collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม ถ้อยแถลงจากผู้เรียบเรียง  (อ่าน 40394 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                              วัฏจักรมีหรือไม่

        ในวัฏจักรในภาษาจีนใชคำว่า "หลุนหุย"  "หลุน" คือวงล้อรถ  "หุย"  คือเวียนไปรอบวง  ที่เห็นฟ้าเวียนไปรอบหนึ่ง เท่ากับแผ่นดิน (โลก) เวียนไปหนึ่งรอบ ฟ้าดินจึงเปรียบเสมือนโม่หิน ที่โม่เวียนไปบนฐานโม่ ดังนั้น จึงก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่ และลมฝนเนื่องกัน  นั่นคือวัฏจักรใหญ่ของฟ้าดิน ทุกวันคืน ตะวันเดือนจะเคลื่อนคล้อยผ่านฟากฟ้าไปหนึ่งรอบ ตะวันเดือนจะส่องแสงสว่างให้แก่พื้นโลกสลับกัน การเวียนไปที่ไม่หยุดยั้งนี้ ทำให้เกิดมีกลางวันและกลางคืนของโลก  นั่นคือวัฏจักรเล็กระหว่างโลกกับตะวันเดือน พลังที่ก่อให้เกิดวัฏจักรของฟ้าดินตะวันเดือน และความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลก็คือ อิน - หยาง  (อิน คือ พลานุภาพที่เป็นลบ เป็นความมืด เป็นความหนาวเย็น ๆ   หยัง คือพลานุภาพที่เป็นบวก เป็นความสว่าง เป็นความร้อน)  วัฏจักรของความเปลี่ยนแปลงคือ เมื่อถึงที่สุดของอินแล้ว  หยังก็จะเริ่มเกิดขึ้น  เมื่อถึงที่สุดของหยังแล้ว อินก็จะตามมา  เช่นเดียวกับสภาวะของขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้  เมื่อขั้วโลกใต้อยู่ในมุม 36 องศา  จะอยู่ในสภาวะชัดแจ้งไม่แฝงเร้น  เป็นที่สุดของหยังหรือขั้วหยัง  ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ก่อให้เกิดวัฏจักรของฟ้าดิน  ฉะนั้น  สรรพสิ่งทั้งหลาย ท่ามกลางฟ้าดิน  ซึงอยู่ภายใต้ตะวันเดือน  จึงตกอยู่ในวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น  คนเราเกิดมาท่ามกล่างพลานุภาพอันสุขุมของฟ้าดิน เจริญเติบโตขึ้นด้วยคุณวิเศษแห่งพลานุภาพของตะวันเดือน ด้วยกายสังขารที่เป็นภาวะอิน  แต่มีภาวะหยังค้ำชูเสริมสร้างอยู่ ไม่มีขณะใดเลยที่คนเราไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบคุม ของฟ้าและการรองรับของแผ่นดิน  ไม่มีขณะใดเลยที่มิได้ตกอยู่ภายใต้แสงส่องของตะวันเดือน เช่นนี้แล้ว มีหรือที่จะพ้นจากวัฏจักรของโลกนี้ได้ ฉะนั้น ใครก็ตามที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอิน ผู้นั้นก็จะตกอยู่ในภาวะของอิน  ผู้ใดที่ใฝ่ทางสว่างหยัง ผู้นั้นก็จะล่วงพ้นขึ้นสู่ภาวะหยังได้ ตะวันมีภาวะเป็นหยัง  ดวงเดือนมีภาวะเป็นอิน ดวงเดือนปรากฏในเวลากลางคืนเป็นภาวะของอิน ที่สงบนิ่ง ผู้คนจึงต้องเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งตามไป เมื่อตะวันพ้นขอบฟ้าเวลาเช้า เป็นภาวะของหยังที่เคลื่อนไหว ผู้คนจึงต้องเข้าสู่ภาวะตื่นตัวทำการทำงาน  สรรพสิ่งที่ดำเนินชีวิตไปตามภาวะของฟ้าดิน จะจบสิ้นภาวะหยังเริ่มภาวะอิน คือเวียนไปสู่ความเป็นผีในความมืด หรือจะจบสิ้นจากภาวะอินเริ่มภาวะหยัง คือเวียนมาเกิดเป็นคนใหม่ในโลกมนุษย์  ความแยบยลของเหตุและผล ที่ทวีขึ้นหรือลดน้อยลงของพลังลบของอินหรือพลังบวกของหยัง เป็นสัจธรรมของวัฏจักรของฟ้าดิน และตะวันเดือน  วัฏจักรชองชีวิตมีการเกิดหกช่องทางคือ เทพเทวา  มนุษย์  อสูร  เปรต  เดรัจฉาน  และผีนรก  มีรูปกำนเิดของการเกิดสี่เหล่าคือเกิดเป็นตัวตน  เกิดเป็นฟองไข่  เกิดในน้ำ  และเกิดในที่อับชื้น   เกิดเป็นคน  มีร่ำรวยสูงศักดิ์  และยากจนต่ำต้อย เมื่อรวยถึงที่สุด ความจนจะเกิด เมื่อจนถึงที่สุด ความรวยจะเกิด  เมื่อสูงศักดิ์ถึงที่สุด ความต่ำต้อยจะเกิด  เมื่อต่ำต้อยถึงที่สุดความสูงศักดิ์จะเกิด สรรพสิ่งที่ถึงที่สุดของภาวะนั้น ๆ แล้ว จะแปรเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม  คนเมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็แปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์ สรรพสัตว์ก็แปรเปลี่ยนเป็นคน  ชีวิตที่เกิดจากฟองไข่ ก็จะแปรเปลี่ยนไปเกิดเป็นแมลง ในที่อับชื้น   ชีวิตที่เกิดจากที่อับชื้น ก็จะแปรเปลี่ยนไปเกิดเป็นชีวิตที่เกิดจากฟองไข่ วนเวียนจากเกิดเป็นตาย  ตายแล้วเกิดในวัฏจักร  ซึ่งจะเป็นขอบวงกว้างบ้างเล็กบ้าง ดีบ้างชั่วบ้าง  คนบ้างสัตว์บ้าง  เทพเทวาบ้าง  ผีบ้าง  อุปม่ดั่งเข็มนาฬิกาที่เวียนไปเรื่อย ๆ  วัฏจักรนี้จึงเป็นหนทางกลที่ลวงให้หลงวกวน ซึ้งแม้ชายชาตรีวีรชนก็ไม่อาจตีฝ่ากรอบกรงนี้ออกไปได้ ดั่งตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ที่ว่า
" อ่านจนวัชร ฯ คัมภีร์ขาดวิ่น
ภาวนาสิ้นมหาเมตตา ฯ สูตร
ปลูกแตงผลที่ได้ยังคงเป็นแตง
ปลูกถั่วก็ได้ถั่ว
แม้มิได้รับรู้จุดนั้นจากพระวิสุทธิอาจารย์
ตราบนานเท่านานยังคงเวียนว่ายต่อไป

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                  การล่วงพ้นการเกิด - ตาย  คืออย่างไร

        ซุ่นจื้อฮ่องเต่ ซึ่เป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชิง ได้ทรงประพันธ์คำกลอนสะท้อนชีวิตไว้บทหนึงเมื่อพระองค์ทรงออกผนวช ว่า

 "เมื่อมาเกิดก็เลอะเลือน   
เมื่อตายก็หลง 
เท่ากับเกิดมาไม่ได้อะไรในโลกนี้   
ก่อนที่ฉันจะเกิด  ใครคือฉัน
หลังจากเกิดมีฉันแล้ว  ฉันคือใคร
เมื่อเติบใหญ่จึงได้รู้ตัวฉันเอง
แต่เมื่อหลับตาเคลิ้มไป  ใครคือฉัน
เพราะฉะนั้น  ไม่มาและไม่ไปจะดีกว่า
ไม่ต้องพาให้วิตกและโศกเศร้า "

        เราจะเห็นได้ว่า วิญญาณนั้นกลัวความเกิด แต่เขาจะไม่เกิดได้หรือ  คนกลัวการตาย  แต่เขาจะไม่ตายได้หรือ   ท่านปราชญ์จวงจื้อ เคยกล่าวไว้ว่า

"อันที่จริงฉันไม่ปรารถนาที่จะเกิด
แต่พลันฉันก็ต้องเกิดมาในโลกนี้
อันที่จริงฉันไม่ปรารถนาที่จะตาย
แต่พลันกำหนดการตายก็มาถึง "

        การวนเวียนอยู่กับการเกิดและตาย ไม่รู้แก่นสารอันแท้จริงของชีวิต เป็นการเดินทางพเนจรอยู่ในเส้นทางของการเกิดตาย ที่เปรียบได้ดั่งทะเลทุกข์อันหาขอบเขตมิได้ ฉะนั้น หากหวังจะหลุดพ้นจากความตาย ให้ใฝ่หาจุดสิ้นสุดของการเกิดเสียก่อน  จะหาจุดสิ้นสุดของการเกิด จะต้องหาวิถีที่พาชีวิตให้ล่วงพ้นจากการเกิดได้เป็นเบื้องต้น  แม้นหากได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ได้รับการชี้นำให้รู้วิถีทางอันไพศาล (วิถีอนุตตรธรรม)  ขอถอนชื่อจากบัญชีในยมโลก จารึกลงทะเบียนไว้ในบัญชีสวรรค์ ก็จะพ้นจากหน้าที่ควบคุมของพญายม พ้นจากเงื้อมมือของยมทูต  กาลนี้ หากแม้มิใช่กำหนดกาลยุคสามสุดท้ายปลายกัปล์ของโลก วิถีสัจธรรมนี้จะยังไม่ถึงการปรกโปรด ซึ่งจะพ้นจากการเกิด - ตาย  นั้นจะยากยิ่งนัก ดังคำกล่าวในคัมภีร์ที่ว่า " เดินย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกโหว่ก็หาพบไม่  แต่เมื่อถึงเวลาจะได้ก็ง่ายดายไม่ยากเลย "  เป็นความจริงทีเดียว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

            การได้รับวิถีธรรมมีความยากอยู่สี่ประการอย่างไร

        การที่จะได้รับวิถีธรรมมีความยากอยู่สี่ประการ  คือ
1.  ยากนักที่จักได้เกิดกายเป็นคน
2.  ยากนักจักได้เกิดทันยุคที่สาม
3.  ยากนักจักได้เกิดกายในศูนย์กลางโลก
4.  ยากนักจักได้พบวิถีสัจธรรม
        ท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อ กล่าวไว้ว่า  "เรามีความทุกข์กับกายสังขารนี้ แต่เรารักกายสังขารนี้"  ที่เรามีความทุกข์กับกายสังขารนี้ เพราะกายสังขารนี้มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ  เป็นนายโจรทำลายเรา   เมื่อนายโจรนัยน์ตาเห็นรูป  นายโจรหูได้ยินเสียง  นายโจรจมูกได้ดมกลิ่น    นายโจรลิ้นได้ลิ้มรส  นายโจรกายได้สัมผัส  และนายโจรความคิดได้เกิดโลภหลง อาทิ เงินตรา  นารีที่ยั่วเย้าอยู่ภายนอก  และอารมณ์ทั้งเจ็ดที่เบ่งบานอยู่ภายใน ประกอบเข้าด้วยกัน  เมื่อมโนธรรมสำนึกไม่อาจเป็นหลัก เมื่อจิตที่ใฝ่ต่ำระเริงไม่อาจควบคุมได้ นรกขุมลึกจึงได้ก่อขึ้นสนองรับ กายสังขารนี้จึงเป็นทุกข์ คน มีชีวิตที่สูงส่งกว่าสรรพสิ่งชีวิตใด ๆ  จิต (ธรรมญาณ) อาศัยดำรงอยู่ในกายสังขาร  กายสังขารก็อาศัยจิตดำรงความมีชีวิตไว้  ธาตุแท้ของชีวิตจึงไม่พ้นไปจากกายสังขาร ซึ่งเป็นธาตุสมมุติ  ทั้งธาตุแท้และธาตุสมมุติจึงประกอบอยู่ด้วยกัน  ดังพระคัมภีร์ที่ว่า  "สริสัมภวะ รูปอยู่กับความว่าง (กายสังขารอยู่ได้ด้วยธรรมญาณ)  "ความว่างอยู่กับรูป (ธรรมญาณเป็นชีวิตได้ด้วยกายสังขาร)"  คนจึงต้องอาศัยกายสังขารนี้บำเพ็ญ เพื่อให้ธรรมญาณหลุดพ้นการเวียนว่าย แม้ปราศจากกายสังขารนี้  ธรรมญาณนี้จะหลุดพ้นได้อย่างไร ที่ว่าเรารักกายสังขารเป็นฉะนี้  จึงกล่าวว่า " ยากนักจักได้เกิดกายเป็นคน" 
        แม้มิรู้ในสัทธรรม ไม่รู้แจ้งความเป็นจริงของชีวิต  ไม่รู้แจ้งในคุณและโทษของชีวิตก็จะเหลวไหลผ่านไปชั่วชีวิตหนึ่ง ในยุคสามมหันตภัยครั้งสุดท้ายนี้ ก้เท่ากับเป็นยุคเบิกดิถีสามศุภธรรมกาลด้วย (ซันหยังไคไท่)  ภัยพิบัติกับศุภวาระเกิดขึ้นคู่กัน เป็นยุคที่ธรรมกาลยุคเขียว  ยุคแดง  และยุคขาวถึงกาลพลักผันพร้อมกันทั้งหมด  วิถีอนุตตรธรรมอันสูงส่ง  เบื้องบนจะไม่โปรดประทานให้ แม้มิใช่วาระอันควรได้รับ อุปมากับผู้ป่วยหนักจักต้องได้รับก่ารเยียวยารักษา ให้ตรงต่อสมุฐสนของโรค  เช่นเดียวกัน  วิถีธรรมอันได้โปรดถ่ายทอดในครั้งนี้เพื่อรับมือกับมหันตภัย ในยุคที่สามยุคมหันตภัยครั้งสุดท้ายนี้ ภัยจากน้ำ  ลม  ไฟ   ความทุกข์ที่เกิดจากน้ำ  ไฟ  ศาสตราวุธ  การสงคราม  ความแห้งแล้ง  น้ำท่วม  อดอยาก  ข้าวยากหมากแพง  เกิดขึ้นประดังกัน เป็นปรากฏการณ์เลวร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อน ฉะนั้น แม้มิใช่สัจธรรมไซร์ ไม่อาจกอบกู้ชาวโลกให้พ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ เมื่อเบื้องบนโปรดประทานเบิกดิถีศุภธรรมกาล วิถีอนุตตรธรรม จึงได้ปรกโปรดชุบชูญาณทั้งมวล จึงได้กล่าวว่า  "ยากนักจักได้เกิดทันยุคที่สาม 
        ประเทศจีนตั้งอยู่ในทวีปเอเซีย อักษรจีนคำว่าเอเซียเป็นรูปกากบาทโปร่งขาว อยู่ในกรอบตัวอักษรดังนี้.............
ชื่อของประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น จงกั๋ว  จงฮว๋า  จงเอวี๋ยน  หรือจงเอียง  ล้วนเป็นศูนย์กลางของฟ้าดิน
คำว่า จง  แปลว่ารากฐาฯของฟ้าดิน พระอริยบุคคลจึงอุบัติขึ้นมิขาดสาย ประเทศจีนเจริญด้วยวัฒนธรรมเก่าก่อนกว่าชาติใดในโลก  ในครั้งโบราณ ประเทศจีนมีชื่อว่า  เทียนเฉา  แปลว่า ราชฐานแห่งฟ้าเบื้องบน  เป็นดินแดนแห่งแรกของโลกที่สัทธรรมได้โปรดถ่ายทอด จึงกล่าวได้ว่า "ยากนักจักได้เกิดกายในศูนย์กลางของโลก"
        ในยุคที่สามนี้ศาสนาลัทธินิกายต่าง ๆ นับพันพร้อมกันปรากฏ  แต่สัจธรรมวิถีทางตรงมีเพียงหนึ่ง ทางอื่น ๆ เป็นหนทางทั่วไป  ดังคำที่พระพุทธะตรัสไว้ว่า  "แม้พบรากฐานจะบรรลุนิพพาน ไม่พบรากฐานเหมือนคลำทางบำเพ็ญ"  ผู้ใดแม้มิได้มีเหตุปัจจัยแห่งบุญกุศลลึกซึ้งมาก่อน  บรรพบุรุษ มิได้มีบารมีเสริมส่งมา ก็ยากนักที่จะได้พบ จึงกล่าวได้ว่า "ยากนักจักได้พบวิถีสัจธรรม"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

           คนเมื่อได้ "หนึ่ง" จะเป็นอริยะหมายความว่าอย่างไร

        เมื่อภาวะสูญตาอันสงบนิ่งเกิดการเคลื่อนไหว ทำใหเกิดจุดหนึ่งของความเปลี่ยนแปลง ในมหาจักรวาล สุญญตาภาวะของ หนึ่ง คือ เต๋า  หรือธรรมะ  เต๋าหรือธรรมะ เป็นเหตุปัจจัยสืบเนื่องต่อไปให้เกิดสรรพสิ่ง จากหนึ่ง เป็นสอง สาม สี่  เป็นหมื่นแสนมิรู้จบ ฟ้าได้ความเป็นหนึ่งฟ้าสงบใส  พื้นโลกได้ความเป็นหนึ่งพื้นโลกจะสงบสุข คนได้ความเป็นหนึ่งคนจะเป็นอริยะ ดังที่พระพุทธะตรัสไว้ว่า  "รู้แจ้งเห็นจิตแท้ธรรมญาณ  แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์เป็นหนึ่ง"
ท่านเหลาจื้อได้โปรดสอนว่า "บำเพ็ญจิตฝึกธรรมญาณ ประคองธาตุกำเนิดรักษาความเป็นหนึ่งไว้"......
ท่านขงจื้อก็ได้โปรดสอนว่า  "โน้มนำจิตกล่อมเกลี้ยงธรรมญาณ  ประคองความเป็นกลางเข้าสู่ความเป็นหนึ่ง"...........
        หนึ่งคือภาวะหลักของสัจธรรม คนได้รับหลักสัจธรรม คือได้รับธาตุแท้ญาณเดิม ได้รับความเป็นหนึ่งของฟ้า จึงเป็นชีวิตของกายสังขาร ดังนั้น ภาวะเดิมของธรรมญาณอันกลมกลืนสว่างใส เป็นธรรมชาติธาตุเดียว ขณะอยู่ในครรภ์มารดาจึงไม่ต้องดื่มกิน  ไม่ีมีความคิดดำริวิตก  อาศัยการหายใจของมารดา เป็นกระแสเดียว จนเมื่อเกิดกายออกมาร้องแว้ กระแสของอิน หยังเข้าทางจมูก  ภาวะความเป็นหนึ่งจึงกลายเป็นสองไปทันที  ดังที่กล่าวแล้วว่าก่อนธรรมญาณจะอาศัยในกายเนื้อ ธรรมญาณวิภาวะเป็นหนึ่ง เมื่อเข้าอาศัยกายกำเนิดจึงมีผลของชะตากรรมกำหนดมาประกอบเข้าด้วยกัน  จึงเป็นชีวิตที่มีอิน หยัง คือมืด สว่าง ถูก ผิด ดี ร้าย ฯลฯ  ดังนั้น ธรรมญาณและชะตาชีวิตจึงสูญสิ้นความเป็นหนึ่ง เมื่อขาดความเป็นหนึ่ง ธรรมญาณจะกระจายระเริงไป เมื่อธรรมญาณระเริงไป ธรรมญาณก็มิได้สถิตอยู่กับญาณทวาร  ไปพ้นจากฐานของสริสัมภวะ ฐานนั้นจึงว่างเปล่า ปราศจาพลังสถิต  เมื่อธรรมญาณระเริงไปสู่นัยน์ตาก็ติดในรูป  ระเริงไปสู่หูก็ติดในเสียง  ระเริงไปสู่จมูกก็ติดกลิ่น  ระเริงไปสู่ปากก็ติดรส และวาจา  ระเริงไปสู่แขนขาก็ติดอาการ ระเริงไปสู่ผิวหนังก็รู้สึกเจ็บคันระเริงไปสู่รูขุมขนก็รู้หนาวร้อน ระเริงไปสู่อวัยวะช่องท้องก็รู้อิ่มรู้หิว 
ระเริงไปสู่จิตก็รู้ในกามคุณทั้งหก คือ รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  อารมณ์ 
ระเริงไปสู่มโนวิญญาณก็รู้อารมณ์ทั้งเจ็ดคือ ยินดี โกรธ โศก สุข รัก เกลียน อยาก 
        เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตจิตใจจึงร่อนเร่ เมามายเหมือนคนตาย เหมือนหลับฝัน  ถลำตัวมั่วหมก อยู่กับความวิตกทุกข์ภัย เมื่อชะตาชีวิตขาดความเป็นหนึ่งชะตาชีวิตจะตกวิบาก  วิญญาณจะถลำอยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ ในกามคุณ จะจมอยู่กับสุรา นารี  จะฝังชีวิตไว้กับลาภสักการะ เมื่ออกจากกายสังขารก็จะเวียนว่ายต่อไปในรูปกำเนิดสี่ชีววิถีหก ไม่อาจกลับคืนสู่สภาวะความเป็น หนึ่ง แห่งธาตุแท้ธรรมญาณได้
เมื่อฟ้าขาดความเป็น หนึ่ง  ดาวเดือนจะผิดระบบการโคจร
เมื่อแผ่นดินขาดความเป็นหนึ่ง ภูเขาจะถล่มแผ่นดินจะทลาย 
เมื่อคนขาดความเป็นหนึ่งจะตกไปสู่วัฏจักรของการเวียนว่าย
จิตเดิมแท้ของธรรมญาณ เป็นภาวะหลักของสังขาร  คำว่า  หลัก  อักษรจีนเขียนว่า  หลี่
เมื่อหลักขาดความเป็น หนึ่ง อ่านว่า ไหม          แปลว่า ถูกฝัง
มีความเป็นหนึ่งจึงเป็น หลัก  ดังคำกล่าวที่ว่า "มีหลักท่องไปได้ในโลกกว้าง  ขาดหลักไปได้ยากนักแม้สักก้าวเดียว"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17/10/2554, 18:44 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

                เหตุใดวิถีสัจธรรมจึงมีผู้ลบล้างทำลาย

        มีคำกล่าวว่า  "หากทำนองเพลงสูงส่งลึกล้ำ  น้อยคนจักร้องคลอได้" 
"เมื่อใดที่สัทธรรมปรากฏโดดเด่นจะถูกทำลาย"
" ผู้ที่บำเพ็ญคุณธรรมจะถูกวิจารณ์ลบล้าง"

        สัจธรรมยิ่งใหญ่วิเศษลึกล้ำจนมิอาจประมาณซึ่งคนทั่วไปยากที่จะคะเนถึงความแยบยลได้  จึงก่อให้เกิดความลังเลสงสัย วิจารณ์กล่าวร้ายเป็นธรรมดา ดังที่ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อได้กล่าวไว้ว่า "เราไม่ขุ่นเคืองแม้ใครจะไม่รู้แท้ในธรรมที่เราบำเพ็ญ ฉะนี้แล้ว เราก็คือกัลยาณชนหรือมิใช่"  วิถีสัจธรรมไม่ถูกกล่าวร้ายจะไม่เฟื่องฟู ดังที่พระพุทธะตรัสไว้ว่า "ผ่านการถูกทำร้ายไปได้ครั้งหนึ่ง ก็จบสิ้นวิบากกรรมไปส่วนหนึ่ง"   ในครั้งที่ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อเดินทางแพร่ธรรมไปตามเมืองต่าง ๆ ผู้คนก็พากันกล่าวร้าย  ในที่สุดท่านก็บรรลุมรรคผลนิพพาน คงชื่อดีงามไว้ในโลกา มีผู้สร้างศาลบูชาท่านมากมายทุกมุมเมือง  ชาวจีนและชาวต่างชาติยกย่องเคารพบูชา  ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อกล่าวว่า "ตั้งแต่จื่อลู่เข้ามาเป็นศิษย์ คำขัดหูที่ลบล้างทำลายสัทธรรมก็หมดไป" จะเห็นได้ว่า สัทธรรมแท้ย่อมมีผู้ลบล้างทำลาย 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

            เหตุใดวิถีสัจธรรมยังจะมีการถูกทำลาย

        วิถีสัจธรรมเป็นหนทางที่ต้องฝืนเดิน (ฝืนโลกีย์) หนทางที่เดินง่ายคือเดินไปเป็นผี (ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปตามอารมณ์)  ผู้ฝืนเดินได้จะบรรลุเป็นพระพุทธะ ดังคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า "บำเพ็ญธรรมเปรียบดังปืนกระบอกไม่ไผ่ ลื่นลงไปง่ายแต่จะปืนป่ายขึ้นไปยาก"  พระพุทธะจี้กงก็ได้ตรัสไว้ว่า "อนุตตรธรรมล้ำลึกซ่อนเร้น แต่ก็เด่นชัด วิถีสัจธรรมต้องทดสอบจริงจึงเห็นใจจริง" ดังคำกล่าวที่ว่า "หยกแม้มิได้เจียระไนไม่เป็นรูป ทองแท้มิได้หล่อหลอมก็ไร้ราคา" ศาสนาเต๋าของท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อ   ให้ฝึกปรือเคี่ยวกรำทั้งบุ๋นและบู๊ คือทั้งปัญญาและอาการสังขาร
ศาสนาปราชญ์ของท่านบรมครูขงจื้อ  ให้ขัดเกลากระดูกที่แข็งดั่งหิน (สันดานหยาบ) ของตน 
        ทั้งนี้เพื่อทดสอบความมั่นคงของจิตในการบำเพ็ญเท่านั้น  ในครั้งที่ท่านบรมครูขงจื้อเดินทางไปแพร่ธรรมยังเมืองต่าง ๆ ท่านต้องประสบวิบากกรรม ถูกกักกันอยู่ที่ชายแดนระหว่างเมืองเฉินกับเมืองไซ่  แต่ท่านกลับกล่าวว่า

"ไม่ขึ้นภูเขาสูง ไม่รู้ภัยที่จะหงายหลังตกลงมา"
"ไม่อยู่ริมน้ำลึก ไม่รู้ภัยของการจมน้ำ"
"ไม่อยู่ริมทะเลใหญ่ ไม่รู้ภัยของคลื่นลม"
"กล้วยไม้เกิดอยู่ในป่าสงัด  มิเป็นด้วยขาดผู้คน จึงไม่ส่งกลิ่นหอม
"กัลยาณชนบำเพ็ญธรรมตั้งมั่นในคุณความดี มิเป็นด้วยลำเค็ญจึงผิดข้อสำรวม" 
 
        เมื่อพ้นจากการถูกกักกันแล้ว ท่านบรมครูขงจื้อได้หันมาทางศิษย์สองสามคน ที่ร่วมวิบากกรรมด้วยกัน ในที่นั้นแล้วกล่าวว่า
 "เหตุการณ์ที่ชายแดนระหว่างเมืองเฉินกับเมืองไซ่ เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเรา และเป็นที่น่ายินดีสำหรับเจ้า ทั้งสองสามคนด้วย"   
"พึงรู้ไว้ว่าการถูกทิ่มแทงนั้นเป็นเหตุเบื้องต้นให้เกิดมานะต่อสู้ ผู้ที่ได้รับความสำเร็จมีหรือที่จะไม่เริ่มจากจุดนี้"

        ท่านปราชญ์เมิ่งจื้อกล่าวไว้ว่า

"เมื่อเบื้องบนจะมอบหมายภาระอันยิ่งใหญ่แก่ผู้ใดนั้น จะต้องเคี่ยวกรำจิตใจ ให้เขาทุกข์ร้อน บั่นทอนแรงกายของเขให้เหนื่อยนัก ให้สังขารต้องหิวกระหายให้ยากไร้ไม่มีอะไรติดตัว"

        การถูกทดสอบเป็นพระมหากรุณา ฯ ที่เบื้องบนต้องการจะเสริมสร้าง เปรียบได้ดังจังหวัดคัดเลือกนายอำเภอ ผู้สมัครสอบจะต้องมีคุณวุติตามกำหนดมิใช่คนทั่วไปจะสมัครสอบได้ 

 ท่านบรมครูขงจื้อได้กล่าวไว้ว่า
"ไม้ผุไม่อาจนำมาสลักเสลาได้  กำแพงที่ก่อด้วยมูลดินโสโครกมิอาจฉาบสีได้"

        คนที่มีพุทธะบารมีสูงส่ง เบื้องบนจะโปรดทดสอบ หากมิใช่คนระดับนี้แล้วไซร์ มีหรือที่เบื้องบนจะทดสอบเสริมสร้าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

               @   องค์ธรรมอันศักดิ์สิทธิ์วิสุทธิ์

        หลักสัจธรรม เป็นศูนย์พลานุภาพเป็นหลักที่กำหนดกำเนิดฟ้าดิน และสรรพสิ่ง ศูนย์พลังนั้นเป็ฯที่สุดแห่งความลุ่มลึก กว้างใหญ่ไพศาลจนมิอาจประมาณได้ เป็นที่สุดแห่งความสงบนิ่ง  เป็นที่สุดของคุณวิเศษ ใสสว่างอันวิสุทธิ์ เป็นที่สุดแห่งความสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ เราจึงถวายพระนามสดุดีว่า "พระผู้เป็นเจ้า" ถวายพระนามว่า "พระผู้ปกเกล้าเหล่าธรรมกาล"  พระศักย - พลานุภาพที่ก่อกำเนิดฟ้าดินให้สรรพสิ่งเจริญงอกงาม พระองค์จึงเป็นพระแม่ของสรรพสิ่ง เราจึงถวายพระนามเทิดทูนว่า "พระแม่องค์ธรรม"  ในคัมภีร์ซื่ออิงบทต้าเอี่ย บันทึกไว้ว่า "ฮ่องเต้อินโจ้วแห่งราชวงศ์ซัง  เมื่อครั้งที่ยังมิได้สูญเสียความสวามิภักดิ์จากประชาราษฏร์ พระองค์ทรงมีพระทัยดำริสอดคล้องกับพระผู้เป็นเจ้า  ในพระคัมภีร์ซือจิงบทเสี่ยวเอี่ย ก็มีคำเทิดทูนพระนามพระผู้กำหนดกำเนิดฯไว้ว่า "เอกองค์พระผู้เป็นเจ้า" พระผู้เป็นเจ้าจึงหมายถึง พระองค์จึงเป็นที่สุดแห่งความสู.ส่งและศักดิ์สิทธิ์ ฟ้าดินตะวันเดือน สรรพชีวิตสรรพสิ่งที่บังเกิดมี อีกทั้งความเป็นความตาย  ความผันแปร ล้วนอยู่ในความควบคุมของพระองค์ มิฉะนั้น โลกนี้จะหยุดนิ่ง  สรรพสิ่งจะถึงกาลสิ้นสุด  ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าโลกเจริญด้วยวัตถุ  ผู้คนจึงไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระพุทธะอริยะ รู้แต่ว่าทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เข้าใจว่าทุกอย่งเกิดขึ้นได้ด้วยการคิดค้นของมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเปลี่ยนแปลง  สร้างสรรค์ด้วยความสามารถของคน ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้นแท้จริงใครเป็นผู้สร้าง  ความสามารถของมนุษย์นั้น ได้รับประสิทธิ์ประสาทมาอย่างไร พลังงาน เสียง แสง ไฟฟ้า หรือสารเคมี ใครกำหนดกำเนิด  ไฟฟ้าในอากาศทำให้เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือเมฆกลับกลายเป็นน้ำฝนและอื่น ๆ กระบวนการเหล่านี้ ใครกำหนดความเป็นไป คนได้แต่สรุปว่า เป็นผลจากธรรมชาติ ซึ่งมิได้รู้ลึกซึ้งถึงแก่นของความเป็นจริง จึงมิอาจเข้าใจในหลักสำคัญได้ หลักสัจธรรมของธรรมะเชื่อได้หรือไม่ ธรรมญาณของคนเราเชื่อได้หรือไม่ว่ามีจริงเมื่อเห็นแสงแดดเราจึงรูว่ามีดวงตะวัน  เห็นคนจึงรู้ลักษณะสังขาร  เห็นลูกหลานจึงรู้ว่าเขามีบรรพบุรุษ  ดังนั้น เมื่อเห็นสรรพสิ่งที่เกิดท่ามกลางฟ้าดินและสรรพสิ่ง เมื่อดื่มน้ำเราจึงรู้ว่า จะรำลึกถึงต้นกำเนิดแห่งน้ำ ย้อนรำลึกขึ้นไปถึงเมื่อครั้งเริ่มมีมนุษย์ชาติเกิดขึ้นในโลกนี้ (ตามกำหนดกาลของโลกยุคนั้นเป็นบรรจบกาลเกณฑ์ขาล)  คนเราเริ่มมีพ่อมีลูกสืบ ๆ กันต่อมาไม่ขาดสาย  บัดนี้เรารู้แต่บรรพบุรุษตน แต่มิรู้บรรพบุรุษต้นกำเนิดของมนุษยชาติ ธรรมญาณของเราเมื่อพ้นกายสังขารนี้แล้วจึงกลับมาเกิดในกายสังขารตัวใหม่  เป็นเช่นนี้เรื่อยไป  เราจึงรู้จักแต่พ่อแม่ที่ให้กำเนิดกายสังขาร  แต่มิรู้พระแม่องค์ธรรมที่ให้กำเนิดธรรมญาณ สะท้อนใจนักกับจิตใจของคน ที่นับวันจะอับแสง โลกธรรมที่นับวันจะจมลง  มนุษย์ล้วนหลงลืมต้นกำเนิดของชีวิตตน จึงต้องเวียนว่ายตายเกิด  ยึดเอาแต่สิ่งที่นัยน์ตามองเห็นเป็นของจริง  มองไม่เห็นก็ว่าไม่มี เหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ จะเห็นแต่สัตว์น้ำด้วยกัน เหมือนคนที่อยู่กับบรรยากาศของโลก จึงมองเห็นแต่รูปวัตถุ สิ่งสำคัญใหญ่ ๆ ของฟ้าดินนี้ ยังมีอีกเหนือประมาณไม่สิ้นสุด แต่ความรู้ของคนมีขีดจำกัด 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                @   วิถีธรรมในไตรยาน

        ยาน  คือธรรมนาวาที่จะพาผู้ปฏิบัติธรรมกลับไปสู่ฝั่งนิพพาน  ยานแบ่งออกเป็นสามระดับของการบำเพ็ญ คือ สูง กลาง ต่ำ  ดังนั้นในการเรียนรู้จึงแบ่งออกเป็นหลายวิธี  เช่น รู้โดยพลัน  ค่อยเรียนรู้ไป  รู้เฉพาะกาล และรู้เที่ยงแท้  วิถีธรรมจริงมีพงศาธรรมสืบต่อกันมา  มีกำหนดกาลแฝงเร้น  มีกำหนดกาลปรากฏชัดเจน ถ่ายทอดโดยช้ให้เห็นจิตแท้โดยตรง ถ่ายทอดจากปากประทับไว้ในจิตเป็นการเฉพาะ หนึ่งจุดให้บรรลุความเป็นพุทธะ  ก้าวเดียวให้ล่วงพ้นวัฏสงสาร  บรรลุสู่ชั้นนิพพาน เช่นนี้เรียกว่ารู้โดยฉับพลัน  ผู้ได้สดับจักบรรลุความเป็นพุทธะอริยะ เป็นคุณวิเศษอันเร้นลับ ซึ่งมิได้โปรดให้ถ่ายทอดแต่โบราณกาลมา  ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อได้กล่าวไว้ว่า "เช้าได้สดับวิถีธรรม เย็นตายไม่ห่วงเลย"  ดังที่กล่าวมานี้ เป็นวิถีแห่งญาณระดับสูง  ส่วนการทำสมาธิ การเวียนธรรมจักรในกายตน การเวียนพลังธาตุรอบกาย การกำหนดลมปราณยักย้ายจากส่วนล่างไปสู่ส่วนบน ฯลฯ ฝึกฝนทั้งกายธาตุและพลังธาตุจนเป็นหนึ่งเกิดอินเกิดหยัง คือความมืดความสว่างได้ แม้จะโชคดีฝึกฝนได้จนสำเร็จ  แต่ก็เป็นผลของการบำเพ็ญที่ยังตกอยู่ในภาวะของอินหยัง คือเวียนว่ายเกิดดับ  ยังเป็นการบำเพ็ญที่เกิดจากความศรัทธาไปสู่ความเข้าใจ จากความเข้าใจไปสู่การปฏิบัติ จากการปฏิบัติไปสู่ประจักษ์รู้ เช่นนี้เรียกว่าค่อยเรียนรู้ไป จนกว่าจะถึงจุดของความว่าง ผู้บำเพ็ญในลักษณะนี้จะบรรลุได้ในชั้นเทวโลก คือมรรคผลระดับกลาง  สำหรับการบำเพ็ญด้วยวิธีการสวดมนต์ภาวนา
สร้างบุญทานบารมีภายนอก เช่น สร้างถนน สร้างสะพาน ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ยากไร้และอื่น ๆ เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยแห่งบุญวาสนา ที่จะพาตนกลับเวียนว่าย เกิดมาเสวยสุขใหม่ในชาติหน้า  จนกว่าผลบุญวาสนาจะหมดสิ้น แล้วเวียนว่ายในวัฏสงสารต่อไป ดังในพระคัมภีร์ที่ว่า "หากถามเหตุแห่งกรรมที่ทำมาในชาติก่อน ดูได้จากผลของกรรมที่กำลังได้รับอยู่ในชาตินี้ " แรงแห่งบุญวาสนาจึงอุปมาดั่งยิงธนูขึ้นฟ้า เมื่อกำลังที่ยิงถึงที่สุด ธนูก็ตกลงสู่พื้นดินเช่นเดิมผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในลักษณะนี้ จะสำเร็จเป็นนักบุญคนดี มิอาจบรรลุอรหัตผล เป็นยานระดับต่ำ

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”