collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: เที่ยวเมืองสวรรค์  (อ่าน 36518 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                              เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

พระศาสดาเจ้า   :  ความอัศจรรย์ของ ฟ้า - ดิน  นอกจากผู้บรรลุสัทธรรมแล้ว ทั่ว ๆ ไปก็เพียงรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ โชควาสนาที่มีการโปรดสัตว์อันยิ่งใหญ่ ความลี้ลับอัศจรรย์แห่งวิถีโคจรของฟ้า - ดิน  จึงถูกเปิดเผยเพื่อแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ใจข้าห่วงใยสรรพสัตว์ ที่ไม่สามารถจดจำหลักการ ที่จะกลับสู่ความจริง ดังนั้น จึงขอถือโอกาสนี้เปิดเผยกิจ  "ความเป็นมาของฟ้าดิน"  ให้แก่ชาวโลก เพื่อผลในการโปรดสัตว์   อันว่า ฟ้าอยู่สูง  แผ่นดินอยู่ต่ำ
มนุษย์อยู่เบื้องกลาง  ทั้งสามสิ่งสมบูรณ์ก็เกิดจักรวาล นับตั้งแต่ดึกดำบรรพ์  ฟ้า -ดิน   สุริยัน - จันทรา  ยังเป็นเอกภาพ ไม่มีการแบ่งแยก ในขณะนั้น ด้วยเอกธาตุแต่ปางก่อน ของจอมปราชญ์  พระพุทธเจ้า  พระวิสุทธิเทพ  พระมหาจอมมุนี อันนับเป็นจำนวนโกฏิ ๆ พระองค์  ที่มีธาตุอันบริสุทธิ์ที่ต่างพร้อมใจกันเปล่งรัศมีสุดประมาณ หมุนเคลื่อนอวกาศ ท่านเหล่านั้นคือ  "มหาบุรุษจอมราชัน"  ที่สถิตอยู่เบื้องสูงสุด  หรือถูกยกย่องว่าเป็น "พระผู้เป็นเจ้า"  และเนื่องจากเป็นที่กำเนิดของสรรพสิ่ง จึงขนานอีกพระนามหนึ่ง "บิดาสวรรค์  พระแม่ธรณี"   เนื่องจากไม่ทราบพระนาม  จึงเรียกว่า "มหัศจรรย์"  เนื่องจากไม่ทราบที่มา จึงเรียกว่า "องค์ปฐม"   นั่นคือ ที่มาของ  "มหาสัทธรรม"  เริ่มจากไม่มีชื่อ  "เริ่ม"  เมื่อได้มีการหมุนเคลื่อนให้ครบรอบวงกลม เอกธาตุถูกแบ่งแยก  จึงแปรเป็น  ไตรวิสุทธิ์   อันได้แก่  พระวรสุทธิ์องค์แรก  พระวิสุทธิจิต  และพระมหาวิสุทธิธรรม  เมื่อพระทั้งสามองค์ประสานเป็นกายเดียวแล้วก็กลายเป็นองค์สมบูรณ์ จากไตรวิสุทธิ์นี้  แยกออกเป็นรูปวิสุทธิธาตุที่เบาจึงลอยสู่เบื้องบน  เป็นการเบิกฟ้า กำเนิด  ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาววิเศษสามสิ่งจึงสำเร็จลง   พระไตรวิสุทธิ์ก็ได้อวตารเป็นห้าอาวุโส   บิดาธาตุไม้อยู่ทางตะวันออก   มารดาธาตุทองอยู่ทางตะวันตก   อาวุโสธาตุไฟอยู่ทางทิศใต้   อาวุโสธาตุน้ำอยู่ทางทิศเหนือ   และอาวุโสพระธรณีอยู่ศูนย์กลาง  นั่นคือ ห้าอาวุโส   

        เมื่อทั้งห้าอาวุโสอยู่ครบ ธาตุที่ขุ่นและหนักก็ตกลงสู่เบื้องล่าง  จึงเกิดแผ่นดินขึ้น  เมื่อมีฟ้า - ดินแล้ว  แต่ไม่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์  มหาบุรุษจอมราชัน จึงทำสมาธิเดินธาตุบริสุทธิ์  ให้ทั้งห้าอาวุโสจัดสร้างมนุษย์ เมื่อจักรวาลสำเร็จลง แต่ไม่มีที่สำหรับมนุษย์อยู่  ดังนั้น ทั้งห้าอาวุโสจึงแบ่งวิญญาณ  ขยายพันธุ์  ทั้งห้าอาวุโสได้รับคำสั่งแล้ว ก็ให้  แม่ธาตุทอง  กับบิดาธาตุไม้ จัดแจงให้วิญญาณไปเกิด  ขณะนั้น  ทั้งห้าอาวุโสได้เลือกเขาสิเนรุเป็นศูนย์กลางเสาะหาถ้ำที่อยู่อาศัย  นำเอาดินสีเหลืองปั้นเป็นหม้อต่างครรภ์  ทำฝาครอบกลม ๆ ปิดลง และทำที่หมุนทั้งสี่มุม  จัดตั้งให้เรียบร้อย   บิดาธาตุไม้ได้สลักเอาโลหะจากหิน ทำเป็นสามขา ต่างเป็นขาหยั่งไว้ตั้งกระทะ  แม่ธาตุทองเก็บดินห้าสี จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ปั้นเป็นเตารูปจันทร์เสี้ยว  มีน้ำเซาะหินตัดผ่านภูผา ได้หินงามประหลาด  คลุกกับน้ำแล้วกอบไว้ในเตา เอาหม้อดินวางไว้ข้างใน  ด้านนตั้งกระทะทองไว้ เอาแก่นไม้แห้งจากทางใต้ ใช้ไฟจริง (พลังจิต)  ต้มน้ำมัน  ชั่วครู่เดียว ความร้อนได้ขับดันไอ (ธาตุแท้) ออกมา  จากความสงบจึงหยดธาตุ (ไทฮั้ว) ลงสู่ในหม้อ ใต้หม้อยังมีไอ (ธาตุ)  เล็ดรอดออกมา ส่วนที่ดูดซับน้ำ ได้หุ้มธาตุทอง (กิมฮั้ว)  มีการยุบ ๆ พอง ๆ โดยธรรมชาติ  ระดับน้ำขึ้น ๆ ลง ๆ  ภายในเต็มล้นและอิ่มเอิบ

        ห้าอาวุโส สามารถล่วงรู้เหตุการณ์อันสำคัญว่า  ส่วนศรีษะแดง ได้เชื่อมติดแน่นแล้ว จึงรื้อเตาออก อุ้มหม้อออกมาดู รัศมีเปล่งประกายรอบ ๆ อยู่ถึงเจ็ดวันจึงหยุดลง   ท่านอาวุโส  ธาตุดิน  ธาตุไฟ  และธาตุน้ำ  ขึ้นนั่งในที่สูง  คอยดูอย่างตั้งใจ  (พ่อ) ธาตุไม้  และ (แม่) ธาตุทอง   จึงก่อเตาขึ้นใหม่นำหม้อขึ้นตั้งบนเตาใหม่  ยามเช้าเกรงว่าจะหนาว จึงสุมเปลวแดดไว้ข้างล่าง !  ยามเย็นก็เกรงว่าจะแห้ง  จึงหยดน้ำธาตุ  (ไท้อีก) ด้านบน  ทั้งอาวุโสธาตุไม้และธาตุทอง  ได้อาศัยวิธีหลอมทองให้เป็นรูป (กิมเอ๊กเลี่ยงเฮ้ง)  จนกระทั่งคงไว้แต่สติ  เพื่อเพิ่มพลังจิตให้ลืมความกังวล  และความคิดต่าง ๆ คงสภาพไว้เฉย ๆ คอยเพิ่มหรือลดพลังจิตตามจังหวะจนกระทั่งแล้วเสร็จ  รอคอยให้ครบกำหนด  เมื่อถึงเวลาที่ครบกำหนดแล้ว  ปรากฏมีเมฆสีต่าง ๆ ลอยอยู่เบื้องบน  น้ำมนต์ก็ปะพรมลงสู่เขาสิเนรุ ได้ยินเสียงจากในกระทะ ทั้งอาวุโสไม้ และทอง ต่างรู้ว่า  ทารกน้อยได้กำเนิดแล้ว               

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             เที่ยวเมืองสวรรค์

                                   ครั้งที่ 4

           ชมมหาสุทธิปราสาท ฟังธรรมจากพระศาสดาแห่งเต๋า

                             พระไท้เสียงเล่ากุง

                      วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง  เสด็จลงประทับทรง  กล่าวเป็นกลอนว่า   

        ท่านเล่ากุงทรงกระบือ                  ถือธรรมย่ำตะวันตก
ยานศักดิ์สิทธิ์ตถาคต                            ทะยานสู่ตะวันออก
ท่านขงจื้อท่องไป                               บนอาชาสู่รอบนอก
พระเยซู  มะหะหมัด                             ทรงอูฐทั่วทะเลทราย

พระศาสดาเจ้า   :  เมื่อเปิดฝาบนออกดู จึงเห็นมีของสิ่งหนึ่งกอดรัดอยู่  อาวุโสทองจึงเอามืออุ้มออกมาคนหนึ่ง มองเห็นเป็นทารกเพศชาย  อาวุโสไม้อุ้มอีกตนหนึ่งขึ้นมา ปรากฏเป็น ทารกเพศหญิง  ทั้งสองยิ้งร่าแล้วกระโดดออกจากระทะ  นี่คือบรรพชนในอดีต  นามว่า "มหาบุรุษ"  (ไท้เฮี้ยง)  และวรสตรี(เง็กนึ่ง)  อีกนัยหนึ่งคือ อาดัม กับ อีวา  ซึ่งเป็นพืชพันธุ์มนุษย์ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และในขณะที่ ธาตุบริสุทธิ์ ทั้งห้าทิศให้กำเนิดมนุษย์ ก็มีธาตุที่ไม่บริสุทธิ์ ซึมแผ่ออกมาด้วย คลุมทั่วพื้นพิภพ  ทำให้เกิดสัตว์ต่าง ๆ เช่น พวกสัตว์ปีก  พวกพืช  และยังมีพวกโลหะ  มีแม่น้ำ  ทะเล  มหาสมุทรไฟฟ้าในอากาศและหินไฟรวมทั้งฝุ่นละอองและสัตว์ต่าง ๆ คัมภีร์ที่ปั้นดินเสกให้เป็นคน ก็เกิดจากที่นี่  คนที่แท้ทำจากดิน  ดินให้กำเนิด  ก็ต้องอยู่กับดินไปตลอด ดังนั้นเมื่อตายลงก็ต้องคืนสู่ดินอีก การสร้างโลกจึงสำเร็จลง  ทารกทั้งชายหญิงจึงจุติจากสวรรค์มาสู่โลก  เริ่มแรกมนุษย์ยังมีกายบริสุทธิ์ เนื่องจากได้เสพสิ่งหลงติดในโลก ทั้งในที่สว่าง - ที่มืดมิด  (อิม - เอี้ยง)  ผสมผสาน  ดังนั้น มนุษย์จึงเกิดแล้วเกิดอีก  ทั้งหมดนี้ เริ่มจากที่ไร้ขอบเขต (บ้อเก๊ก) เกิดการเคลื่อนที่  ทำให้เกิดขอบเขตอันไพศาล (ไท้เก๊ก)  ขอบเขตอันไพศาลนี้มีทั้งในที่สว่าง - ที่มืดมิด (อิม - เอี้ยง)  ทำให้เกิดสรรพสิ่ง ...เริ่มจาก หนึ่งแพร่กระจายเป็นหมื่น ๆ ดังนั้น คำว่า  "สรรพสัตว์" จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  "วิญญาณ 96 ดวง"  หมายความถึง ลักษณะฟ้า 9 ส่วน  ดิน 6 ส่วน  ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

        ธาตุทั้งห้าก่อกำเนิดวิญญาณเดิม แต่ละดวงมีธาตุแท้ ดังนั้น มนุษย์จึงมีอวัยวะภายในครบทั้งห้า  มีธาตุทั้งห้าแข็งแรง  ล้วนเป็นพระคุณของธาตุทั้งห้า ในโลกนี้มีผิวพรรณต่าง ๆ กัน ทั้งห้าสี  ในทิศทางต่าง ๆ  ทิศตะวันออกผิวสีเขียว   ทิศตะวันตกผิวสีขาว   ทิศใต้ผิวสีแดง  ทิศเหนือผิวสีดำ  ทิศเบื้องกลางผิวสีเหลือง  ก็เหมือนดินเหนียวที่เผาอยู่ในเตา ความแรงของไฟไม่เท่ากัน  ทำให้เกิดแสงสีทั้งห้า

        วิญญาณเดิมจุติสู่ในโลก เริ่มแรกจิตเดิมบริสุทธิ์  มีใบไม้พันกาย จิตจึงเป็นจิตเดิม ไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด ดังนั้น พอมนุษย์ตายลงแล้วก้กลับคืนสู่สวรรค์แต่ทว่าจิตใจได้หมกมุ่นอยู่ในแผ่นดินนานเข้า  ชาติพันธุ์และวิญญาณแปรเปลี่ยน  ในสมัยโบราณยุคกลาง วิญญาณไม่บริสุทธิ์ เมื่อมนุษย์ตายลงวิญญาณจึงไม่สามารถกลับคืนสู่สวรรค์ วิญญาณที่มีบาปจึงตกต่ำ  ดังนั้น  นรกจึงบังเกิดขึ้น

        ท่านอาวุโสทั้งห้า  มีความเสียใจอย่างยิ่ง จึงได้ร่วมกันปรึกษา เพื่อวางแผนรับวิญญาณคืนถิ่น  อาวุโสทั้งห้าจึงจำเป็นต้องจุติ ลงมายังโลกด้วยตัวท่านเอง แยกกันไปคนละทิศทาง  ต่างก็เป็นจอมศาสดาของห้าศาสนา  เผผยแพร่พระศาสนาให้แก่สาวก เพื่อโปรดสัตว์ให้คืนถิ่น  แต่ว่า ภายหลังพระศาสดาเสด็จดับขันธ์ลงแล้ว พระสาวกก็ได้หลีกไกลจากพระสูตรผิดธรรมะ    ทำให้วิญญาณเดิมอยู่ห่างไกลจากธรรมะ  เกิดการกล่าวร้ายซึ่งกันและกัน  กระทำสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม  กระทบกระเทือนต่อ ฟ้า - ดิน  ท่านอาวุโส  พระแม่ (ธาตุทอง)  เศร้าเสียใจที่ลูกไม่กลับคืนถิ่น  ดังนั้น จึงมีรับสั่งให้นำพระสัทธรรมมาสู่โลก  เพื่อกอบกู้ผู้คน  เพื่อเร่งให้ได้ผลรวดเร็วขึ้น  จึงได้ลงประทับทรง สั่งสอน ปลอบเตือนลูกเกเร 

        เพราะต้องการโปรดสัตว์อย่างแท้จริง  ดังนั้น ทั้งสามภพ  ถึงได้ประชุมกันขึ้นในวันที่  1  เดือน 5  ปีมะแม  (26 พ.ค. 22)  ประธานทั้งสามภพจึงลงมติ ให้เปิดเผยสภาพทิวทัศน์ของสวรรค์ เพื่อการชักจูงเหล่าวิญญาณ ให้กลับคืนสู่สวรรค์ อันบรมสุข  อันเป็นความตั้งใจของพระแม่ หวังว่าชาวโลกเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จะกลับตัวกลับใจ เข้าหาพระสัทธรรม จะได้กลับสู่สวรรค์  วิญญาณผนึกเข้ากัน กลับคืนสู่ ไตรวิสุทธิ์เป็นเอกธาตุอีกครั้ง  เสวยสุขนิจนิรันดร์

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณ ที่ท่านศาสดาเจ้าได้เปิดเผยถึงความลี้ลับของสวรรค์ เพื่อชักนำมวลมนุษย์ เนื่องจากเวลามีจำกัด อาตมาจะพานายหยางเซิงกลับไปยังสำนัก วันหน้าค่อยมาเยี่ยมคารวะใหม่

พระศาสดาเจ้า   :  ก็ดี !  มีคำสั่ง  ขอให้เทพเต๋าตั้งแถวส่งแขกทั้งสอง

เทพเต๋า   :  รับคำสั่ง !  ขอส่ง ท่านอรหันต์จี้กง  และคุณหยางเซิงกลับสำนัก หวังว่าจะได้มาเที่ยวอีก

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ท่านจอมศาสดาแห่งเต๋า ที่ประทานวรพจน์อันล้ำค่า ขอกราบลาก่อน  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญ ท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  ถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             เที่ยวเมืองสวรรค์ :

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม         

อรหันต์จี้กง   :  กลอนบทนี้ เชื่อว่าคนจำนวนมากรู้จักกันดี แต่อย่าคิดว่าเพียงท่องได้ก็จะบรรลุธรรมก็หาไม่ เนื่องจากปากกับใจยังอยู่ห่างกัน ในบทกลอนคำว่า  "ภูผาจิต"  ก็คือ  "ภูเขาหัวใจ"   และที่นี่ก็เป็นทางสามแพร่ง ที่จะแยกไปสวรรค์ และ ยมโลก  จากถนนสู่มนุษยโลกไปสู่ถนนไปยังสวรรค์ หรือถนนไปยังยมโลก  ก็จะแยกกันตรงนี้แหละ ดังนั้น ชาวโลกหากจะปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาจากที่ไหนไกล ๆ  เพียงมีกระจกสักบานหนึ่ง ส่องดูหน้าตาตนเอง ดูซิว่าเหมือนคนดีหรือเหมือนคนเลว คลำดูที่ใจว่าเป็นใจที่ดี หรือใจเลว ภูผาจิตก็อยู่ในใจของเจ้าเอง ชั่วขณะหนึ่งที่ขึ้นภูเขาแล้วพบพุทธฉับพลันนั่นก็คือ ได้ค้นพบเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์แล้ว  วันนี้  ก็ต้องพานักทรงเอก วิญญาณเจ้าหยางเซิงไปท่องสวรรค์อีก หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ผมขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้  ก็ยังต้องไปมหาวิสุทธิปราสาท ไปเยี่ยมคารวะท่านไท้เสียงเล่ากุง ศาสดาแห่งเต๋าอีกครั้ง ศิษย์รัก  นั่งอยู้บนดอกบัวลอยละลิ่วพลิ้วไปตามลมขึ้นสู่แดนสวรรค์

หยางเซิง   :  รู้สึกร้อนเหลือเกิน

อรหันต์จี้กง   :  ก็จวนจะถึงสวรรค์ทักษิณนะซิ  ที่นี่อยู่ใกล้แนวอวกาศ อากาศเบาบางมาก จวนจะไม่มีอากาศอยู่แล้ว อีกอย่างก็เนื่องจากความเร็วของการเดินทาง จึงทำให้รู้สึกร้อน

หยางเซิง   :  ที่แท้บนแดนสวรรค์มีอากาศอยู่หรือไม่ ?.

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าไม่เคยได้ยินหรอกหรือว่า มนุษย์ที่เข้าไปในอวกาศ ต้องห่อหุ้มร่างกายไว้ อาศัยออกซิเจนจากโลกขึ้นไป มิฉะนั้นแล้ว จะเข้าไปในอวกาศได้หรอกหรือ  ปุถุชนที่มีกายเนื้อ คิดจะมีชีวิตในแดนสวรรค์จะเป็นได้อย่างไร ?. ควรจะบำเพ็ญธรรมจนได้  "กายทิพย์"  จึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นแล้ว กายเนื้อเมื่อมาถึงที่นี่คงจะแข็งตายไปเท่านั้น ด้วยเหตุฉะนี้  หากมนุษย์คิดจะย้ายมาอยู่ยังอวกาศ ก่อนอื่น ควรทำใจให้กว้างเหมือนอวกาศ กว้างจนไม่มีสักสิ่งเดียว จึงจะเบาจนรู้สึกสบาย จึงจะมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้  เจ้าเคยเห็นนายอาร์มสตรอง  ตอนที่ไปเหยียบดวงจันทร์ไหม ?.  ลักษณะการล่องลอยคล้ายเทวดาเป็นการพิสูจน์ เหตุผลที่ว่าอากาศบริสุทธิ์ จะลอยขึ้นสู่เบื้องบน เทพดา  อรหันต์  ต่างมีความสุขสบายอิสระ  อย่างไรนั้น !  เป็นเพราะได้รักษาพรหมจรรย์จนกลายเป็นพลัง ฝึกพลังให้มีสติ  ฝึกสติสู่ความว่าง  จากกายเนื้อสู่กายทิพย์ เห็นรูปเป็นอรูป (ว่าง)  ดังนั้น จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในแดนสวรรค์ พวกเจ้าควรรับรู้เอาไว้

หยางเซิง   :  ความเป็นมาของจักรวาล ทำไมจึงพิศดารอย่างนี้ ?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ :

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม         

อรหันต์จี้กง   :  สวรรค์ได้จัดระบบของจักรวาล  เช่น การโคจรตามแนววิถีของมัน พลังดึงดูดจากใจกลางของโลก เป็นบ่อเกิดของกระแสไฟฟ้า รักษาระบบการโคจรของดวงดาวให้ปกติ ไม่เกิดการเสียดสี หรือชนกันขึ้นได้  อันนี้นับว่าเป็นความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ของสวรรค์  ในโลกนี้ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า  ในแต่ละดวงดาว มีดาวเทียมประจำอยู่ สามารถเทียบเท่ากับฝีมือสวรรค์ แต่เหล่านี้ก็เทียบไม่ได้กับการฝึกใจอบรมจิตจนบรรลุปัญญามีตาทิพย์ได้เห็นความเป็นอยู่ของโลกอีกโลกหนึ่งได้ จะถ่ายทอดสภาวะแห่งความจริงได้มากกว่า  การใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์หยั่งเอานั้น ทำได้เ้เพียงผิวเผิน ส่วนของชีวิตในแผ่นดินสวรรค์ ที่สูงขึ้นไปอีกนั้น พวกเขาไม่สามารถจะรู้ได้เลย เปรียบเสมือนเจ้ามองเห็นความกว้างของท้องทะเลนั้น แต่ของมีค่าจำนวนมหาศาลใต้ทะเลและฟ้า - ดินนั้น  เจ้าจะเห็นได้ไหม ?.

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ได้เปิดเผยความลี้ลับ แห่งจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ซึ่งเป็นข่าวใหม่เสียจริง ๆ เห็นทีจะต้องประกาศให้ชาวโลกได้รับรู้กันต่อไปอีกเป็นพัน ๆ ปีเลยทีเดียว

อรหันต์จี้กง   :  ความลี้ลับของสวรรค์มีมากมาย เพียงเปิดเผยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกนั้นให้ชาวโลกค่อย ๆ ค้นหากันเอาเองเถอะ อาจารย์กับศิษย์สนทนาธรรมกันมา ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มาถึงมหาวิสุทธิปราสาท วันนี้ที่นี่สงบเงียบ ภายใต้ต้นไม้หรือศาลมีเทพเต๋าที่หน้าตาดูสดใส หรือเหล่าวิสุทธิเทพ เทพที่มีหน้าตาส่อแววเมตตาปรานี นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่

หยางเซิง   :  พวกเขาเหล่านั้น ล้วนมีรัศมีเปล่งประกาย อันนี้เนื่องจากอะไร ?.

อรหันต์จี้กง   :  พวกเขากำลังขับเคลื่อนพลังจิตให้หมุนรอบกาย จิตว่างดังอวกาศอันนี้ เป็นความสามารถขั้นสูงในการบำเพ็ญเพียร ดังเช่น แก้วมณีที่ปราศจากฝุ่นละออง ย่อมเปล่งแสงแวววาวออกมาโดยอัตโนมัติ เราอย่าได้เสียเวลาคุย รีบเข้าไปในปราสาท เพื่อขอให้พระศาสดาแห่งเต๋าทรงบรรยายธรรมเถิด

หยางเซิง   :  ก็ดีครับ !  เจ้าควายเขียวเขาเดี่ยวตัวนั้น มันเดินลอยชายอยู่ใต้ต้นไม้ ท่าทางสุขสบายเสียจริง ๆ

อรหันต์จี้กง   :  ควายนี้ มิใช่ควายธรรมดามันกำลังเดินจงกลมอยู่  พวกเรารีบเข้าไปในปราสาท ตั้งใจฟังธรรมดีกว่า

หยางเซิง   :  ครับกระผม !... ข้าน้อย ขอคารวะท่านพระศาสดาเจ้า  วันนี้ก้ได้มากับอาจารย์อีก ขอโปรดได้บรรยายธรรมเถิด ! 

พระศาสดาเจ้า   :  มิต้องคารวะ ! ท่านทั้งสองลำบากนะ ขอเชิญนั่ง !  มีคำสั่งให้เทพเต๋าบริการน้ำอมฤต ! 

เทพเต๋า   :  รับคำสั่ง !... ได้บริการแล้วขอรับ ขอเชิญท่านอรหันต์และคุณหยางเซิง โปรดใช้น้ำอมฤตเถิด

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ที่ท่านศาสดาทรงเมตตารักใคร่

พระศาสดาเจ้า   :  ไม่ต้องเกรงใจ ท่านทั้งสองได้มาเยือนอีกครั้งในวันนี้ ข้ารู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าข้าจะอยู่ในแหล่งสุขสบายแดนสวรรค์ แต่ใจยังคงห่วงถึงมวลมนุษย์ในโลก เห็นแล้วว่าผู้คนในปัจจุบันนี้ น้อยคนนักที่จะรักษาศีลธรรม  ทำให้ข้าเสียใจมาก เพื่อที่จะนำวิญญาณกลับสู่ถิ่นเดิม ดังนั้น ทั้งสามภพจึงได้เปิดประชุม โดยยอมเปิดเผยทิวทัศน์แดนสวรรค์เพื่อกอบกู้มวลวิญญาณกลับถิ่นเดิม ในการที่ท่านได้รับเกียรติ ให้ทำหน้าที่แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองสวรรค์"  ซึ่งเป็นภาระอันหนักมาก ดังนั้น  ข้าจึงยกเอาการกำเนิดของฟ้า - ดิน   และหนทางการกลับสู่สวรรค์มาเปิดเผยให้เต็มที่  จึงจะไม่ทำให้ผู้อยู่บนสวรรค์ต้องเสียใจ

หยางเซิง   :  ปัจจุบันนี้ มนุษย์กำลังหลงใหลอยู่กับวัตถุนิยม แต่สติกำลังสูญไป คิดจะเจริญสติเพื่อฝากความหวังไว้ แต่ไม่ทราบว่าจะปฏิบัติให้ถึงสัทธรรมได้อย่างไร ?. เพื่อให้ผลในการฝึก ขอเชิญท่านศาสดาเจ้าโปรดชี้แนะด้วยเถิด   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28/12/2011, 15:22 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม     

พระศาสดาเจ้า   :  การปฏิบัติแม้จะมีวิธีร้อยแปด แต่จุดหมายปลายทางก็คือ แดนสวรรค์อันสงบสุข ดังนั้นก่อนที่จะปฏิบัติ ควรเข้าใจถึงหลักของมหาสัทธรรมเสียก่อน  จะได้ไม่เสียเวลาปฏิบัติไปเปล่า ๆ สูญเสียพละกำลังในการเดินทางผิด น่าเสียดายมิใช่น้อย การปฏิบัติธรรม ข้อแรก ต้องมีบุญบารมี ผู้ไม่มีบุญก็ไม่รู้จักธรรม เมื่อไม่รู้ธรรม ก็จะตกอยู่ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยว จะไปหาที่ใดเป็นที่หยุดยืนได้เล่า แต่ธรรมก็มีการผันแปรอยู่เสมอ ผู้ที่ไม่รู้จักการผันแปรของสวรรค์นั้น แม้จะมีบุญบารมี ก็ไม่อาจบรรลุธรรมได้ ดังเช่น รู้จักทางที่จะไปที่นั่น แต่ไม่รู้ว่ารถที่จะไปจะออกกี่โมง เมื่อคนมาถึงท่ารถ รถก็ออกไปแล้ว นั่นก็เหมือนคนมีบุญบารมี แต่ไม่รู้จักการแปรเปลี่ยนของสวรรค์ ก็จะสูญเสียแรงงานไปเปล่า ๆ ก็ยังไม่เข้าสู่กระแสธรรมได้ เมื่อรู้จักการแปรเปลี่ยนของสวรรค์ ก็จะทำให้เรารู้จักการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมไม่ยุ่งยากอะไร  เพียงต้องคอยระวังทุกฝีก้าว หากไม่ระมัดระวังจะเกิดอุบัติเหตุได้ ผู้อยู่ในระหว่างปฏิบัติธรรม จะไม่ยอมให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากมีการขัดต่อระเบียบวินัย ถ้าไม่โดนปรับโทษ ก็จะมีอันตรายถึงชีวิต ยามปกติที่ทำบุญทำประโยชน์สร้างกุศล เปรียบเสมือนหนึ่งเติมน้ำมันตามรายทาง ในที่สุดก็จะไปถึงจุดหมาย พวกที่ทำบาปก่อเวร ก็เหมือนกับขวางลำชนแหลก ก็ตายอยู่บนถนนทางเดียว ไม่มีโอกาสที่จะไปถึงธรรมได้ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมพึงระมัดระวังให้มาก

หยางเซิง   :  ทางศาสนาเต๋า ถือการปฏิบัติธรรมถึงขั้นสามบุปผาชูช่อ  ห้าธาตุสามัคคี (ซำฮวยจูเต้ง  โหงวขี่เชี่ยวง้วน) เป็นจุดสุดยอดสำเร็จเป็นเทพทอง มิทราบว่าปฏิบัติอย่างไร ?.

พระศาสดาเจ้า   :  เทพเต๋า ถือว่า  "เทพทอง"  เป็นสิ่งสูงสุด นั่นคือ เทพทองอันไร้ขอบเขตมีเกิดไม่ดับ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิด  ดังนั้น  สามบุปผาชูช่อ  ห้าธาตุสามัคคี  จึงเป็นการฝึกขั้นสูงสุด  หากยังไม่บรรลุถึงขั้นนี้ ก็ไม่อาจเข้ามาอยู่ในแดนสวรรค์เทพทองอันไร้ขอบเขตได้ ข้าฯจะอธิบายสามบุปผาชูช่อ ห้าธาตุสามัคคี ให้ฟังดังนี้

                        สามบุปผาชูช่อ  (ซำฮวยจูเต้ง) 

บุปผาชน  (หนั่งฮวย) ฝึกพลังแห่งพรหมจรรย์ให้กลายเป็น  ธาตุ 
         มนุษย์นั้นเกิดจากอสุจิ  ดังนั้น  อสุจิจึงเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด  ผู้ปฏิบัติธรรมต้องทำใจให้ว่างในช่วงล่าง ตัดความกำหนัดในกามออก อสุจิไม่รั่วไหล เมื่ออสุจิเต็มเปี่ยม ก็ไม่มีความยินดีในกามแล้ว บุปผผาตะกั่วก็เกิดขึ้น 

บุปผาธรณี  (ตี่ฮวย)  ฝึกธาตุให้กลายเป็น  สติ   
          มนุษย์นั้นมีชีวิตอยู่ได้ก็อาศัยอากาศธาตุ ต้องทำให้จิตว่างในช่วงกลาง ไม่มีการหวั่นกลัว ไม่มีการโกรธแค้น อากาศธาตุจึงจะสงบราบเรียบ หนทางจะปลอดโปร่ง ธาตุในช่วงกลางจะอิ่มเอิบ จึงไม่อยากจะกินอาหาร บุปผาเงินจึงเกิดขึ้น

บุปผาสวรรค์  (เทียนฮวย)  ฝึกพลังสติให้คืนสู่  ความว่าง
        เมื่อ อสุจิ อากาศธาตุ เต็มเปี่ยม หากขาดสติก็เหมือนร่างกายไม่เปล่งปลั่ง คน ๆ นั้นก็ไม่มีชีวิต ดังนั้น พลังสติเป็นประธานการฝึก ขณะที่ใจว่างในช่วงบนไม่ติดไม่ยึด สติก็จะสมบูรณ์เต็มที่ ไม่ง่วงนอน ตื่นอยู่ตลอด เหมือนสำรอกเปลือกออก สู่ความว่างเปล่า กลับคืนสู่ดินแดนแห่งความว่างเปล่า นั่นคือบุปผาสวรรค์เกิดขึ้นแล้ว

                         ห้าธาตุสามัคคี  (โหงวขี่เชี่ยวง้วน)

1.  หัวใจเป็นที่อยู่ของจิต   ภพหลังเป็นจิตรู้อารมณ์  ภพก่อนอ่อนน้อม ว่างจากการเศร้าโศก สติจึงมั่นคง ธาตุไฟจากทิศใต้จึงเข้าร่วม
2.  ตับเป็นที่อยู่ของวิญญาณ   ภพหลังเป็นวิญญาณท่องเที่ยว ภพก่อนมีเมตตาว่างจากการหรรษา วิญญาณจึงมั่นคง  ธาตุไม้จากทิศตะวันออกจึงเข้าร่วม
3.  ม้ามเป็นที่อยู่ของธัมมารมณ์   ภพหลังเป็นธัมมารมณ์หลง ภพก่อนมีสัจจะ ว่างจากกามตัณหา ธัมมารมณ์จึงมั่นคง ธาตุดินจากทิศศูนย์กลางจึงเข้าร่วม
4.  ปอดเป็นที่อยู่ของเจตสิก   ภพหลังเป็นกุศลเจตสิก  ถพก่อนมีความซื่อสัตย์ ว่างจากโทสะ เจตสิกจึงมั่นคง ธาตุทองจากทิศตะวันตกจึงเข้าร่วม
5.  ไตเป็นที่อยู่ของอสุจิ  ภพหลังเป็นอสุจิขุ่น ภพก่อนมีปัญญา ว่างจากความสุข พรหมจรรย์จึงมั่นคง  ธาตุน้ำจากทิศเหนือจึงเข้าร่วม

        ข้อความข้างบนคือ สามบุปผาชูช่อและห้าธาตุสามัคคี  ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นต้องรวมธาตุจากห้าทิศ แปรสามบุปผาเป็น ไตรวิสุทธิ์  จึงจะคืนสู่ถิ่นอันไร้ขอบเขต ให้บรรลุถึงสภาพที่กลมกลืนโดยตลอด แต่การบำเพ็ญนั้นไม่ยากอะไรเลย  ให้รักษาพรหมจรรย์  ธาตุ  และสติไว้  ปฏิบัติตามหลักมีเมตตา  สัจจะ  มารยาท (อ่อนน้อม)  ซื่อสัตย์  และเจริญปัญญา  ให้ละว่างจาก  โศกเศร้า  หรรษา  ตัณหา  โทสะ  และความสุข  แล้วภาวะจิตก็จะเป็นอิสระ  ได้รับมรรค - ผล กลายเป็น  เทพทอง  หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า  บุคคลคน ๆ หนึ่งสามารถบำเพ็ญตนเจริญสติ  เพื่อตนเองปราศจากความผิดใด ๆ สามารถที่จะไปไหน ๆ โดยอิสระเสรี ถึงแม้จะมีกฏหมายสักหมื่นข้อ ก็ไม่สามารถเอาผิดจากเขาได้ ก็เหมือนสามารถหลุดพ้นจากสามภพ   หลุดพ้นจากห้าธาตุ  ซึ่งก็เป็นไปตามความหมายของสามบุปผาชูช่อ  ห้าธาตุสามัคคี  สามบุปผากับห้าธาตุ คือ  พลังจิตเจริญขึ้น สติตั้งมั่นเป็นหนึ่ง  ด้วยพลังอันนี้สามารถที่จะทะยานขึ้นสู่ฟ้าหรือแทรกแผ่นดิน  เทพ - เทวา ก็ไม่อาจขวางกั้น เป็นมรรคผลนิพพานที่สูงสุด เป็นเทพทองในแดนนิพพาน

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ  ที่ศาสดาเจ้าทรงบรรยายธรรม กระผมยังมีคำถามอีกข้อหนึ่ง ทำไมนอกมหาปราสาทนี้ จึงยังมีควายเขียวเขาเดี่ยว ความเป็นมาเป็นอย่างไร จะกรุณาเล่าให้ฟังได้ไหม ?.   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            เที่ยวเมืองสวรรค์ 

                                 ครั้งที่ 5

                    ชมมหาวิสุทธิปราสาท ฟังธรรมจาก

                        พระศาสดาแห่งเต๋า อีกครั้ง

                     วันที่ 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

พระอรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        พุทธจิตอยู่ที่ภูผาจิต                  มิต้องคิดหาจากใคร
ภูผาจิตอยู่ที่ใจ                                ในอกเจ้าควรพินิจ
ทุกทุกคนมีเจดีย์                              ที่สถิตบนภูผาจิต
บำเพ็ญเพียรใช้ความคิด                      เพ่งดูจิตเฝ้าติดตาม   

พระศาสดาเจ้า   :  เจ้าใคร่อยากรู้  ข้าฯก็จะเล่าพอสังเขป  เมื่อครั้งเล่าจื้อขี่ควายเขียวผ่านด่านฮ่ำก๊กกวง  เพื่อไปดปรดกษัตริย์ทางทิศตะวันตก ซึ่งชาวโลกก็รู้ประวัติดี  ข้าฯ ได้อวตารไปเกิดเป็นเล่าจื้อในประเทศจีน  ประเทศจีนสร้างชาติด้วยเกษตรกรรม และใช้ความไถนา ดังนั้น ข้าฯขี่ควายเขียวปรากฏกายช่วยชาวโลก การที่ข้าฯ อวตารเป็นเล่าจื้อ ประกาศธรรมช่วยชาวโลก ขี่ควายเขียวผ่านด่านฮ่ำก๊กกวง ถ่ายทอด  "เต้าเต็กเก็ง"  เป็นอักษรห้าพันคำให้นายด่านชื่อ  "อีฮี้"  และไปดปรดกษัตริย์ทางทิศตะวันตก คือประเทศอินเดียในปัจจุบันนี้แหละ  ดังนั้น ประชาชนชาวอินเดียจึงรู้จัก วัว  ควาย  คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็สืบเนื่องมาจากประการฉะนี้  มนุษย์ทุกวันนี้ใช้นมวัวเลี้ยงทารกให้โตขึ้นมา เกินครึ่งหนึ่งใช้นมสดจากวัว  นมผงนั้นผลิตขึ้นจากนมวัวทั้งนั้น  ทั้งนี้เพราะการชุบเลี้ยงของคนได้เสื่อมลง จึงใช้นมวัวแทน เมื่อใช้ดื่มกินเป็นเวลานานเข้าจึงติดนิสัยวัวมากขึ้น และจิตใจคนก็หลงในภพหลังเสียด้วย และเกิดอยู่บนแผ่นดินสีเหลือง จากควายสีเขียวแปรเปลี่ยนเป็นวัวสีเหลือง  มิน่าเล่าจิตแห่งธรรมจึงไม่เหมือนกัน ทำให้จิตใจเพี้ยนไป จึงหวังว่า เมื่อฟังธรรมจากข้าฯแล้ว คงนึกถึงบุญคุณของวัว - ควายบ้าง รักษาศีลเป็นขั้น ๆ ไป จึงจะได้สนองน้ำใจข้าฯ  ที่ได้อวตารมาช่วยเหลือชาวโลก แล้วไฉนควายตัวนี้จึงมีเขาอันเดียวนั้น แสดงว่าธรรมของข้าฯ  มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ไม่ว่าบนสวรรค์หรือใต้ฟ้า

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณ ที่ศาสดาแห่งเต๋าได้เปิดเผยวรพจน์ เนื่องจากเวลาดึกแล้ว อาตมาจำต้องพาหยางเซิงกลับสำนัก ต้องขอกราบลาก่อน

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ ที่พระศาสดาเจ้าประทานวรพจน์อันมีค่า เนื่องจากเวลาหมดแล้ว กระผมต้องตามพระอาจารย์กลับสำนัก ขอนมัสการกราบลา

พระศาสดาเจ้า   :  หวังว่า  ทั้งสองคงได้มาอีก

อรหันต์จี้กง   :  หากมีบุญบารมีคงได้มาอีก

พระศาสดาเจ้า   :  มีคำสั่ง ให้เทพเต๋าตั้งแถวสั่งแขก

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง ถึงแล้ว วิญญาณกลับเข้าร่าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                             เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

อรหันต์จี้กง   :  มนุษย์ทุกผู้ทุกนามล้วนรักชอบดอกไม้ ที่สวยสดงดงาม แต่ว่าดอกไม้นั้นไม่สามารถบานอยู่ได้ถึงร้อยวัน กลับมาดูนางฟ้าโปรยดอกไม้บนสรวงสวรรค์ จะไม่มีการร่วงโรยตลอดทั้งสี่ฤดู และไม่มีการหยุดในวันตรุษสารทด้วย โดยปราศจากความร่วงโรย คนเราต่างชอบอากาศบริสุทธิ์ แต่ฝุ่นละอองแห่งโลกีย์หนาแน่นขึ้นทุก ๆ วัน  จึงต้องฝืนใจสูดมันเข้าไป เมื่อฝนทิพย์โปรยปราย แผ่นดินกลับชุ่มชื้น จิตใจสดใสอารมณ์ก็เย็นสบาย ปรากฏการณ์ 2 อย่าง มันแยกให้เห็นอย่างชัดเจนมาก คือ ธาตุที่เบาและสะอาดได้ลอยขึ้นเบื้องบน กลายเป็นฟ้า ส่วนธาตุที่หนักและขุ่นจะตกลงเบื้องล่างแข็งตัว กลายเป็นดิน หวังว่าผู้คนในโลกจงรักษาจิตญาณให้ผ่องใส แผ่วเบา  สลัดทิ้งซึ่งสิ่งขุ่นข้องหมองใจ จึงจะสามารถลอยขึ้นสู่แดนนิพพานเพื่อที่จะไม่ต้องตกลงไปยังขุมนรก  เจ้าหยางเซิง เตรียมตัวออกเดินทางได้ วันนี้จะต้องไปชมสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม  กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้ ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อกี้ท่านกล่าวคำว่า  "ทัศนศึกษา"  กระผมรู้สึกว่ามีความหมายมาก ท่านอาจารย์จะอธิบายความมุ่งหมาย ของอักษร 2 ตัวนี้ ได่ไหมครับ

อรหันต์จี้กง   :  ฮาฮ้า !  พอเจ้าพูดถึงคำว่า  "ทัศนศึกษา"  สองคำนี้ ไฟในสำนักเกิดดับลงกระทันหันเลยกลายเป็น  "ทัศนมืด" มันมีความหมายจริง ๆ นะ

หยางเซิง   :  อันนี้เป็นเพราะเหตุใดมิทราบ

อรหันต์จี้กง   :  ข้าฯ รู้ก่อนที่ใจเจ้าจะเคลื่อนไหวแล้ว  เพื่อที่จะสั่งสอนพวกศิษย์ในสำนักให้รู้สึกตัว จึงแสดงอภินิหารทำให้ไฟฟ้าดับ 15 วินาที อันนี้ ประกอบด้วยความหมายอันยิ่งใหญ่นัก ตอนที่ไฟฟ้าดับ ข้าฯเห็นศิษย์แต่ละคนเหลียวหน้าแลหลังกันเลิกลั่ก คิดจะหาแสงสว่าง จึงไปหยิบเอาเทียนมาวางไว้ข้างถาดทราย อยากจะดูให้ชัดเจนว่า ที่กำลังเขียนอยู่นั้นเป็นตัวอักษรอะไร นี่แหละว่า  "ทัศนศึกษา"  (เห็นชัดแจ้ง , เห็นความสว่าง)  ดังนั้น  คำว่า "ทัศนศึกษา" คือ มองไปข้างหน้าที่มีความสว่าง ทัศนาทิวทัศน์ธรรมชาติ ทุกวันนี้โลกมีวิทยาการก้าวหน้า ผู้คนทั้งหลายต่างถือโอกาสไปทัศนาจรยังที่ต่าง ๆ ที่ใกล้ก็ทัศนศึกษาในประเทศ ที่ไกลก็ไปต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่าไปทัศนศึกษาจริง ๆ หรือเปล่า  ฮา้ฮ้า  บ้างก็ไปแหล่งเริงโลกีย์  เพื่อทัศนศึกษาในห้องมืด  อาตมาว่าเขากำลังทำการ  "ทัศนมืด"  ชาวโลกทุกวันนี้ใฝ่หาแต่สีสัน รูปโฉมต่าง ๆ หารู้ไม่ว่า ทิวทัศน์บนสรวงสวรรค์นั้นงดงามกว่าทิวทัศน์ในโลกมนุษย์เป็นหมื่น ๆ เท่า แล้วเหตุไฉนจึงไม่คิดไปเยือนด้วยเล่า  วันนี้ ข้าฯจะพาหยางเซิงไปยังปราสาททวิมานซึ่งไม่ใช่  "ไฟหิ่งห้อย"  ส่องเพื่อ  "ทัศนศึกษา"  นะ

หยางเซิง   :  นั่นเป็นบุญของผม ที่กลายเป็นนักทัศนาจรไปแล้ว ! 

อรหันต์จี้กง    :  ใช่แล้ว !  คราวหน้า เจ้าจะได้นำมนุษยชาตินับหมื่น ๆ มาที่นี่ ดั่งค้นพบแผ่นดินใหม่

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  เราต้องรีบรุดหน้าไป  ภูเขาจิตทะลุถึงพุทธจิต จากมนุษยโลกทะลุถึงแดนสวรรค์ ขอเพียงมีจิตคิดฝึกธรรม ก็สามารถบรรลุสัทธรรมได้  ตอนนี้เรามาถึงวรวิสุทธิปราสาทสวรรค์ไร้เขต เพื่อเข้าพบท่านพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  หยางเซิงเจ้าเตรียมตัวเข้านมัสการ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม !  มาถึงที่นี่จิตไม่อาวรณ์มนุษยโลก รู้สึกเบาลอยอย่างสบาย ข้างหน้ามีหอสูงตระหง่านเทียมฟ้า ทั้งสี่ด้านก็มีอาคารห้อมล้อมแสงทองสาดส่องหอทองปราสาทหยก สร้างด้วย  แก้ว  แหวน  เพชร  นิล  จินดา  ต่างกับการก่อสร้างด้วยดินไม้  เหล็ก คอนกรีต ในโลกมนุษย์ ตื่นตาตื่นใจจนไม่สามารถจะบรรยายถึงความโอ่อ่าสง่างามได้หมดสิ้น บุปผาสวรรค์โปรยปรายไม่ขาดสาย ฝนทิพย์ก็ปะพรมพรำ ๆ สนเขียวชอุ่มงามสะพรั่ง ไม่ปรากฏมีบรรยายกาศแห่งความโศกเศร้า ทุกข์ทรมานดั่งเมืองมนุษย์ นกกระเรียนขนขาวผ่องยืนพักอยู่บนต้นไม้ มัจฉาสวรรค์เวียนแหวกผุดว่ายในสระโบกขรณี ธรรมชาติงามวิจิตรพิสดาร จนชวนให้หลงใหลลืมโลกมนุษย์ ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เหตุไฉน จึงมีรัศมีสีทองเปล่งประกายระยิบระยับตลอดเวลารอบพระวิสุทธิปราสาท โดยไม่มีหยุดหย่อนเลย ?.

อรหันต์จี้กง   :  อ๋อ... อันนี้ก็คือ ขณะนี้ท่านพระรัตนญาณวิสุทธิเทพ กำลังบรรยายธรรมให้เจ้าอยู่นะซิ  แสงเหล่านี้คือ  แสงแห่งฟ้าบันดาล 36  และธรณีพิฆาต 72  ที่ได้หมุนเวียนสอดส่องในสากลโลก เรารีบเข้าไปคารวะท่านพระญาณรัตนวิสุทธิเทพกันเถอะ

หยางเซิง   :  บรรดาเทพเต๋า ต่างยืนเรียงแถว  2 ข้างทาง ประหนึ่งคอยต้อนรับเราอยู่

เทพเต๋า   :  ยินดีต้อนรับ ท่านพระอรหันต์๗ี้กง และนายหยางเซิง  ท่านพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ ขอเชิญท่านทั้งสองให้เข้าไปพบได้

หยางเซิง   :  พอย่างเท้าเข้าสู่ภายในปราสาท ณ บัลลังก์กลางห้องโถงใหญ่ มีพระผู้ทรงธรรม หน้าตาแฝงไว้ด้วยความเมตตา รอบ ๆ พระวรกายมีรัศมีเปล่งออกมา  ผินพระพักตร์มายังเรา พลางแย้มพระสรวลส่งให้... กราบคารวะ  ท่านพระญาณรัตนวิสุทธิเทพ  ข้าน้อยได้รับเทวโองการ ติดตามอาจารย์ให้มาเที่ยวสวรรค์เพื่อแต่งหนังสือ วันนี้ ได้มีโอกาสมายังไตรวิสุทธิสวรรค์ ขอความกรุณาให้ พระญาณรัตนวิสุทธิเทพประทานธรรมสักครั้ง

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  ท่านทั้งสองมิต้องคารวะ  ขอเชิญนั่งตามสบาย !  เทพเต๋า ! รีบบริการน้ำอมฤต

หยางเซิง   :  กราบขอบพระคุณ  ท่านเทพมีความกรุณาอย่างมาก   กระผมรู้สึกกระดาก ไม่กล้ารับ ! 

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้ อาตมานำลูกศิษย์มาถึงพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท  ขอท่านเทพช่วยชี้แนะเพื่อจะได้ตื่นจากความหลงงมงาย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

ญาณรัตนวิสุทธิเทพ   :  เป็นการถูกต้องแล้ว ที่สำนักของท่านรวมพลังทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ ทำการกอบกู้ชี้แนะอย่างจริงจังเพื่อเผยแพร่พระสัทธรรม และขยายศาสตร์ของท่านขงจื้อ ทั้งหลักธรรมแห่งพุทธศาสตร์ด้วย เพื่อทำการกอบกู้ชาวโลก มีความดีความชอบใหญ่หลวงนัก เมื่อได้มาถึงอนุตตรวิสุทธิปราสาทในวันนี้  ข้าฯ จะมอบคัมภีร์ญาณรัตนวิสุทธิมรรคให้   อันข้าฯ ได้สถิตอยู่ใน ไตรวิสุทธิสวรรค์นี้ เป็นผู้รักษากฏแห่งธรรม  กฏในโลกมนุษย์ก็ไม่พ้นไปจาก  36 กฏ แห่งฟ้าบันดาล  และ 72 กฏ แห่งธรณีพิฆาต ซึ่งวิทยาคมทั้งหมดนี้ ผู้คนในโลกนี้ยังไม่มีใครจะรู้ได้อย่างครบถ้วน เพราะเหตุว่าจิตใจของมนุษย์ส่วนใหญ่โหดเหี้ยม อันตราย  หากได้วิทยาคมแล้วมักจะประพฤติในทางชั่ว ไม่ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ข้อบังคับของสวรรค์  ที่ให้รักษาศีลบำเพ็ญธรรมเพื่อใช้วิทยาคมนี้ช่วยเหลือชาวโลก  ดังนั้น  ในปัจจุบันนี้การโปรดมนุษยโลก ซึ่งเน้นในทางธรรมมากกว่าทางวิทยาคม  ผู้ที่มีวิทยาคมมักจะไม่ฝึกอบรมบำเพ็ญจิต  แต่กลับหลงไปในทางอุบาทว์ จึงทำให้วิทยาคมขาดหายจากโลกมนุษย์  ทั้งนี้  ก็เนื่องจากข้าฯ ได้รับคืนมาในวันปราสาทนี้แล้ว 36 กฏ แห่งฟ้าบันดาล  และ 72 กฏแห่งธรณีพิฆาต  คือ  วิทยาคมที่รวบรวมสรรพสิ่งอันไม่มีที่สิ้นสุด  ทุก ๆ กฏจะคืนสู่ต้นสังกัด ก็อยู่ที่จิตใจเท่านั้น ดังนั้น ข้าฯจึงได้ถ่ายทอดวิชาจิตวิทยาให้แก่หยางเซิงสักบทหนึ่ง จะได้ใช้มันตามชอบใจ  เนื่องจากข้าฯ ต้องการจะกอบกู้วิญญาณกลับถิ่นเดิม จึงได้ถือโอกาสนี้บรรยายธรรม  อันว่าสามภพนั้นนับว่าศาสนาเต๋ามีความลึกล้ำที่สุด เป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่เป็นเพราะจิตใจของผู้คนไม่บริสุทธิ์ดังเช่นคนโบราณ  พลอยทำให้วิทยาคมของเต๋าดับลงไปเอง เพราะหวั่นเกรงว่า พวกที่มีจิตใจไม่ซื่อตรงเอาไปใช้ในทางทำลายคน ข้าฯจึงได้ถอนเอาวิทยาคมของเต๋าคืน แล้วได้ประทาน  "วิทยาศาสตร์  เทคโนโลยี่ อันแยบคาย"  ลงไปให้ใช้แทน  ทั้งนี้เป็นการใช้วิทยาศาสตร์เข้าเสริมให้สมบูรณ์ขึ้น ในที่นี้  ข้าฯจะบอกชื่อตามกฏ 36 กฏ ฟ้าบันดาล  และ 72 กฏ ธรณีพิฆาต  ดังต่อไปนี้

                     36  กฏ ฟ้าบันดาล
1.  หมุนเวียนธรรมชาติ                  2.  สว่างมืดกลับกัน                  3.  เคลื่อนย้ายดวงดาว

4.  คืนดวงอาทิตย์กลับสวรรค์          5.  เรียกลม - ฝน                     6.  ธรณีสั่นสะเทือน

7.  เหาะเหินเดินอากาศ                 8.  เสกน้ำให้เป็นดิน                  9.  แสงทองส่องทั่วปฐพี

10.  กลบน้ำกวนทะเลปั่นป่วน        11.  ขี้ดินเป็นเหล็ก                  12.  หายตัวในธาตุทั้งห้า

13.  หกเกราะประตูกล                 14.  สามารถรู้อนาคต               15.  เคลื่อนหิน  ทลายภูเขา

16.  ตายแล้วฟื้นคืนชีพได้             17.  ตัวลอยไปที่อื่นได้             18.  เก้าทหารพักเพื่อคืนชีพ

19.  ชักจูงให้วิญญาณปรากฏ        20.  ปราบเสือเผด็จมังกร           21.  เสริมฟ้าตากแดด

22.  ทลายภูเขาถมทะเล              23.  ขี้หินเป็นทอง                   24.  ยืนตรงไม่พบเงา

25.  ย้ายครรภ์เปลี่ยนรูป              26.  ให้เล็กหรือใหญ่สมใจ          27.  ทำให้ดอกไม้บานทันที

28.  พลังสติต้านธาตุ                  29.  มองทะลุผนังได้                 30.  คืนไฟกลับลม

31.  มือกาอัศนีทั้งห้า                 32.  ย่อดิน - ดำในน้ำ               33.  ทรายร่อนหินบิน

34.  หอบภูเขาข้ามทะเล             35.  เสกถั่วเป็นทหาร               36.  เจ็ดธนูติดหัวตะปู

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           เที่ยวเมืองสวรรค์

                                 ครั้งที่ 6

                ชมพระอนุตตรวิสุทธิปราสาท (เซี่ยงเชงเก็ง) ฟังธรรมของ

                      พระญาณรัตนวิสุทธิเทพ (เล่งป้อเทียนจุง)

                          วันที่  29 กรกฏาคม พ.ศ. 2522

อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กล่าวเป็นกลอนว่า

        บุปผาสวรรค์บานบน                  ฝนทิพย์ปลุกผู้ล่มหลง
ผู้ใฝ่ธรรมสุขสมปอง                           แผ่นดินทองผ่องสดศรี
พุทธศักดิ์สิทธิ์ที่                               ตะวันตกมีเสรี
วรปราสาทขับดนตรี                          กล่อมพระวิสุทธิเทพ

                          72 กฏ  ธรณีพิฆาต

1.  ติดต่อกันได้        2.  ขับเทพเจ้า        3.  แบกภูเขา         4.  กักน้ำ        5.  ยืนลม

6.  ทำหมอก          7.  ทำให้ฟ้าแจ้ง      8.  ทำฝน              9.  นั่งบนไฟ   10.  ดำน้ำ

11.  กั้นตะวัน       12.  ขี่ลม              13.  ต้นหิน            14.  พ่นไฟ       15.  กลืนดาบ

16.  เก็บแสง      17.  เทพเจ้าเดิน      18.  เดินบนน้ำ        19.  แยกไม้      20.  แยกกาย

21.  หายตัว      22.  ต่อหัว              23.  กายมั่นคง        24.  ฆ่ามาร      25.  เชิญเทวดา

26.  ตามวิญญาณ   27.  เก็บวิญญาณ  28.  เรียกเมฆ         29.  เก็บจันทรา  30.  ขนส่ง

31.  สมรสในฝัน    32.  ทำให้แยกสลาย  33.  ฝากไม้         34.  ตัดสายน้ำ    35.  สะเดาะเคราะห์

36.  หลบภัย       37.  เหลืองขาว         38.  วิชาดาบ       39.  ปิดให้ทาย   40.  ดำดิน

41.  ดาราศาสตร์  42.  ตั้งแนวรบ          43.  ปลอมรูป       44.  พ่นให้ละลาย 45.  ชี้ให้ละลาย

46.  แยกศพ      47.  ย้ายภาพ             48.  เรียกให้มา     49.  ลอยล่อง      50.  ชุมนุมสัตว์

51.  เรียกใช้นก  52.  กักธาตุ              53.  พลังมหาศาล   54.  ทะลุหิน       55.  เกิดแสง

56.  ปกปิดอาภรณ์    57.  ชักจูง        58.  รับประทาน       59.  หลีกเลี่ยง    60.  โดดพ้นภูเขา

61.  หัวหงอก         62.  ขึ้นรอก       63.  คืนน้ำ        64.  นอนบนหิมะ        65.  ตากแดด

66.  เล่นลูกกลม      67.  น้ำมนต์      68.  รักษาด้วยยา   69.  รู้เวลา            70.  รู้จักภูมิศาสตร์

71.  อดอาหาร        72.  บวงสรวงแก้บน

        ในสมัยนั้น 36 กฏ ฟ้าบันดาล มีสิ่งที่เป็นไปแล้วดังนี้ คือ
1. คนโบราณสามารถทำให้สว่างเป็นมืด ทำให้มืดกลับสว่าง เดี๋ยวนี้มีไฟฟ้า กลางคืนก็ทำให้สว่าง เช่น ตลาดกลางคืนคึกคัก กลางวันไม่ค่อยมีคน

2. คนโบราณสามารถเหาะเหินเดินอากาศ  เดี๋ยวนี้  ก็นั่งเครื่องบินเดินอากาศ เป็นวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไป 

3. คนโบราณมีวิธี แยกย้ายดวงดาว คนสมัยนี้ก็เปลี่ยนหัวใจ เปลี่ยนไตได้ อาจใช้ของสุนัข หรือ ลิง  มาเปลี่ยนให้คนได้ อันนี้คือหลักการแยกย้ายดวงดาว

4. คนโบราณเขาหายตัวในธาตุได้ ปัจจุบันก็คือ การหายตัวในธาตุต่าง ๆ ได้ เช่น หายตัวในธาตุน้ำ โดยเรือดำน้ำ ธาตุทองก็มีเครื่องไอพ่นทำขึ้น

5. คนโบราณสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต ปัจจุบันมนุษย์มีเครื่องเรด้าร์  สามารถรู้ตำแหน่งของเครื่องบิน ข้าศึก หรือรู้เรือดำน้ำที่จะลอดเข้ามาได้ สามารถรู้การเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ  โดยเครื่องมือวิทยาศาสตร์

6. คนโบราณสามารถลอยตัวไปที่ไหน ๆ ก็ได้ สมัยนี้มีเครื่องบิน รถไฟฟ้า ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ไปอยู่ที่อื่นแล้ว

7. คนโบราณสามารถทะลายภูเขา ถมทะเลได้ สมัยนี้ก็มีระเบิด ๆ ภูเขา นำไปถมทะเลได้

8. คนโบราณปราบเสือเผด็จมังกร คนสมัยนี้ใช้แส้ไฟฟ้าสยบเสือมังกร

9. คนโบราณมีฤทธิ์มองทะลุผนังได้   สมัยนี้มีโทรทัศน์ ส่งภาพเป็นพัน ๆ ไมล์ ตอนนี้เหมือน  "คนพันตา"  แล้วมีโทรศัพย์ฟังได้ไกลเป็นหมื่น ๆ ไมล์ ก็เหมือนคน  "หูทิพย์" แล้ว

10. คนโบราณเสกถั่วให้เป็นทหารได้ สมัยนี้สร้างลูกระเบิดเพียงลูกเดียว พอระเบิดก็กระจายเป็นหลาย ๆ ชิ้น ก็เหมือนเสกถั่ว พิษสงร้ายแรงมาก

        ทั้งหมดนี้เปรียบเทียบโบราณกับปัจจุบัน ให้ดูว่าเหมือนใน  36 กฏ ฟ้าบันดาลอย่างไร                               
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29/12/2011, 22:46 โดย jariya1204 »

Tags: