collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม ถ้อยแถลงจากผู้เรียบเรียง  (อ่าน 40413 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                           ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                   @   รับวิถีธรรมแล้วพึงบำเพ็ญเช่นไร

        ธรรมะ เมื่อสำรวมไว้ในใจ เป็นกุศลจิต  เมื่อแสดงออกเป็นคุณสัมพันธ์ หากมีแต่ภาวะธรรมอยู่ภายใน แต่ขาดคุณงาม มารจะผจญ ดังคำที่ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อกล่าวไว้ว่า "แม้ขาดคุณงามอันยิ่งใหญ่ จะไม่อาจรักษาสภาวะธรรมอันสูงส่งแห่งตนจนบรรลุได้"  คุณงามคือบารมี  สร้างบุญคือสร้างคุณงาม จึงพึงสงเคราะห์ผู้คน สร้างคุณต่อสรรพสิ่ง มีน้ำใจฉุดช่วยกอบกู้ชาวโลกให้พ้นจากทุกข์ภัย ปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาทั้งสามด้วยความเคารพอย่างจริงจัง การคัดลอกพระธรรมโอวาท จัดตั้งพุทธสถาน แพร่คำเตือนโน้มนำกล่อมเกลาผู้คน บุกเบิกเผยแพร่ธรรม ประกาศสัจธรรมคำสอนให้กว้างไกล เปิดใจคนหลงให้เกิดปัญญา  ส่งเสริมกล่อมเกลาให้เขาบรรลุมรรคผลได้ เป็นบุญกุศลมิใช่น้อย  เมื่อบุญบารมีภายนอกเสริมสร้างได้พร้อมแล้ว กุศลจิตภายในก็จะสมบูรณ์ใสไปด้วย  ในส่วนของการดำรงตนทางโลก การช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งทรัพย์สิ่งของเงินทอง และกำลังความสามารถ หากเป็นเรื่องเล็กน้อย กำลังเฉพาะตนช่วยได้ก็ช่วยไป  ถ้าเป็นเร่องใหญ่ให้รวบรวมกัน ร่วมกันสงเคราะห์ให้เหมาะกับกาลเทศะ บุคคล และเหตุอันควร โน้มนำให้เกิดคุณในทุก ๆ ด้าน    คนที่เป็นพ่อให้เกิดเมตตาคุณ   คนที่เป็นลูกให้มีกตัญญุตาคุณ   คนที่เป็นพี่ให้มีมิตรไมตรีคุณ   คนที่เป็นน้องให้มีสัมมาคารวะคุณ   สามีภรรยากันให้มีฉันทคุณ   เพื่อนพ้องให้มีสัตยคุณ     เจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้มีความยุติธรรมและสุจริตคุณ   แปรบาปให้เป็นบุญ   แปรคนโง่หลงให้เป็นปัญญาชน
        จึงนับเป็นการสร้างบุญที่แท้จริง  มิได้ทำไปด้วยหวังชื่อเสียงอวดตน มิได้แสดงอาการหรือน้ำเสียงเกรี้ยวกราด  หากทำไปเพื่อหวังชื่อเสียง มิจัดว่าเป็นบุญ  แม้ตักเตือนผู้คนด้วยโมหะ โทสะ  จะขาดคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญธรรม

                         @  โปรดสามโลกทั่วไปคืออย่างไร

        วิถีอนุตตรธรรมมีขอบข่ายของการฉุดช่วยจิตญาณทั้งหลายอย่างกว้างขวาง ในเบื้องบนสามารถฉุดช่วยเทพเจ้า แห่งดวงดาวต่าง ๆ อีกทั้งเทพเทวาทั้งหลายในชั้นเทวโลก  ในเบื้องกลางสามารถฉุดช่วยชาวโลกหญิงชายเหลือคณานับ ส่วนเบื้องล่างก็สามารถฉุดช่วยผีนรกทั้งหลาย เช่นนี้เรียกว่าฉุดช่วยพร้อมกันทั้งสามโลก

                         @  เบื้องบนฉุดช่วยเทพเจ้าแห่งดวงดาวต่าง ๆ อย่างไร

        บัดนี้  เป็นกำหนดกาลยุคสามมหันตภัยสุดท้ายของโลก พระพุทธาทั้งสามพระองค์   ( พระทีปังกรพุทธเจ้าแห่งธรรมกาลยุคเขียว   พระศากยะพุทธเจ้าแห่งธรรมกาลยุคแดง   และพระศรีอริยเมตตรัย พระพุทธเจ้าแห่งธรรมกาลยุคขาว )   ( พระศรีอาริย์  พระพุทธะจี้กง  และพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ) ร่วมกันสนองพระโองการ ฯ เก็บงานขั้นสมบูรณ์  จึงได้มีการปรกโปรดฉุดช่วยทั้งสามโลกอย่างกว้างขวางเกิดขึ้น ด้วยเหตุที่ผู้บำเพ็ญแต่เก่าก่อนมา ผู้อุตส่าห์ทำสามธิฝึกจิต กำหนดลมปราณ ฯ ล้วนแต่ยังมิได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ประทานถ่ายทอดวิถีจริงให้คืนกลับนิพพานได้  อีกทั้งขันนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน  ลูกกตัญญู  วีรสตรี  และหญิงหม้ายที่รักนวลสงวนตัว เมื่อตายไปแล้วก็มิอาจถูกลบลืมความดีงามได้ แม้จะได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเทวาในชั้นเทวโลกหรือเป็นใหญ่ในเมืองผี แต่หากมิได้รับวิถีอนุตตรธรรมก็ยังยากที่จะพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่อาจคืนสู่ต้นกำเนิดเดิมได้ บัดนี้ ถึงกำหนดกาลยุคสามมหันตภัยสุดท้าย วิถีอนุตตรธรรมได้โปรดถ่ายทอดฉุดช่วยทั่วไป ดังนั้นเทพเทวาทั้งหลายในชั้นเทวโลกจึงมักจะติดตามพระบาทพระุพุทธอรหันต์มาสู่พุทธสถานหรือปรากฏบุญญาธิการไปทั่ว เพื่อค้นหาผู้เคยมีบุญสัมพันธ์กันมาเมื่อชาติก่อน ให้คนเหล่านั้นเป็นผู้เชื่อมโยงนำพาและรับรองให้ได้ขอรับวิถีอนุตตรธรรมด้วย เพื่อพระองค์จะได้คืนกลับนิพพาน พ้นจากการเวียนว่ายตลอดไป ดังนั้น การจะฉุดช่วยเทพเจ้าแห่งดวงดาวจึงเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าการฉุดช่วยคน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

             @   ยุคที่สามมหันตภัยสุดท้าย คืออย่างไร

        เริ่มจากกำหนดกาลของฟ้าดินนี้ จนถึงกาลสิ้นสุดของฟ้าดินนี้ ถือเป็นอุบัติกาล (เอวี๋ยนธรรมกาล) ใหญ่  หนึ่งอุบัติกาลใหม่แบ่งเป็นสิบสองบรรจบกาล (ฮุ่ย)  โดยใช้สิบสองนักกษัตร คือ ชวด ฉลู ขาล เถาะ ฯลฯ  เป็นชื่อบรรจบกาลนั้น ๆ  หนึ่งบรรจบกาลเท่ากับหนึ่งหมื่นแปดร้อยปี  ในแต่ละช่วงเวลาหนึ่งบรรจบกาล เนื่องจากเกิดความผันผวนของสภาวการณ์ต่าง ๆ จึงก่อให้เกิดภัยพิบัติอันเป็นชะตากรรม บัดนี้ เวลาของบรรจบกาลมะเมียได้สิ้นสุดลง และเริ่มต้นเข้าสู่บรรจบกาลมะแม กำเนิดของฟ้าดินในอุบัติกาลนี้ ประมาณได้หกหมื่นปี หลังจากที่พระอริยเจ้าได้อุบัติแล้วในโลกนี้ จึงได้แบ่งเวลาบรรจบกาลมะเมียกับมะแมออกเป็นสามยุคคือ
1.  ยุคเขียว   เป็นสมัยพระอริยเจ้าฟู่ซี
2.  ยุคแดง    เป็นสมัยพระเจ้าอุ๋นอ๋วง
3.  ยุคขาว    เป็นสมัยบรรจบกาลมะเมียคาบเกี่ยวมะแม
        คนดีจะได้เข้าสู่วิถีธรรม ส่วนคนชั่วคนบาปก็ตกไปสู่ภัยพิบัติ นับจากบรรจบกาลที่สาม (ขาล) ที่คนได้ถือกำเนิดมาในโลกจนบัดนี้ ธรรมกาลเดิมได้เกิดกายมาในโลกครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะหลงอยู่ในโลกีย์วิสัยอันเป็นภาพมายา ไม่รู้จิตญาณแห่งตน ไม่รู้กำเนิดที่มา และไม่รู้จักหาหนทางคืนกลับ กลับหลงลึก เลวลง เมื่อคนมีเล่ห์ร้ายจนถึงที่สุดเช่นนี้แล้ว จึงก่อให้เกิดมหันตภัยที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จึงเรียกได้ว่า "ยุคที่สามมหันตภัยสุดท้าย"

                     @  การจะฉุดช่วยวิญญาณผีทำได้อย่างไร

        คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ และปรองดองกับพี่น้องเป็นพื้นฐาน ในคัมภีร์กตัญญุตาธรรมกล่าวว่า "การดำรงตน  (ให้พ้นจากเหตุของการเวียนว่ายต่อไป ด้วยการดำเนินธรรม  (สำรวม  ปฏิบัติ  แพร่ธรรม)  ไว้ชื่อ ระบือนาม เชิดชูเกียรติประวัติของบิดามารดา เป็นที่สุดของความกตัญญู" ใครที่ไม่อยากบกพร่องในกตัญญุตา ขณะมีชีวิตอยู่พึงแสดงความเคารพ กตัญญูต่อพ่อแม่อย่างแท้จริง  เมื่อพ่อแม่สิ้นแล้วยิ่งจะต้องบำเพ็ญจริง สร้างบุญกุศลฉุดช่วยดวงวิญญาณของท่านให้พ้นจากความทุกข์ของการเวียนว่ายในวัฏสงสารตลอดไปอีกทั้งได้กลับขึ้นไปเสวยวิมุติสุข ณ โลกุตรสถานอันสงบ ลูกหลานที่คิดจะฉุดช่วยดวงวิญญาณของพ่อแม่ บรรพชนเจ็ดชั่วคน หรือฉุดช่วยบุตรหลานอีกเก้าชั้น จะฉุดช่วยอย่างไรจุงจะบรรลุเป้าหมาย นั่นก็คือจะต้องศรัทธาบำเพ็ญเสมอต้นเสมอปลาย  เสริมสร้างบุญกุศล แสดงความจริงใจต่องานธรรมะ  เช่นนี้  จึงจะฉุดช่วยได้ ดังคำที่ว่า  " ลูกหนึ่งคนได้เข้าสู่ประตูอนุตตรธรรม  บรรพบุรุษอีกเก้าชั้นก็ได้รับการเชิดชู"  ลูกหนึ่งคนได้บรรลุธรรม  บรรพบุรุษเก้าชั้นก็หลุดพ้นเลื่อนชั้นตามไป"

                      @  ในพระอนุตตรธรรมโอวาท มักจะกล่าวถึงคำว่า " ไก่ทองขันครั้งที่สาม " คืออย่างไร

        ทองเป็นหนึ่งในธาตุทั้งห้า ตามหลักคำนวณโป๊วก้วยแต่โบราณมา สัญญลักษณ์ธาตุทองอยู่ในตำแหน่งทิศตะวันตกจึงกลาวว่า ธาตุทองทิศตะวันตก  ในสิบสองนักกษัตร ระกาหมายถึงไก่ ระกาก็เป็นสัญญลักษณ์หนึ่งในกำหนดสิบสองชั่วยามของจีน ระกาเป็นยามที่สิบ คือ ระหว่างเวลา 17.00 - 19.00 น.  เวลาระกาจึงเป็นเวลาที่ดวงอาทิคย์ลับหายไปทางทิศตะวันตก ไก่ทองจึงหมายถึงทิศตะวันตก  ทิศตะวันตก เป็นธาตุทอง  ธาตุทองเป็นสีขาว  โดยหลักคำนวณโป๊วก้วย กำหนดกาลของโลกตกอยู่ในตำแหน่งธรรมกาลยุคขาว พระธรรมาจารย์สมัยที่สิบเจ็ด ซึ่งเป็นพระภาคหนึ่งของพระศรีอริยเมตตรัยได้ถืออุบัติขึ้น รับพระภาระปกครองธรรมกาล ฉุดช่วยธรรมญาณทั้งหลาย กลับคืนนิพพานอันเป็นสถาเดิมของเราในครั้งนี้ พระองค์ได้รับอริยฐานธจากเบื้องบนว่า "  " จินกงจู่ซือ "  คือ  " พระบรรพจารย์ทอง "  ซึ่งตรงกับหลักคำนวณของโป๊วก้วยในตำแหน่งระกาหรือธาตุทอง  " ขันสามครั้ง "  หมายถึง กำหนดกาลมหันตภัยสุดท้ายในยุคที่สาม  พระองค์จะอุบัติมาโปรดประทานพระโอวาท ในครั้งที่สามการถ่ายทอดวิถีธรรมจะกระจ่างแจ้ง จึงได้มีคำกล่าวว่า " ไก่ทองขันสามครั้ง "  ซึ่งก็หมายความว่า วิถีอนุตตรธรรมจะปรากฏชัดเจน เมื่อถึงกำหนดกาลนั้น ธรรมะกับภัยพิบัติจะครอบคลุมโลกมนุษย์พร้อมกัน วิถีธรรมจะแผ่ไพศาล   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

        @   คนเราดื่มกินอย่างเดียวกัน แต่เหตุใดบ้างจึงเจ็บป่วยไม่ขาด แต่บางคนไม่เป็นอะไรเลยทั้งปี ๆ

        คนเรามีเลือดเนื้อเป็นกายสังขาร มีหรือที่จะไม่เกิดทุกข์ภัย แต่โรคภัยไข้เจ็บใหญ่มักเกิดจากกรรมสนอง ส่วนการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นเกิดจากการละเลยไม่ดูแลสุขภาพของตนเอง พญายมจึงมีสมุนปีศาจฝ่ายแพร่โรคระบาด บนเทวโลกจึงมีเทพเจ้าฝ่ายเพทภัยซึ่งล้วยปฏิบัติไปตามพระบัญชา ความเจ็บป่วยมิใช่เกิดจากความผิดพลาดของความหนาวร้อนของร่างกายเท่านั้น อารมณ์ยินดี  โทสะเสียใจ  เป็นสุข  รักชอบ  โกรธเกลียด ฯ  หรือตัณหาที่เกิดจากรูป  รส  กลิ่น  เสียง  สัมผัส  นึกคิด  เหล่านี้ก็ล้วนเป็นเหตุให้เกิดเจ็บป่วยได้ ร่างกายของคนเรา ไม่เพียงแต่ถูกทำลายด้วยอาหารการกิน ถูกทำลายด้วยตัณหาราคะของตน แม้แต่ความโลภ  หลงไม่รู้จักพอ  หรือผิดหวังในสิ่งที่ต้องการ ฯ  ก็เป็นภัยร้ายแรงแก่สุขภาพอย่างยิ่ง ดังคำกล่าวที่ว่า
 " ใจสบายกระท่อมหญ้าคาก็น่าอยู่ 
 จิตสงบน้ำแกงผักหญ้าก็ว่าหวาน "
         ในคัมภีร์ต้าเสวียกล่าวไว้ว่า
" ความร่ำรวยช่วยให้บ้านดูหรูหรา
 คุณความดีช่วยให้กายงดงาม 
ใจกว้างช่วยให้ใจสมบูรณ์ "
        ฉะนั้น  กัลยาณชนจึงพึงวางตน จะกล่าววาจาให้รู้สัจจะ ทำการใดให้ระวังผิดพลาด ครึ่งหนึ่งทำเต็มกำลังความสามารถ ครึ่งหนึ่งล้วนแต่กำหนดของเบื้องบน  พึงรู้ว่าสิ่งซึ่งพึงมีได้ในชีวิตของเราฟ้ามิอาจช่วงชิง  สิ่งที่ฟ้าประทานให้ ใครก็มิอาจปฏิเสธ  จึงมีคำกล่าวว่า "กัลยาณชนรู้ครองชีวิตโดยสงบ" ในครั้งสามก๊ก เมื่องลั่วหยังเกิดยุคเข็ญอดอยาก ความหิวกระหายปรากฏอยู่บนใบหน้าของประชาชนทั่วเมือง มีเพียงคนเดียวที่ใบหน้ายังคงอิ่มเอิบเป็นปกติโจโฉ จึงถามหาสาเหตุ คนผู้นั้นตอบว่า "ข้าพเจ้าตัดกิเลส กินเจมาสามสิบปีแล้ว" ฉะนั้น ผู้ตั้งใจบำเพ็ญ ละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ หอม กระเทียม สุรายาเมาอย่างบริสุทธิ์ได้ โลหิตก็จะบริสุทธิ์ โรคภัยไข้เจ็บก็จะลดน้อยลงได้เอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

             @  ได้รับวิถีธรรมแล้วอยากก้าวหน้าควรเริ่มต้นอย่างไร

        อยากจะก้าวหน้า จะต้องเริ่มด้วยตั้งความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอน เพราะความเชื่อมั่นเป็นฐานของการบำเพ็ญ เป็นต้นกำเนิดของบุญกุศล คนที่ขาดความเชื่อมั่น แม้ดูฤกษ์ยามดวงชะตาหาแม่นไม่ อย่าว่าแต่การบำเพ็ญ พึงรู้ว่าทุกคนเป็นธรรมญาณอันวิเศษสมบูรณ์เช่นเดียวกับธรรมญาณของพระอริยะผู้บรรลุทั้งหลายแต่เหตุที่บ้างก็หลง บ้างก็สำนึกรู้ จึงได้ต่างกันไป เรามีศรีษะทรงกลม มีฝ่าเท้าแบนราบ ลักษณะเปรียบได้ดังท้องฟ้าและแผ่นดิน เรามีลมหายใจเข้าออกเป็นลักษณธอิน - หยัง ในธรรมชาติ นัยน์ตาทั้งสองเปรียบดังตะวันเดือน ( มีปอดเป็นธาตุทอง  ไตเป็นธาตุน้ำ   ตับเป็นธาตุไม้   หัวใจเป็นธาตุไฟ   และม้ามเป็นธาตุดิน )  เรามีอารมณ์ยินดี  โทสะ  โศกเศร้า  เป็นสุข  เปรียบได้ดังลมไฟ้าคะนอง เมฆและฝน  เรามีเมตตา  มโนธรรม  จริยธรรม  และปัญญา  เปรียบกับฟ้าเบื้องบนที่มี ธาตุแท้  แผ่ไพศาล   ปัจจการกำเนิด   อนุรักษ์  จิตบริสุทธิ์จากฟ้าหรือผู้ได้รับวิถีอนุตตรธรรมบำเพ็ญจิตกำเนิดแห่งตน เหมือนทารกไร้เดียงสาเป็นสภาวะเดียวกันกับฟ้าดิน พระอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น  จอมปราชญ์ขงจื้อ  เมิ่งจื้อ  มิได้กำเนิดต่างไปจากคนเรา ต่างกันแต่ว่า

ผู้รู้สัจธรรมของชีวิตได้บรรลุความเป็นพุทธะ
ผู้ฝืนต่อกฏสัจธรรมของชีวิตเป็นวิญญาณผี
นำพาบำเพ็ญจิต เรียกว่า ธรรมะ  อันเป็นหลักเที่ยงแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

             @ #  พุทธานุภาพมิอาจประมาณ มีวิธีการสะดวกอย่างไรสำหรับผู้บำเพ็ญใหม่ จะได้ปฏิบัติต่อไปได้ตามขั้นตอน

        ศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื้อ สอนให้โน้มนำจิตสำนึกกล่อมเกลี้ยงธรรมญาณฯ ซึ่่งผู้บำเพ็ญใหม่สามารถปฏิบัติได้ทันที ด้วยเหตุที่โน้มนำจิตไปสู่ความดีงาม จึงได้บรรลุสู่หนทางบุญ แต่หากโน้มนำจิตไปสู่ความชั่วก็จะนำภัยมาสู่ตน  โน้มนำจิตไปสู่ความสงบก็จะพาให้อายุวัฒนะ ประคองจิตใว้ ณ จุดญาณทวารอันเป็นประตูวิเศษเรียกว่า " กัลยาณชนรู้รักษาความเป็นกลาง  (มโนธรรม) อยู่ทุกขณะ " เมื่อกล่อมเกลี้ยงญาณโน้มนำจิตได้แล้ว จะไม่เป็นเช่นที่ท่านจอมปราชญ์เมิ่งจื้อกล่าวหรือว่า " สิ่งที่กัลยาณชนแตกต่างจากคนทั่วไปก็คือ การโน้มนำจิตของเขา " กัลยาณชนใช้เมตตาธรรมโน้มนำจิต  ใช้จริยธรรมโน้มนำจิต  เมตตาธรรมเป็นความรักที่ให้ต่อคนทั้งหลาย  จริยธรรมเป็นความเคารพที่แสดงต่อคนทั้งหลาย  คนที่ให้ความรักต่อคนทั้งหลายจะได้รักตอบเสมอ  คนที่แสดงความเคารพต่อคนทั้งหลาย จะได้ความเคารพตอบเสมอ  ผู้ศึกษาธรรม เพียงให้ใช้จิตสำนึกที่มีต่อธรรมะเพิ่มเติมเข้าไว้ในสองประการนี้เท่านั้นก็เหมาะแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม 

                @   ทราบหรือไม่ว่าการบำเพ็ญธรรมมีวิถี "ตามกระแส" และ "ทวนกระแส"

        " ตามกระแส "  หรือ  " ทวนกระแส "  เป็นการบำเพ็ญที่อาศัยกายสังขารเป็นหลักซึ่งก็จะต้องู้ไว้ เมื่อกายธาตุ พลังธาตุ และวิญญาณธาตุ (จิง ซี่ เสิน)อีกทั้งหูตาที่ได้ยินได้เห็นแผ่ซ่านออกไป ภาวะนั้นเป็นโลกียชน แต่เมื่อสำรวมคงที่อยู่ภายใน ภาวะนั้นเป็นอริยะ กายธาตุ พลังธาตุ วิญญาณธาตุ แผ่ซ่านออกไปอยู่กับความยินดีในกามคุณ เป็นภาวะ " ตามกระแส "  (เป็นไปโดยง่าย)  การสำรวมเก็บเข้าไปจะเป็นภาวะ " ทวนกระแส "  (ฝืนได้ลำบาก) ฉะนั้น ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อจึงได้กล่าวไว่ว่า "วิถีแห่งการเรียนรู้มิใช่อื่นไกล  ให้นำจิตที่กระเจิงไปกลับคืนมาเท่านั้นเอง"  ความปราณีตในการโน้มนำจิตกล่อมเกลี้ยงธรรมญาณแห่งตนก็คือ ให้จิตคืนสู่ภาวะความเป็นหนึ่งดียว บริสุทธิ์และสงบ ให้สยบอารมณ์ ย้อนมองส่องตน (รู้ภาวะจิตเดิมแท้) ให้ดับไฟในจิต (ความอยากทั้งปวง) ความร้อนลุ่มจะลดลง ให้ดุนปลายลิ้นไว้กับเพดานเหงือก จากนั้นน้ำอมฤตจะซึมออกจากต่อมใต้ลิ้น เมื่อมีปริมาณพอสมควรให้กลืนลง น้ำอมฤตนี้จะซึมซาบไปสู่ศูนย์กลางกาย สมานกับธาตุไฟในประตูชีวิต (จุดกำเนิดของชีวิตในกาย) ธาตุน้ำจะแปรเป็นพลังธาตุ พลังธาตุและวิญญาณธาตุจะเอิบอิ่มชุ่มชื่น แม้ตรากตรำทำงานก็ไม่เกิดความเหนื่อยหน่าย เมื่อเข้าสู่ภาวะ "ทำให้ลดลงแล้วเพิ่มขึ้นในภายหลัง" น้ำอมฤตจะวนเวียนหล่อเลี้ยงชีวิตร่างกายไม่ขาดสาย แม้กายธาตุจะสมบูรณ์ก็ไม่ก่อให้เกิดอารมณ์กำหนัด แต่จะไปส่งเสริมพลังธาตุ เมื่อพลังธาตุสมบูรณ์ก็จะไม่เกิดอาการหิวกระหาย แต่พลังธาตุจะไปเสริมสร้างวิญญาณธาตุให้อิ่มเอิบสดชื่น เมื่อวิญญาณธาตุสมบูรณ์ ก็จะไม่ทำให้เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน วิญญาณธาตุที่สมบูรณ์จะเบาสบาย ไม่หมกมุ่น ไม่คร่ำเครียด ก็จะส่งผลให้จิตว่าง ศักดิ์สิทธิ์ และแผ่ไพศาล ไปได้ทั่วโลกธรรม
 ศาสนาเต๋าเรียกวิญญาณธาตุในภาวะนี้ว่า " เวียนธรรมจักร "
ศาสนาปราชญ์เรียกว่า  " บริสุทธิ์สิ้นตัณหา มโนธรรมนำทาง"
        เช่นนี้เป็นความปราณีตของการบำเพ็ญ " ทวนกระแส "  พึงเข้าใจว่า พลังธาตุของโลกียชนจะ " ขึ้นก่อนแล้วตก " ส่วนพลังธาตุของผู้บำเพ็ญจริงจะ " ลดก่อนแล้วเพิ่มขึ้น "  เช่นนี้ เป็นคุณและโทษที่ต่างกันหรือมิใช่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

             @   การฉุดช่วยวิญญาณในวิธีธรรมคืออย่างไร

        ในบทบัญญัติเดิมกำหนดไว้ว่า  " บุคคลใดบรรลุธรรม บรรพบุรุษเก้าชั้นของผู้นั้นจะพ้นจากนรก " ในครั้งที่การโปรดสัตว์ทั่วไปเพิ่งเริ่มขึ้น พระอนุตตร ฯมารดาทรงกำหนดว่า " จะโปรดคนเป็น ไม่โปรดผี " (ฉุดช่วยถ่ายทอดวิถีธรรมให้)  ภายหลังต่อมา เนื่องด้วยตรีเทพพิทักษ์มหาราช ( ซันกวนเต้าตี้ ) และพระกษิติครรภ์ ( ตี้จั้งกู่ฝอ )  ได้โปรดกราบขอพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้โปรดประทานอนุญาตฉุดช่วยทั้งผู้คนและวิญญาณผีพร้อมกัน เหตุนี้เบื้องบนจึงได้จัดตั้งพุทธาลัย เป็นสถานรองรับวิญญาณที่ได้รับการฉุดช่วยขึ้นไป หรือเป็นที่พักสำหรับผู้ที่ได้รับวิถีธรรมแล้วคืนสู่ความสว่าง (ตาย) เพื่อรอพิจารณากำหนดมรรคผลผู้ตายที่บำเพ็ญดีทั้งกุศลจิตภายใน และกุศลกรรมภายนอก จะได้รับคัดเลือกไว้ระดับสูง ผู้ที่มีกุศลทั้งสองไม่มากพอ ก็จะถูกตัดสินให้ไปเกิดใหม่ เพื่อบำเพ็ญใหม่ หรือจุติลงไปเกิดในฐานะหรือชาติตระกูลดี เพื่อเสวยสุขวาสนาต่อไป อันความกตัญญูนั้นแบ่งออกเป็นทางโลกและทางธรรมสองสถาน ความกตัญญูในทางโลกคือ เมื่อพ่อแม่มีชีวิตอยู่ให้เลี้ยงดูด้วยความเคารพ เมื่อพ่อแม่ตายให้จัดงานศพด้วยความเคารพ และเมื่อพ่อแม่ตายให้จัดเซ่นไหว้ด้วยความเคารพทุกวันตรุษสารท  วันคล้ายวันเกิด วันตาย และวันสำคัญอื่น ๆ ของท่าน  ที่สุดก็คือ ทำเต็มกำลังความสามารถของผู้เป็นลูกจะกระทำได้เท่านั้น  ซึ่งเหล่านี้ไม่อาจช่วยลบล้างแก้ไขบาปเวรของพ่อแม่ได้ ไม่อาจฉุดช่วยให้พ่อแม่พ้นจากวงเวียนกรรมได้ ไม่อาจฉุดช่วยให้พ่อแม่ไม่ต้องไปเกิดใหม่เป็นลูกเมียใครต่อใครต่อไปได้ ความกตัญญูสถานนี้จึงเป็นความกตัญญูเล็กน้อยเทานั้น หากใครมีความกตัญญูอย่างจริงจัง สำนึกรู้ในพระคุณของพ่อแม่ที่ท่านต้องเหนื่อยยากเลี้ยงดูเรามา ซึ่งยากนักที่จะตอบแทนท่านได้ และปรารถนาที่จะฉุดช่วยวิญญาณของท่าน ก็จะต้องบำเพ็ญธรรม ในการบำเพ็ญอนุตตรธรรม มีการเพิ่มผลบุญที่ว่า " หกสิบสี่กุศลเพิ่มหนึ่งผลบุญ " (ลิ่วสือซื่อกงเจียอี้กั่ว) หมายความว่า ผู้บำเพ็ญธรรมผู้ใดที่ฉุดช่วยผู้คนให้ได้รับวิถีธรรมได้หกสิบสี่คนแล้ว เบื้องบนจะโปรดประทานให้ฉุดช่วยวิญญาณในชั้นพ่อแม่ได้หนึ่งชั้น เท่ากับโปรดประทานเพิ่มให้หนึ่งผลบุญ รวมเก้าชั้นตามระดับแต่ละหกสิบสี่ผลบุญ การฉุดช่วยวิญญาณของบรรพบุรุษในระดับสูงเช่นนี้ เรียกว่า " ซันป๋า "   ฉุดช่วยวิญญาณของลูกหลานระดับต่ำกว่าเราลงไปเรียกว่า " เอินป๋า "  ซึ่งการนี้ผู้ฉุดช่วยจะต้องถึงพร้อมด้วยบุญกุศลสูงพอ ต่อมาในปีหมินกั๋วที่ 13  (พ.ศ. 2454 )  ระเบียบนี้ได้โปรดเปลี่ยนแปลงใหม่คือ " ให้ฉุดช่วยพ่อแม่ได้ หากพี่น้องลูกหลานได้รับวิถีธรรมพร้อมกันแล้วทั้งครอบครัว หากจะฉุดช่วยชั้นปู่ย่าตาทวด ก็ให้ทำตามระเบียบเดิมแต่ละชั้น "

หมายเหตุ :  ตามระเบียบที่กำหนดใช้ในปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไปอนุญาตให้ฉุดช่วยได้เฉพาะพ่อแม่ ระดับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม ( เตี่ยนฉวนซือ ) จึงจะอนุญาตให้ฉุดช่วยชั้นของปู่ย่าตายายได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

               @   มีอะไรเป็นประจักษ์หลักฐานว่าวิญญาณได้รับการฉุดช่วยแล้ว

        เมื่อวิญญาณได้รับการฉุดช่วยครบร้อยวันแล้ว จะเชิญวิญญาณมาเข้าทรงที่พุทธสถานได้ให้เล่าเรื่องราวความทุกข์ในนรก การเวียนว่ายตายเกิด และหนทางหลุดพ้น ที่ตนได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเสวยสุขยังแดนสุขวดีได้ อีกทั้งจะบอกกล่าวหรือมอบหมายสิ่งที่ตนยังทำค้างไว้ เมื่อมีชีวืตอยู่ให้คนหลังรับรู้โดยละเอียด ด้วยการเขียนกระบะทราย หรือใช้ร่างของใครพูดจา เหล่านี้เป็นประจักษ์หลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า วิญญาณได้รับการฉุดช่วยให้พ้นจากนรกแล้วจริง ๆ

               @   วิญญาณที่ได้รับการฉุดช่วยจะไปอยู่ที่ไหน ?.

        วิญญาณที่ได้รับการฉุดช่วยแล้ว จะได้รับการลงทะเบียนบนบัญชีสวรรค์ ถอนชื่อจากบัญชีในยมโลกขึ้นไปฝึกฝนบำเพ็ญในสถาน " บำเพ็ญตน " (จื้อซิวถัง)  ของพุทธาลัย ( เทียนฝอเอวี้ยน)  จนครบหนึ่งร้อยวัน จากนั้นวิญญาณซึ่งมีภาวะเป็นอินคือเย็นยะเยือกมืดมัว ก้กลับคืนสู่ภาวะหยังคือสว่าง สดใส เป็นธาตุแท้ญาณเดิม ต่อจากนั้นพระอนุตตรธรรมมารดาเจ้า จะโปรดประทานพระมหากรุณาธิคุณบัญชาตรีเทพพิทักษ์มหาราช (ซันกวนต้าตี้) กำหนดฐานะตามผลบุญกุศล ซึ่งจะต้องถือเอากุศลจิตของวิญาณเองเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ บวกกับกุศลจิตและกุศลกรรมของลูกหลานในปัจจุบันเป็นเกณฑ์ ฉะนั้น พึงเข้าใจว่า แม้ทุกคนได้รับวิถีอนุตตรธรรมแล้ว จะมีส่วนในอริยฐานะบัลลังก์บัว ตามมรรคผลเป็นราย ๆ ไป 

              @   รับวิถีธรรมแล้วต้องกินเจด้วยหรือ

        เมื่อเข้าสู่วิถีธรรมแล้ว การถือศีลกินเจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเหตุว่าจิตแท้ญาณเดิมของเรามีภาวะเป็นที่สุดของความบริสุทธิ์ จึงไม่อาจรับเอาความสกปรกแปลกปลอมใด ๆ เข้าไปปะปนได้ เมื่อมีสิ่งสกปรกปะปนเข้าไป ธรรมญาณจะสูญเสียภาวะของความเป็นธาตุแท้ไป ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญธรรมจะต้องขจัดสิ่งสกปรกแปลกปลอมออกไป  คงเหลือไว้แต่ความบริสุทธิ์ จิตเดิมแท้จึงจะฟื้นฟูความสว่างได้ดั่งเดิม ผักฉุนทั้งห้าคือ  หอม (ทำลายไต)  กระเทียม (ทำลายหัวใจ)  กุยไฉ่ (ทำลายตับ)   หลักเกี๋ย - กระเทียมโทนของจีน (ทำลายม้าม)  ใบยาสูบ (ทำลายปอด)  เนื้อสัตว์ทั้งสามจำพวก คือจำพวกสัตว์ปีก  สัตว์บก  และสัตว์น้ำทุกชนิดควรงดเว้นให้หมด  ผักฉุนทั้งห้ามีกลิ่นแรง และมีพิษทำลายพลังธาตุเดิมในกายเราให้กระจายหมดไป สัตว์ทั้งสามจำพวกเป็นเนื้อสกปรกและมีภาวะเป็นอิน คืออับเหม็น  มีผลในการทำลายภาวะหยังคือความสว่างสดใสในธรรมญาณ ในเมื่อการบำเพ็ญในวิถีอนุตตรธรรม มีจุดหมายในอันที่จะฝึกฝนให้ธาตุแท้ธรรมญาณของเรากลับคืนสู่ความสดใสสว่าง จึงจำเป็นที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นจากความอับเฉาของภาวะอินเป็นสำคัญ เพื่อรักษาภาวะของหยังไว้ ยิ่งกว่านั้น เบื้องบนทรงไว้ซึ่งมหาเมตตากรุณาฯ เป็นหลัก ผู้บำเพ็ญทั้งหลายควรจะสำนึกรู้ในพระเจตนา มิควรที่จะโลภหลงอยู่กับปากท้องฆ่ากินชีวิตเขา สร้างบาปสร้างเวรติดตัวไป ถ้าหากไม่อาจงดเว้นอาหารเนื้อสัตว์ได้ทันที ก็น่าจะค่อย ๆ ฝึกไป โดยการกินเจในวันพระวันโกนข้างไทยข้างจีนหรือวันจันทร์ พุธ ศุกร์  หรือกินเจในเดือนสำคญ เช่น เดือนอ้าย  เดือนเก้าตลอดทั้งเดือน  นานวันเข้าก็จะเกิดความเคยชิน จากนั้นจึงค่อยกินเจตลอดไป แต่ถ้าสุดวิสัยกินเจเลยไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องสร้างบุญกุศล ให้มาก อุทิศให้แก่สรรพชีวิตที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา ซึ่งเราได้กินได้ฆ่าเขาเข้าไป ก็พอจะอนุโลมได้ เกณฑ์กำหนดมีอยู่ แต่วิถีการอาจเปลี่ยนแปลงได้ เพื่อความเหมาะสมแก่กรณี  สรุป คือ ผู้บำเพ็ญจะต้องมีเมตตาจิตเป็นที่ตั้งนั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                 @   รับธรรมะแล้วมีผลเป็นอย่างไร

        หลังจากรับธรรมะ ได้รับการจุดเบิกญาณทวารแล้ว ปัญญาจะสว่งขึ้น หากมั่นคงในศรัทธาปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป สร้างบุญกุศลชดใช้หนี้กรรมเวรในอดีตให้หมดสิ้นไปได้ ชีวิตจะประสบความราบรื่น จะพ้นจากเหตุร้ายภยันตราย เมื่อหมดอายุจะตายอย่างสงบ พ้นจากความทุกข์การเวียนว่ายในเงื้อมมือพยายม  ผลที่ไดรับนั้นมีคุณยิ่งใหญ่นัก หวังว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จะได้เร่งตื่นใจ เพื่อให้บรรลุมรรคผลในวันข้างหน้าให้จงได้

                  @   ผลที่ได้รับมีประจักษ์หลักฐานหรือไม่

       หากสาธุชนพากันบำเพ็ญอนุตตรธรรม สร้างสมบุญกุศลจนเบื้องบนซาบซึ้ง ขณะมีชีวิตอยู่ เมื่อประสบเหตุร้ายจะกลายเป็นดี เมื่อประสบทุกข์ภัยจะคลี่คลายเป็นมงคล มีประจักษ์หลักฐานมากมายนับไม่ถ้วน จากเรื่องราวของผู้ประสบเหตุ ที่ได้รอดพ้นภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงกันมาแล้ว  เมื่อตายจะพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร  การนี้ไม่เพียงแตวิญญาณของผู้ตายจะมาขอใช้ร่างคน เข้าทรงบอกกล่วอย่างชัดเจน  ยังทิ้งกายสังขารอ่อนนุ่มและใบหน้างดงามไว้ให้ประจักษ์อีกด้วย ในวงการศาสนาพุทธและเต๋าของท่านเหลาจื้อ พระผู้ใหญ่ที่บำเพ็ญดี หรือนักธรรมอาวุโสเมื่อถึงการมรณภาพบางท่านนั่งสงบกล้ามเนื้อเส้นเอ็นอ่อนคลาย ทิ้งกายสังขารให้ประจักษ์ว่า จิตได้ออกจากร่างไปสู่สุคติ แต่ร้อยพันผู้บำเพ็ญจะเห็นได้สีกรายหนึ่งเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า ผู้บำเพ็ญมีมากมาย แต่ผู้จะบำเพ็ญจนสำเร็จได้มีน้อยจริง ๆ  สำหรับผู้ที่ผ่านการจุดเบิกญาณทวารจากอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม (เตี่ยนฉวนซือ) แล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะบำเพ็ญบุญกุศลสูงต่ำเพียงไร ตายไปใบหน้าก็จะยิ้มสดใสเหมือนมีชีวิตอยู่ เพราะวิญญาณของเขาไม่ได้ออกไปตามช่องเวียนว่ายทั้งสี่ทวาร คือ หู ตา จมูกและปาก อากาศหนาวศพก้ไม่แข็ง อากาศร้อนศพก้ไม่เน่าเหม็น บางรายดำรงอยู่ได้หลายวัน อีกทั้งมีกลิ่นหอมอบอวนอยู่รอบ ๆ  แต่ทั่ว ๆ ไปจะไปดีทุกราย ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ ทุกรายจะทิ้งกายสังขารนุ่มนวลให้ประจักษ์ว่า วิญญาณได้ไปสู่สุคติจริง ๆ โดยไม่ต้องสงสัย

                      @   เข้าสู่วิถีธรรมแล้วไม่ดำเนินต่อไป มีโทษหรือไม่

        คนที่บำเพ็ญ จะมีจุดมุ่งหมายมาก่อนจึงเกิดความคิดที่จะเดินทางนี้ แน่นอน จุดมุ่งหมายนั้นก็คือเพื่อพาตัวให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ พ้นจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร  จึงทำให้เกิดความยินดีที่จะขอรับวิถีธรรม  อยากให้รอดพ้นภัยพิบัติ ก่อนอื่นจะต้องรู้ว่า ภัยพิบัติเกิดขึ้นได้อย่างไร ภัยพิบัติมิได้เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุเจาะจง แต่เกิดขึ้นจากผลกรรมที่บุคคลก่อไว้โดยแท้ ฉะนั้น การที่จะรอดพ้นจากภัยพิบัติได้ จะต้องขอขมาสำนึกบาปต่อความผิดทั้งหลายทั้งปวงที่เคยกระทำมา อยากจะลบล้างบาปเวรให้หมดสิ้นไป ยิ่งจะต้องเคารพปฏบัติตามวิถีธรรมของพระอาจารย์ เชิดชูไม่ดูดาย ทำจริง บำเพ็ญจริง  ละความชั่วทำแต่ความดี จึงจะสอดคล้องกับหลักสัจธรรมของเบื้องบน จึงจะยับยั้งมหันภัยมิให้เกิดขึ้นได้ เช่นน้จึงจะบรรลุจุดมุ่งหมายในการเข้ารับวิถีธรรม ที่ตั้งใจมาแต่ต้นได้ มิฉะนั้น ก้เท่ากับเดินสวนทางกับวิถีธรรม คนที่เดินสวนทางหรือหันหลังให้วิถีธรรม บาปเวรที่ตนเคยก่อไว้ไม่เพียงแต่จะไม่มีทางลดน้อยลง ภัยพิบัติจะเพิ่มขึ้นตามมาอีกด้วย จนกระทั่งเมื่อความชั่วร้ายพอกพูนได้เต็มที่แล้ว ภัยพิบัติก็ถึงตัว ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้เลย เมื่อหลีกไม่พ้น ก็ไม่อาจพ้นเวียนว่ายจึงไม่อาจพ้นทุกข์จากนรกได้ จากนี้เราจะเห็นได้ว่า ภัยพิบัติคือผลของความชั่วร้าย  ภัยพิบัติเกิดจากผลของความชั่ว ความชั่วเกิดจากการกระทำของคน ฉะนั้นเมื่อเข้าสู่วิถีธรรมแล้วจึงจะต้องดำเนินต่อไปอย่างเต็มที่  ตรงกันข้าม การไม่บรรลุปณิธานจึงเท่ากับทำบาป เมื่อบาปเกิดจากการกระทำของตัวเองแล้ว เป็นการสมควรมิใช่หรือที่เราจะต้องรับผลของบาปเวรนั้นด้วยตนเอง   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”