุณย์
เรียนรู้ คัมภีร์ อริยะ               เพื่อจะ  การใด ได้หนุน
แต่นี้ ต่อไป ใครทูน              วนจะคุณ มิให้ ได้อาย

ข่งเอวียเฉิงเหยิน                 เมิ่งเอวียฉวี่อี้
เอว๋ยฉีอี้จิ้น                        สัวอี่เหยินจื้อ
ตู๋เซิ่งเสียนซู                      สั่วเสวียเหอซื่อ
เอ๋อจินเอ๋อโฮ่ว                    ซู่จี่อู๋คุ่ย

        ชั่วชีวิตของท่านเมิ่งจื่อมุ่งมั่นจะจรรโลงวิถีแห่งปราชญ์  จากข้อความพลีชีพเพื่อจรรโลงคุณธรรมดังกล่าวข้างบนก็ได้ประจักษ์ว่า ท่านเมิ่งจื่อได้ทำความมุ่งมั่นนั้นเป็นความจริงแล้ว  ยิ่งกว่านั้น ยังมีประวัติศาสตร์เห็นพ้องกันอีกว่า  ในจำนวนศิษย์สามพันคนของท่านจอมปราชญ์ขงจื่อนั้น เจ็ดสิบสองคนเป็นเอกเมธา แต่คุณธรรมความสามารถยังถูกจำกัดอยู่ที่เป็นกัลยาณชนในการใฝ่ธรรม สุขสมานในธรรม สวดท่องพระคัมภีร์ หมั่นศึกษา สำรวมในจริยธรรม เข้าถึงหลักสัจธรรมเท่านั้น  พูดให้ชัดเจนก็คือ ท่านเหล่านั้นทำได้แค่ระดับเป็นศิษย์ที่เคารพเชื่อฟังท่านบรมครู เป็นผู้ตั้งใจปฏิบัติตนให้เป็นคนดีเท่านั้น  แต่สำหรับการจรรโลงปรัชญาคำสอนของท่านบรมครูให้แพร่หลายยาวไกล คุณสมบัติของท่านเหล่านั้นยังไม่ถึงขั้น  แม้ท่านเอี๋ยนหุย ซึ่งเป็นศิษย์เอกในการจรรโลงจริยธรรมในสมัยนั้น ซึ่งปราดเปรื่องจนมีสมญาว่า  "รู้เพียงหนึ่งจะรู้ไปถึงสิบ"   "สามเดือนไม่เคยผิดต่อแก่นแท้ความดีงาม"  หากท่านจะมีชีวิตยาวนานถึงร้อยปีได้ก็ตาม ความสามารถก็จำกัดอยู่แค่เป็นผู้รู้แจ้งในสัจธรรมเท่านั้น  แต่ในส่วนของการจรรโลงธรรมสงเคราะห์ชาวโลกนั้น เกรงว่าพลังของท่านเอี๋ยนหุยยังแกร่งกล้าไม่พอ

        โชคดีที่โลกนี้มีท่านปราชญ์เมิ่งจื่อถืออุบัติตามมา วิถีอนุตตรธรรมสายปราชญ์จากท่านบรมครูจึงได้แพร่ขยายยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้  ท่านเมิ่งจื่อไม่เพียงแต่สานแก่นแท้ปรัชญาในศาสนาปราชญ์ของท่านบรมครูขงจื่อเทานั้น  ยังได้แพร่ธรรมคำสอนไปสู่ผู้คนมากมายเกินกว่าคณานับ  ที่สำคัญคือ สามารถทำให้เจ้าเมือง ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ในแว่นแคว้นต่าง ๆ ยอมรับและปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของท่านบรมครูขงจือได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 4 ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 1/03/2555, 14:03 »
                               ตามรอยอริยา 

                         4  ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ  2

        แน่นอน ไม่ว่ายุคสมัยใด บุคคลผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในบ้านเมืองล้วนมีอิทธิพลต่อการแพร่ธรรมทั้งสิ้น  ในส่วนนี้ ท่านเมิ่งจื่อเข้าถึงและสามารถทำได้จนเจ้าเมืองหลายพระองค์สำนึกกลับใจ ในการกระทำที่ผ่านมา อีกทั้งขอให้ท่านเมิ่งจื่อแสดงธรรมเตือนใจอยู่เสมอ มีคำถามว่า  "ท่านเอาความกล้ามาแต่ใด"  ท่านตอบว่า "ความกล้าของข้าพเจ้ามาจากพลานุภาพเที่ยงธรรม   ( เฮ่าหยันเจิ้งซี่ )  ที่ประจุอยู่เต็มในท่ามกลางฟ้าดิน และมาประจุอยู่เต็มในกายใจของข้าพเจ้า"  "มหาพลานุภาพเที่ยงธรรม  ( เฮ่าหยันเจิ้งซี่ )  เป็นพลังอันเป็นที่สุดแห่งความยิ่งใหญ่  ที่สุดแห่งความแกร่งกล้าคงตัว... ภาวะนั้น เกิดจากทำนองคลองธรรมที่สั่งสมมาช้านาน พลังนั้นผสานด้วยมโนธรรมกับสภาวธรรมควบคู่กันไป หากคิดผิดทำผิดไปจากจิตบริสุทธิ์เดิมแท้เพียงวูบเดียวพลานุภาพจะอ่อนกำลังลง เมื่ออ่อนกำลังลงก็จะสลายตัวไป

        ท่านเมิ่งจื่อจึงเป็นหนึ่งในมหาบุรุษนับพันในประวัติศาสตร์ จีนที่มีอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของฮ่องเต้  เจ้าเมือง และผู้มีอำนาจราชศักดิ์มากมายโดยไม่สั่นคลอน  ท่านเมิ่งจื่อถืออุบัติมา ณ มณฑลซันตง  อำเภอโจว  ซันตางโจวเซี่ยน  ห่างจากบ้านของท่านบรมครูเพียงยี่สิบกว่าเมตรเท่านั้น จึงได้ยินได้ฟังกิตตติศัพท์ความสูงส่งของท่านบรมครูมาตั้งแต่เยาว์วัย จิตใจจึงมุ่งมั่นทะยานอยากที่จะเจริญรอยตาม เมื่อได้มาเป็นศิษย์ศึกษากับปราชญ์จื่อซือ ซึ่งเป็นหลานของท่านบรมครู ยิ่งเป็นแรงส่งให้ความมุ่งมั่นนั้นทะยานไกล  มีคำกล่าวว่า พื้นฐานความสำเร็จส่วนหนึ่งของชีวิตสร้างด้วย "เมื่อเล็กมีบิดามารดาดีเมื่อศึกษามีครูบาอาจารย์ดี  เมื่อเติบใหญ่ได้เพื่อนดี "  ท่านเมิ่งจื่อได้พร้อมทุกประการ  มารดาของท่านย้ายบ้านถึงสามครั้ง  เพื่อปลูกฝังนิสัยความเคยชินที่ดีให้แก่บุตร  มิให้เป็นไปตามสิ่งแวดล้อมที่เสียหาย

        ท่านเมิ่งจื่อกำพร้าบิดาตั้งแต่อายุได้สามปี  อาศัยอยู่ที่บ้านเชิงเขากับมารดาตามลำพัง ที่เชิงเขาเป็นสุสาน มีผู้มาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณและฝังศพบ่อย ๆ เด็กน้อยเมิ่งจื่อได้เห็นได้ฟังก็จดจำมาแสดงที่บ้านจนมารดาท่านวิตกว่า อนาคตของลูกคงไปได้ไม่ไกลเป็นแน่ จึงจัดการย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ตลาด  ต่อมาไม่นาน เด็กน้อยเมิ่งจื่อก็จดจำทำท่านัยน์ตาวาวเมื่อเห็นเงิน จำเสียงตะโกนโหวกเหวกซื้อขายมาแสดงที่บ้าน มารดาท่านก็ต้องย้ายบ้านอีกครั้งหนึ่ง (บางตำรากล่าวว่า เด็กน้อยเมิ่งจื่อเลียนแบบคนฆ่าหมู)  ครั้งนี้ย้ายบ้านมาอยู่ใกล้โรงเรียน ใกล้ผู้มีการศึกษา นักศึกษามีกิริยามารยาทเรียบร้อย มีพิธีการไหว้ครูอันสง่างาม  เด็กน้อยเมิ่งจื่อก็จดจำทำตาม ครั้งนี้เป็นที่พอใจของมารดายิ่งนัก  มารดาหวังจะให้บุตรมีคุณธรรมการศึกษา จึงสู้อุตสาห์ทอผ้าทั้งวัน เพื่อหารายได้ให้เป็นค่าเล่าเรียน  วันหนึ่ง เด็กน้อยเมิ่งจื่อเกิดเบื่อหน่ายหนีเรียนกลับบ้านก่อนเวลา  มารดาใช้กรรไกรตัดผ้าบนฮูกที่ยังทอไม่เสร็จให้บุตรได้สำนึกรู้  จากนั้นเป็นต้นมา เด็กน้อยเมิ่งจื่อไม่กล้าหนีเรียนอีกเลย  อีกทั้งมุ่งมั่นตั้งใจศึกษาจนกระทั่งเจริญวัย มารดาไม่เพียงให้การศึกษาแก่บุตรเท่านั้น ยังอบรมคุณธรรมจริยธรรมทุกกรณี  ค่านิยมของคนโบราณ ต้องการบุตรหลานไว้สืบสกุล มารดาท่านจึงตกแต่งลูกสะใภ้ให้บุตร  วันหนึ่ง ท่านเมิ่งจื่อกล่าวแก่มารดาว่า "ลูกไม่ต้องการภรรยาที่ไม่มีจริยาเช่นนี้"  มารดาถามว่า "นางทำอะไรผิดไปหรือ"  "นางผลัดผ้าอยู่ในห้อง ลูกเดินเข้าไป นางไม่แอบเร้น เช่นนี้คือไม่รักษาคุณสัมพันธ์ห้า"  ( คุณสัมพันธ์ห้า อู่หลุน ข้อที่สาม หญิงชายให้จำแนก รู้การอันควรต่อกันด้วยจริยธรรม )  มารดาถามอีกว่า "ลูกได้เคาะประตูให้สุ้มเสียงก่อนหรือไม่"  "มิได้"   "ถ้าเช่นนั้นเป็นความผิดของลูกเอง จะไปโทษนางได้อย่างไร"  มารดาสอนอีกว่า "ในคัมภีร์จริยธรรมจารึกไว้ว่า

 "ก่อนเข้าประตูถามว่ามีใครอยู่ 
ก่อนเข้าห้องโถง   ต้องให้สุ้มเสียง 
ก่อนเข้าชายคา ต้องก้มสายตาลงต่ำ

เจียงยู่เหมิน  เวิ่นเสยฉุน
เจียงซั่งถัง  เซิงปี้หยัง
เจียงยู่ฮู่  ซื่อปี้เซี่ย"

        จากเหตุการณ์นี้ ทำให้เห็นความเคร่งครัดต่อจริยธรรมของท่านเมิ่งจื่อ  และความละเอียดต่อจริยธรรม คุณธรรมที่มารดาเฝ้าอบรมบุตรทุกกรณี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 2/03/2555, 09:21 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 4 ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ 3
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 2/03/2555, 09:20 »
                              ตามรอยอริยา 

                         4  ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ  3

         ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่า  มารดาท่านคือมารดาผู้  "ย้ายบ้านสามครา"  "ตัดผ้าสอนลูก"  และ  "อบรมให้รู้จริยธรรม" ( เมิ่งหมู่ซันเซียน  ต้วนจือเจี้ยวจื่อ  ซวิ่นจื่อจือหลี )  จึงเห็นได้ว่ามารดาท่าน สูงส่งด้วยปัญญา จึงสามารถเสริมสร้างบุตรให้เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ หากจะเปรียบว่า ท่านบรมครูขงจื่อมีกรุณาธรรมงดงามเหมือนหยกใส ก็จะต้องเปรียบว่า  ท่านเมิ่งจื่อนั้นฉายแสงเหมือนเดาบวิเศษแห่งมโนธรรมงามเรืองรองทีเดียว  ท่านเมิ่งจื่อมีครูดี ท่านได้รับวิถีธรรมสายปราชญ์โดยตรง จากท่านปราชญ์จื่อซือ ซึ่งเป็นศิษย์ของปราชญ์เจิงจื่อ ปราชญ์เจิงจื่อเป็นทั้งศิษย์ทั้งหลานแท้ ๆ ของท่านบรมครูขงจื่อ

        หลังจากที่ท่านเมิ่งจื่อสืบต่อภาระพระธรรมาจารย์ในศาสนาปราชญ์แล้ว ท่านก็เจริญรอยตามปฏิปทาท่านบรมครู นำพาศิษย์จาริกไป อรรถาจริยธรรมคุณธรรมยังบ้านเมืองต่าง ๆ ซึ่งขณะนั้น ท่านเมิ่งจื่ออายุได้สี่สิบปีแล้ว  ในยุคนั้น จริยธรรมคุณธรรมตกต่ำลงมาก บ้านเมืองวุ่นวาย ประหัตประหารรบราฆ่าฟันกันทั่วหน้า  ท่านเมิ่งจื่อเริ่มเดินทางกล่อมเกลาตั้งแต่เมืองฉี วกกลับไปที่เจ้าเมืองโจว เดินทางรอนแรมนับเดือนปี ไปที่เมืองซ่ง แล้วไปที่เมืองซี จากนั้นต่อไปยังเมืองเหลียง  (เดิมทีชื่อเมืองเอว้ย)  ท่านเมิ่งจื่อทุ่มเทชีวิตจิตใจทั้งหมดเพื่อยุติการสงคราม  เพื่อเสริมสร้างจริยธรรมคุณธรรมให้แก่เจ้าเมือง ให้แก่ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ที่มัวเมาในลาภยศสรรเสริญ ด้วยหวังว่า เมื่อผู้นำบ้านเมืองสูงส่งด้วยจริยธรรมคุณธรรมแล้ว ไพร่ฟ้าประชาชนย่อมอยู่ดี มีสุขได้

       แต่ชีวิตจิตใจล้ำค่าเกินกว่าประมาณได้ของท่านนั้นเหมือนดวงแก้ววิเศษที่ได้แต่เกลือกกลิ้งไป  ส่องแสงไปกับพื้นดินที่มีแต่กรวดหินดินโสโครก กว่าท่านจะเดินทางมาถึงเมืองเหลือง ท่านก็ผมขาวโพลนสูงวัยจนอายุได้หกสิบกว่าปีแล้ว  พระเจ้าเหลียงฮุ่ยอ๋วง เจ้าเมืองเหลียงถามท่านเมิ่งจื่อทันทีที่ได้พบกันว่า  "ท่านผู้สูงส่งอุตส่าห์เดินทางไกลพันลี้มาถึงที่นี่ คงจะมีผลประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเราสินะ" ท่านเมิ่งจื่อสะท้อนใจเมื่อได้ฟัง  เจ้าเมืองทุกคนล้วนมุ่งหวังผลประโยชน์ ต่างหาทางย่ำยีบีฑากัน สันติธรรมจึงก่อเกิดขึ้นไม่ได้  ท่านเมิ่งจื่อเจ็บแปลบที่หัวใจ  จึงสั่งสออนพระเจ้าเหลียงฮุ่ยอ๋วงไปว่า "ไฉนอ้าปากก็พูดถึงผลประโยชน์ทันที พระองค์รู้ไหมว่ายังมีกรุณามโนธรรมอีกด้วย"  ท่านเมิ่งจื่ออธิบายต่อไปอีกว่า "หากทุกคนต่างเอาผลประโยชน์ขึ้นหน้า ต่างเห็นผลประโยชน์ตนเป็นสำคัญ ต่อไปก็จะไม่มีใครยอมเสียสละอุทิศตนเพื่อเจ้าเหนือหัว เพื่อบ้านเมือง  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะเป็นบ้านเมืองได้อย่างไร ผลประโยชน์ยังคงเป็นผลประโยชน์ต่อไป บ้านเมืองก็จะเป็นบ้านเมืองที่แย่งชิงผลประโยชน์กันต่อไปในคนทุกชนชั้น นั่นคือหนทางตายที่ดิ้นรนไปเอง" 

        พระเจ้าเหลียงฮุ่ยอ๋วงได้แต่นิ่งอึ้ง  ท่านเมิ่งจื่อยุติจาริกรอบรายไปสู่บ้านเมืองต่าง ๆ เมื่ออายุของท่านได้เจ็ดสิบกว่าปี  ท่านกลับมาเมืองโจวอยู่ร่วมกับศิษย์ทั้งหลายพิจารณาปรัชญาธรรม ท่านได้ทิ้งปรัชญาคติไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย รวมไว้ในคัมภีร์เมิ่งจื่อ เจ็ดบท  อายุแปดสิบสี่ปี ท่านละสังขารไปด้วยมหาพลานุภาพเที่ยงธรรมแห่งจิตที่ไม่เคยอ่อนกำลังลงเลย   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 4 ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ 4
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 2/03/2555, 09:56 »
                                 ตามรอยอริยา 

                           4  ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ  4

        ปรัชญาที่มีผลสะท้อนใหญ่ยิ่งต่อผู้คนทั้งหลายที่ท่านเมิ่งจื่อทิ้งไว้ให้ คือเรื่อง "จิตกุศล" กับ  "สี่เบื้องต้น"  ( เซิ่งซั่น , ซื่อตวน ) ท่านว่า "คนเริ่มเดิมที จิตนี้เป็นกุศล ... ( เหยินจือชู  เซิ่งเปิ่นซั่น ) ยกตัวอย่างว่า "เมื่อเห็น เด็กจะตกบ่อน้ำ ทันใด  ล้วนวิตกห่วงใยไม่อาจดูดาย มิใช่ด้วยคบหากับบิดามารดาเด็ก มิใช่ด้วยเพื่อนพ้องผู้คนจะชมชื่น มิใช่คร้านที่จะฟังเสียงร้อง  ความรู้สึก "เมื่อเห็น  ทันใด"  โดยมิได้เจาะจงยึดหมาย นั่นคือ "จิตเดิมแท้ แก่นแท้ของชีวิตจิตญาณ " อันเป็นกุศลบริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่ทุกคน" 

        สี่เบื้องต้น นั้นท่านกล่าวว่า 
1.  จิตสงสารเห็นใจ    เป็นเบื้องต้นของการุณยธรรม
2.  จิตละอายต่อบาป  เป็นเบื้องต้นของมโนธรรมสำนึก
3.  จิตเสียสละให้      เป็นเบื้องต้นของจริยธรรม
4.  จิตรู้ผิดชอบ        เป็นเบื้องต้นของปัญญาธรรม

        ท่านยังเปรียบเทียบอีกว่า "ณ  ชานเมืองฉี มีภูเขานิวซัน อุดมด้วยป่าไม้เบญจพรรณเขียวชะอุ่มสดใส ต่อมาถูกผู้คนมักง่ายตัดไม้ทำลายป่า จึงเหลือแต่ตอไม้ในสภาพแห้งแล้ง ..."   "คนเริ่มเดิมที" หรือจิตเดิมแท้ก็เป็นเช่นภูเขาหนิวซันในสภาพเดิมที  ภายหลังคนถูกทำลายด้วยกิเลสตัณหา ต้นไม้ถูกทำลายด้วยมีดพร้า เพลิงไฟ  มีดพร้า เพลิงไฟ มองเห็นได้  แต่กิเลสตัณหา หาเห็นไม่  คน สัตว์  ตกสู่เหวลึกรู้จักหาทางปีนป่ายให้พ้นขึ้นมาได้  ต้นไม้ถูกตัดทอนทำลายยังพนายามแตกตาผลิใบ  คนถูกทำลายจึงต้องพยายามเสริมสร้างชีวิตใหม่ ให้พ้นจากกิเลสตัณหา  จะพ้นจากกิเลสตัณหาได้ ต้องเข้าใจถึง "แก่นแท้ของชีวิตจิตญาณ"  หรือ  "จิตเดิมแท้"  ซึ่งมีสี่เบื้องต้นเป็นพื้นฐาน 

        หลักการดำเนินชีวิตของท่านเมิ่งจื่อ คือ
 "ความร่ำรวยสูงส่งล้ำค่าไม่อาจนำราคะมาให้ได้ 
ยากจนเข็ญใจไม่อาจนำพาให้เปลี่ยนใจเสียหาย
อำนาจอิทธิพลใด ๆ ไม่อาจทำให้สยบหดหัว 

ฟู่กุ้ยปู้เหนิงอิ๋น
ผินเจี้ยงปู้เหนิงอี๋
เอวยอู่ปู้เหนิงชวี "

        ผู้เข้าถึง  "แก่นแท้ของชีวิตจิตญาณ"  แล้วเท่านั้นที่จะดำรงความสูงส่งของชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางเขี้ยวเล็บแหลมคมรอบตัว  ดำรงความสูงส่งของชีวิตอยู่ได้ในฐานะผู้เทิดทูน  "ธรรมะ"  ศิษย์ของท่านถามว่า  อาจารย์ท่านดำรงสภาวะนั้นได้อย่างไร  ท่านตอบว่า " เราอุ้มชูบำรุงเลี้ยงมหาพลานุภาพเที่ยงธรรมแห่งตนไว้ให้ดีเสมอ  หว่อซั่นหยั่งอู๋เฮ่าหยันเจิ้งชี่ "

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 5 ท่านปราชญ์จวงจื่อ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 5/03/2555, 09:58 »
                                ตามรอยอริยา 

                          5  ท่านปราชญ์จวงจื่อ

        ท่านปราชญ์จวงจื่อ เป็นยอดเมธีที่หาได้ยากยิ่งท่านหนึ่งตั้งแต่โบราณมา  ท่านเป็นยอดปัญญาญาณมันสมองผู้นำของศาสนาเต๋า ที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านอริยปราชญ์เหลาจื่อเลย  คัมภีร์ธรรมที่ท่านประพันธ์ไว้มี หนันฮว๋าจิง ที่สูงส่งเลิศล้ำเสมอด้วยคุณธรรมเต้าเต๋อจิง  ของท่านเหลาจื่อ ต่างกันแต่ว่าคัมภีร์คุณธรรมเต้าเต๋อจิงของท่านเหลาจื่อเป็นหลักปรัชญาล้วน ๆ แต่คัมภีร์หนันฮว๋าจิงของท่านจวงจื่อนั้นมีจุดเด่นที่ผสมผสานกันระหว่างหลักปรัชญากับอักษรศาสตร์ ดังนั้น จึงมีเมธาชนรุ่นหลังกล่าวกันว่า  ศึกษาคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงของท่านเหลาจื่อ ให้ความรู้สุกเข้มงวดเหมือนการคำนวณคณิตศาสตร์  ที่จะต้องเค้นมันสมองไตร่ตรอง  พิจารณา  ทบทวนศึกษาหาความเข้าใจอย่างจริงจังเคร่งครัด  แต่ศึกษาคัมภีร์หนันฮว๋าจิงของท่านจวงจื่อนั้น เหมือนกำลังเพลิดเพลินอยู่ในท่วงทำนองเพลงชิมไฟนี ที่ให้อารมณ์หลากหลายในจังหวะที่เนิบช้า - เร็ว และลีลาที่งดงามด้วยเสียงสูง - ต่ำทุกวรรคตอน ทำให้ผู้ศึกษาดื่มด่ำเข้าไปสู่หลักปรัชญาอันน่าหลงใหล จนกระทั่งเข้าสู้ภวังค์ในเรื่องราวตามอรรถรสนั้น

        ดังนั้น ตั้งแต่โบราณมาจึงไม่มีปัญญาชน  นักคิด  นักปรัชญาคนใดที่ไม่ศึกษาคัมภีร์หนันฮว๋าจิง ของท่านจวงจื่อ อีกทั้งไม่มีนักอักษรศาสตร์คนใดที่ไม่ท่องซ้องคัมภีร์หนันฮว๋าจิง  ท่านนักปราชญ์จวงจื่อไม่เพียงเป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นนักอักษรศาสตร์ที่หาได้ยากท่านหนึ่ง ปราชญ์จวงจื่อเป็นผู้รู้ชัดสัจธรรมชีวิต ท่านมีความคิดที่อยู่เหนือการเกิดตาย  ในแต่ละประโยคอักษรที่พร่างพรูออกมาจากปลายพู่กัน กำซาบตราตรึงเข้าไปในหัวใจของท่านผู้อื่นจนยากที่จะลืมเลือน ทำให้ได้ข้อคิดและทิศทางดำเนินชีวิตอันรื่นรมณ์

        ท่านจวงจื่อถือกำเนิดมาในรัชสมัยพระเจ้าโจวเอวยเลี่ยอ๋วง ปีที่เจ็ด  ละสังขารในรัชสมัยโจวหนั่นอ๋วง ปีที่ยี่สิบเก้า  ก่อนคริสตศักราชสามร้อยหกสิบเ้ก้าปี  ณ อำเภอเหมิง  เมืองซ่ง  ท่านมีอายุแก่กว่าท่านปราชญ์เมิ่งจื่อเล็กน้อย แต่อ่อนกว่าท่านฮุ่ยซือ นักปราชญ์ร่วมสมัยเล็กน้อย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 5 ท่านปราชญ์จวงจื่อ 2
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 5/03/2555, 10:28 »
                                ตามรอยอริยา

                           5  ท่านปราชญ์จวงจื่อ 2

        ท่านเคยรับราชการที่เมืองชีเอวี๋ยน ซึ่งเป็นเมืองที่มีทัศนียภาพที่งดงามด้วยป่าเขาลำเนาไพร สายน้ำและทุ่งหญ้า เนื่องจากตำแหน่งราชการของท่นไม่ใหญ่โต ชีวิตความเป็นอยู่จึงไม่ได้เหลือเฟือ จนครั้งหนึ่งถึงกับขาดข้าวสาร ต้องไปขอยืมข้าวจากข้าราชกาเจ้าท่าที่ฐานะดีกว่าคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ข้าราชการคนนั้นรับปากแข็งขันอย่างคนแล้งน้ำใจว่า  "ไม่มีปัญหา รอให้ข้าพเจ้าไปเก็บค่าเช่านามาได้เสียก่อน แล้วจะให้ท่านขอยืมสามร้อยตำลึง"  แท้จริงแล้ว ท่านจวงจื่อบากหน้ามาขอยืมข้าวสารเก็เพื่อประทังหิวเฉพาะหน้าขณะนั้น  แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคนแล้งน้ำใจอย่างนั้นแล้ว ท่านจวงจื่อจึงพูดให้เป็นข้อคิดแก่เขาว่า "เมื่อวานนี้ ขณะที่เดินทางมาที่นี่ ระหว่างทางมีคนเรียกชื่อข้าพเจ้า เมื่อมองหาดูจึงได้เห็นว่าเป็นเสียงเรียกจากปลาตะเพียนตัวหนึ่งที่เกยตื้นอยู่ในร่องน้ำล้อเกวียนบดทับผ่านไป"  ข้าพเจ้าจึงถามปลาตัวนั้นว่า  "มีธุระอะไรหรือ"  ปลาตอบว่า  "เราเป็นขุนนางสัตว์น้ำในทะเลตงไห่ ท่านจะให้น้ำแก่เราสักหนึ่งกระบวย เพื่อยังชีวิตแก่เราจะได้ไหม"  ข้าพเจ้าตอบไปว่า "ไม่มีปัญหา รอให้เราลงไปทางเมืองใต้เกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองอู๋ เจ้าเมืองเอวี้ย  ขอให้พวกเขาผลักดันน้ำในแม่น้ำแยงซีเกียงขึ้นมาต้อนรับท่านที่นี่ก็แล้วกัน  ปลาตัวนั้นตัดพ้อต่อว่าข้าพเเจ้า "เราหมดหนทางเฉพาะหน้า ต้องตกอยู่ในฐานะลำบากขณะนี้ หากท่านจะให้น้ำแก่เราสักหนึ่งกระบวย เราก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ขณะนี้ท่านกลับใช้คำพูดนั้นมากดดันทิ่มแทงเรา อย่างนี้ก็สู้รีบไปหาเราที่ร้านขายปลาเค็มเสียจะดีกว่า"   

        จากเรื่องราวนี้ จะเห็นได้ว่า ท่านจวงจื่อมีความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนเพียงไร ถึงแม้ว่าท่านจะฝืดเคือง แต่ต่อเงินทองนั้น ท่านกลับเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย มิได้ตกเป็นทาสของมันเลย เช่นครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองซ่งใช้ให้ขุนนางเฉาซัง ไปเป็นทูตที่เมืองฉิน ขาไปเอารถส่วนท้ายไป ขากลับได้รถเต็มคันมาหนึ่งร้อยคัน เฉาซังคุยโวต่อท่านจวงจื่อว่า  "จะให้ข้าพเจ้ามุดหัวอยู่กับชายคาเตี้ย ๆ ในตรอกแคบ ๆ มีสภาพหน้าซีด คอยาว นั่งถักหญ้าทำรองเท้าขายประทังชีวิต ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถในการอดทนอย่างนั้นได้ แต่ความสามารถของข้าพเจ้านั้น ใช้คำพูดเพียงคำเดียวพูดให้เจ้าเมืองที่มีรถอยู่หมื่นคันพอใจเท่านั้น ก็จะได้รถหนึ่งร้อยคันมาสบาย ๆ "

        ท่านจวงจื่อถูกเหยียดหยาม แต่มิได้รู้สึกเสียศักดิ์ศรี กลับรู้สึกสมเพชเวทนาเขา จึงเหน็บไปว่า "ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองฉินประชวร ให้หาหมอมารักษา มีประกาศว่าใครที่เอาหนองริดสีดวงที่ก้นของพระองค์ได้จะให้รถห้าคัน คนที่ยิ่งทำงานต่ำน่ารังเกียจที่สุดได้ ก็จะได้รถยิ่งมากคัน  ท่านก็คงไปรักษาริดสีดวงให้แก่เจ้าเมืองฉินมากระมัง หาไม่แล้วไฉนจะได้รถมามากมายอย่างนี้  เอาละ ท่านรีบไปเสียเถอะ"  คำพูดแทงใจเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นถึงผู้มีศักดิ์ศรีของท่านจวงจื่อที่จะไม่ยอมประสบสอพลอ เพื่อแลกเปลี่ยนกับลาภสักการะใด ๆ เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 5 ท่านปราชญ์จวงจื่อ 3
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 12/03/2555, 10:23 »
                               ตามรอยอริยา 

                        5  ท่านปราชญ์จวงจื่อ 3

        อีกครั้งหนึ่ง ท่านจวงจื่อไปเยี่ยมท่านฮุ่ยซือ ที่เมืองเหลียง มีคนยุแหย่ท่านฮุ่ยซือว่า "ท่านจวงจื่อนั้นมีโวหารเหนือกว่าท่าน การมาครั้งนี้เกรงว่า ตำแหน่งมุขมนตรีของท่านจะรักษาไว้ได้ยากเสียแล้ว"  ท่านฮุ่ยซือเห็นจริง หวั่นใจ  จึงสั่งให้บริวารออกค้นหาท่านจวงจื่อทั่วบ้านทั่วเมืองถึงสามวัน แต่หาไม่พบ สุดท้ายท่านจวงจื่อไปพบท่านฮุ่ยซือเองแล้วกล่าวว่า "ท่านทราบไหม ทางใต้มีนกหงส์ชนิดหนึ่ง ชื่อว่าเอวียนฉู มันบินจากทะเลใต้ไปยังทะเลเหนือ ระหว่างเส้นทางกว้างไกลสุดขอบฟ้านั้น หากไม่พบต้นทองหลางใบมนมันจะร่อนลงเกาะกิ่งพัก ไม่พบเมล็ดไผ่ก็ไม่กินเป็นอาหาร ไม่ไปถึงหลี่เฉวียนลำธารหวานชื่นจะไม่ร่อนลงดื่มน้ำ ขณะที่บินอยู่นั้น เบื้องล่างมีนกฮูกตัวจ้อย ปากคาบหนูตายเหม็นเน่าอยู่ตัวหนึ่ง พอแหงนหน้าเห็นนกหงส์เท่านั้นก็ตกใจ นึกว่าจะมาแย่งอาหารในปากของมัน มันผวาจนร้อง "เฮ้ย" เสียงดัง บัดนี้ ท่านก็อยากร้อง "เฮ้ย"  ใส่ข้าพเจ้าเพื่อรักษาตำแหน่งมุขมนตรีแห่งเมืองเหลียงไว้เช่นเดียวกันหรือ"  แท้จริงแล้ว ท่านจวงจื่อไม่เพียงจะไม่แย่งตำแหน่งใคร แม้แต่เมื่อเจ้าเมืองฉู่  ส่งมหาอำมาตย์สองคนไปคารวะเรียนเชิญท่านจวงจื่อไปรับตำแหน่งใหญ่ในบ้านเมือง ท่านจวงจื่อยังปฏิเสธเสียสิ้นเลย

        ท่านจวงจื่อเป็นปราชญ์เมธีที่ปลงเห็นความจริงของชีวิตได้เป็นที่สุดในประวัติศาสตร์ เรื่องเกิดแก่เจ็บตายดีร้ายทุกประการ ท่านเห็นเป็นอย่างเดียวกัน แม้ภรรยาของท่านเสียชีวิต ท่านก็ไม่ร้องไห้ ยังเคาะถาดเป็นจังหวะร้องเพลงได้  ท่านฮุ่ยซือไปคารวะศพ ได้เห็นเช่นนั้นจึงตำหนิว่า "ภรรยาของท่านอยู่ร่วมกันมาชั่วชีวิต ให้กำเนิดบุตรแก่ท่าน จนบัดนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  เมื่อนางเสียชีวิตไป ท่านไม่ร้องไห้ก็แล้วไป ยังจะเคาะทำนองร้องเพลงเสียอีก มันจะมิมากไปหรือ"  ท่านจวงจื่อตอบว่า  "ท่านฮุ่ยซือ อันที่จริงแล้วเมื่อแม่นางเพิ่งตายนั้น ข้าพเจ้ามีหรือที่จะไม่สะเทือนใจ แต่เมื่อสงบสติพิจารณาแล้วได้เห็นว่าเดิมทีแม่นางก็ไม่มีตัวตนมาก่อน แล้วทันใดก็เกิดรูปกายมา เป็นชีวิตขึ้นมา  บัดนี้นางตายไป ไม่ต่างอะไรกับฤดูกาลที่ผันแปรไปได้ทุกขณะ มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ามกลางฟ้าดิน ขณะนี้ นางอาจกำลังมีความสุขอยู่ในอีกโลกหนึ่งแล้ว แต่ข้าพเจ้ากลับต้องมานั้งเศร้าโศกรำพันอยู่ที่นี่ คิดดูแล้วก็น่าขัน ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ร้องไห้"  แม้ความตายของท่านจวงจื่อเองก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ศิษย์ของท่านหลายคนกำลังปรึกษากันคร่ำเครียดว่า จะจัดเตรียมทำงานศพอาจารย์ให้ดีที่สุดอย่างไรนั้น พอท่านได้ทราบก็กล่าวแก่ศิษย์ทันทีว่า " อาจารย์มีฟ้าดินเป็นโลงศพอยู่แล้ว ตะวันเดือนเหมือนกำแพงหยกรายล้อม (เหลียนปี้)  ดวงดาวเหมือนแก้วมณีที่ตกแต่ง สรรพสิ่งโดยรอบเป็นเครื่องเซ่นไหว้ เครื่องประกอบพิธีปลงศพมีพร้อมอยู่แล้ว ยังจะต้องปรึกษาเตรียมการอะไรกันอีก"  ศิษย์พร้อมกันตอบว่า " หากไม่มีโลงใส่ ศิษย์เกรงว่านกหนูจะมาแทะทึ้งท่าน"   " เฮ้อ น่าขันจริง หากทิ้งศพอาจารย์ไว้กลางแจ้งก็คือให้เป็นอาหารแก่นกกา แต่หากฝังลงดิน ก็คือเป็นอาหารแก่มดปลวกแมลง  มันก็คือถูกกินเป็นอาหารเหมือนกัน ทำไมจะต้องลำเอียงเถียงกันเพื่อให้แก่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้กินด้วยเล่า" 

        ในโลกนี้จะมีใครอีกไหมที่ไม่ยึดหมายในสังขารนามรูปเยี่ยงท่านจวงจื่อเช่นนี้  ท่านจวงจื่อยังได้กล่าวถึงปรัชญาน่าพิศมัยอักหลายแง่มุมอีกประการหนึ่ง คือ  คืนหนึ่งท่านฝันไปว่า ท่านเองกลายเป็นผีเสื้อตัวหนึ่ง บินอยู่ท่ามกลางมวลบุปผาชาตินานาพันธุ์ด้วยความสุขสำราญโดยเสรี สภาพนั้นเจริญใจพาให้ดื่มด่ำเป็นจริงจนลืมสภาพเป็นคนอยู่เสียสิ้น  พอตื่นจากความฝันท่านจึงต้องประหลาดใจสุดกำลังว่า ไฉนเราจึงมาเป็น  จวงโจว  (จวงจื่อ) อยู่ที่นี่  ณ ขณะนั้น ความคิดของท่านสับสน  ท่านถามตนเองว่า "ผีเสื้อ หรือ จวงโจวกันแน่ที่เป็นเราอย่างแท้จริง"  "จวงโจว ฝันไปว่าเป็นผีเสื้อ แล้วตื่นขึ้นมา หรือว่า ผีเสื้อกำลังฝันไปว่าเป็นจวงโจว" ขณะนี้กันแน่...  ปรัชญานี้คล้ายกับหลักธรรม ซึ่งชาติภพของศาสนาพุทธ ชาตินี้เกิดกายเป็นชายตระกูลนั้น ชาติหน้าเกิดกายเป็นหญิงตระกูลโน้น หากกล่าวว่าชีวิตคือความฝัน ความฝันในชีวิตของความเป็นคน ค่อนข้างยาวนาน อีกทั้งประสบการณ์หลากหลายทำให้ไม่อาจฟื้นความทรงจำต่อชีวิตจริงที่กำลังมาหลงเพลินอยู่ กับความฝันว่าได้เกิดกายเป็นคนในขณะนี้ได้ หากไม่ย้อนต้นค้นหาชีวิตจริงแต่เดิมทีให้พบ ความฝันในสภาพชีวิตต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตจริงเรื่อยไปไม่สิ้นสุด นั่นคือ สังสารวัฏ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 5 ท่านปราชญ์จวงจื่อ 4
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 13/03/2555, 09:25 »
                                ตามรอยอริยา 

                        5  ท่านปราชญ์จวงจื่อ 4

         ท่านจวงจื่อพิจารณาเห็นความวิปริตของจิตมนุษย์ทุกรูปแบบอย่างชัดเจน   มนุษย์คือคนที่ชอบแย่งชิงสิ่งหยาบใหญ่ ไม่ไยไพสิ่งละเอียด
ชื่นชมความล้ำค่า  เมินหน้าความต่ำต้อย
มุงมาดเพื่อให้ได้  เสียหายไม่ยอมรับ
รักตัวกลัวตาย  ยกตนข่มท่าน
ขับเคี่ยวกันเพื่อผลประโยชน์เล็กน้อย
ลืมตัวกระหยิ่มยินดีเมื่อได้ดั่งใจ ...

        ท่านอุปมาว่าใจคนเหมือนแม่น้ำในฤดูใบไม้ร่วง  หน้าน้ำ  เห็นสายน้ำน้อยใหญ่ไหลมาบรรจบเต็มเปี่ยมก็ยินดีปรีดิ์เปรม สำคัญว่าความงดงามท่วมท้น  สำคัญว่าความสมบูรณ์ล้นหลาก จักคงอยู่ในอ้อมอกตนได้ตลอดไป แต่เมื่อน้ำลดหาย สายน้ำน้อยใหญ่พากันไหลลงสู่ทะเล ใหญ่้วิ้งว้าง อ้อมอกตนมีแต่ตอไม้โคลนตม จึงได้สำนึกทอดถอนใจว่า " อนิจจาอวิชชาความหลงหนอ ! "  จิตมนุษย์ก็น่าขันเช่นนี้   ท่านจวงจื่อเลิศล้ำด้วยปรีชาญาณ สายตากว้างไกล จิตใจแกร่งกล้า ท่านกล่าวว่า คนควรมุ่งมั่นสรรค์สร้าง ดั่งนกใหญ่ทะยานฟ้า อย่าเหมือยนกนางแอ่นที่ได้แต่อาศัยชายคา จึงต้องใฝ่หาหนทางหลุดพ้น   

        ท่านได้โปรดชี้ทางบำเพ็ญไว้ให้สี่ประการ คือ
1.  ไม่ยึดหมาย ให้เป็นธรรมชาติ   อู่เอว๋ยจื้อหยัน   
        อันปัญญานั้นเป็นได้ในสองสถาน  ปัญญาปุถุชน เป็นต้นเหตุของการยึดหมาย  ใคร่อยาก  แย่งชิง  มีผลให้ทำลายจิตญาณเดิม พึงละทิ้งเสีย ส่วนปัญญาอิสระนั้นมีอิสระเสรี  ไม่ยึดหมาย  เดิมทีมาจากธรรมชาติอย่างไร ก็กลับคืนไปสู่ธรรมชาติอย่างนั้น

2.   ละทิฐิดึงดัน   ฉูชวี่เฉิงซิน
        มีอัตตาตัวตนจึงมีการยึดหมาย มีการยึดหมายจึงมีทิฐิ ดึงดัน  จึงมีการเปรียบเทียบ แท้จริงแล้วในโลกนี้ไม่มีบรรทัดฐานของความถูกและผิด ไม่มีบรรทัดฐษนของความงดงาม หรือ อัปลักษณ์ที่ตายตัว เพราะมีทิฐิดึงดันจึงมีบรรทัดฐานเปรียบเทียบจึงเกิดการยึดหมายขัดแย้ง พ้นจากภาวะนี้ได้ จึงพ้นจากใจปุถุชน

3.  ตัดความอยากใคร่  ต้วนเจวี๋ยอวี้อวั้ง
        กิเลสตัณหาเป็นคมมีดเชือดเฉือนคน ลาภสักการะทำให้ความบริสุทธิ์ใจสูญหาย  ตั๊กแตนตำข้าว จ้องแต่จะตะครุบจั็กจั่นข้างหน้า หาไม่ว่านกกางเขนเตรียมจิกกินตั๊กแตนอยู่ข้างหลัง  นกกางเขนกลืนน้ำลายหารู้ไม่ว่าหน้าไม้ของนายพรานกำลังเร็งตรงมา  กิเลสตัณหาพาความทุกข์ระทม กระทั่งพาความตายมาให้ แต่น่าขันที่คนเหมือนจั๊กจั่น  เหมือนตั๊กแตน  เหมือนนกกางเขน  ที่หารู้ไม่ต่อภัยอันตรายนั้น แม้แต่คนยิงนกก็หารู้ไม่ว่าจะต้องตกอยู่ในกฏแห่งกรรมต่อไป

4.  ถือศีลกินเจ ทำสมาธิจิต  ซินไจจั้วอวั้ง
         ไม่เสพของมึนเมา ไม่กินชีวิตเลือดเนื้อเขา เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้เลือดขุ่นข้น ทำให้จิตญาณไม่โปร่งใส จิตญาณไม่โปร่งใสย่อมฟุ้งซ่าน  จิตฟุ้งซ่านย่อมแฝงไว้ด้วยกิเลสตัณหา ย่อมเหนียวแน่นด้วยทิฐิยึดหมาย จิตจะไม่เป็นธรรมชาติที่สะอาดสงบอิสระ จิตจะห่างไกลพุทธภาวะ ผู้บำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริงจึง... " พึงถือศีลกินเจ ทำสมาธิจิต "

        บทประพันธ์ของท่านจวงจื่อมีมากมายนับไม่ถ้วน  ส่วนที่สูญหายไปก็เกินกว่าคณานับ ล้วนเป็นหลักปรัชญา ยกระดับจิตให้คิดถึงธรรมชาติอันมิอาจจำกัดขอบเขต นำทัศนวิสัยให้กว้างไกลไปสู่ความว่าง ซึ่งล่วงพ้นขอบเขตและกาลเวลาอย่างแท้จริง  ท่านจวงจื่อมีชีวิตอยู่ในยุคขุนศึกที่ห้ำหั่นกดขี่บีฑากันปรัชญาประพันธ์ของท่านแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดทุกข์ร้อนของคนในสมัยนั้น เช่น ในบทเจ๋อหยังเพียน  ท่านเขียนไว้ว่า ... "เมื่อป๋อจวี้ เดินทางไปเมืองฉี ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้าสู่แผ่นดินฉี ก็ได้เห็นซากศพร่างหนึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ที่ชายป่า เอาเสื้อของตนเองคลุมให้แก่ศพนั้น  ป๋อจวี้รันทดใจร้องไห้โฮใหญ่ รำพันว่า  "ทุกข์เข็ญสาหัสในโลกประสบแก่ตัวเจ้าแล้ว ช่างน่าเวทนากระไรเลย กฏหมายบ้านเมืองบอกไว้ว่า จงอย่าเป็นโจรผู้ร้าย อย่าได้ฆ่าคน  แต่บัดนี้ใครเล่ากำลังเป็นโจรผู้ร้าย ใครเล่าที่ฆ่าคน  การกระทำเยี่ยงโจรผู้ร้ายที่ฆ่าคน เราควรจะกล่าวโทษผู้ใดดี" 

        ท่านจวงจื่อได้พบต้นตอปัญหาของคน นั่นคือ ความขาดอิสระ 
ด้วยเหตุที่คนชอบอิงอาศัยวัตถุในความเป็นอยู่     
อิงอาศัยเยื่อใยอารมณ์ในความเป็นอยู่
อิงอาศัยความรู้ทั่วไปในความเป็นอยู่
อิงอาศัยศิลปการในความเป็นอยู่
อิงอาศัยพระผู้เป็นเจ้าในความเป็นอยู่
        การอิงอาศัยทำให้ผู้คนตกอยู่ในวงล้อมที่ขาดอิสระ  ผู้ที่ต้องการความเป็นอิสระตรงหน้า จะต้องเลิกละความรู้สึกนึกคิดที่อิงอาศัย ท่านจวงจื่อเห็นว่าคนเราจะต้องรู้เห็นเป็นจริงในความมีอยู่ของตนว่า คนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับครรลองธรรมชาติท่ามกลางกาลเวลาที่ไม่จำกัดอยู่ทุกขณะ  คนจึงต้องเอาธรรมชาติมาเป็นเครื่องพิจารณาทุกสิ่งอย่าง

        กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ คนอย่าวาดภาพตนเองจากรูปลักษณ์ของผู้อื่น
อย่าวาดภาพของคนจากธรรมชาติ
อย่าวาดคุณค่าจากความไร้คุณค่า
อย่าวาดปัจจุบันจากอดีตและอนาคต
อย่าวาดการดำรงอยู่จากความตาย
อย่าวาดวงจำกัดจากความไม่จำกัด
        เช่นนี้ ... จึงจะเป็นอิสระล่วงพ้นจากพันธนาการทั้งปวง
        นี่คือ ... ปรัชญาของท่านปราชญ์จวงจื่อที่ต่างจากปราชญ์ทั้งหลาย

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”