collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ตามรอยอริยา : คำนำ  (อ่าน 15570 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
ตามรอยอริยา : 6 พระบรรจารย์เป้าผูจื่อ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 13/03/2555, 10:10 »
                                  ตามรอยอริยา 

                           6  พระบรรจารย์เป้าผูจื่อ 

        ศาสนา  ลัทธิ  นิกายมากมายซึ่งแพร่หลายอยู่ในทุกมุมโลกในยุคปัจจุบัน ที่เป็นหลักสำคัญยังคงเป็นศาสนาพุทธ  คริสต์  อิสลาม  ปราชญ์  และเต๋า  ทุกศาสนาเมื่อเฟื่องฟูอยู่ในภูมิภาคใด ที่นั่นย่อมจะมีผู้ใฝ่รู้ ผู้ได้รับรู้ประวัติความเป็นมาของศาสนานั้นเป็นอย่างดีอยู่ไม่น้อย  แต่ศาสนาเต๋าอันเก่าแก่แต่โบร่ำโบราณมากลับมิได้เป็นเช่นนั้น  ทั้ง ๆ ที่มีศาสนิกชนมากมาย มีศาลเจ้าน้อยใหญ่อยู่ทั่วไป มีการไหว้เจ้าทั้งในเทศกาลที่กำหนด ในโอกาสพิเศษ ในโอกาสจำเป็นเฉพาะตน เช่น บนบานอธิษฐาน ขอบพระคุณ ทำบุญวันเกิด วันตาย ... สาธุชนเข้าออกศาลเจ้าขวักไขว่เกือบทุกวัน สาเหตุหนึ่งที่ศาสนิกเต๋าไม่รู้ต้นกำเนิดประวัติความเป็นมาของศาสนาเต๋า หรือแม้กระทั่งไหว้เจ้าตั้งแต่เด็กจนแก่ก็ยังไม่รู้เลยว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาเต๋านั้น คงจะเนื่องมาจากศาสนาเต๋ามิได้เริ่มเผยแพร่คำสอนจากพระศาสดา คือไม่มีพระศาสดาเป็นจุดเริ่มต้น แต่เริ่มต้นจากจิตใจใฝ่ดีของสาธุชนเอง ที่ต่างคนต่างสัมผัสรับรู้ได้ต่อการตอบสนองของพลานุภาพแห่งความดีตามคุณความดีที่ตนได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อเบื้องบน ได้รับการตอบสนองชัดเจนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนได้อธิษฐานภาวนาขอไว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดังกล่าวยังรวมถึงอดีตวีรชนผู้ปกป้องบ้านเมืองด้วย  ด้วยความคิดที่เชื่อว่า "ทำดีย่อมได้ดี"  "ทำดีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้เห็นและคุ้มครองรักษา"   "ผู้ปรารถนาในความดีย่อมสื่อถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้" 

        ความคิดนี้ ก็มิได้ถูกจำกกัดขอบเขตของความเชื่อ มิได้มีกรอบเคร่งครัดในการปฏิบัติบูชา เรียกได้ว่า ค่อนข้างเป็นอิสระในการปฏิบัติ สาธุชนจึงมีความสุขยินดีมากที่ได้ไปไหว้เจ้ากัน  สิ่งที่สาธุชนนำไปสักการะบูชา  ส่วนใหญ่เป็นไปตามความนิยมก่อนแล้วจึงกลายเป็นประเพณี เช่น นิยมใช้ธูป นิยมใช้ดอกไม้ ของหอม  เพื่อให้ควันธูป เพื่อให้กลิ่นหอมลอยขึ้นไปสื่อถึงพระองค์ในเบื้องสูง 
นิยมใช้เทียน  เพื่อให้เบื้องบนโปรดประทานแสงสว่างแก่ชีวิต 
นิยมใช้ผลไม้  ขนมปังฟู ขนมแป้งปั้นห่อใส้ (ไช่ก้วย)  ปฏิการะเหมือนลูกกตัญญูที่หวังให้บิดามารดาได้อิ่มหนำสำราญ ไหว้เสร็จแล้ว ขอขนมแป้งปั้นห่อใส้หรือซาละเปาห่อใส้นั้นเป็นพกเป็นห่อกลับบ้านไปให้อุดมสมบูรณ์ด้วย

        เนื่องจากสิ่งที่ใช้สักการะบูชา เป็นไปตามต่างจิตต่างใจยินดี จึงมีความเปลี่ยนแปลงหลากหลายในภายหลัง มีซากศพของหมู  เป็ด  ไก่  กุ้ง  ปลาเพิ่มเข้ามา ดอกไม้หอมกลายเป็นดอกไม้พวงมาลัยกระดาษ และพลาสติกเพิ่มเข้ามา จากจิตใจที่ขอถวายคุณความดีไว้  กลับกลายเป็นการติดสินบน จากความเคยเคารพนบนอบด้วยจิตสงบบริสุทธิ์ กลับกลายเป็นพิธีกรรมโฉ่งฉ่างวุ่นวายเหล่านี้เป็นต้น  เริ่มจากสามพันกว่าปีก่อน ศาสนาเต๋ายังมิได้เป็นศาสนายังมิได้มีพระศาสดา ยังไม่มีพระคัมภีร์ เมื่อพระอริยปราชญ์เหลาจื่อผู้สูงส่งด้วยมหาบารมีธรรมได้ปราฏกพระองค์ เป็นที่เคาระเทิดทูนยิ่ง อีกทั้งพระคัมภีร์คุณธรรม "เต้าเต๋อจิง"  ของพระองค์ที่ลึกซึ้งสูงส่งอย่างไม่มีที่เปรียบก็ได้ปรากฏตามมา  ผู้ใฝ่หาศูนย์รวมของคุณความดี (ธรรมะ)  จึงต่างพร้อมกันเคารพเทิดทูนท่านเหลาจื่อเป็นพระศาสดา  เคารพเทิดทูน "คัมภีร์คุณธรรม" เป็นพระคัมภีร์หลัก  เนื่องด้วยท่านเหลาจื่อ สื่อถึงธรรมะในมหาจักรวาลได้ด้วยจิตภาวะธรรมชาติที่เป็นธรรมะในพระองค์เอง เมื่อสาธุชนพร้อมกันเคารพเทิดทูนพระองค์ในฐานะพระศาสดา พระคัมภีร์ที่พระองค์ได้โปรดแสดงไว้ก็ล้วนเป็นไปโดยธรรมชาติที่เป็นธรรมะ ความเคารพเทิดทูนนั้นจึงรวมตัวกันเป็นศาสนา เรียกว่า  ศาสนาเต๋า  หมายถึง  ศาสนาธรรมะ หรือ ธรรมศาสนา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                 ตามรอยอริยา 

                           6  พระบรรจารย์เป้าผูจื่อ 2

        ดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า ศาสนาเต๋า (ธรรมศาสนา) มีจิตเริ่มต้นสำนึกดีของสาธุชน  ฉะนั้น ศาสนาเต๋าจึงมิได้จำกัดการศึกษาเรียนรู้ คุณความดีแต่ในเฉพาะคำสอนของพระศาสดาเหลาจื้อเท่านั้น  คำสอนของท่านจวงจื่อ  ท่นเลี่ยจื่อ  ท่านเหวินจื่อ  ซึ่งแสดงธรรมอันเป็นหลักสัจธรรมอันเที่ยงแท้ที่ผู้ใฝ่ดี ใฝ่ความสงบพึงศึกษาปฏิบัติ ก็ได้รับการเทิดทูนให้รวมอยู่ในหลักธรรมคัมภีร์ของท่านเหลาจื้อด้วย  ซึ่งรวมเรียกว่า "ขุมคลังคัมภีร์  เต้าจั้ง"   นอกจากนั้นแล้ว คัมภีร์ในศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื่อ  เมิ่งจื่อ  คัมภีร์ในศาสนาพุทธ  ศาสนาเต๋า ก็ได้ยกย่องไว้เป็นหลักธรรมสำคัญเช่นกัน

        หลังจากพระศาสดาเหลาจื้อแล้ว  ศาสนาเต๋าได้ผิดไปจากความเป็น  "ธรรมศาสนา"  มาก ซึ่งเป็นไปตามจริตวิสัยของคนในภายหลัง ในที่นี้จะขอยกเว้นไว้ไม่กล่าวถึง  ส่วนผู้ปฏิบัติอยู่ในแนวทางของ "ธรรมะ" อย่างเรียบง่าย อีกทั้งยังได้จรรโลงควมเป็นศาสนาเต๋า  ธรรมศาสนาอย่างแท้จริง นั้นก็มีอยู่ไม่น้อย  อาทิ  พระบรรพจารย์เป้าผูจื่อ

        พระบรรพจารย์เป้าผู้จื่อ  นามเดิม  "เก่อหง"  นามรอง  "จื้อชวน"  เป็นชาวเมือง  "ตันหยงจวี้หยง"  อุบัติมาในรัชสมัยเจียผิง  ปีที่ห้า "ค.ศ. 260 - 341  )  รัชสมัยพระเจ้า  "เอว้ยฉีอ๋วง 

        ตระกูลของท่านเป็นขุนนางทุกชั่วคน ิดาของท่านสามารถเก่งกาจทั้งบุ๋น และบู๊  เคยดำรงตำแหน่งพระราชองค์รักษ์วังหลวง และผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้มีเกียรติยิ่งในเรื่องกตัญญู  สุจริต มิตรไมตรี  แต่ต้องจากโลกนี้ไปเมื่อบุตรชายอายุได้สามสิบปีนั้น

        ความเป็นขุนนางสุจริตของบิดา ทำให้ท่าน  "เป้าผูจื่อ" ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้ายากจน ต้องทำไร่นาหาเลี้ยงชีพ  ครอบครัวของท่านแต่เดิมทีเป็นปราชญ์บัณฑิตผู้คงแก่เรียน แต่ภายหลังเมื่อประสบชะตากรรม เกิดภัยสงครามแล้ว ท่านจะหาหนังสือคัมภีร์อ่านสักเล่มหนึ่งก็ยังไม่มี จึงต้องสู้อุตส่าห์อดทนเดินทางไปขอหยิบขอยืมจากที่ต่าง ๆ เมื่อว่างจากงานทำนา ซื้อกระดาษพู่กันได้จากเงินที่หาบฟืนไปขายในเมือง   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  ตามรอยอริยา 

                           6  พระบรรจารย์เป้าผูจื่อ 3

        ด้วยความมุ่งมั่นวิริยะอย่างนี้ ท่านจึงแตกฉานในประวัติศาสตร์ และ พระคัมภีร์ทุก ๆ ศาสนาตั้งแต่เยาวัว์ย ในสมัยนั้น ศาสนาเต๋าในประเทศจีนรุ่งเรืองมากศาสนิกแยกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือ พวกขุนนางผู้มีฐานะร่ำรวย พวกนี้เติมแต่งศาสนาเต๋าให้เกิดความหรูหราโอ่อ่าในพิธีบูชา  เติมแต่งให้เกิดบรรยายกาศ สง่างามตามฐานะของหมู่พวก  ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือ ชาวบ้านทั่วไป พวกนี้อาศัยอิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเต็มที่ ท่องบ่นภาวนาใช้เวทย์มนต์คาถา ขอลาภขอผล...

        สำหรับท่าน  "เป้าผูจื่อ"  นั้น เดินสายกลาง บำเพ็ญวิถีแห่งจิต ไม่ยึดติดมุ่งหมายในลาภสักการะวัตถุใด ๆ  ในปีที่ท่านอายุได้ห้าสิบปี ราษฏรชาวบ้านถูกผู้ก่อการร้ายทำลายล้าง ท่านทะยานตัวเข้าปกป้อง บ้านเมืองพ้นภัย ฮ่องเต้ปูนบำเหน็จแต่งตั้งให้ท่านเป็นข้าหลวงพิทักษ์เมือง แต่เนื่องด้วยท่านมิ
ได้มุ่งหมายในลาภยศสรรเสริญ จึงขอย้ายตัวเองไปอยู่ที่เมือง "เจียวจื่อ"  ที่ห่างไกล ใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะหาวิเวก  ท่านได้เขียนหนังสือแนวทางการบำเพ็ญวิถีแห่งจิตสมถะไว้ ให้ชื่อว่า  "เป้าผู้จื่อ"  แปลว่า  ผู้รักษาคุณธรรมความสันโดษเรียบง่าย หนังสือ  "ประวัติพระอริยะ  เสินเซียนจ้วน"  และอื่น ๆ อีกหลายเล่ม ท่านเจริญพระชนมายุได้แปดสิบเอ็ดปี จึงได้ละสังขารจากโลกนี้  สังขารที่ท่านละไว้อยู่ในอาการนั่งหลับตาทำสมาธิ ใบหน้าอิ่มเอิบสงบเยือกเย็น กายสังขารอ่อนนุ่มเบาสบายทุกส่วน เป็นลักษณะของผู้บรรลุธรรมโดยแท้

        สิ่งศักดิ์สิทธิ์แม้จะลึกล้ำมหัศจรรย์เกินกว่าจะคาดเดาได้แต่ก็มิใช่สิ่งที่คนจะวาดภาพหรือจินตนาการเพื่อให้เป็นได้ แต่จะเป็นไปด้วยบุคคลจริง ๆ ที่ปฏิบัติบำเพ็ญจริง ๆ  ท่านเป้าผูจื่อ ได้ยกอุทาหรณ์ไว้เรื่องหนึ่งว่า  "แต่ก่อนมีชายหนุ่มขี้เล่นคนหนึ่งเอาเต่าตัวหนึ่งมาหนุนขาเตียงนอนแล้วเกิดลืมเสียสนิทจนกระทั่งชายหนุ่มแก่เฒ่าตายไป ลูกหลานย้ายเตียงเคลื่อนศพ จึงได้พบเต่าตัวนั้น  หลายสิบปีผ่านไปมันยังมีชีวิตอยู่ คนเป็นสัตว์ประเสริฐ น่าจะกำหนดจิตให้สงบนิ่งจนเป็นชีวิตวัฒนะ บรรลุธรรมได้ยิ่งกว่าเต่า  จึงต้องศึกษาวิธีและวิถีแห่งจิต" 

โลกนี้มีโอสถสามขนาน คือ
*   โอสถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ  (เซี่ยง)
*   โอสถรักษาความคิดจิตใจ  (ซี่)
*   โอสถรักษาชีวิตอมตะ   (หลี่)

        โอสถที่รักษาชีวิตอมตะ รักษาธรรมญาณดวงแก้วในตัวตน เรียกว่า  "จินตัน  ลูกกลอนทอง"   ส่วนสำคัญของยา คือ จิตที่เที่ยงตรงเคี่ยวไฟให้ได้ที่จากตัวยาในพิกัดคือ ความกตัญญู  ซื่อสัตย์จงรักภักดี  พี่น้องปรองดอง  สามีภรรยาสมานฉันท์  เพื่อนพ้องจริงใจ  ไม่สูงต่ำก้ำเกินกัน  ครบถ้วนแล้ว จงปั้นให้กลมสวยเป็นลูกกลอนทอง  ท่ามกลางมหาพลานุภาพของฟ้าดิน 

        ท่าน  "เป้าผูจื่อ"  พยายามชี้ทางตรงวิถีแห่งจิตให้แก่ศานิกของศาสนาเต๋า ที่หลงผิดงมงาย ท่านกล่าวว่า  "เซียนผู้เข้าสู่หนทางการบรรลุธรรมได้จะต้องสร้างกุศลผลบุญคุณงามความดี ตามจำนวนที่กำหนดแน่นอน หากไม่ครบถ้วนแม้จะได้โอสถวิเศษจากเซียนโดยตรงก็เปล่าประโยชน์"  ท่านเป้าผู้จื่อชิงชังการโน้มนำทำให้ผู้คนหลงเชื่ออย่างงมงาย หลับหูหลับตาทำสมาธิโดยเข้าไม่ถึงจิต หลงปฏิบัติพิธีกรรมบำเพ็ญโดยไม่เห็นอนาคต หลงทำตาม ๆ กันไปโดยไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง  ชีวิตเป็นอมตะได้ด้วย  "จิต"  ปรุงโอสถวิเศษ "ลูกกลอนทอง"  คือ  "เคี่ยวกรำจิต"  ไม่ต้องละจากผู้คนไป "เคี่ยวกรำจิต" แต่จงเคี่ยวกรำท่ามกลางเพลิงไฟจริตของตน และ ผู้คนรอบข้างเถิด   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                 ตามรอยอริยา 

                      7 พระบรรพจารย์หวังฉงหยัง

       พระเจ้าซ่งเจินจง เป็นฮ่องเต้ที่รอบรู้ในพระธรรมคัมภีร์ ทั้งพุทธศาสนา  ธรรมศาสนา (เต๋า , เหลาจื่อ) ศาสนาปราชญ์ (ขงจื่อ)  และปรัชญาของปราชญ์เมธีที่มีชื่อเสียงทั้งหลายทั้งต่างสมัยและร่วมสมัยอย่างลึกซึ้ง   พระองค์ทรงส่งเสริมผู้ศึกษาให้พยายามเข้าถึงแก่นแท้ความแยบยล อย่าได้ยึดหมายในทิฐิความเห็นเฉพาะตน  อย่าได้โจมตีกัน  ฉะนั้น ศาสนาต่าง ๆ จึงเจริญมั่นคงอยู่ในราชวงศ์ซ่ง จนถึงสมัยราชวงศ์เอวี๋ยน

        พระบรรพจารย์หวังฉงหยัง เป็นชาวเมืองเสียนหยาง ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ท่านเป็นขุนนางผู้ธำรงสุจริตธรรมความกตัญญู เมื่ออายุสี่สิบแปดปี ท่านได้รับธรรมะวิถีแห่งจิตจากจอมเซียนหลวี่ต้งปิน กับ จอมเซียนฮั่นจงหลี่  (สองพระองค์ในกลุ่มแปดเซียนถ้ำกลาง)  จนบรรลุธรรมวิเศษ จากนั้น ท่านลาออกจากราชการ  มุ่งมั่นปรกโปรดแพร่ธรรม ตามหาผู้มีบุญสัมพันธ์  โน้มนำจิตใจผู้คนให้ใฝ่ดีมีคุณธรรม  ในหนังสือประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า  พระบรรพจารย์หวังฉงหยังเป็นผู้มีพระคุณยิ่งต่อศาสนาเต๋า  (ธรรมศาสนา)  ท่านชำระสะสางปรัชญาความคิดผิดเพี้ยนที่แทรกซึมศาสนาเต๋าเข้ามาในภายหลัง ท่านจึงเป็นบรรพจารย์ที่ธำรงรักษาสัจธรรมคำสอนดั้งเดิมของศาสนาเต๋า ที่สำคัญยิ่งท่านหนึ่ง  ท่านอบรมกล่อมเกลาศิษย์ด้วย  "พระคัมภีร์กตัญญุตาธรรม  เซี่ยวจิง กับ คัมภีร์คุณธรรม  เต้าเต๋อจิง  เป็นเบื้องต้น ให้ผู้เริ่มบำเพ็ญรักษาภาวะหนึ่งเดียวของจิตไว้ได้ด้วยกตัญญุตาธรรม จากนั้นจึงอบรมกล่อมเกลาด้วย  "พระคัมภีร์ปัญญาหฤทัย"  กับ  "พระคัมภีร์วิสุทธิวิมุติ" (ปันยั่งจิง กับ ชิงจิ้งจิง)  ฉะนั้น ไม่ว่าจะจัดอบรมอรรถาธรรมที่มณฑลซันตง หรือที่ไหน ๆ ท่านก็แสดงให้เห็นว่าเป็นการ  "อรรถาธรรมสามศาสนา"  คือศาสนาพุทธ  ศาสนาปราชญ์  ศาสนาเต๋า  ซึ่งตรงต่อหลักสัจธรรมด้วยกัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                             ตามรอยอริยา 

                      7 พระบรรพจารย์หวังฉงหยัง

        ธรรมนิวาสของท่านจะแสดงชื่อว่า นิวาสสัทธรรม "เฉวียนเจิน หรือ นิวาสบัวทอง จินเหลียน " เพื่อแสดงความหมายว่า เป็นนิวาสถานเพื่อการบำเพ็ญจิตใจให้เที่ยงแท้  สงบ  สมถะ  สำรวม สมานกายใจ  เพื่อฟื้นฟูจิตดั่งบัวทองบริสุทธิ์ผุดผ่องพ้นน้ำอร่ามเรือง  ศิษย์ของท่านมีมากมาย บรรลุธรรมวิเศษกันไปมากมาย อาทิ ท่าน "ถันฉังเหยิน  หลิวฉังเซิง  ซุนปู๋เอ้อ  เฮ่าไท่กู่  หวังอวี้หยัง  และท่านชิวฉังชุน เป็นต้น" 

        เนื่องด้วยธรรมนิวาสของพระบรรพจารย์หวังฉงหยัง มีชื่อว่า  สัทธรรมเฉวียนเจิน เที่ยงแท้  การเคี่ยวกรำอบรมศิษย์ก็เพื่อให้เข้าถึงความเป็นในสัทธรรมเฉวียนเจินที่เที่ยงแท้ ฉะนั้น ต่อมาการโปรดสัตว์ของท่านจึงได้รับการเทิดทูนว่า "ศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน"   ศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจินมุ่งให้รักษาความสมถะ เรียบง่าย กล่อมเกลาบำรุงรักษาจิตบริสุทธิ์เที่ยงแท้ จิตใจใสนิ่ง สมาธิมั่นคง อุ้มชูจิตเดิมแท้ รักษาความเป็นหนึ่งไว้ ครองสติปัญญา รักษาพลังธาตุให้มั่นคง เป็นการบำเพ็ญภายในอันแท้จริง

        ส่วนการปฏิบัติภายนอก คือ สงเคราะห์ผู้ยากไร้ ฉุดช่วยคนทุกข์ยาก คำนึงถึงผู้อื่นก่อนตนเอง ไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว การบำเพ็ญและปฏิบัติถึง
พร้อมทั้งสองประการ จึงเรียกได้ว่า "สัทธรรม" 

เฉวียนเจิน จื้อไจ้โส่วผู เอี่ยงซู่เฉวียนเจิน เฉิงซินติ้งอี้ เปาเอวี๋ยนโส่วอี ฉุนเสินกู้ชี่เอว๋ยเจินกง จี้ผินป๋าขู่ เซียนเหยินโฮ่วจี่ อวี่อู้อู๋เอว๋ยเจินสิง กงสีงจวี้เฉวียนเจี้ยวเฉวียนเจิน

        ระเบียบบัญญัติในการปฏิบัติบำเพ็ญของศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน ยังมีหลักใหญ่อีกสิบห้าข้อคือ
        1.  จงแสวงหาอาณาจักรธรรมเป็นนิวาสถานเพื่อการบำเพ็ญตลอดชีวิต อีกทั้งอาศัยผู้ร่วมบำเพ็ญในอาณาจักรธรรมนั้นส่งเสริมการบำเพ็ญแก่กัน จนถึงระดับ "ในแกร่งนอกสมาน"  (เน่ยกังไอว้เหอ)

         2.  จงเดินทางท่องไปสุดหล้าฟ้าเขียวเที่ยวกล่อมเกลาเวไนย เพื่อทดสอบความจริงใจของตนที่มีต่อการปฏิบัติบำเพ็ญ หากจริง ก็จะไม่เหนื่อยหน่าย ไม่หวั่งเกรงต่อข้อทดสอบอุปสรรคขวางกั้น ไม่หวาดหวั่นต่ออันตราย  ต่อการถูกเหยียดหยามทิ่มแทง  หากไม่จริงใจก็จะได้แต่ท่องเที่ยวเพลิดเพลินชมทิวทัศน์ไป รับอุปัฏฐากโดยไม่ได้ให้คุณแก่มวลเวไนยฯ

        3.  จะต้องฝึกสวดท่องพระคัมภีร์อยู่ไม่ขาด อีกทั้งสุดท้าย จะต้องไม่ยึดหมายในพระคัมภีร์ณูปลักษณ์ แต่จะต้องให้เข้าถึงสัจธรรมดำริของอริยปราชญ์ อ่านพระคัมภีร์สำคัญที่จิตรู้แจ้ง มิใช่อยู่ที่อรรถรสสุนทรีย์ของพระคัมภีร์เท่านั้น

        4.  จะต้องหมั่นเพียรวิริยะก้าวหน้า ประหนึ่งเลือกสรรตัวยามาเข้าพิกัด ให้สรรพคุณอุ่นเย็นเข้ากันพอเหมาะ ทำให้กายใจได้รับคุณประโยชน์ถูกต้องสมดุลกัน

        5.  จงกำหนดการสร้างสถานปฏิบัติธรรม จะเป็นวัดเล็กหรือพระอารามใหญ่ ก็ให้สะอาด สงบ  ให้มีหลังคากันแดดกันฝนได้เป็นสำคัญ แต่ไม่ให้ฟุ่มเฟือยหรูหราเพื่อความโอ่อ่ามีหน้ามีตา

        6.  ผู้อยู่ร่วมบำเพ็ญ จะต้องช่วยเหลือกระตุ้นเตือนปรึกษาหารืออุ้มชูกัน เพื่อการบรรลุมรรคผลพร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อมีการถูกทดสอบยิ่งจะต้องสำแดงคุณของความเป็นผู้บำเพ็ญร่วมกัน อย่าให้มีความเบื่อหน่ายถดถอยเกิดขึ้นได้

        7.  จงรักษาคุณลักษณะความเป็นผู้มีธรรมในการนั่ง  ยืน  เดิน  นอน ทุกอริยาบทไว้ให้ดี อยู่ในอาการสงบเพื่อสำรวมบำเพ็ญจิต

        8.  จะต้องฝึกจิตปราณีต "เอาชนะมังกร สยบเสือร้ายให้ได้"  นั่นคือ การตัดกิเลสตัณหาอารมณ์ให้เหลือแต่กุศลจิตบริสุทธิ์ล้วน ๆ เพียงอย่างเดียว

        9.  จะต้องประคองรักษาจิตเดิมแท้อันใสสงบวิเศษยิ่งอันส่องเห็นตนและคนอื่นได้ให้คงอยู่เสมอ

        10.  ให้ปรับกำลังธาตุทั้งห้า คือ ทอง  ไม้  น้ำ  ไฟ  ลม ในตนให้สมานกันพอดี จนเป็นพลังธาตุสุขุมอันวิเศษประดุจเป็นหนึ่ง ณ จุดรวมศูนย์ต้นกำเนิดในตน

        11.  จงอุ้มชูรักษาจิตญาณ (ชีวิตจริง) กับกายชีพซึ่งล้วนเป็นงานอันสำคัญขอผู้บำเพ็ญจะต้องวิริยะจริงจังไม่เกียจคร้าน

        12.  จะต้องเอาแบบอย่างการปฏิบัติบำเพ็ญของอดีตพระอริยปราชญ์เป็นบรรทัดฐาน

        13.  จงศึกษาธรรมด้วยความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่นจะก้าวล่วงให้พ้นจากโลกของวัตถุนามรูป ให้พ้นจากวัฏฏะสงสารให้ได้

        14.  ผู้ได้รับวิถีธรรม ได้ศึกษาธรรม ได้ดำเนินธรรม พึงปลูกฝังตนให้มีคุณสมบัติของผู้เป็นปากเสียงแทนฟ้า ภาพลักษณ์กิริยาอาการทุกอย่างให้รื่นตารื่นใจ เป็นสัญลักษณ์ของธรรมะ ของชาวธรรม  ของหมู่คณะ  จะเป็นผู้ให้ "ธรรมะ"  ด่างพร้อยเสียหายมิได้เลย

        15.  การบำเพ็ญจนบรรลุสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิมรรค จนกระทั่งกลับคืนสู่สูญญตาภาวะนั้น เป็นเป้าหมายสุดท้ายสูงสุดของผู้บำเพ็ญ

        พระบรรพจารย์หวังฉงหยัง กับ ศิษย์เอกทั้งเจ็ด ผู้บรรลุธรรมวิเศษได้พยายามแพร่ธรรมกอบกู้อุ้มชูจิตใจสาธุชนจนได้รับการเทิดทูนจารึกจากปราชญ์เอวี๋ยนอี๋ซัน ในสมัยนั้นว่า  ทุกท่านในศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน พลิกฟื้นสัจธรรมในหมู่ผู้หลงด้วยจิตใจ  "ในแกร่งนอกสมาน"  เปิดทางบำเพ็ญโดยตรงให้แก่ทุกชนชั้นด้วยภาวะกึ่งอริยะกึ่งทางโลก บวชจิตพร้อมกับรับผิดชอบครอบครัวได้ ด้วยจิตมุ่งหมาย "นำตนบรรลุธรรม นำท่านบรรลุด้วย"  ในยุคนั้น คนที่เคยผิดบาป คนยากไร้ทุกข์เข็ญต่างได้รับโอกาสกลับตัวกลับใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่กันทุกหย่อมหญ้า ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่จีน จากเหนือจรดใต้ ที่ใดมีควันไฟบ้านช่องที่นั่นก็จะมีผู้บำเพ็ญศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน  จากป่าเขาจนถึงเมืองใหญ่ไม่ต่ำกว่าสิบล้านคน กระจายกันอยู่และรวมกลุ่มสามคนห้าคนส่งเสริมการบำเพ็ญแก่กันอย่างแข็งขันเคร่งครัด จึงเป็นศาสนิกที่สมัครสมานกันอย่างไม่มีอุปสรรคใดสั่นคลอนได้เลย

        ศาสนาสัทธรรมเฉวียนเจิน ได้รวมเอาแก่นแท้ของศานาพุทธ  ศาสนาเต๋า  และศาสนาปราชญ์ไว้ในจุดเดียวกัน นั่นคือเข้าสู่ "อนุตตรสัมมาสัมโพธิจิต" ซึ่งจะกล่าวว่า  พระบรรพจารย์หวังฉงหยังได้โปรดจุดคบไฟส่องทางให้แก่สาธุชนในธรรมกาลยุคขาวบัดนี้ไว้แล้ว ตั้งแต่พันกว่าปีก่อนก็ว่าได้   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                 ตามรอยอริยา 

                       8  พระบรรพจารย์ฮุ่ยเอวี่ยน

        พระบรรพจารย์ฮุ่ยเอวี่ยน  แซ่เจี่ย เป็นชาวเมืองเอี้ยนเหมินโหลวฝัน  มณฑลซันตง  รัชสมัยตงจิ้นเฉิง ตี้เสียนเหอปีที่แปด (ค.ศ. 333)เนื่องจากเกิดภัยสงครามนานเนื่อง เมื่อท่านอายุได้สามสิบปีจึงต้องพร้อมด้วยฮุ่ยฉือน้องชายติดตามน้าชายย้ายไปเล่าเรียนที่เมืองลั่วหยัง ท่านคงแก่เรียน ถ้วนทั่วในพระคัมภีร์?ั้งหก (ลิ่วจิง) โดยเฉพาะหลักสัจธรรมของอริยปราชญ์เหลาจื่อและท่านปรัชญาเมธาจวงจื่อ  ในปีที่ท่านอายุได้ยี่สิบเอ็ด มหาเถระเต้าอันได้มาสร้างวัดที่ภูเขาไท่หังซัน อรรถาพุทธธรรม เป็นที่ร่ำลือเลื่อมใสไปทั่ว  ขณะนั้น พระบรรพจารย์ฮุ่ยเอวี่ยน ยังมิได้บรรพชา จึงรู้สึกแปกใจว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงทรงเคารพยกย่องพระเถระเต้าอันถึงเพียงนี้ ผู้คนก็ดื่มด่ำในพุทธธรรมยิ่งนัก ยังจะมีหลักสัจธรรมใดเสมอด้วยหลักสัจธรรมของท่านเหลาจื่อและจวงจื่ออีกหรือ  เพื่อไขข้อกังขานี้ ท่านจึงพาฮุ่ยฉือน้องชายสู้เดินทางไกลนับพันลี้ ไปขอศึกษาพุทธธรรมจากพระอาจารย์เต้าอัน ในช่วงนั้น ความรู้ทางธรรมของท่านฮุ่ยเอวี่ยนมีแต่ทางด้านศาสนาปราชญ์  ซึ่งพระอาจารย์เต้าอันก็มีความรู้ทางนี้มากเช่นกัน เมื่อผสมผสานกับหลักธรรมในพุทธศาสนาแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกลึกซึ้งแยบยลยิ่งขึ้น ทำให้พี่น้องทั้งสองปลื้มปิติถึงกับอุทานว่า  "พระอาจารย์เต้าอัน สมควรเป็นพระอาจารย์ที่เคารพของเราโดยแท้ ..."  ทั้งสองพี่น้องจึงยินดีปลงผมบรรพชาทันที

        ต่อมา เกิดเหตุจลาจลในแถบภูเขาไท่หัง ท่านฮุ่ยเอวี่ยนกับท่านฮุ่ยฉือจึงต้องติดตามพระอาจารย์เต้าอันจาริกไปแสวงบุญในที่อื่น ช่วงนั้น พระสงฆ์ทั้งสามรูปต้องอดอยาก ต้องได้รับความลำบากแสนสาหัส หน้าหนาวทางภาคเหนือ ท่านมีแต่เสื่อและผ้าห่มขาด ๆ ผืนเดียว แต่ท่านยังคงวิริยะศึกษา  กลางคืนไม่มีตะเกียง  ท่านจึงอาศัยแสงตะวันสนธยาอ่านพระคัมภีร์ให้ถึงที่สุดจนมืดค่ำ จนกว่าจะมองไม่เห็นตัวอักษร

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               ตามรอยอริยา 

                       8  พระบรรพจารย์ฮุ่ยเอวี่ยน

        มีผู้เตือนท่านว่า "สภาพยากเข็ญปานนี้แล้ว ขอให้ท่านลดวิริยะลงเสียบ้างเถิด"  แต่ท่านฮุ่ยเอวี่ยนกลับตอบว่า "พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญด้วยความทุกข์ยากยิ่งกว่านี้ถึงหกปี เราสบายกว่าพระองค์มากนัก"  "ขณะนี้เป็นกลียุค เรายิ่งต้องบำเพ็ญเพียรเพิ่มพูนบารมี เพื่อให้พุทธบารมีช่วยคลี่คลายทุกข์เข็ญของชาวบ้านชาวเมืองด้วยทางหนึ่ง ขออาศัยพุทธบารมีสร้างสันติธรรมให้เกิดขึ้น ภายหน้าจึงจะมีวันปกติสุขให้อยู่ได้"  ด้วยความวิริยะอุตสาหอดทน พากเพียรศึกษา ศรัทธาเชื่อมั่น  ตั้งใจมุ่งมั่น  อายุเพียงยี่สิบสี่ปีเท่านั้น ท่านฮุ่ยเอวี่ยนก็ได้รับความเคารพเทิดทูนว่าเป็นพระมหาเถระที่สูงส่งล้ำลึกในพุทธธรรมอย่างวิเศษยิ่ง ท่านอรรถาธรรมแจกแจงได้อย่างถึงที่สุด จนพระอาจารย์เต้าอันชื่นชมว่า  "ผู้จะส่งเสริมพุทธธรรมให้แพร่หลายทั่วบูรพาทิศได้ในภายหน้า  ก็เห็นจะมีแต่ฮุ่ยเอวี่ยนนี้เท่านั้น"

        ยุคนี้  ยังมีผู้เข้าใจในพุทธศาสนาไม่ทั่วถึง พระสงฆ์ห้าร้อยกว่ารูปถูกต้องข้อหาสมคบกันมีเบื้องหลังน่าสงสัย ถูกทหารติดตามจับกุม จึงพากันหลบหนีระเหเร่ร่อนไป ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส ไม่กล้าเข้าไปบิณฑบาตรในหมู่บ้าน ได้แต่เดินป่าหาผลไม้  ใบไม้  จนถึงเปลือกไม้มาฉันประทังสังขาร
ไป แต่ทุกท่านก็ยังคงมั่นคง  อดทน  จนสุดท้ายเมื่อมาปักหลักที่เมืองเซียงหยัง จึงค่อยปกติสุขขึ้น แต่ยังต้องทำนา ต้องหาอาหารเอง
       
        สิบห้าปีที่เมืองเซียงหยัง  พระบรรพจารย์ฮุ่ยเอวี่ยน เจริญธรรมจนถึงขั้นสุดยอด เป็นหลักคานของพุทธศาสนาในประเทศจีนได้อย่างมั่นคง  วันหนึ่ง พระอาจารย์เต้าอัน (พระอาจารย์ของท่านฮุ่ยเอวี่ยน)  ถูกฝูเจียน ผู้มีอำนาจนำทหารหนึ่งแสนคนมาชิงตัวไป ท่านฮุ่ยเอวี่ยนจึงต้องรีบพาศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหมดหลบหนีไปยัง  "หลูซัน"   "หลูซัน เป็นภูเขาสูงเสียดฟ้า ลักษณะลู่ทางมหัศจรรย์ซับซ้อน จนน้อยคนนักจะขึ้นไปถึงยอดเขาได้ อีกทั้งทิวทัศน์ก็งดงามมากตั้งแต่เชิงเขาจนถึงยอดเขา  จากการช่วยเหลือของ  "หวนอี"  เจ้าเมืองเจียงโจว พระบรรพจารย์ฮุ่ยเอวี่ยนได้สร้างวัดแห่งประวัติศาสตร์ไว้บนยอดเขาทางทิศตะวันออกวัดหนึ่ง ชื่อว่าวัด  "ตงหลินซื่อ"  พระมหาเถระสหายธรรมของท่านนามว่า  "ฮุ่ยอย่ง"  ได้สร้างไว้บนยอดเขาทางทิศตะวันตกตรงข้ามอีกวัดหนึ่ง ชื่อว่าวัด  "ซีหลันซื่อ" 

        ท่านฮุ่ยเอวี่ยนได้ใช้เวลาบั้นปลายของชีวิตสามสิบเจ็ดปี ศึกษาบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นสุดยอด ณ วัด  "ตงหลินซื่อ" นี้  ระหว่างเวลาเกือยบสี่สิบปีนั้นท่านฮุ่ยเอวี่ยนได้ทุ่มเทสร้างสรรค์ นำพาสาธุชนให้ได้สวดมนต์เจริญภาวนารักษาศีล  ทำฌาณสมาธิกันมากมาย  นักปราชญ์ราชบัณฑิตที่มาร่วมสวดมนต์ด้วยก็มีมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบสามคน ซึ่งต่อมาได้ก่อเกิดเป็น "ชมรมพุทธศาสนิกบัวขาว  ไป๋เหลียนเซ่อ" ขึ้น  เน้นการสวดมนต์เป็นหลัก นั่นคือ จุดเริ่มตันของการสวดมนต์ในประเทศจีน อีกทั้งเป็นเสียงกู่เสียงแรกของการเรียนรู้  "ฌาณ"  ทางแถบใต้ลุ่มน้ำแยงซีเกียง  ชมรมสวดมนต์  "บัวขาว" ในยุคนั้นมิใช่สวดท่องปากเปล่าแต่ทุกคนเข้าถึงภาวะแห่งพระธรรมคัมภีร์ที่สวดท่องนั้นอย่างลึกซึ้ง

        ฉะนั้น สภาวะที่เข้าถึงฌาณสมาธิของผู้สวดท่องกับบรรยายกาศขณะที่สวดท่องจึงศักดิ์สิทธิ์สูงส่งยิ่งนัก การจะเข้าสู่ชมรมบัวขาวในยุคนั้น เป็นเรื่องยากพอสมควร บุคคลที่มีอำนาจวาสนาหลายคนถูกปฏิเสธ เพราะไม่สำรวม กาย วาจา ใจ  ยังเป็นลักษณะของปุถุชนมากไป กิตติศัพท์ของท่านฮุ่ยเอวี่ยนระบือไกลไปทั่วดินแดนแยงซีเกียงตอนใต้  จนแม้กวีเอกแห่งยุคนั้นคือท่าน "เถาเอวียนหมิง "  (ค.ศ. 372 - 427)  ก็อุตสา่ห์เดินทางนับพันลี้เพื่อมาเจริญธรรมไมตรีกับท่านฮุ่ยเอวี่ยน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               ตามรอยอริยา 

                       8  พระบรรพจารย์ฮุ่ยเอวี่ยน

        ต่อมา  "หวนเสวียน"  ผู้ตรวจราชการแผ่นดินราชวงศ์ "จิ้น"  เป็นขบถ ยกทัพผ่านมาทาง หลูซัน รู้สึกเลื่อมใสจึงขึ้นเขาไปนมัสการท่านฮุ่ยเอวี่ยน แต่ด้วยคงามฮึกเหิมเริงอำนาจ  ความรู้สึกเลื่อมใสจึงเป็นเพียงความชื่นชม มิได้ศรัทธาลึกซึ้งในสัจธรรม ฉะนั้น เมื่อยึดอำนาจครองราชย์แล้วจึงประกาศว่า  "อ๋องคือผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน นักบวชผู้บำเพ็ญจะต้องคุกเข่าคารวะ"  ท่านฮุ่ยเอวี่ยนได้ทราบประกาสนี้ รีบเขียนจดหมายถึงอ๋องขบถสามฉบับทันที ขอให้ยกเลิกกฏเกณฑ์นี้เสีย ต่อมา อ๋องขบถฮึกเหิมหนึกขึ้นถึงกับบัญชาให้กวาดล้างทำลายสงฆ์ทั้งหมดในบ้านเมือง แต่มีข้อยกเว้นว่า "วัดบนหลูซันบรรพต เป็นที่พำนักของผู้มีคุณธรรม ไม่ต้องตรวจค้นกวาดล้าง"  ในจุดนี้ ทำให้เห็นสถานภาพอันสูงส่งยิ่งของท่านฮุ่ยเอวี่ยนในครั้งนั้น  ท่านฮุ่ยเอวี่ยนไม่เพียงเสี่ยงชีวิตเพื่อธำรงรักษาศานาพุทธไว้ พร้อมกันนั้นยังเผาไหม้ชีวิตทั้งหมดของท่านเองเหมือนแสงเทียนละลายแท่งเพื่อให้พุทธธรรมจรัสแสงสว่างใสในใจของคนทั้งหลาย  สามสิบเจ็ดปีบนหลูซันบรรพต ท่านไม่เคยพ้นไปจากที่นั่นแม้สักก้าวเดียว

        ครั้งหนึ่ง ท่านกวีเอก "เถาเอวียนหมิง"  ซึ่งเคารพชอบพอกับท่านฮุ่ยเอวี่ยนมาก มาเยี่ยมแล้วลากลับเหมือนอย่างเคย แต่การสนทนาปรัชญาธรรมยังติดพันไม่จบความ จึงเดินคัยกันไปพลาง แต่พอถึงลำธาร "หู่ซี่"  สุดเขตกลูซัน ท่านฮุ่ยเอวี่ยนก็หยุดเดิน  ท่านเถาเอวียนหมิงจึงขอร้องท่านฮุ่ยเอวี่ยนว่า"เดินคุยกันต่อไปอีกสักหน่อยเถิด ข้ามลำธาร "หู่ซี่" พ้นเขตหลูซันไปสักเล็กน้อยคงไม่เป็นไร  ท่านฮุ่ยเอวี่ยนตอบว่า 

"จะละเลยปล่อยใจมิได้
จะตามใจใคร่อยากมิควร
ซินปู้เข่อจ้ง
อวี้ปู้เขอจั่ง

        แม้อาตมาจะยินดีเดินไปส่งท่านให้ไกลกว่านี้ แต่หากล่วงพ้นลำธาร "หู่ซี" ก็จะเท่ากับอาตมา "ปล่อยใจ ตามใจ"  ไปเสียแล้ว  ท่านเถาเอวียนหมิงถามว่า  "นี่เป็นกฏเกณฑ์ในการบำเพ็ญด้วยหรือ มีความหมายเพียงไรกับการล่วงข้ามหรือไม่ ล่วงข้ามลำธารหู่ซี"  ท่านฮุ่ยเอวี่ยนตอบว่า "เป็นกฏเกณฑ์เฉพาะอาตมา" ศาสนาปราชญ์เตือนไว้ว่า

 "อย่าเห็นความดีเพียงน้อยนิดไม่คิดทำ 
อย่าทำผิดบาปด้วยเห็นเพียงเล็กน้อย
อู้อี่ซั่นเสี่ยวเอ๋อปู้เอว๋ย
อู้อี่เอ้อเสี่ยวเอ๋อเอว๋ยจือ" 

        การไม่ล่วงข้ามลำธารหู่ซี แม้จะไม่มีความหมายสำคัญแต่เมื่ออาตมาได้ตั้งใจและไม่ละเมิดจนถึงที่สุดได้ ความหมายสำคัญย่อมเกิดแก่อาตมาผู้ถือปฏิบัติเคร่งครัดอย่างแน่นอน  คติพจน์นี้ ทำให้ท่านเถาเอวียนหมิงกำซาบใจไม่รู้หาย  ท่านถามตัวเองว่า  "คุ้มแล้วหรือกับบำเหน็จข้าวสารห้าทะนานหลวง ทำให้เราต้องโค้งตัวต่อขุนนางทุกขณะ แต่ไม่มีอิสระจะสนทนาธรรมกับมหาเถระได้" 

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”