เที่ยวเมืองนรก
ครั้งที่ 32 วันที่ 2 กรกฏาคม พ.ศ. 2520
ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย
ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า :
ข่มทำลาย ทั้งเจ้า - โคตร อดสูมาก
ยกต่างชาติ หมิ่นตนเอง ไร้คุณธรรม
ศีลธรรมจีน สืบต่อกัน หลายพันปี
วัฒนธรรม เลื่องลือดี ใหญ่ยิ่งเอย
วิญญาณโทษ : เอาครับ กระผมตอนเป็นนุษย์ได้เล่าเรียนศึกษาไม่น้อย ถึงขั้นมหาลัยได้รับการอบรมจากแผนสมัยใหม่หลงใหลแบบอย่างทางตะวันตก ในมหาวิทยาลัยมีศาสตราจารย์ท่านหนึ่งเป็นผู้ถือศาสนาคริสต์ ท่านปลอบให้กระผมถือคริสต์ด้วย โดยบอกว่าไม่เพียงแต่จะศึกษาภาษาอังกฤษในชั้นสูงแล้วยังมีโอกาสไปเรียนนอกอีกด้วย กระผมคิดถึงหนทางในอนาคตเห็นว่าการนี้ก็เป็นทางที่ดีทางหนึ่งเหมือนกัน เลยตกลงรับคำอย่างง่ายดาย จากนั้นมาพอมีเวลาว่าง ก็ไปโบสถ์ฟังการบรรยายธรรมจากบาทหลวง เรียนภาษาอังกฤษ สาวกผู้ถือคริสต์ล้วนแต่งกายแบบสากลทันสมัย ฉะนั้นผู้ถือคริสต์จึงมีคนหนุ่มมาก ที่เป็นเพื่อนฝูง ประการแรกจะได้ความรู้ ประการสองสามารถรู้จักคนมาเป็นเพื่อนกันได้มากขึ้น และมีการจัดงานต่าง ๆ เสมอ คิดเป็นคณะสังคมแห่งคนหนุ่มคณะหนึ่ง หลังจากรับการล้างบาปแล้ว ในใจคิดว่าทางบ้านไหว้เจ้าไหว้พระมันไม่เหมาะสมกับกาลสมัยเสียแล้ว ล้วนเป็นการไหว้ตัวรูป เป็นผู้ที่งมงาย ตอนโรงเรียนปิดพักร้อนกระผมกลับไปอยู่บ้าน ก็ตั้งใจเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือของคนในบ้าน เริ่มพูดจาหว่านล้อมบิดามารดา ให้ละทิ้งนับถือในตัวรูป เื่องจากบิดามารดาหลงใหลเชื่อถือยึดมั่นมานาน จึงไม่ยอมเชื่อฟังคำกระผม กระผมเกิดความโกรธเคืองขึ้นในแวบหนึ่งก็เลยขนเอาป้ายเจ้าป้ายของบรรพบุรุษไปโยนทิ้งยังพื้นดิน บิดามารดาเห็นเข้าโกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลือง คว้าเอาเก้าอี้ฟาดตีกระผม เมื่อได้รับการเสียดแทงใจจากการนี้ กระผมจึงไม่กลับไปอยู่บ้านอีก เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ได้ติดตามบาทหลวงออกไปประกาศธรรมและได้เข้าทำงานในคริสต์สมาคมนั้น ต่อมาตายลงด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ขณะที่ตายนั้นพระผู้เป็นเจ้าพระเยซู ก็มิได้ให้เกียรติมารับไปขึ้นสวรรค์ กลับมีแต่ยมทูต ๆ 2 ตนคุมตัวมายังนรกผ่านการตัดสินจากยมบาลแล้วให้คุมขังไว้ใน "นรกพร่าหัวใจ" ขอท่านยมบาล อภัยโทษให้กระผมด้วยเถิด
เซียมล้ออ๊วง : การนับถือศาสนานั้นอันที่จริงแล้วก็ิได้แบ่งแยกออกเป็นเขตแดนอันใด ทุก ๆ ศาสนาล้วนจะเลื่อมใสนับถือได้ แต่แกนี่มันลืมตัว(ลืมต้นตระกูล) ทำลายล้างผลาญป้ายเจ้าป้ายบรรพบุรุษ การเชื่อถือแบบแกอย่างนี้จะสอนให้ชาวมนุษย์ที่ดื่มน้ำต้องรำลึกถึงแหล่งต้นน้ำได้อย่างไร(หมายความว่า ระลึกถึงบรรพบุรุษที่ให้กำเนิดสืบต่อ ๆ มา) ถึงแม้ว่าผู้เผยแพร่ศาสนาบอกไม่ให้กราบไหว้ "ตัวรูป" แต่แกไม่เข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริง ไม้กางเขนคัมภีร์คริสต์บาทหลวงนั้นก็เป็นตัวรูปเช่นเดียวกัน และแกทำไมจึงกราบไหว้นับถือเล่า ?. ที่ว่า "สลัดทิ้งซึ่งตัวรูป" ก็คือต้องการให้แกมองเห็นความไม่เที่ยงแท้ในโลกมนุษย์ อย่าไปหลงใหลเสพสุขทางเรือนร่าง (เนื้อหนังมังสา) ควรเสริมสร้างความว่างเปล่าทางจิตใจให้เต็ที่ "ไม่ไหว้ตัวรูป" ก็คือ ยกย่องการเชื่อถือเลื่อมใสแห่งจิตใจ เพื่อที่จะแสวงหาทางอยู่ยืนยงตลอดไป แกเข้าใจในความหมายนี้ผิดไป การทำลายป้ายชื่อบรรพบุรุษเท่ากับตัดขาดกุศลบุญของบรรพบุรุษ อยากจะถามว่าตัวแกมาจากแห่งใด?. แกแซ่อะไร?. ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษสวรรค์ "ตั่วเซี่ยงตี่" (พระเจ้าองค์ใหญ่) บรรพบุรุษคือ เสี่ยวเซี่งตี้ (พระองค์เจ้าเล็ก) แกมันลืมต้นตระกูลข่มโคตร ไม่ใช่ความมุ่งหมายอันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นสวรรค์จึงไม่รับ ต้องตกลงมาอยู่ในนรกในเมื่อแกสารภาพมาตามความจริงจะลดโทษให้ 2 เดือน เมื่อหมดกำหนดการลงโทษแล้ว ให้ส่งไปยัง 6 ช่องทางเพื่อไปผผุดเกิดอีกครั้ง
อรหันต์จี้กง : การเลื่อมใสนับถือศาสนาคือการฝึกฝนอบรมจิตใจ มิใช่ว่าพวกปัญญาอ่อนวุ่นวายกันเอง การต่อต้านซึ่งกันและกันอ้างตนเองถูกต้อง กฏสวรรค์ได้วางไว้แน่วแน่แล้ว ที่โจมตีหาว่าศาสนาอื่นไม่ถูกต้อง อ้างอวดว่าศาสนาตนเองถูกต้องนั้น ได้บังเกิดจิตใจแห่งการแบ่งแยกแล้ว จิตแห่งเมตตากรุณานั้นสูญสิ้นไปแล้วจึงไม่สามารถสำเร็จธรรม ถ้าหากว่าคนพวกนี้สามารถสำเร็จธรรมแล้วก็หมายความว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเกิดการลำเอียง ต้องดูคนนับถือศาสนาใดแล้วจึงจะให้คุ้มครอง เมื่อนั้นแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้าก็จะเกิดขัดแย้งวุ่นวาย สวรรค์ก็จะกลายเป็นสนามรบ จะมีชื่อว่าแดนแห่งความผ่องแผ้วสดใสยอดสุขได้อย่างไร?. วันนี้เวลาหมดแล้ววันอื่นค่อยมาเยี่ยมชมใหม่ เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก
เซียมล้ออ๊วง : นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์
หยางเซิง : เพราะเหตุเวลาดึกมาก อยู่นานไม่ได้ขอขอบคุณท่านยมบาลและพัศดีกับนายทหารทั้งหลายในการให้คำแนะนำ เราขอลาก่อนละ
อรหันต์จี้กง : รีบขึ้นดอกบัว
หยางเซิง : กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านเดินทางกลับเถิด.....
อรหันต์จี้กง : ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม