collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ท่องนรก  (อ่าน 85973 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                      เที่ยวเมืองนรก

                 ครั้งที่ 3  วันพฤหัสบดีที่  16  กันยายน  พ.ศ. 2519

                   ตอน ท่องแดนต่อแดนระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก

                             เยี่ยมชมหอทะเบียนเมืองนรก 

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน  ความว่า 

        พุทธนที                ไร้คลื่น                  ผงธุลี
ตัดราคี                          ทางสวรรค์             ที่จิตไซร้
วันเวลา                         ดั่งจรวด                เคลื่อนผ่านไป
วุ่นวายใจ                       หกทางเกิด            แสนอนาจหนอ

อธิบดีกรมทะเบียน   :  ความคิดของมนุษย์โง่เง่าสิ้นดี  ไร้เดียงสาเสียจริง ๆ  ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ยังมิได้มีใบอนุญาตขับขี่ เมื่อมาเมืองนรกซึ่งมีถนนหนทางคับแคบ แม้จะใช้เดินก็ยังยาก หากจะขับรถก็คงเกิดอุบัติเหตุเป็นแน่ และเมืองนรกก็ไม่มีปั้มน้ำมัน ดังนั้น รถเก๋งในที่นี้จึงไม่เหมาะที่จะใช้  พูดถึงพัดลม  เตียงสปริง อื่น ๆ  ทางที่ดีที่สุดคือ ใช้ในเมืองมนุษย์  ทางนรกได้เตรียมเตียงไม้ไว้คอยต้อนรับพวกวิญญาณบาปอยู่แล้ว ยังคิดจะเสพสุขด้วยหรือ ?. ผู้ก่อกรรมทำเข็ญลุ่มหลงมัวเมา พอหลุดเข้ามายมโลก ต้องตกเข้าไปในคุกนรก  จะสะดวกสะบายได้อย่างไร ?.  ชาวโลกจะเพ้อฝันเกินไปเสียแล้ว

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ  ท่านำกระผมท่องนรกในวันก่อน ครั้งแรกได้พบเห็น  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  ไฉนวันนี้ ก็เป็นแดนต่อแดนระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก  ทำให้กระผมรู้สึกสับสนงงงัน ! 

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าตามข้าฯไป  ข้าฯจะอธิบายชี้แจงให้เจ้าเข้าใจ  ท่านอธิบดีฯ  เราศิษย์ - อาจารย์  ขอลาก่อน 

อธิบดีกรมทะเบียน   :  หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ขอได้โปรดประทานอภัยด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องเกรงใจ

หยางเซิง   :  ขอขอบพระคุณท่านอธิบดี ฯ มาก ๆ  ที่ได้ชี้แจงอธิบาย เราสองคนขอลาก่อน  ท่านอาจารย์ครับ  เมื่อกี้ท่านว่าจะเล่าเรื่อง  "ภูเขาขั้วหัวใจ" กับ  "แดนต่อแดนมนุษยโลกกับยมโลก"  ขอได้เร่งเล่าให้ทราบด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี่แหละ คือสถานที่พาเจ้ามาเมื่อวันวาน 

หยางเซิง   :  โอ !! อักษร  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  เจิดจ้าอยู่ตรงหน้า  สภาพของแดนต่อมนุษย์ - ยมโลกหายไปในทันใดเสียแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  ก็คือ แดนต่อแดน  ถ้าหากผู้คนก่อกรรมทำเข็ญ เมื่อสิ้นลมถูกทูตผี  "ขาวดำ"  สองตนคุมตัวมายังที่นี้ เพราะวิญญาณเดิมไม่สะอาดหมดจด  เมื่อพบแสงอันเจิดจ้าบนยอดเขานัยน์ตาเบิกยาก ก็จะพลัดร่วงตกลงไปในถ้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุด  ที่อยู่ข้าง  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  ถ้ำนี้ทะลุไปยัง  "แดนต่อแดนมนุษยโลกกับยมโลก"  หากว่าผู้บำเพ็ญธรรมสร้างบุญกุศลมหาศาล เมื่อสำเร็จในการบำเพ็ญแล้ว ดวงวิญญาณผ่านมาทางนี้  บนภูเขาจะปรากฏหนทางที่จะขึ้นสู่สวรรค์ มีแสงทองแพรวพราวสว่างไสวขึ้นมาทันที  แล้วกุมารทองกับนางฟ้า จะมาต้อนรับนำขึ้นสู่สวรรค์  ถ้าว่าผู้ประกอบบุญ ขนาดรองลงมา  หรือมีบุญกุศลน้อยก็จะพบหนทางกว้างสองวาอยู่ข้างภูเขา  โดยมีกุมารเทพนำรายงานตัวต่อเขตแดนมนุษย์ - ยมโลก แล้วจึงเข้าไปยังเมืองนรก  มอบให้ยมบาลสอบสวนเรื่องบุญบาป  จากนั้นก็พาเข้าไปที่ชุมนุมแดนกุศล  มอบให้เทวดารู้มีส่วนบุญติดต่อกัน รับตัวกลับไปยังแดนสวรรค์ต่าง ๆ เพื่อฝึกฝนบำเพ็ญธรรมดาต่อไป  วันนี้เวลาหมดลงแล้ว เราเตรียมกลับกันเถอะ 

หยางเซิง   :  ขอรับบัญชา  นั่งบนดอกบัวเรียบร้อยแล้ว.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว   หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                     เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 4  วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม

                                   เรื่อง รวมทุกศาสนา 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกายตรัสเป็นกลอนความว่า  : 

        หมู่มวลเทพ                  มีน้ำจิต                  คิดสงสาร
ทิพย์อาสน์                           มิทันนั่ง                 สู่โลกดึก
ใบไม้ร่วง                            ลมหนาวเหน็บ          บ่รู้สึก
ในส่วนลึก                           ร้อนระอุ                  ห่วงประชา   

อรหันต์จี้กง   :  เตรียมท่องนรก  เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  น้อมรับคำบัญชา นั่งเรียบร้อยแล้ว เริ่มเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว  รีบลงจากดอกบัวเสีย

หยางเซิง   :  ข้างหน้ามีประตูเมือง ๆ หนึ่ง ด้านบนมีตัวอักษรสามตัวเขียนไว้ว่า  "ประตูผี"  ที่แท้ประตูผีอยู่ที่นี่เอง แต่เหตุใดประตูเมืองจึงไม่เปิด แต่ได้ยินเสียงฝูงชนภายในร้องดังกระจองอแงสนั่นดังมาก

อรหันต์จี้กง   :  แต่ไหนแต่ไรมาประตูผีไม่เคยเปิดออก ชาวโลกล้วนบุกรุกเข้ามาเอง ข้า ฯ จะใช้พัดโบกทีเดียวก็จะเปิดออกเอง

หยางเซิง   :  ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ท่านอาจารย์เพียงโบกเบา ๆ เท่านั้น ประตูผิเปิดอ้าออกทันที แต่คนตายไม่มีพัดศักดิ์สิทธิ์ จะเข้าประตูผีได้อย่างไร ?.

อรหันต์จี้กง   :  คนตายแล้วกลายเป็นผีซึ่งสิ้นสุดในทางของมนุษยโลก ประตูผิีก็เปิดเป็นระบบธรรมชาติของโลกและเมืองนรกแยบยลมาก เดินเร็วเข้า  ข้าฯ จะพาเจ้าไปเยี่ยมชมสถานที่ที่หนึ่ง อย่าได้เอาใจใส่ต่อสิ่งไร้สาระเลย

หยางเซิง   :  ขอน้อมรับคำบัญชา แต่ภายในประตูผีฝูงชนมากมายเช่นนี้  เสมือนหนึ่งในตลาดสด มิทราบว่าพวกนั้นจะมุ่งไปแห่งใด?.

อรหันต์จี้กง   :  วิญญาณผีเหล่านี้มุ่งไปรับการพิจารณาโทษ จากสิบขุมนรก  ยมทูตต่างก็ทำหน้าที่นำทางไป วันนี้เราจะไม่เยี่ยมชมสิ่งเหล่านี้ รีบเดินตามข้า ฯ มาเถิด

หยางเซิง   :  ขอรับ กระผม  หนทางนี่ขรุขระกันดารมาก จะไปทางใดเล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  เดินอีกสองลี้  เจ้าก็จะได้รู้ทุกอย่าง

หยางเซิง   :  ผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้าเรานั้น เหตุใดจึงถูกยมทูตนำตัวคืบหน้าไป ?.

อรหันต์จี้กง   :  ชนผู้นั้นคือ ผู้บำเพ็ญธรรมแห่งนิกายทรงเจ้า ตอนอยู่ในแดนมนุษย์ไม่สามารถบรรลุธรรมที่แท้จริง เที่ยวบริภาษศาสนาอื่น ๆ ดังนั้นเมื่อตายลงแล้วต้องได้รับการลงโทษยังเมืองนรก

หยางเซิง   :  ตรงหน้ามีหอสูง มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า  "รวมทุกศาสนา"  นั้นเป็นแห่งหนตำบลใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  ก็คือที่นี่แหละ  เพราะทุกวันนี้มีศาสนามากมาย และนิกายต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เปล่งปลั่งจรัสแสงพวกลูกศิษย์ ไม่บรรลุธรรมที่แท้จริง ต่างโจมตีกันและกัน เลยทำให้สูญเสียซึ่งความหมายของการบำเพ็ญธรรม ประพฤติผิดในเรื่องวจีกรรม เมื่อตายแล้วก็ต้องตกเข้าสำนักธรรม  "รวมทุกศาสนา"  เพื่ออบรมบำเพ็ญธรรมอีกครั้งหนึ่ง  ข้างหน้าท่านอาจารย์มาแล้ว เจ้ารีบเข้าไปกราบนมัสการเร็ว

หยางเซิง   :  กระผม  ขอกราบนมัสการท่านอาจารย์ทั้งหลาย

ศาสนาจารย์   :  ยินต้อนรับท่านจี้กงและหยางเซิงผู้ทรงเอกแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  เราได้รับคำบัญชาให้ต้อนรับท่านอยู่แล้ว เชิญลุกขึ้นเถิด อย่าได้มีพิธีมากนักเลย

อรหันต์จี้กง   :  อาตมาพาหยางเซิงมายังที่นี่ในวันนี้ ขอให้ท่านศาสดาจารย์ได้โปรดพาเยี่ยมชมและให้การชี้แจงอธิบายด้วย

ศาสนาจารย์   :  ไม่ต้องเกรงใจ เชิญตามันเข้ามายังห้องประชุม เชิญท่านทั้งสองนั่งตามสบาย

หยางเซิง   :  "รวมทุกศาสนา"  มีความหมายมากมายจริงจัง แต่กระผมไม่ทราบรายละเอียด ขอท่านได้โปรดอธิบายชี้แจงด้วยเถิด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                      เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 4  วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม

                                   เรื่อง รวมทุกศาสนา 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกายตรัสเป็นกลอนความว่า  : 

        หมู่มวลเทพ                  มีน้ำจิต                  คิดสงสาร
ทิพย์อาสน์                           มิทันนั่ง                 สู่โลกดึก
ใบไม้ร่วง                            ลมหนาวเหน็บ          บ่รู้สึก
ในส่วนลึก                           ร้อนระอุ                  ห่วงประชา   

ศาสนาจารย์   :  โลกปัจุจับันนี้มีศานาใหญ่อยู่ห้าศาสนา คือ ศาสนาขงจื้อ  ศาสนาเต๋า  ศาสนาพุทธ  ศาสนาคริสต์  และศานสาอิสลาม  เรียกว่าศาสนาดั้งเดิมถ่องแท้ แต่ทั้งห้าศาสนตร์เดิมเกิดจาก  "เต๋า"  ในบุพกาลนั้นไม่มีคำว่าศาสนา  ต่อเมือ่สวรรค์ได้ดปรดนักปราชญ์เมธีชน ให้ไปสู่มนุษยโลกยังประเทศต่าง ๆ ปรพกาศธรรมแทนสวรรค์ สั่งสอนให้มนุษย์ปฏิบัติกฏแห่งสวรรค์และอยู่ในทางธรรมเพื่อที่มวลมนุษย์จะได้คืนสู่ดั้งเดิม ซึ่งเป็นที่มาของวิญญาณ  หากแต่ละศาสนาจารย์ เมื่อวายปราณหรือนิพพานแล้ว สาวกทั้งหลายมีความคิดเห็นแตกต่างกันแยกออกเป็นคนละทาง กลายเป็นต่อต้านซึ่งกันและกัน ไม่บรรลุถึงคำว่าทะเลเป็นที่รวมของแม่น้ำลำธาร และแต่ละศาสตร์ล้วนเป็นเผ่าเดียวกันแต่เดิม ต่างตั้งนิกายของตนไม่ยอมลงกับใครอวดอ้างตนเองเลิศล้ำสูงส่ง ศาสตร์อื่นต่ำต้อย ดังนั้น เมื่อตายแล้ววิญญาณไม่สามารถหลุดพ้นจากชะตากรรม เลยตกมายังที่นี่  "เง๊กเสียงอ๊วงตี่"  ไม่อาจเห็นมวลชนตกจ่ำลุ่มหลง จึงได้โปรดให้จัดตั้ง  "รวมทุกศาสนา"  คือทุกศาสนาคืนสู่ต้นสังกัดหรือรวมทุกศาสนา เพื่อสั่งสอนอบรมบำเพ็ญธรรมที่หลงใหลให้บรรลุธรรมที่แท้จริง แล้วจึงได้ขึ้นสู่สวรรค์

อรหันต์จี้กง   :  ท่านศาสนาจารย์พูดถูก  แต่เจ้าหยางเซิงยังไม่สามารถเข้าใจถึงความละเอียดอ่อน สู้นำพาไปเยี่ยมชมถึงสถานที่ไม่ได้ ดังที่สุภาษิตกล่าวว่า  "ได้ยินร้อยครั้งก็ไม่เท่ากับตาเห็นครั้งเดียว"

ศาสนาจารย์   :  ก็ได้  ตามฉันมาเถิด

หยางเซิง   :  ห้องโถงนี้มีเนื้อที่หลายร้อยไร่ ข้างในดูคล้ายกับวัดโบสถ์  มีคนหลายหมื่นนั่งเต็มไปหมด มีทุกชาติทุกภาษา ด้วยประหนึ่งว่ากำลังเตรียมตัวเข้าเรียนในโรงเรียน

ศาสนาจารย์   :  ใช่แล้ว  กำลังเตรียมตัวเข้าเรียน ท่านทั้งสองตามข้าฯ ไปข้างหน้า นั่งที่ของแขกผู้มีเกียรติฟังการแสดงธรรม

หยางเซิง   :  ยากที่ในโลกมนุษย์จะพบเห็นสภาพการณือันยิ่งใหญ่มโหฬารแบบนี้ บนกระดานดำข้างหน้ามีตัวอักษรว่า  "รวมทุกศาสนา"  มึครูหัวโล้นผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายสงฆ์  ทุกคนลุกขึ้นทำความคารวะ แล้วนั่งลง

ครู   :  วันนี้ หยางเซิงแห่งสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้งเมืองไถ่ตง เมืองมนุษย์ได้มาร่วมการประชุม  ขอให้ปรบมือแสดงความยินดีต้อนรับ

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ !  ชนต่างชาติต่างภาษาเหล่านี้ ไฉนจึงสามารถฟังเข้าใจในภาษาจีน ?.

 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                      เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 4  วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม

                                   เรื่อง รวมทุกศาสนา 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกายตรัสเป็นกลอนความว่า  : 

        หมู่มวลเทพ                  มีน้ำจิต                  คิดสงสาร
ทิพย์อาสน์                           มิทันนั่ง                 สู่โลกดึก
ใบไม้ร่วง                            ลมหนาวเหน็บ          บ่รู้สึก
ในส่วนลึก                           ร้อนระอุ                  ห่วงประชา   

อรหันต์จี้กง   :  ในโลกใหญ่ไพศาลนี้ แม้ว่าต่างชาติต่างภาษากัน แต่ที่นับถือก็ไม่พ้นจากที่ที่พึ่งทางใจ และก็ทุกคนมีความคิดที่ตรงกันด้วย เมื่อตายลงแล้ววิญญาณเดิมก็ผ่องแผ้วเปล่งปลั่ง จึงไม่แบ่งแยกชาติภาษาในเรื่องของใจ เปรียบเสมือนฟ้าร้องทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษาล้วนตระหนักดีว่าฝนจะตก บัดนี้ได้ยินเสียงท่านครูผู้สอนจึงทราบถึงความหมายดังที่พระพุทธท่านตรัสว่า  "พระพุทธเจ้าแสดงธรรมด้วยภาษาเดียว แต่มวลมนุษย์ต่างก็เข้าใจได้"  อย่าถามมากนักเลย ฟังท่านอาจารย์แสดงธรรมเถิด

ครู   :  มนุษย์นั้นแม้ว่าจะอยู่เป็นหมื่นจำพวก แต่ก็มีความนึกคิดเป็นอันเดียวกัน เมื่อมีชีวิตอยู่ต่างอยู่คนละทาง เมื่อตายลงแล้วก็รวมอยู่ที่เดียวกัน มวลมนุษย์ของโลกถึงผิวพรรณจะแตกต่างกัน แต่เมื่อมีความหิวโหยก็รู้จักหากิน กลางคืนรู้จักหลับนอน ปกคลุมด้วยฟ้าและอาศัยอยู่บนดิน ต่างอาบด้วยแสงตะวันและแสงเดือน ชุ่มชะโลมด้วยน้ำทิพย์จากฟากฟ้า นับได้ว่าต่างคนต่างได้รับความเมตตาปราณีจากสวรรค์ด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หากแต่เหตุที่นับถือในศาสนาแตกต่างกัน จึงเกิดการโจมตีกันซึ่งกันและกัน โดยกล่าวว่าพวกตนสามารถขึ้นสู่สวรรค์ ศาสนาอื่นต้องตกนรก  ทำเอาสวรรค์ที่กลมกลืนผ่องแผ้วมาแต่ดั้งเดิมนั้น สร้างเป็นห้องหอบนอากาศ  และจองจำตนเองอยู่ในนั้นเปรียบเสมือนว่าเข้าไปอยู่ในกรงนกที่แขวนไว้กลางเวหาและผยองยิ้มว่าตนเองนั้นสูงส่งยิ่งนัก โดยหาใครเสมอเหมือนได้ไม่ คึกคนองปลื้มใจส่งเสียงหวีดร้อง นี้แหละคือนรกในสวรรค์  นักโทษของสวรรค์ล้วนเป็นแกะ ที่กำลังรอความช่วยเหลือ โดยมิใช่ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพวกเจ้าทั้งหลาย  เมื่ออยู่แดนมนุษย์พร่ำรำพึงว่าจะขึ้นสวรรค์ แต่ว่าบัดนี้กลับตกลงมาอยู่ในนรก พวกท่านตกถึงนรกในวันนี้ เป็นรูปร่างกายหรือรูปร่างนั้นมีผิวดำ  ขาว  เหลือง  นุ่งห่มเสื้อผ้าอาภรณ์ด้วยสีแดงเหลืองเขียวและเสื้อดอก  แต่ว่าใจที่ดั้งเดิมนั้นไม่สามารถจะระบายด้วยสีสัน หากว่าเกิดมีนิสัยกีดกัน ขาดจิตใจที่ร่วมบำเพ็ญธรรม แล้วความโอบอ้อมอารีเมตตาธรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?. แสงฟ้าแสงจันทร์ฉายส่องผู้คนทั้งบุญทั้งบาป มาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยที่จะลำเอียงผู้ใด ดังนั้น ท่านจึงฉายแสงเจิดจ้าตลอดกาลหอมฟุ้งไปนับหมื่นนับแสนปี พวกท่านก็ควรสำนึกให้ตนเองอย่าเกิดความรังเกียจ ขณะนี้อยู่ในกาละที่ธรรมปกคลุมแพร่ขยาย ทุกศาสนากลับคืนต้นสังกัดเดิม (หรือเรียกว่ารวมศาสตร์)  คืนสู่สังกัดเดิมก็คือคืนสู่จิตใจ ทุกคนมีใจสมัครสมานเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน เพื่อช่วยเหลือกัน ซึ่งกันและกัน แต่ละศาสตร์ควรเปิดประตูรับผู้ที่มีบุญตามที่ตนสร้างไว้ แม้ว่าตัวศาสนาจารย์จะไม่ใช่คนเดียวกัน แต่จิตใจความมุ่งหมายนั้นตรงกัน  คือหวังให้มวลมนุษย์พร้อมรวมกันไปสู่ทางธรรมะ สร้างโลกมนุษย์ที่วุ่นวายเหลวแหลกให้เป็นอาณาจักรแห่งปทุมโลก ศาสนาจารย์ท่านช่วยจิตใจและวิญญาณของมนุษย์ รูปร่างตัวตนธรรมดาท่านช่วยไม่ได้ ดังนั้น จึงปรากฏความจริงแท้ภายในส่วนลึกของจิตใจ จะช่วยปลดเปลื้องให้สบายใจขึ้นก็ด้วยเหตุนี้เอง จึงสามารถบรรลุถึงขั้นโลกุตรธรรม และทุกผู้ทุกนามสามารถบรรลุอรหันต์หรือเทวดา  สำเร็จเป็นปราชญ์เป็นเทวดา หากตรงกันข้ามกับทางนี้ก็จะต้องตกลงนรกกลับไปสู่ทางเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง

อรหันต์จี้กง   :  เวลาหมดลงแล้ว ขอลาท่านศาสนาจารย์ โอกาสหน้าจะได้มาเยี่ยมใหม่ เจ้าหยางเซิงรีบคำนับลาท่าน เร็ว

หยางเซิง   :  ท่านศาสนาจารย์ กระผมมีความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลาหมดลง จะต้องรีบกลับคืนไปยังสำนัก ขออภัยในการออกจากที่ประชุมโดยมิทันสิ้นสุด เสียมารยาทมาก

ศาสนาจารย์   :  หาเป็นไรมิได้ เราทั้งหลายพร้อมที่จะส่งท่านกลับ

อรหันต์จี้กง   :  เจ้ารีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว ฟังธรรมวันนี้มีความรู้สึกประการใดบ้าง ?.

หยางเซิง   :  ครูผู้นั้นพูดเข้าทีมีเหตุผลมาก ทุกวันนี้แต่ละศาสนาต่างต่อต้านกัน  ตนเป็นผู้ค้าแตง ก็คุยอวดว่าแตงของตนหวาน ถ้าหากว่าคนในโลกมนุษย์จะพูดว่าท่านลองมารับประทานดูเถิด เช่นเดียวกับคนดื่มน้ำร้อน หรือน้ำเย็นย่อมรู้แก่ใจตนเอง ชั่วดีฉันใดให้ผู้ซื้อวิจารณ์เอาเองเห็นจะยุติธรรมมากกว่านั่นคือความรู้สึกที่แท้จริง

อรหันต์จี้กง   :  มนุษย์ล้วนแล้วแต่ดื้อรั้นไม่คมคายนั่นแหละยากที่จะขึ้นสวรรค์ได้ นักปราชญ์อรหันต์เทวดาทั้งหลายล้วนประกาศธรรมแทนสวรรค์ มีความเที่ยงธรรมที่แท้จริง  หากว่าชาติหน้าเจ้าได้ไปเกิดที่ต่างประเทศ เจ้าจะเลื่อมใสนับถือศาสนาของประเทศนั้น ๆ แม้จะเป็นเช่นนี้ อาตมาก็จะต้องช่วยชักนำเจ้าให้พ้นจากทางหลงใหล มิฉะนั้น อาตมาจะสำเร็จเป็นอรหันต์ได้อย่างไรเล่า ?. แม้ทางเดินเป็นทางแคบและลำเอียง อาตมาหวังให้มวลมนุษย์แสดงความมีสาธารณจิต ใจสลัดทิ้งซึ่งความนึกคิดเห็นแก่ตัว  มิฉะนั้นแล้วสวรรค์ของเจ้าก็จะมีเนื้อที่ก้าง 5 ฟุต ไม่สามารถบรรลุรับชนทั่วทั้งโลก เอาละ เซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            เที่ยวเมืองนรก

                 ครั้งที่ 5   วันพุธที่ 22 กันยายน  พ.ศ. 2519

                  ตอน ท่องแดนนรกขุมที่ 1 สนทนากับยมบาล

                            "ซิ่งก้วงอ๊วง"

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        อันความรัก                 โลภโกรธหลง                  ชีวิตหมอง
แม้นป้ายทอง                      ยอดบัณทิต                     ก็ไร้ค่า
แดนสงบ                            ดีเยี่ยม                          ผิดธรรมดา
ดั่งเทวา                             เพลิดเพลิน                     ไร้กังวล

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เตรียมท่องเมืองนรก หยางเซิงไฉนเจ้าจึงมีจิตใจไม่อยู่ในสมาธิ

หยางเซิง   :  มีเรื่องวุ่น ๆ อยู่รอบกาย จิตใจถูกแบ่งแยกไปหลายทาง จึงทำให้ความสมาธิถูกทำลายไปสิ้น

อรหันต์จี้กง   :  การท่องเมืองนรกไม่ใช่เรื่องเล็กดังเด็กเล่นขายของ  หากว่าใจไม่สงบวิญญาณของมนุษย์ก็ยากที่จะเข้าสู่แดนนรกได้  แต่ว่าถ้าคืนนี้ไม่สามารถไปท่องชมยมโลก ก็จะทำให้เสียเวลาในการแต่งหนังสือ อาตมาจะให้ยาบังคับจิตใจให้วงบเม็ดหนึ่ง รีบกินเข้า... เตรียมท่องนรกได้แล้ว

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก กระผมกลืนยาลงแล้ว  รู้สึกใจคอกระปรี้กระเปร่า ความวุ่น ๆ อันตรธานไปหมดแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นดอกบัวเร็ว เริ่มเดินทางได้แล้ว... เอ้าถึงแล้วละ

หยางเซิง   :  ที่นี้คือแห่งหนตำบลใด ?. ข้างหน้ามีปราสาทอยู่หลังหนึ่ง เงาผู้คนขวักไขว่สับสน มองดูแล้วไม่สู้จะแจ้งชัดนัก 

อรหันต์จี้กง   :  ข้างหน้านั้นคือ  "แดนนรกขุมที่ 1"   เรารีบเข้าไปคำนับท่านยมบาลกันเถิด

ยมบาล   :  ขอต้อนรับท่านอรหันต์จี้กงกับคุณหยางเซิง ผู้ทรงพู่กันศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง  เมืองไถ่ตง

หยางเซิง   :  ขอแแสดงความคารวะท่านยมบาลซิ่งก้วงอ๊วง   คืนนี้กระผมตามท่านอาจารย์มารบกวนถึงที่ปราสาทของท่าน ขอได้โปรดอภัยให้ด้วย

ยมบาล   :  ไม่ต้องเกรงใจ  เชิญตามฉันเข้ามายังในปราสาท เชิญนั่งพักที่ห้องรับแขก สักครู่จะสั่งให้นายพลนำชาทิพย์มาเสริร์ฟ

นายพล   :  ขอรับคำบัญชาจากท่าน 

ยมบาล   :  ท่านอาจารย์  และท่านหยางเซิง เชิญดื่มน้ำชา

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิง  รีบดื่มเร็ว   ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องลังเลใจ

หยางเซิง   :  กระผมมิกล้าดื่ม  ได้ยินเขาพูดกันว่าหากคนในโลกมนุษย์มายังยมโลก เมื่อรับประทานอาหาร ของกินของยมโลกแล้วก็จะไม่สามารถกลับคืนสู่แดนมนุษย์โลก  ดังนั้น เชิญท่านรับประทานตามอัธยาศัยเถิด

ยมบาล   :  หยางเซิง ท่านสำคัญผิดเสียแล้วละ  ที่ชาวโลกเล่าลือกันว่ามนุษย์ห้ามรับประทานของยมโลกนั้น เพียงแต่พูดในทางที่เกี่ยวกับคนธรรมดาสามัญเท่านั้น ยมโลกกับโลกมนุษย์นั้นนะต่างก็มีเจ้าปกครองกันทั้งนั้น ก็ควรที่จะไม่ปะปนยุ่งเกี่ยวกัน  แต่ว่าท่านรับโองการมายังที่นี่ อยู่ในฐานะแขกผู้มีเกียรติ และยังมีท่านอาจารย์นำมาด้วย ไฉนจึงไม่สามารถกลับคืนสู่แดนมนุษย์ ?.

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิง เจ้าวางใจเถิด มีเทวโองการอยู่ในตัวแล้ว ภูตผีตนใดกล้ามาขวางทางล่วงเกิน ใครมาละเมิดอำนาจของพระบรมราชโองการ ล้วนต้องถูกทำโทษอย่างนัก อย่าหวั่น ดื่มเร็ว ๆ

ยมบาล   :  ชาวโลกล้วนแต่รักชีวิตกลัวความตาย แต่ท่านหยางเซิงกลัวตายโดยไม่กล้าดื่มน้ำชาอย่างนี้ยังพอที่จะให้อภัยได้ ชาวโลกโดยทั่วไปนั้นรู้ก็รู้อยู่ว่า การก่อกรรมทำเข็ญนั้น จะต้องตกอยู่ในทางหายนะ แต่ก็ยังมิยอมหยุดยั้ง กลับมุ่งไปข้างหน้า ก้าวเข้าไปในหลุมฝังศพเป็นสิ่งที่น่าอนาถใจยิ่งนัก

หยางเซิง   :  กระผมดื่มแล้วละ คอกำลังแห้งอยู่ด้วย ขอเรียนถามว่าข้างนอกมีผู้คนมากมาย เรียงแถวกันมานั้น เพื่อการใดมิทราบ ?.

ยมบาล   :  ฉันควบคุมขุมที่ 1  เมื่อชาวโลกตายฃลงแล้วต้องไปรายงานตัวต่อหอทะเบียนก่อน และยมทูตก็จะคุมตัววิญญาณนั้นมายังที่นี้ และเก็บทะเบียนรายงานเข้ามาอยู่ในแฟ้มของยมโลก ฉันก็จะตรวจดูความดีความชั่ว  ผู้ที่กระทำความดีไว้มาก ก็จะพาเข้าไปเยี่ยมชมนรกแต่ละขุม หรือให้อาจารย์ผู้มีพระคุณเคยร่วมสร้างบุญต่อกันพากลับไปอบรมฝึกฝนใหม่  หรือส่งไปยังกรมสมนาคุณผู้ทำความดี หรือที่โรงผู้ทำความดี  ผู้ทำความชั่วมากกว่าผู้ทำความดี ก็จะสังคุมตัวไปยังขุมที่สองรับการพิจารณาโทษ  หรือคุมตัวส่งไปยังกรมลงทัณฑ์ ผู้กระทำชั่ว ถ้าหากมีโทษสถานหนัก ก็ต้องคุมไปหอกระจกวิเศษ (คือกระจกที่สามารถสะท้อนตัวจริงในครั้งที่มีชีวิตอยู่ของวิญญาณ  เพื่อฉายตัวจริงให้เห็นกระจ่างต่อสายตา ทำให้ต้องก้มกราบรับสารภาพโทษทัณฑ์ ครั้นแล้วจึงส่งไปยังขุมที่ สอง

หยางเซิง  :  ข้างนอกพวกวิญญาณของผู้ตายส่งเสียงร้องไห้ไม่ขาดระยะ  ท่าทีน่าอนาถใจมาก มีทั้งผู้เฒ่าผู้เยาว์ทั้งชายหญิง มิทราบร้องไห้เพื่อการใด?.

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                  เที่ยวเมืองนรก

                 ครั้งที่ 5   วันพุธที่ 22 กันยายน  พ.ศ. 2519

                  ตอน ท่องแดนนรกขุมที่ 1 สนทนากับยมบาล

                            "ซิ่งก้วงอ๊วง"

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        อันความรัก                 โลภโกรธหลง                  ชีวิตหมอง
แม้นป้ายทอง                      ยอดบัณทิต                     ก็ไร้ค่า
แดนสงบ                            ดีเยี่ยม                          ผิดธรรมดา
ดั่งเทวา                             เพลิดเพลิน                     ไร้กังวล

ยมบาล   :  ชาวโลกเมื่อมาสู่ขุมนี้ เข้าใจแล้วว่าตนเองหลุดพ้นจากมนุษยโลก แต่ขณะมีชีวิตอยู่ไม่เชื่อเรื่องผัสางบาปบุญกรรมตามสนอง เมื่อตกลงมาถึงที่นี่ จึงรู้ว่าไม่ใช่ พอคนตายแล้วทุกอย่างก็จะสูญสิ้นไป  ที่สุภาษิตว่า   "เมื่อสิ้นลมปราณทุกสิ่งก็หมดลง มีแต่กรรมติดตามตนในทางนรก"  วิญญาณนั้นตระหนักดีว่า จะต้องถูกพิจารณาโทษจากยมโลก ทุกวิญญาณใจสั่นขวัญแขวนร่ำร้องคร่ำครวญ พรรณาถึงความหลัง ซ้ำยังพลัดพรากจากญาติมิตรแห่งแดนมนุษย์ ลูกแก้วเมียขวัญเงินทองห้องหอ  ความรักอาลัยยากที่จะตัดออกได้ เมื่อนึกถึงเวลานี้ มีแต่ตัวคนเดียวหลุดลอยในแดนนรก จึงนึกอาลัยอาวรณ์ เกิดความรัญจวนร่ำไห้

หยางเซิง   :  เหตุใดพวกยมทูต จึงไม่สู้นับถือต่อพวกวิญญาณนั้น ต้อนด้วยง่ามเหล็ก เฆี่ยนด้วยแส้ ทุกวิญญาณต่างก็เงียบหงอย ไม่ส่งเสียง น่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง

ยมบาล   :  วิญญาณเหล่านี้ เมื่ออยู่ในแดนมนุษย์ไม่มีศีลธรรม ดังนั้น ยมทูตจึงไม่มีการเกรงใจต่อมัน อันเป็นโทษทัณฑ์ที่สมควรสนองรับ ดังคำกล่าวว่า  "หนามยอกต้องใช้หนามบ่ง  มิควรฉวยโอกาสข้ามแม่น้ำ"  หากว่าเมื่อตอนมีชีวิตอยู่มีใจเป็นธรรมกรุณา เมื่อวายปรารแล้ว ยมทูต  เทพทูต  ก็จะต้องให้ความเคารพ  ซึ่งชาวโลกเป็นผู้กระทำเอง จึงได้รับผลตอบแทนแห่งกรรมนั้น ท่านมิควรให้การเห็นใจสงสารด้วย

หยางเซิง   :  มนุษย์เราถ้าหากไม่ประกอบกรรมดี  ตั้งอยู่ในศีลธรรมบำเพ็ญประพฤติแต่ความดีแล้ว  เมื่อตายลงก็จะน่าสมเพชเป็นยิ่งนัก บุตรหลานของผู้ล่วงลับไปแล้วหารู้ไม่ว่า บรรพบุรุษของตนถูกทรมานในยมโลก ถูกพวกยมทูตเฆี่ยนตี ก็คงจะอดสูใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ชาวโลกที่จะหาวิธีตอบสนองบุญคุณของบรรพบุรุษ ก็เพียงแต่บำเพ็ญธรรมและสร้างความดี เพื่อนำเอาความดีนี้ไปช่วยกอบกู้วิญญาณของผู้ล่วงลับ เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากแดนนรกโดยเร็ว

อรหันต์จี้กง   :  ชาวโลกผู้ที่ไม่ตั้งตนรักษากฏระเบียบทางบ้านเมืองและทำแต่ความชั่ว ไม่อยู่ในขอบข่ายของกฏหมาย จะต้องทำให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับได้รับความกระทบกระเทือนด้วย  ที่เรียกว่า  "เจ็ดชั่วโคตร"  เลือดเนื้อสืบต่อกัน เวียนว่ายสนองรับกันไป จงสำเหนียกให้หนัก คืนนี้เวลาหมดลงแล้ว เตรียมกลับสำนัก 

บมบาล   :  ขอนมัสการส่งท่านอาจารย์ด้วย

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว เตรียมกลับได้.....  ถึงสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างเดิม 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เตรียมท่องนรก ได้เวลาแล้ว เจ้าจงเตรียมตัวเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เชินท่านอาจารย์เริ่มการได้แล้ว

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว  รีบลงจากดอกบัวเสีย

หยางเซิง   :  ที่นี่เป็นแห่งหนตำบลใด ?.  เหตุใดดจึงมีฝูงชนแออัดยัดเยียด ด้านหลังมียมทูตควบคุมไปยังหอข้างหน้า ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี้คือ  "หอกระจกวิเศษ"  (หอกระจกสะท้อนบาปกรรม)  ชนเหล่านี้ล้วนก่อกรรมทำเข็ญในขณะอยู่เมืองมนุษย์ หรือไม่มีศีลธรรม วิญญาณของผู้กระทำบาป เมื่อตายลงแล้วไปรายงานตัวที่ขุมที่หนึ่ง  แล้วก็ถูกคุมตัวมาขึ้นหอกระจกนี้ ให้ปรากฏร่างกายเดิมเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ว่าได้ทำบาปอย่างไร ?.  ทำให้วิญญาณโทษรู้เห็นการทำบาปในโลกมนุษย์นั้น ไม่สามารถรอดพ้นกฏหมายยมโลก เมื่อวิญญาณโทษเหล่านี้ขึ้นไปยังหอแล้วล้วนใจสั่นขวัญเสีย กลัวเกรงเรื่องไม่ดีที่ตนทำไว้ในเมืองมนุษย์จะปรากฏขึ้น  อับอายชาวบ้าน เราเดินตามหลังขึ้นไปชมดูบนหอกันเถิด

หยางเซิง    :  ยินดีครับ  ดูให้ถึงที่สุด เข้าใจให้ถ่องแท้

นายพลคุมหอ   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง  เมืองไถ้้่ตง

อรหันต์จี้กง   :  โปรดอย่าได้มีการแสดงคารวะ เราศิษย์อาจารย์ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองนรก วันนี้เลยมาเยี่ยมชม  เชิญท่านนายพลนำพาหยางเซิงขึ้นไปตรวจชมบนหอ 

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ต้องไปกับกระผมด้วยนะครับ  มิฉะนั้นกระผมคนเดียวอยู่ในถิ่นที่แปกใหม่อย่างนี้ ไม่กล้าเดินเหินด้วยตัวคนเดียว

อรหันต์จี้กง   :  ก็ได้.   เราตามนายพอขึ้นไปบนหอเถิด ... ยืนชมอยู่ข้าง ๆ ก่อนเถอะ     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

หยางเซิง   : โอ้ !!!  ผู้เฒ่าคนนั้นถูกยมทูตคุมตัวอยู่หน้ากระจก ไฉนเงาที่ปรากฏกลายเป็นคนหนุ่ม  กำลังปืนข้ามกำแพงบ้านของชาวบ้านแล้วลงไปเปิดหน้าต่าง  โดดเข้าไปในบ้าน ในบ้านมีสามีภรรยากวัยกลางคนกำลังนอนหลับ คนหนุ่มผู้นั้นทำการเปิดตู้เปิดหีบ คล้ายกับว่ากำลังค้นหาสิ่งของอะไร ! ชายวัยกลางคนผู้นอนหลับเกิดตื่นขึ้น ตกใจร้องเสียงดังสนั่น หนุ่มคนนั้นชัดมีดสั้นโดยพลันและจ้วงแทงคนวัยกลางคนผู้ตื่นขึ้น โอย !!! เลือดสด ๆ ไหลทั่วกายกระผมไม่กล้าดู

นายพลคุมหอ   :  ไม่เป็นไร ! ไม่ต้องกลัว นี้แหละเป็นความแยบยลพิศดารของหอกระจกวิเศษ ผู้เฒ่านี้เมื่อสมัยเป็นคนหนุ่มเคยเข้าไปลักทรัพย์ของผู้อื่น เจ้าบ้านรู้สึกตัวก็เลยชัดมีดแทงเจ้าบ้านตาย มาบัดนี้วิญญาณโทษนี้ได้ตายลงแล้ว มายังยมโลกต่อหน้าหอกระจกวิเศษเรื่องบาปที่ก่อไว้ก้ปรากฏออกมาทันที

หยางเซิง   :  หอกระจกวิเศษนี้สร้างขึ้นจากวัสดุอันใด ?. ไฉนจึงวิเศษพิศดารถึงปานนี้

อรหันต์จี้กง   :  กระจกวิเศษนี้ สร้างขึ้นโดยพลังแห่งสวรรค์ และธรณี จากการรวบรวมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสากลโลก วิญญาณของปุึถุชนเมื่อลอยมาถึงที่นี่ ก็จะฉายร่างเดิมให้ปรากฏออก ไม่มีการแอบแฝงแต่อย่างใดแม้แต่นิด ที่แท้แล้วนั้นไม่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของกระจกวิเศษนี้หรอก เพราะเหตุว่าชาวโลกจากวัยเด็กถึงวัยแก่ ในชีวิตของตนสร้างบากหนักหนา  แต่มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ  การกระทำของตนเองตัวเองย่อมรู้จิตใจของตัวเอง  ก็คือกล้องถ่ายรูปกล้องหนึ่ง  เก็บเอาการกระทำต่าง ๆ ในขณะที่อยู่ในเมืองมนุษย์โลกเอาไว้  นี่แหละคือ  "กระจกใจ"  ถึงแม้ว่าชาวโลกแอบกระทำความผิด โดยผู้อื่นไม่สามารถรู้เห็น  แต่ทุกคนถามใจตัวเอง ตัวเองย่อมรู้ การใช้มือเท้า  การเดินเหิน ก้ไม่อาจพ้นจากการบัญชาของหัวใจ เครื่อง ๆ นี้คือเจ้าแห่งสามแดนสถิตอยู่ในที่ลับ  คอยลอบบันทึกเก็บภาพใหญ่น้อยทุก ๆ เหตุการณ์ เมื่อคนตายลงมาถึงหน้าหอกระจกวิเศษ เนื่องจากหอกระจกนี้ เป็นที่รวมแห่งกระแสบวกและกระแสลบ พอสัมผัสกับกลิ่นไอแห่งวิญญาณ - ร่างกายของมนุษย์กระแสไฟ จะรวมเข้าสู่วงจรทันที  ทำการฉายออกซึ่งภาพของมนุษย์นั้น ๆ ที่ได้กระทำไว้ในปางก่อน ดังนั้นผู้กระทำบาป เมื่อมาถึงหอกระจกวิเศษแล้ว  ความจริงต่าง ๆ ก็จะปรากฏออกมาทันที โดยมิอาจปิดบังอำพรางได้ ดังที่คำพุทธท่านกล่าว  "กฏทุกกฏล้วนเกิดจากใจ"  ก็คือเหตุผลที่แท้จริงของสิ่งนี้

หยางเซิง   :  ที่แท้เป็นดังนี้เอง  แต่ว่าวิญญาณของผู้ทรงธรรมมาถึงทีนี่ หอกระจกวิเศษจะใช้การได้หรือเปล่ามิทราบ

นายพลคุมหอ   :  วิญญาณผู้ทรงธรรมไม่ต้องหลุดมาสู่หอกระจกวิเศษนี้  คุณดูที่หน้าหอเขียนไว้ว่า  หอกระจกวิเศษจะไม่มีคนดีเลย  ผู้ทรงธรรมเมื่อตายลง วิญญาณท่านผ่องแผ้วใสสะอาด  หน้าหอกระจกวิเศษมีแต่ขาวใสว่างเปล่าเสมือนฟีล์มว่างไปแล้ว  เพราะเหตุว่าในจิตใจไม่มีสิ่งชั่วร้ายแออัดอยู่ด้วย จึงมองไม่เห็นร่างเดิมของเขา  หากว่าวิญญาณผู้ทรงธรรมยิ่งสดใสสะอาด  บุญกุศลยิ่งทวีคูณ  ก็มุ่งไปแดนสวรรค์ หรือให้ขุมอื่น ๆ ตรวจสอบ บุญบาปโดยตรง โดยมิต้องมายังที่นี่  ดังนั้นกระจกวิเศษนี้จึงมีอีกชื่อว่า  "กระจกเวรกรรม"  ผู้ใดที่สร้างบาปในแดนมนุษย์เมื่อตกมาถึงที่นี่แล้วก็จะปรากฏร่างเดิมขึ้นทันที  เจ้าจงเยี่ยมชมอีกครั้งเถิด ! 

หยางเซิง   :  หญิงสาวผู้นี้ถูกยมทูตควบคุมตัวไปหน้าหอ เธอไม่กล้าเข้าไป ออดอ้อนร่ำไห้อยู่ไม่หยุดยั้ง ท่าทีน่าสมเพชเวทนามาก ทำให้เกิดความสงสารยิ่งนัก แต่ยมทูตก็ไม่มีการปรานีสงสารเอ็นดู หญิงงามเลยต้องถูกปฏิบัติเช่นเดียวกันกับนักโทษอื่น โดยใช้ง่ามเหล็กคุมให้เข้าไปหน้าหอ  โอย !! สถานที่นี้มีผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้า ๆ ออก ๆ ในห้องมีแสงไฟแสงสีต่าง ๆ คล้ายแหล่งโลกีย์ของแดนมนุษย์

 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”