ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม
@ สามศาสนามาจากหลักเดียวกัน แต่อยากทราบว่าศาสนาใดสูงกว่า ผู้บำเพ็ญมีความเอนเอียงต่อศาสนาใดหรือไม่
ในเมื่อศาสนาทั้งสามมีหลักมาจากสัจธรรมเดียวัน จึงไม่มีความสูงต่ำกว่ากัน แต่ในความรู้สึกนึกคิดเปรียบเทียบของคนทางโลก จะเห็นว่าพุทธธรรมมีความสูงส่งที่สุด เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น เราจะเห็นได้ว่า แต่โบาราณมา ผู้นำทางศาสนาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญในศาสนาพุทธทั้งสิ้น ดังคัมภีร์อิงเจี๋ยจิงกล่าวไว้ว่า "เมื่อเริ่มกำหนดฟ้าดินโลกนี้ ก็ได้กำหนดให้ทศมพุทธาปกครองธรรมจักรวาล" สิบพระพุทธาที่ทรงรับพระภาระโปรดสัตว์โดยตรงเป็นหลักศาสนาในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่บรรพกาลมา มีดังนี้คือ
1. พระวิปัสสีพุทธเจ้า อุบัติ ณ ทิศใต้ ปกครองธรรมกาล 60,000 ปี
2. พระสุขีพุทะเจ้า อุบัติ ณ ทิศเหนือ ปกครองธรรมกาล 4,800 ปี
3. พระเสสภูพุทธเจ้า อุบัติ ณ ทิศตะวันออก ปกครองธรรมกาล 3,720 ปี
4. พระกกุสันธะพุทธเจ้า อุบัติ ณ ทิศตะวันตก ปกครองธรรมกาล 7,080 ปี
5. พระโกณาคมน์พุทธเจ้า อุบัติ ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ปกครองธรรมกาล 5,284 ปี
6. พระกัสสปพุทธเจ้า อุบัติ ณ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปกครองธรรมกาล 5,516 ปี
7. พระโคดมพุทะเจ้า อุบัติ ณ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปกครองธรรมกาล 5,800 ปี
พระอริยะฟู่ซี อุบัติ ณ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ พระองค์รับพระภาระปกครองธรรมกาลแทนพระพุทธเจ้า 500 ปี
1. พระทีปังกรพุทธเจ้า เริ่มวาระธรรมกาลยุคเขียว ปกครองธรรมกาล 1,500 ปี
2. พระศากยพุทธเจ้า เริ่มวาระโปรดสัตว์ให้ออกบวชบำเพ็ญในธรรมกาลยุคแดง ปกครองธรรมกาล 3,000 ปี
3. พระศรีอริยเมตตรัยพุทธเจ้า จะอุบัติมาในภายหน้า
สำหรับพระทีปังกรพุทธเจ้า และพระศากยพุทธเจ้า นอกจากจะเป็นใหนึ่งในสิบพระพุทธาที่ทรงรับพระภาระปกครองธรรมกาล สืบเนื่องต่อมาตามลำดับพุทธบรรพกาลแล้ว ทั้งสองพระองค์ยังทรงรับพระภาระร่วมกับพระศรีอริยเมตตรัย เป็นสามพระพุทธา ในศุภวาระเก็บวิสุทธิธรรมญาณทั้งมวล คืนสู่นิพพานให้หมดในธรรมกาลยุคขาวสุดท้ายนี้ด้วย ( สำหรับพระประวัติ และพระพุทธรูปบูชาของเจ็ดพระพุทธายังมีหลักฐานสืบทอดต่อมาช้านานในประเทศจีน ที่วัดมุขมนตรี ต้าเซี่ยงกั๋ว หมู่บ้านหม่าอิ๋ง ตำบลเซี่ยวอี้ อำเภอเฟินหยัง มณฑลซันซี เป็นวัดที่พระอริยฟู่ซีสร้างขึ้น นอกจากรูปบูชาเจ็ดพระพุทธเจ้าแล้วยังมีศิลาจารึกกำหนดกาลเป็นไปของโลกนี้หลายพันปีต่อมากระทั่งบัดนี้ให้ประจักษ์จริงทุกประการ ) เมื่อพระทีปังกรพุทธเจ้าปกครองธรรมกาลครบ 1,500 ปี ไปแล้ว ก็ถึงสมัยของพระศากยพุทะเจ้า พระพุทธองค์อุบัติในรัชสมัยโจวเจ๋าอ๋วงฮ่องเต้ แปดค่ำเดือนสี่ข้างจีน พระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาคือพระนางมหามายา ออกบรรพชาเมื่อพระชนมายุได้ 29 ชันษา พระทีปังกรพุทธเจ้า ได้ชี้ชัดพยากรณ์ไว้ว่า จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ภายหลังที่ตรัสรู้แล้ว ได้โปรดแสดงธรรมอยู่สี่สิบเก้าปี ซึ่งพระอัครสาวกได้รวบรวมเป็นพระไตรปิฏกคัมภีร์ธรรมเป็นแสงสว่างแก่ชาวโลกมาสองพันกว่าปี พระธรรมคำสอนของพระองค์ชี้ให้เห็นจิตเดิมแท้อันวิสุทธิ์เป็นพุทธจิตของตน สอนให้ค้นหาธาตุแท้แห่งตน และสิ่งอันเป็นรูปธรรมนำจิตให้คืนสู่นิพพาน พระองค์ได้รับการเทิดทูนว่า "พระสัมมาสัมพทธเจ้า"
พระอริยเจ้าเหลาจื้อ พระนามเดิมหลีเอ่อ นามรองป๋อหยัง คุณานาม ตัน อุบัติในรัชสมัยโจวติ้งอ๋วง ปีมะเส็ง ณ เมือง ฉู่ แคว้นเฉิน เคยรับราชการเป็นผู้ตรวจราชการแทนพระองค์ หรือพระราชเลขาในพระเจ้าโจวอิ้งอ๋วงฮ่องเต้ บิดาแซ่หัน นามเฉียน นามรอง เอวี๋ยนปี้ มารดาจิงฟู ตั้งครรภ์ท่านเหลาจื้ออยู่แปดสิบปีจึงได้กำเนิด ณ ใต้ต้นลี้ จึงเปลี่ยนมาใช้แซ่สกุลลี้
หลังจากที่ท่านขงจื้อ เดินทางมาเรียนรู้จริยธรรมจากท่านแล้ว ไม่นานต่อมาท่านเหลาจื้อ ก็ขี่ความออกไปนอกแคว้นทางด่านหันกู่กวน มุ่งสู่ทิศตะวันตกเพื่อจะถ่ายทอดวิถีธรรมแด่เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนจะเดินทางถึงด่านหันกู่กวน นายด่านนามว่าอิ่นสี่ มองเห็นแสงฉัพพรรณรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องหน้า อิ่นสี่ นึกรู้ทันทีว่ามีผู้บุญญาธิการวิเศษกำลังจะผ่านมา เมื่อเห็นท่านเหลาจื้อจึงได้ก้มลงกราบขอให้ท่านแสดงธรรม ท่านเหลาจื้อได้โปรดเมตตาเขียนคัมภีร์มอบให้ด้วยอักษรห้าพันคำ ชื่อว่าคัมภีร์คุณธรรม (ต้าเต๋อจิง) อันลึกซึ้ง เป็นแนวทางปฏิบัติธรรมอันสูงส่งสำหรับสาธุชนรุ่นหลังสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้วิถีธรรมของท่านเหลาจื้อเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่านให้เลี้ยงจิตให้สงบ กำหนดจิตที่สงบจนเกิดความสว่าง ละจากรูป สังขาร เข้าสู่ภาวะนิพพาน ให้น้ำและไฟในกายเกิดคุณเนื่องกันจนวัชรญาณหรือจิตเดิมแท้คงตัว คัมภีร์ที่ท่านได้โปรดถ่ายทอดไว้ให้ คัมภีร์คุณธรรม (เต้าเต๋อจิง) คัมภีร์วิสุทธิสูตร (ซิงจิ้งจิง) ท่านได้รับการเทิดทูนว่า " บิดาแห่งเต๋า "
วิถีธรรมของท่านขงจื้อ ดำเนินควบคู่กันไปทั้งทางโลก และทางธรรม อยู่กับรูปแต่ไม่ติดรูป ให้พ้นรูปธรรม อรูปธรรม เข้าสู่นิพพาน วิถีธรรมนี้เป็นที่คุ้นเคยกัน ไม่จำเป็นจะต้องแจง สรุปคือ วิถีธรรมของศาสนาใหญ่ทั้งสามล้วนมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่จิต คุณธรรมความดีงามที่แสดงออกล้วนปรากฏออกมาจากธาตุแท้ธรรมญาณ เมื่อธาตุแท้ธรรมญาณสว่างแล้ว คุณธรรมทั้งหมดจะงดงามเที่ยงตรงเองโดยมิต้องฝึกฝน ดังคำกล่าวที่ว่า "เมื่อเข้าใจในภาวะธรรมแห่งตนแล้ว ผลแห่งคุณงามจะเกิด" "เมื่อรากฐานมั่นคงแล้ว กิ่งก้านสาขาจะงอกงามเป็นหลักธรรมดา" เสียดายที่พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังไม่ได้รับรู้วิถีแห่งจิตอันวิเศษโดยตรง สานุศิษย์ในศาสนาเต๋า ก็ไม่ได้รับรู้เคล็ดลับรหัสคาถา อันแยบยลในการรวมศูนย์จิตญาณ กลับกลายเป็นรับจ้างทำพิธีสวดมนต์สะเดาะเคราะห์แก่ผู้เดือดร้อน สานุศิษย์ในศาสนาปราชญ์ ก้ไม่ได้รับวิถีแห่งจิตโดยตรง อักษรศาสตร์บัณทิตทั้งหลาย ก็ได้ชื่นชมหาคำแปลอันไพเราะตามความหมายของอักษรในคัมภีร์ หารู้ความแยบยลลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในคำเหล่านั้นไม่ แม้หากถามว่า ความปราณีตของการ รู้จุดหยุดนิ่ง ไม่ยินไม่ยล รู้แจ้งสัจธรรมจิตแท้ปรากฏ กล่อมเกล้ยงเลี้ยงจิต โน้มนำสะรวมจิต ผู้รู้ได้ไม่มีสักกี่คน เช่นนี้ จึงทำให้ศาสนาของพระอริยะทั้งสามใกล้กาลเสื่อมสูญ
ฉะนั้น การถ่ายทอดวิถีแห่งจิตอันแท้จริง จึงจำเป็นจะต้องบำเพ็ญกันตามหลักคำสอนของทั้งสามศาสนาอย่างถูกต้องโดยไม่เอนเอียง จะต้องดำเนินตามหลักจริยธรรมมโนธรรมของศาสนาปราชญ์ ใช้ความปราณีตละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพในการประคองจิตตามแนวปฏิบัติของศาสนาเต๋า และ รักษาศีลปฏิบัติบำเพ็ญตามหลักศาสนาพุทธ การปฏิบัติบำเพ็ญตามอัธยาศัย จะช่วยให้อายุัวัฒนะ ปฏิบัติบำเพ็ญอย่างจริงจัง อาจบรรลุธรรมสำเร็จมรรคผล อันเป็นเรื่องที่พึงตระหนักสำหรับผู้บำเพ็ญ