collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม ถ้อยแถลงจากผู้เรียบเรียง  (อ่าน 40407 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

             @  เข้าสู่วิถีธรรมแล้ว ความเคยชินเลวยังไม่เปลี่ยนจะกล่อมเกลาอย่างไร

        วิถีธรรมนี้สั่งสอนผู้คนด้วยหลักสัจธรรม เอาความดีเข้าแปรเปลี่ยนความชั่ว เมื่อเข้าสู่วิถีธรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ความเคยชิน เสพติดเลวร้าย อบายมุขใด ๆ จะต้องขจัดออกไปให้หมดสิ้น ชี้แจงให้เขาเข้าถึงภัยอันตรายของมัน ค่อย ๆ ชักนำชี้ชวน ให้เกิดจิตสำนึกดี  ให้รู้สภาพความเป็นจริง รู้คุณรู้โทษตักเตือนห้ามปรามให้เหมาะกับลักษณธนิสัยของแต่ละคนจะด้วยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ที่สุดคือ จะต้องให้บรรลุผลจนกว่าเขาผู้นั้นจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี

             @  สามศาสนารวมเป็นหนึ่งคืออย่างไร

        ต้นกำเนิดศาสนาทั้งสาม เกิดจากหลักสัจธรรมเดียวกัน แม้จะต่างภาษาคำนิยาม แต่เนื้อแท้เป็นหลักสัจธรรมเดียวกัน ศาสนาทั้งสามเกิดขึ้นตามวาระอันควร สนองรับกับยุคสมัย ล้วนเป็นงานกล่อมเกลาจิตใจของผู้คนแทนเบื้องบน ฉุดยั้งแปรเปลี่ยนความชั่วร้ายให้เป็นคุณ และเปลี่ยนแปลงคนเลวให้เป็นคนดีนั่นเอง ยิ่งกว่านั้นศาสนาเ๋ต๋ามีหลักการบำเพ็ญให้จิตว่างเป็นหลัก ระวังรักษาจิตญาณคืนสู่นิพพาน ศาสนาพุทธให้ละสังโยชน์ ตัดกิเลสความทุกข์กังวลหม่นหมองทั้งปวงเพื่อให้จิตได้วิมุติสุข เข้าสู่ภาวนิพพานเช่นกัน  ศาสนาปราชญ์ ให้เห็นแจ้งในจิตประภัสสรแห่งตน ให้ชำระกิเลสตัณหาจนหมดสิ้น เป็นความบรสุทธิ์โดยแท้  เช่นเดียวกับหลักสัจธรรมของฟ้า หลักสัจธรรมของฟ้าก็คือ ธาตุแท้ความดีงามของจิต หมายถึงความสงบเป็นนิพพาน ซึ่งนิพพานก็คือสัจธรรมนั่นเอง  จะเห็นได้ว่า ศาสนาทั้งสามล้วนเกิดจากหลักเดียวกันคือ "นิพพาน"
 ศาสนาพุทธ  ให้บำเพ็ญหหมื่นธรรมขันธ์คืนสู่ความเป็นหนึ่ง ให้จิตสว่างเห็นธรรมญาณแห่งตน 
 ศาสนาเต๋า   ให้บำเพ็ญจิตฝึกธรรมญาณประคองธาตุกำเนิด รักษาความเป็นหนึ่งไว้ 
 ศาสนาปราชญ์  ให้โน้มนำจิตกล่อมเกลี้ยงธรรมญาณ ประคองจิตจุดกลางสู่ความเป็นหนึ่งที่รู้แจ้ง
        แม้การถ่ายทอดวิถีธรรมของสามศาสนาจะต่างกัน แต่ล้วนมาจากหนึ่ง อันเป็นต้นกำเนิดเดียวกัน มีจุดเริ่มต้นที่จิตเช่นกัน จากสัจธรรมเดียวกันแยกออกเป็นสามศาสนา อุปมาดังกายสังขารเดียวกัน ที่แบ่งออกเป็นกายธาตุ พลังธาตุ และวิญญาณธาตุ ฉะนั้น บัดนี้ ศาสนาทั้งสามได้รวมกันเป็นหนึ่ง เป็นนิมิตหมายของการเก็บงานเพื่อกลับคืนสู่ภาวะนิพพานแต่เดิมมา ล้วนเป็นจิตสมบูรณ์ อีกทั้งรวมกันเป็นหนึ่ง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                       ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม

                @  สามศาสนามาจากหลักเดียวกัน แต่อยากทราบว่าศาสนาใดสูงกว่า ผู้บำเพ็ญมีความเอนเอียงต่อศาสนาใดหรือไม่

        ในเมื่อศาสนาทั้งสามมีหลักมาจากสัจธรรมเดียวัน จึงไม่มีความสูงต่ำกว่ากัน  แต่ในความรู้สึกนึกคิดเปรียบเทียบของคนทางโลก จะเห็นว่าพุทธธรรมมีความสูงส่งที่สุด เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น  เราจะเห็นได้ว่า แต่โบาราณมา ผู้นำทางศาสนาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญในศาสนาพุทธทั้งสิ้น ดังคัมภีร์อิงเจี๋ยจิงกล่าวไว้ว่า "เมื่อเริ่มกำหนดฟ้าดินโลกนี้  ก็ได้กำหนดให้ทศมพุทธาปกครองธรรมจักรวาล"  สิบพระพุทธาที่ทรงรับพระภาระโปรดสัตว์โดยตรงเป็นหลักศาสนาในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่บรรพกาลมา มีดังนี้คือ
1.  พระวิปัสสีพุทธเจ้า        อุบัติ  ณ   ทิศใต้   ปกครองธรรมกาล 60,000  ปี
2.  พระสุขีพุทะเจ้า            อุบัติ  ณ   ทิศเหนือ      ปกครองธรรมกาล   4,800  ปี
3.  พระเสสภูพุทธเจ้า         อุบัติ  ณ   ทิศตะวันออก ปกครองธรรมกาล 3,720  ปี
4.  พระกกุสันธะพุทธเจ้า      อุบัติ  ณ  ทิศตะวันตก    ปกครองธรรมกาล  7,080 ปี
5.  พระโกณาคมน์พุทธเจ้า   อุบัติ  ณ  ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ    ปกครองธรรมกาล  5,284  ปี
6.  พระกัสสปพุทธเจ้า        อุบัติ  ณ  ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ปกครองธรรมกาล  5,516  ปี
7.  พระโคดมพุทะเจ้า         อุบัติ  ณ  ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  ปกครองธรรมกาล   5,800  ปี
       
        พระอริยะฟู่ซี   อุบัติ  ณ  ทิศตะวันตกเฉียงใต้  พระองค์รับพระภาระปกครองธรรมกาลแทนพระพุทธเจ้า 500 ปี   
1.  พระทีปังกรพุทธเจ้า  เริ่มวาระธรรมกาลยุคเขียว   ปกครองธรรมกาล 1,500  ปี 
2.  พระศากยพุทธเจ้า  เริ่มวาระโปรดสัตว์ให้ออกบวชบำเพ็ญในธรรมกาลยุคแดง  ปกครองธรรมกาล  3,000  ปี
3.  พระศรีอริยเมตตรัยพุทธเจ้า  จะอุบัติมาในภายหน้า
       
        สำหรับพระทีปังกรพุทธเจ้า และพระศากยพุทธเจ้า  นอกจากจะเป็นใหนึ่งในสิบพระพุทธาที่ทรงรับพระภาระปกครองธรรมกาล สืบเนื่องต่อมาตามลำดับพุทธบรรพกาลแล้ว ทั้งสองพระองค์ยังทรงรับพระภาระร่วมกับพระศรีอริยเมตตรัย เป็นสามพระพุทธา ในศุภวาระเก็บวิสุทธิธรรมญาณทั้งมวล คืนสู่นิพพานให้หมดในธรรมกาลยุคขาวสุดท้ายนี้ด้วย  ( สำหรับพระประวัติ  และพระพุทธรูปบูชาของเจ็ดพระพุทธายังมีหลักฐานสืบทอดต่อมาช้านานในประเทศจีน ที่วัดมุขมนตรี  ต้าเซี่ยงกั๋ว  หมู่บ้านหม่าอิ๋ง  ตำบลเซี่ยวอี้  อำเภอเฟินหยัง  มณฑลซันซี  เป็นวัดที่พระอริยฟู่ซีสร้างขึ้น  นอกจากรูปบูชาเจ็ดพระพุทธเจ้าแล้วยังมีศิลาจารึกกำหนดกาลเป็นไปของโลกนี้หลายพันปีต่อมากระทั่งบัดนี้ให้ประจักษ์จริงทุกประการ )  เมื่อพระทีปังกรพุทธเจ้าปกครองธรรมกาลครบ 1,500 ปี ไปแล้ว ก็ถึงสมัยของพระศากยพุทะเจ้า  พระพุทธองค์อุบัติในรัชสมัยโจวเจ๋าอ๋วงฮ่องเต้ แปดค่ำเดือนสี่ข้างจีน พระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาคือพระนางมหามายา ออกบรรพชาเมื่อพระชนมายุได้ 29 ชันษา พระทีปังกรพุทธเจ้า ได้ชี้ชัดพยากรณ์ไว้ว่า จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ภายหลังที่ตรัสรู้แล้ว ได้โปรดแสดงธรรมอยู่สี่สิบเก้าปี ซึ่งพระอัครสาวกได้รวบรวมเป็นพระไตรปิฏกคัมภีร์ธรรมเป็นแสงสว่างแก่ชาวโลกมาสองพันกว่าปี พระธรรมคำสอนของพระองค์ชี้ให้เห็นจิตเดิมแท้อันวิสุทธิ์เป็นพุทธจิตของตน สอนให้ค้นหาธาตุแท้แห่งตน และสิ่งอันเป็นรูปธรรมนำจิตให้คืนสู่นิพพาน  พระองค์ได้รับการเทิดทูนว่า "พระสัมมาสัมพทธเจ้า" 

        พระอริยเจ้าเหลาจื้อ   พระนามเดิมหลีเอ่อ  นามรองป๋อหยัง  คุณานาม  ตัน  อุบัติในรัชสมัยโจวติ้งอ๋วง  ปีมะเส็ง  ณ เมือง ฉู่  แคว้นเฉิน เคยรับราชการเป็นผู้ตรวจราชการแทนพระองค์ หรือพระราชเลขาในพระเจ้าโจวอิ้งอ๋วงฮ่องเต้ บิดาแซ่หัน  นามเฉียน  นามรอง  เอวี๋ยนปี้  มารดาจิงฟู  ตั้งครรภ์ท่านเหลาจื้ออยู่แปดสิบปีจึงได้กำเนิด ณ ใต้ต้นลี้ จึงเปลี่ยนมาใช้แซ่สกุลลี้
        หลังจากที่ท่านขงจื้อ เดินทางมาเรียนรู้จริยธรรมจากท่านแล้ว ไม่นานต่อมาท่านเหลาจื้อ ก็ขี่ความออกไปนอกแคว้นทางด่านหันกู่กวน มุ่งสู่ทิศตะวันตกเพื่อจะถ่ายทอดวิถีธรรมแด่เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนจะเดินทางถึงด่านหันกู่กวน นายด่านนามว่าอิ่นสี่ มองเห็นแสงฉัพพรรณรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องหน้า  อิ่นสี่ นึกรู้ทันทีว่ามีผู้บุญญาธิการวิเศษกำลังจะผ่านมา เมื่อเห็นท่านเหลาจื้อจึงได้ก้มลงกราบขอให้ท่านแสดงธรรม ท่านเหลาจื้อได้โปรดเมตตาเขียนคัมภีร์มอบให้ด้วยอักษรห้าพันคำ ชื่อว่าคัมภีร์คุณธรรม (ต้าเต๋อจิง) อันลึกซึ้ง เป็นแนวทางปฏิบัติธรรมอันสูงส่งสำหรับสาธุชนรุ่นหลังสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้วิถีธรรมของท่านเหลาจื้อเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่านให้เลี้ยงจิตให้สงบ  กำหนดจิตที่สงบจนเกิดความสว่าง ละจากรูป สังขาร เข้าสู่ภาวะนิพพาน ให้น้ำและไฟในกายเกิดคุณเนื่องกันจนวัชรญาณหรือจิตเดิมแท้คงตัว คัมภีร์ที่ท่านได้โปรดถ่ายทอดไว้ให้ คัมภีร์คุณธรรม (เต้าเต๋อจิง)  คัมภีร์วิสุทธิสูตร (ซิงจิ้งจิง) ท่านได้รับการเทิดทูนว่า " บิดาแห่งเต๋า "   

        วิถีธรรมของท่านขงจื้อ ดำเนินควบคู่กันไปทั้งทางโลก และทางธรรม  อยู่กับรูปแต่ไม่ติดรูป ให้พ้นรูปธรรม อรูปธรรม เข้าสู่นิพพาน วิถีธรรมนี้เป็นที่คุ้นเคยกัน ไม่จำเป็นจะต้องแจง  สรุปคือ วิถีธรรมของศาสนาใหญ่ทั้งสามล้วนมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่จิต คุณธรรมความดีงามที่แสดงออกล้วนปรากฏออกมาจากธาตุแท้ธรรมญาณ เมื่อธาตุแท้ธรรมญาณสว่างแล้ว คุณธรรมทั้งหมดจะงดงามเที่ยงตรงเองโดยมิต้องฝึกฝน ดังคำกล่าวที่ว่า "เมื่อเข้าใจในภาวะธรรมแห่งตนแล้ว ผลแห่งคุณงามจะเกิด"  "เมื่อรากฐานมั่นคงแล้ว กิ่งก้านสาขาจะงอกงามเป็นหลักธรรมดา"  เสียดายที่พุทธศาสนิกชนรุ่นหลังไม่ได้รับรู้วิถีแห่งจิตอันวิเศษโดยตรง สานุศิษย์ในศาสนาเต๋า ก็ไม่ได้รับรู้เคล็ดลับรหัสคาถา อันแยบยลในการรวมศูนย์จิตญาณ กลับกลายเป็นรับจ้างทำพิธีสวดมนต์สะเดาะเคราะห์แก่ผู้เดือดร้อน   สานุศิษย์ในศาสนาปราชญ์ ก้ไม่ได้รับวิถีแห่งจิตโดยตรง  อักษรศาสตร์บัณทิตทั้งหลาย ก็ได้ชื่นชมหาคำแปลอันไพเราะตามความหมายของอักษรในคัมภีร์  หารู้ความแยบยลลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในคำเหล่านั้นไม่  แม้หากถามว่า ความปราณีตของการ รู้จุดหยุดนิ่ง ไม่ยินไม่ยล  รู้แจ้งสัจธรรมจิตแท้ปรากฏ  กล่อมเกล้ยงเลี้ยงจิต  โน้มนำสะรวมจิต  ผู้รู้ได้ไม่มีสักกี่คน เช่นนี้ จึงทำให้ศาสนาของพระอริยะทั้งสามใกล้กาลเสื่อมสูญ 

        ฉะนั้น  การถ่ายทอดวิถีแห่งจิตอันแท้จริง จึงจำเป็นจะต้องบำเพ็ญกันตามหลักคำสอนของทั้งสามศาสนาอย่างถูกต้องโดยไม่เอนเอียง จะต้องดำเนินตามหลักจริยธรรมมโนธรรมของศาสนาปราชญ์  ใช้ความปราณีตละเอียดอ่อนสุขุมคัมภีรภาพในการประคองจิตตามแนวปฏิบัติของศาสนาเต๋า  และ  รักษาศีลปฏิบัติบำเพ็ญตามหลักศาสนาพุทธ  การปฏิบัติบำเพ็ญตามอัธยาศัย จะช่วยให้อายุัวัฒนะ  ปฏิบัติบำเพ็ญอย่างจริงจัง อาจบรรลุธรรมสำเร็จมรรคผล  อันเป็นเรื่องที่พึงตระหนักสำหรับผู้บำเพ็ญ     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

             @  ใจดีก็พอ จำเป็นหรือที่จะต้องรับธรรมด้วย

        คนทั่วไปหากเป็นพุทธบุตรธรรมญาณเดิมที่มีจิตใจดีงาม  เมื่อได้สดับวิถีอนุตตรธรรมแล้ว จะกระตือรือร้นขอรับไว้ใฝ่บำเพ็ญและส่งเสริมเต็มกำลัง เหตุเพราะกัลยาณชนคนบุญมักจะห่วงใยความเป็นไปของเพื่อนร่วมโลกอยู่เป็นนิจ โลกปัจจุบันศีลธรรมเสื่อมถอย ผู้คนใจคอโหดเหี้ยมมีเหลี่ยมลวงกัน บรรยายกาศของความชั่วร้ายกระจายไปทั่วโลก จึงก่อให้เกิดมหันตภัยนานัปการ  กัลยาณชนคนบุญที่ห่วงใยว่าธรรมะจะหมดไปจากจิตใจของคน จะพยายามหาทางสงเคราะห์ ฉุดช่วยอย่างไม่หยุดยั้งทุกค่ำเช้า บัดนี้ เบื้องบนได้ดปรดประทานวิถีอนุตตรธรรมลงโปรดทั่วไป ใครหรือจะไม่ยินดีที่ปฏิบัติ ยิ่งกว่านั้นการขอรับวิถีอนุตตรธรรม จุดมุ่งหมายสำคัญคือ ให้พ้นเวียนว่ายตายเกิด ให้จิตคืนสู่สภาวะธรรมญาณเดิม เพื่อคืนสู่นิพพานบ้านเดิม พ้นจากเงื้อมมือพยายม พ้นจากความทุกข์ในวัฏสงสาร ถ้าหากจะบอกว่า เราเป็นคนมีจิตใจดีแล้ว เราก็เป็นเพียงคนดีในโลกโลกีย์นี้ แล้วเกิดใหม่มารับบุญวาสนาที่สร้างไว้เท่านั้น บุญวาสนามีวันหมดสิ้นไป ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ได้อีก ซึ่งจะเทียบกับการได้รับถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรม จากพระวิสุทธิอาจารย์ แล้วพ้นเวียนว่ายในความทุกข์  เสวยสุขนิรันดร์ไม่ได้เลย เราจะลองพิจารณาให้ลึกซึ้งที่ท่านขงจื่อกล่าวไว้ว่า " คนดีในสายตาของชาวบ้าน เบื้องหลังเป็นโจรปล้นคุณธรรม" คนดีที่ว่านี้จริงแท้สักแค่ไหน  อีกคำหนึ่งที่ท่านกล่าวว่า "เช้าได้รับวิถีธรรม เย็นตายไม่ห่วงเลย" จะเห็นได้ว่า การเป็นคนดีกับการได้รับวิถีธรรมนั้น ต่างกัน 

                  @   เหตุใดวิถีธรรมนี้จึงไม่โปรดมาก่อน เพิ่งจะมาโปรดลงครั้งนี้

        วิถีธรรมมีวาระแฝง  (ถ่ายทอดเฉพาะ) มีวาระแจ้ง (ถ่ายทอดทั่วไป) เหตุที่เพราะผ่านมายังมิใช่บุญวาระอันควร จึงแฝงอยู่ ผู้สดับรู้จึงมีน้อย  บัดนี้ได้กำหนดธรรมกาลยุคสุดท้าย เบื้องบนจึงโปรดประทานฉุดช่วยทั่วไปอย่างกว้างขวาง เหตุที่ฉุดช่วยทั่วไป เพราะหลายปีมานี้ บรรยายกาศของโลกและจิตใจของผู้คนเสื่อมทรามลง ศาสนาทั้งสามลบเลือนไป ค่าของคุณธรรมตกต่ำ การแย่งชิงกันสูงขึ้น ความชั่วช้าลุ่มลึกลง ก่อให้เกิดภัยพิบัติใหญ่ แก่มนุษยชาติ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นเหตุที่ภัยสงคราม น้ำ ไฟ โรคร้าย ปราฏกมากมายทั่วไป ภัยพิบัติเหล่านี้ เป็นแรงของกรรมชั่วที่ส่งผลมาทั้งสิ้น แต่คนมิใช่จะชั่วช้าเสียทั้งหมด ยังมีคนดีที่มีรากฐานของบุญซึ่งมิควรถูกทำลายไปพร้อมกัน ดังหยกที่ปรนอยู่กับกรวดหิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย กอปรด้วยพระมหาเมตตาเป็นปีที่ตั้ง จึงได้กราบขอพระอนุตตรธรรมเจ้าได้โปรดประทานวิถีธรรม เพืื่อฉุดช่วยคนดี เดชะบุญ พระอนุตตรธรรมเจ้าได้โปรดประทาน วิถีอนุตตรธรรมจึงได้โปรดลงฉุดช่วยผู้คนอย่างกว้างขวางในครั้งนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโปรดประทานพระอักษร โอวาทให้ปรากฏบนกระบะทราย สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนจึงได้สร้างบุญสัมพันธ์กัน การอาศัยร่างทรงประทานพระโอวาทในกระบะทราย  ก้เพื่อให้ผู้คนกลับใจเป็นคนดี เพื่อจะได้คลี่คลายภัยพิบัติ คนบุญทั้งหลายได้พร้อมกันก้าวสู่หนทางแห่งสัมมาปัญญา บรรลุฝั่งธรรมโดยไว เปลี่ยนโลกโลกีย์ให้เป็นแดนสุขาวดี ทั้งนี้  เป็นความพยายามที่สุดของสิ่งศักดิ์ในอันที่จะช่วยโลกมนุษย์ และเป็นเหตุเบื้องต้นที่วิถีอนุตตรธรรม ได้โปรดฉุดช่วยครั้งใหญ่ทั่วไปในครั้งนี้ 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                @  ในเมื่อวิถีอนุตตรธรรมเป็นหลักญาณที่ถ่ายทอดสู่จิต เหตุใดผู้ศรัทธาจึงล้วนแต่ชาวบ้านคนธรรมดา

        ทั้งนี้เป็นไปตามวาระโอกาส เป็นไปตามวาระกำหนด ก่อนยุคสามสมัย (รัชสมัย เซี่ย ซ้ง โจว) วิถีธรรมถ่ายทอดอยู่กับวรรณกษัตริย์ หลังยุคสามสมัย วิถีธรรมถ่ายทอดอยู่กับวรรณปราชญ์ ยุคปัจจุบันวันนี้ กำหนดกาลของธรรมะสนองต่อชาวบ้านคนธรรมดาทั่วไป วาระของกำหนดกาลที่เป็นเช่นนี้ มิใช่ความสามารถของใครทำให้เป็นไป ยิ่งกว่านั้น ในอนุตตรพุทธระเบียบยังกำหนดไว้ว่า ไม่ฝักใฝ่สถานการณ์ทั่วไป ไม่เกี่ยวข้องการเมือง ไม่ให้แอบแฝงหาประโยชน์ไม่ให้อาศัยธรรมะหากิจกรรมอื่น ๆ ฉะนั้น ญาติธรรมจึงล้วนแต่ชาวบ้านคนธรรมดา

               @  ธรรมนาวาคืออย่างไร มองเห็นได้หรือไม่

        คำว่าธรรมนาวา เป็นคำเปรียบเทียบ แท้จริงคือวิถีธรรม เมื่อไม่มีรูปลักษณ์ให้เห็น แต่เหตุใดจึงว่าเป็นธรรมนาวา เพราะเหตุว่า คนเกิดกายอาศัยอยู่ในโลก ลืมตัวมัวเมาเวียนว่ายในชาติกำเนิดสี่ ชีววิถีหก สร้างเหตุแห่งกรรมผูกพันต่าง ๆ รับกรรมตามเหตุต่าง ๆ ชีวิตจึงเป็นไปตามยถากรรม ไม่มีวันจบสิ้นไไม่มีทางแก้ไขให้หลุดพ้นได้ จึงทุกข์กันยิ่งนัก  เช่นนี้ มิใช่ทะเลทุกข์หรือ หากบำเพ็ญธรรมแล้ว ก้จะเห็นโลกเป็นอนิจจังดังภาพดอกไม้ในกระจก เห็นความร่ำรวยสูงศักดิ์ดังภาพของฟองอากาศ เห็นลูกเมียดังโซ่ตรวนขื่อคาความรัก จะตัดนิวรณ์ ตัดอุปสรรคได้ เช่นนี้ ไม่ใช่เท่ากับขึ้นสู่ธรรมนาวาหรือ

               @  ปัจจุบันประตูธรรมมีมากมาย ล้วนเป็นธรรมนาวาหรือไม่

        ปัจจุบันประตูธรรมมากมาย ไม่อาจบอกได้ว่าล้วนเป็นธรรมนาวา แต่ทว่าแม้จะไม่ใช่ธรรมนาวา ก็เป็นประตูธรรมที่อบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี ฉะนั้น จึงมีการนั่งฌาณ  ทำสมาธิ  สวดมนต์ภาวนา  มีการแสดงอิทธิฤทธิ์เล่นกับคมหอกคมดาบ ใช้เวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ นา ๆ ฯลฯ  รวมความก็คือ มีทั้งสัมมาวิถีและมิจฉาวิถี มีคำพังเพยว่า "หมุนรอกสามรอบ เข้าได้ไม่ว่าประตูใคร" เปรียบเช่นสาธุชนจะเข้าประตูธรรมใดก็ย่อมได้ แต่ถ้าเข้าประตูทางตรง ก็จะบรรลุเป็นพระพุทธะ ไม่พบประตูทางตรง ก็วุ่นวายไปเปล่า ๆ จึงขึ้นอยู่กับสายตาและบุญวาสนาของแต่ละคน ฉะนั้น ท่านศาสตราจารย์ขงจื้อจึงได้สอนไว้ว่า "ให้ศึกษากว้าง ๆ สอบถามให้รู้จริง นิ่งพิจารณาให้รอบคอบ วิเคราะห์ให้ชัดเจน และบำเพ็ญให้จริงใจ     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

          @  รับธรรมแล้ว กราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าได้งมงาย

        เคารพบูชา คือความศรัทธาจริงใจ ใครที่ให้คุณแก่เรา มีหรือที่เราจะไม่เคารพตอบด้วยจริยา ฟ้าเบื่องบนประทานหนทาง ไขสัจธรรม เปิดเผยความลับของชีวิตจริง ทำให้เราได้รู้สัจธรรมความเป็นต้ากำเนิดของสรรพสิ่ง  "สัจจะพระผู้เป็นเจ้า" คืออภิภูผู้สูงส่ง เราเทิดทูนว่าเป็นสัจจะพระผู้เป็นเจ้า  พระอนุตตรธรรมมารดา  เป็นพระผู้กำเนิดญาณทั้งมวล  อีกทั้งเป็นพระผู้สร้างต้นตระกูลของกายสังขาร คนเราเกิดมาในโลก หลงลืมธาตุแท้ญาณเดิม ลืมหนทางที่มาจึงเวียนว่ายเกิดตายรับทุกข์ทรมาน ในวัฏสงสาร  อนุตตรพระแม่ ฯ ทรงห่วงใย จึงได้ประทานวิถีอนุตตรธรรม มานำพาฉุดช่วยสาธุชนให้ผู้คนเดินตามหนทางสว่างกลับคืนสู่ภาวะธาตุแท้ญาณเดิม มีหรือที่ได้รับหนทางสำคัญอันเกี่ยวแก่ชีวิตกายตนแล้วจะทำผยองได้ ฉะนั้น การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็คือตอบแทนพระคุณที่ท่านได้ถ่ายทอดฉุดช่วย อันเป็นการแสดงความศรัทธาจริงใจ ไหนเลยจะเห็นเป็นเรื่องงมงาย

            @   ไม่รู้จักเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ภาวนาอธิษฐานได้หรือ

        จะกราบไหว้ภาวนาอธิษฐาน จำต้องระวังความผิด แก้ไขความผิด มิฉะนั้นจะได้รับโทษจากเบื้องบน ไม่อาจสัมฤทธิผลในการภาวนา ยิ่งกว่านั้น ผู้บำเพ็ญจะเห็นความสำคัญของธรรมะมากกว่าวาสนาตน มองดูฮ่องเต้แต่ครั้งกษัตริย์โบราณ วาสนาสูงส่งเหลือคณา แต่บัดนี้ยังมีใครอยู่ยงที่ตรงไหน เช่นนี้ พระสังฆราชาสมัยที่ 5 จึงดำรัสว่า "ชาวโลกดีแต่จะขอบุญวาสนา ไม่พิจารณาจิตตน หลงงมงาย  วาสนาจะขอได้อย่างไรมา"

             @   การถวายธูปใช้มือซ้ายและปักดอกกลางก่อนคืออย่างไร

        มือซ้ายเป็นมือบุญ ไม่จับมีดเข่นฆ่า ไม่ตบตี ใช้มือซ้ายปักธูป เอาความหมายของความดี  ปักธูปดอกกลางก่อน อันความหมายของสัจธรรมอันยืนยงเป็นหนึ่งเป็นกลางไม่มีสองคือลักษณะธรรม ปักธูปดอกกลางก่อน คือก่อตั้งลักษณะธรรม หนึ่งตรงกลางคือลักษณะธรรม กลางคือตัวเราเป็นหลัก  หากเปรียบเช่นประตูเมือง ถ้าฉันอยู่ในตำแหน่งประตูเมืองด้านทิศตะวันออก ตัวเมืองก็จะอยู่ทางทิศตะวันตก  ถ้าฉันอยู่ทางใต้ ตัวเมืองก็จะอยู่ทางเหนือ แท้จริงไม่ใช่ตัวเมืองเคลื่อนย้าย ที่อยู่ตะวันออกตะวันตกนั้น ฉันเองเป็นผู้ย้าย ใช้กายของฉันเป็นกลาง สรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนอยู่ในอาณัติควบคุมของฉัน นอกจากฟ้าดินแล้ว ฉันเป็นใหญ่ในท่ามกลาง ฉันเป็นกลางในท่ามกลาง ฉะนั้น คนจึงมิให้ดูแคลนตนเอง     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                          ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                @   มีคำพังเพยว่า "รู้หนึ่งสองสามก็เดินตามเซียนได้" หมายความว่าอย่างไร

        พระอริยเจ้าเหลาจื้อ กล่าวไว้ว่า "ธรรมะ" ( ภาวะอู๋จี๋ ความว่าง )  เมื่อก่อให้เกิดหนึ่ง ( ภาวะไท่จี๋ มีการเคลื่อนไหว )  จึงก่อให้เกิดสอง ( ภาวะอินหยัง ต่างกัน )  สองก่อให้เกิดสาม  สามให้กำเนิดสรรพสิ่งตามมา เป็นปัจยการสืบเนื่อง ความละเอียดแยบยลลึกซึ้งของ " หนึ่่ง "  ( ----- ) ไม่มีคำอธิบายให้ถึงที่สุดได้ ใครที่ได้ความเป็นหนึ่งไว้ มิใช่อริยเมธาหรือว่าอย่างไร ฉะนั้น คำว่า " อวิ่นจื๋อเจวี๋ยจง = ศรัทธารักษาความเป็นกลางนี้ไว้ให้ดี "  คำว่าจงเป็นกลางก็คือความเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งนี้ก็คือ วิถีแห่งจิตที่พระอริยเจ้าทุกพระองค์ทรงถ่ายทอดสืบต่อมา  อยากจะรู้รากฐานของความเป็นหนึ่ง พึงศรัทธาใฝ่หาวิถีธรรม หลังจากได้รับธรรมะแล้วจึงจะเข้าใจในความเป็นมาของความเป็นหนึ่งแห่งตน มีคำกล่าวว่า " อรรถาธรรมไม่พ้นตน ตีเหล็กไไม่พ้นฐาน "  พระอริยเก่าก่อนจึงกล่าวไว้ว่า " เรียกร้องความถูกต้องจากตนเองแล้วจะได้เอง "  พระวจนะนี้แน่แท้นัก หนึ่ง คือธาตุแท้จิตตน เมื่ออยู่กับฟ้าเบื้องบนเป็นสัจธรรม  เมื่อมาอยู่ในกายสังขารเป็นจิตภาวะ  จิตภาวะธาตุแท้เป็นหนึ่ง  สองคือพลังลมปราณ  สามคือสังขารร่างกาย  ฉะนั้น จึงกล่าวว่า " รู้หนึ่งสองสามก็เดินตามเซียนได้ "ธรรมะครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง หากสามารถทำตนสอดคล้องกับพลังสร้างสรรค์ในธรรมจักรวาลได้ ไม่ว่าจะขณะสงบหรือเคลี่อนไหวจึงจะได้ความเป็นธรรมะอย่างแท้จริง

                    @   อธิบายให้เข้าใจแล้วจึงให้รับธรรมะไม่ดีหรือ

        ชาวโลกปัจจุบันจิตใจไม่เหมือนเดิม หนทางบาปบุญคุณโทษมีอยู่คู่กัน จำจะต้องพิสูจน์ความมีพุทธสัมพันธ์และปัญญาของคนที่รู้จริงเท็จแล้วจึงถ่ายทอดให้ หากอธิบายให้เข้าใจเสียก่อน จะแยกออกได้อย่างไร อีกทั้งวิถีแห่งจิตที่พระพุทธะอริยะได้สืบทอดต่อมาบรรพอริยะยังมิกล้าแพร่งพรายแก่ใครโดยง่าย นับอะไรกับสามัญชน ดังนั้นจึงกล่าวว่า " วิถีธรรมไม่ถึงกาลอันควรจะไม่โปรด  มิใช่บุคคลอันควรจะไม่ถ่ายทอดให้ " แม้จะกล่าวว่าบัดนี้เป็นยุคโปรดทั่วไปอย่างกว้างขวาง แต่ก็จะต้องมีศรัทธาในการแสวงธรรมเสียก่อน จะต้องทดสอบความจริงใจเสียก่อนจึงจะถ่ายทอดให้ได้ มิฉะนั้นใครเลยจะก้าแพร่งพรายโดยง่่าย หาเรื่องให้ฟ้าปกาศิตโทษตนเอง 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

               @   บุญสัมพันธ์ฐานบารมี คืออย่างไร

        เรื่องของบุญสัมพันธ์ฐานบารมี  จะต้องพูดถึงรากฐานกำเนิดเดิม หากผู้นั้นเป็นพุทธบุตรคนเดิม ธาตุแท้จิตจากฟ้าไม่มัวเมา เมื่อได้ยินใครพูดถึงอนุตตรธรรมความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นทันที เมื่อได้ฟังก็เกิดความเชื่อ เมื่อเชื่อก็บำเพ็ญ เช่นนี้ก็เรียกว่ามีพุทธสัมพันธ์ ที่ว่ามีฐานบารมีหรือฐานตำแหน่งนั้นคือ  คนที่มีพุทธสัมพันธ์ เมื่อได้รับวิถีธรรมแล้วก็ใส่ใจทุกขณะ เกรงว่าจะตกต่ำตามเขาไม่ทัน หมั่นสร้างสมกุศลบุญ ไม่กล้าชักช้า คนเช่นนี้มีวันบรรลุได้ในที่สุด หลังจากบรรลุแล้ว ก็จะได้ฐานตำแหน่งตามมรรคผล เช่นนี้เรียกว่ามีบุญสัมพันธ์ มีฐานบารมี อีกอย่างหนึ่งคือ รูแล้วไม่เรียนเรียกว่าไม่มีบุญสัมพันธ์  เรียนแล้วไม่เป็นจริงเรียกว่าไม่มีฐานบารมี  พระอริยะก่อนเก่ากล่าวไว้ว่า "เมื่อเยาว์วัยไม่ศึกษา เติบโตไม่เป็น  เติบใหญ่ไม่ศึกษา แก่เฒ่าเศร้าหมอง" อย่าคิดว่าวันนี้ไม่เรียน ยังมีวันพรุ่งนี้ ปีนี้ไม่เรียนยังมีปีหน้า วันเดือนหมดไป ขวบปีไม่รอคอยเรา ควรทำแล้วไม่ทำจะเสียใจในภายหลัง  ชายชาตรีจะไม่ทำสิ่งอันต้องเสียใจในภายหลัง เมื่อถึงเวลาสำนึกเสียใจ ยังจะทันการหรือ

                 @   พุทธบุตรคนเดิมคืออย่างไร

        เริ่มกำหนดกาลขาลป่าดงพงทึบ สัตว์ป่ามากมาย มนุษย์อยู่ร่วมกับสัตว์  ดื่มเลือดกินเนื้อสัตว์สด ๆ อาศัยอยู่ตามถ้ำโพรง ไม่อาจปกครองโลก แม้จะมีคนก็เหมือนไม่มีคน พระอภิภูผู้เป็นเจ้า ทรงเห็นว่าโลกไม่เป็นโลก จึงโปรดเจาะจงส่งพุทธบุตรทั้งหลายจากแดนพุทธะลงมาสู่โลก  เรียกว่า "พุทธบุตรคนเดิม"  (เอวี๋ยนฝอจื่อ) เรียกสั้น ๆ ว่า "คนเดิม"  จากนั้น
อิ่วเฉาซื่อ      อุบัติมา มีปัญหาในทางสร้างบ้านบนคาคบไม้ หลีกเลี่ยงอันตรายจากสิงห์สาราสัตว์ ฯ
สุยเหยินซื่อ   มีปัญญาเสียดสีไม้ให้เกิดไฟ  ให้มนุษย์พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่ต้องกินของดิบเน่าเหม็น
โฮ่วจี          มีปัญญาสอนผู้คนให้ทำไร่ไถนา
เสินหนง       รู้สรรพคุณยาต้นไม้ใบหญ้า
เซวียนเอวี๋ยน   สร้างเสื้อผ้ามาลา
ชังเจวี๋ย         สร้างอักษร
หลิงหลุน        สร้างเสียงดนตรี
        จากนั้นก็เริ่มกำหนดจริยพิธี ดนตรีศึกษา วัฒนธรรม ของโลกเริ่มพร้อมสรรพ ประมาณการความเป็นมาทั้งหมด ล้วนเกิดแต่ปัญญาของจิตญาณ

              @   วิถีธรรมนี้เป็นสัจธรรม แต่เพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อ

        เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของบรรพบุรุษประการหนึ่ง และขึ้นอยู่กับพื้นฐานบารมีของตน อีกประการหนึ่ง ผู้มีบุญสัมพันธ์สดับรับไว้แล้วไม่กล้าละทิ้ง ไม่มีบุญสัมพันธ์ดึงดันก็ไปไม่รอด แม้ไม่มีรากฐานของความเป็นพุทธะ คงยากที่จะเข้าสู่วิถีอนุตตรธรรม รวมความว่า บ้านที่มีคุณธรรมจึงได้กำเนิดบุตรบำเพ็ญได้ เรื่องนี้เปรียบเช่นเหมืองแร่ที่มีทองคำมากมาย ทางการอนุญา๖ให้ประชาชนขอสัมปทานบุกเบิก คนโง่เขลาไม่รู้เรื่อง ไม่ใส่ใจ คืดว่าในก้อนหินจะมีทองได้อย่างไร  ส่วนคนฉลาดฝีเท้าไวไปถึงก่อนได้สัมปทานบุกเบิก ขุดทองได้วันละพันตำลึงกลายเป็นเศรษฐีทันที ต่อมาคนโง่เขลารู้ว่ามีทองจริงรีบไปขอสัมปทานบุกเบิกบ้าง แต่ก็สายเสียแล้ว แร่ทองคำที่มีอยู่ทั้งหมดถูกคนฉลาดเอาไปจนเกลี้ยง ขณะนั้นคนโง่เขลาแม้จะสำนึกเสียใจก็สายเกินการ ดังนั้นจึงกล่าวว่า "มีบุญสัมพันธ์เกิดทันพระพุทธะอุบัติ ไม่มีบุญเกิดหลังพระนิพพานแล้ว"     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                        ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                 @   มักจะเห็นผู้ศึกษาธรรม เมื่อแรกเริ่มวิริยะ นานวันชักเหนื่อยล้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

        เมธาจารย์เก่าก่อนกล่าวว่า "รับธรรมง่ายแต่บำเพ็ญยาก บำเพ็ญง่ายแต่บรรลุยาก" หมายความว่า คนมักไม่อาจเสมอต้นเสมอปลาย คนเก่าก่อนกล่อมเกลาชาวโลก โดยเดิมทีมีผู้รู้ก่อนสอนให้คนข้างหลังรู้ตามมา คนที่รู้ตามมาเอาอย่างผู้รู้ก่อน บัดนี้เป็นกำหนดโปรดทั่วไป แต่ละตำหนักพระจะสำเร็จหรือล้มเหลว หน้าที่ทั้งหมดอยู่ที่ผู้รับผิดชอบ ระฆังทองไม่เคาะก็ไม่ดัง  ชาวโลกไม่เรียกก็ไม่ตื่น บรรพอริยะกล่าวว่า "คนอาจเผยแผ่ธรรมะ มิใช่ธรรมะเผยแผ่คน"พุทธบุตรปัญญาชนครั้งก่อนเก่า ยังจะต้องคอยให้อาจารย์ฉุดจูง นับอะไรกับคนสมัยนี้ที่เป็นสามัญชนเสียส่วนใหญ่ ฉะนั้นผู้นำการปฏิบัติ พึงสำนึกตนว่า เพื่อกล่อมเกลาชาวโลก จะต้องทำตัวเป็นบรรทัดฐานของผู้ปฏิบัติบำเพ็ญที่ดี แม้จะกล่าวว่า "มีแต่จะขอมาเรียน ไม่มีที่จะไปแค่นสอน" แต่ทว่าไม่สอนแล้วสำเร็จได้เองหมื่นคนหาไม่ได้สักหนึ่งเดียว จึงต้องเร่งรัดผู้นำพารับรอง (อิ๋นเป่าซือ) หมั่นบรรยาย หมั่นพูดเกี่ยวกับการกำหนดชีวิต บำเพ็ญจิตสำรวมกาย กำจัดอบายมุขละเว้นผิดในกาม มนุษย์ธรรมงามพร้อม เกรงพระโองการฟ้า ความมุ่งมั่นแข็งแกร่ง  ขจัดความคิดฟุ้งซ่านซับซ้อน ทำใจให้สงบ ขยันและประหยัด รู้จักประมาณการ ถือศีลกินเจ กำหนดคุณงาม ละเว้นความผิด กลับตัวกลับใจแก้ไขความผิด  สำนึกรู้สิบหกข้อสำคัญที่สุด ควรทำให้คนเคารพปฏิบัติได้ทุกข้อโดยไม่เปลี่ยนแปลง ท่านอาวุโสก่อนเก่ากล่าวไว้ว่า "ไม่สร้างคุณไม่ตกผล" แม้จะกล่าวว่าส่งเสริมผู้อื่น แท้จริงคือส่งเสริมตนเอง จึงต้องปฏิบัติให้เสมอต้นเสมอปลาย ไม่เปลี่ยนแปลง

                  @   ธรรมะสูงหนึ่งศอก มารสูงพันวา เหตุผลนี้มีจริงหรือไม่

        หลังจากกำหนดกาลขาลที่คนได้ถือกำเนิดมาในโลก จนบัดนี้ มีภัยพิบัติเกิดขึ้นหลายครั้ง บาปเวรกองเท่าภูเขา หนี้เก่าชาติก่อนกผ้ยังชำระไม่หมดยังก่อขึ้นใหม่ในชาตินี้ จนกระทั่งหนี้เวรท่วมท้น ทบต้นวนเวียนเกิดตายไม่สิ้นสุด  เมื่อได้รับวิถีธรรม หมู่มารเจ้ากรรมนายเวร เกรงว่าเราจะบรรลุพ้นไปจากวัฏจักร ไม่มีทางทวงถามได้จึงต่างไปทวงถามจากพญายม พญายมธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเป็นที่สุด แน่นอน เมื่อมีเจ้าหนี้ทวงถามย่อมไม่อาจปิดห้ามการแจ้งความ ดังนั้น บ้างจึงชั่วร้ายไปตามภูติผี  บ้างได้รับอุบัติเหตุ บ้างเจ็บป่วยเรื้อรัง ต่าง ๆ นานา เนื่องจากมีแรงอุปสรรค ผลผักดันให้เสียหายทุกข์ยากอยู่เบื้องหลัง เฉพาะหน้าก็มีแต่เรื่องเดือดร้อนวุ่นวาย ฯลฯ อันเป็นการใช้หนี้ลบล้างบาปเวรที่ผ่านมา ผู้ที่ศึกษาไม่ลึกซึ้ง ก็จะว่า "ฉันรับธรรมะ บำเพ็ญบุญวาสนา เหตุไฉนจึงยังได้รับเคราะห์ภัย" ทำให้คนทั่วไปยิ้มเยาะ ญาติเพื่อนฝูงวิจารณ์กันข้างหลัง  เป็นเหตุให้ความตั้งใจถดถอยกันมากมาย  ซึ่งหารู้กันไม่ว่า "หยกไม่เจียระนัย ไม่เป็นรูป ทองไม่เผาไฟไม่มีค่า  แม้ไม่มีเขาสูง จะมีที่ลุ่มต่ำได้อย่างไร ผ่านการตีนับพันครั้ง จึงจะเป็นเหล็กดีได้" จึงหวังว่าจะอดทนกันได้จึงจะดี ท่านบรมครูขงจื้อกล่าวไว้ว่า "เล็กน้อยอดไม่ได้ จะเสียการใหญ่"   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”