คุณธรรมบรรพชน : ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ
เรื่องที่ 24 : ช่วยผู้อื่น คือ ช่วยตน
ในสมัยก่อน ความทุกข์ยากลำบากมีมาก บางคนอยู่ตัวคนเดียวพอสู้ไหว แต่บางคนต้องดูแลหลายชีวิตก็สุดปัญญาจะแบกรับ ดังนั้นจึงเป็นยุคที่ผู้คนต้องชัดเซพเนจรพลัดพราก ต้องดิ้นรนแม้กระทั่งขายภารรยา ขายลูกด้วยความจำใจ อย่างเช่นชายแซ่ "จิ่ง" ที่ต้องพยายามดิ้นรน เพื่อหาเลี้ยงลูกชายและภรรยา จึงต้องจำใจจากครอบครัวโดยไปทำงานเป้นเสมียนอยู่ต่างเมือง ทิ้งให้ภรรยาดูแลลูกชายอยู่เพียงลำพัง แต่เมื่อเคราะห์กรรมมาถึง ไม่นึกเลยว่าลูกชายของนายจิ่งจะถูกพวกโจรขโมยเด็กจับตัวเอาไป ! ภรรยาของเขาโศกเศร้าตรอมใจเป็นที่สุด ซ้ำร้ายเรื่องราวทั้งหมดนี้ ตัวนายจิ่งเองก็ไม่มีโอกาสจะรู้ได้เลย เวลาผ่านไปหลายปี...นายจิ่งพอจะเก็บออมสะสมเงินไว้ได้ราว 2 - 3 ตำลึง แม้จะแทบไม่พอเป็นค่าเดินทาง กระนั้น เขาก็อยากจะกลับบ้านไปพบหน้าลูกเมีย แต่แล้ววันต่อมา ระหว่างเดินออกจากที่ทำงานเพื่อกลับไปยังที่พัก ขณะนั้นเขาเหลียบไปเห็นชายยากจนคนหนึ่ง พร้อมทั้งลูกและเมียยืนอยู่ริมถนน กำลังพร่ำพรรณาถึงความทุกข์ยากลำบากที่ครอบครัวประสบ ทั้งภัยแล้ง ภัยสงคราม บ้านเมืองจลาจลวุ่นวาย พวกโจรปล้นฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน หันไปทางไหนมีแต่ภัยรอบด้าน จนไม่รู้จะมีชีวิตรอดกันได้อย่างไรแล้ว ท้ายที่สุด ชายยากจนก็ได้วิงวอนผู้คนที่เดินผ่านไปมาว่า ขอช่วยพาลูกและเมียของเขาไปอุปการะเอาบุญเถิด ส่วนตัวของเราเองขอเพียงเศษเงินสักเล็กน้อย สำหรับประทังชีวิตเพื่อไปตายเอาดาบหน้า นายจิ่งยืนฟังมาตั้งแต่ต้น ทำให้เขาตระหนักในความจริงที่ว่า "ในโลกนี้ยังมีผู้ที่ทุกข์ระทมกว่าเราอีกมากมายหลายเท่า" ความรู้สึกเศ้าสลดรันทดใจต่อเรื่องราวของชายยากจนผู้นั้น และอยากจะช่วยเหลือเป็นที่สุด นายจิ่งจึงัดสินใจเอาเงินที่สะสมมาทั้งหมด 3 ตำลึงมอบให้ชายยากจนผู้นั้นเพื่อนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ และกำชับเขาว่าอย่าได้ทอดทิ้งลุกเมียเป็นอันขาด ! ชายยากจนพร้อมภรรยาและลูก พากันคุกเข่าโขกศรีษะ ขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ปากก็พร่ำสาบานว่าจะไม่ลืมพระคุณของนายจิ่งเลยจนชั่วชีวิต เวลาผ่านไปปีกว่า.....ชายยากจนอาศัยเงิน 3 ตำลึงที่ได้ไปทำกิจการเล็ก ๆ จนสามารถเลี้ยงครอบครัวให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ต่อมาไม่นานสองสามีภรรยา ก็พอจะเก็บรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง ด้วยความสำนึกในบุญคุณที่พ้นทุกข์ พวกเขาและลูกจึงเดินทางกลับมาหานายจิ่งเพื่อมอบเงินคืนให้บ้าง ทว่า แม้นายจิ่งจะรู้สึกดีใจที่เห็นคนที่เคยช่วยเหลือพ้นจากความทุกข์ยากแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมรับเงินคืน เหตุฉะนี้ทั้งสองสามีภรรยาจึงต่างรู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งเมื่อได้เหลียวมองไปรอบ ๆ เห็นสภาพที่พักของนายจิ่งแสนจะคับแคบซอมซ่อ ทุกวันต้องซักผ้า ตักน้ำ หุงข้าว ไม่ว่างานอะไรต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด เมื่อลากลับออกมา สองสามีภรรยารู้สึกทนไม่ได้ ที่เห็นผู้มีพระคุณต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้น พวกเขาจึงปรึกษาหารือแล้วตกลงกันว่าจะไปซื้อบ่าวไพร่สักคน ให้มาคอยรับใช้ดูแลความเป็นอยู่ของนายจิ่ง ผ่านไปไม่กี่วัน มีชายพเนจรคนหนึ่งพาเด็กชายอายุราว 11 - 12 ขวบ ใบหน้าคมคายร่างกายสมบูรณ์ดี เขาอ้างว่าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของตน ซึ่งซักเซพเนจรพลัดพรากจากบ้านมาด้วยกันเพราะหวังจะหางานให้ทำ แต่ก็อับจนหนทางจึงยินดีที่จะขายลูกคนนี้ให้ไปเป็นบ่าวรับใช้ เพื่อภาระของตนจะได้เบาบางลง สองสามีภรรยาก็ไม่ได้ติดใจภูมหลังความเป็นมาอะไรมากนัก จึงซื้อเด็กเอาไว้ รุ่งขึ้นอีกวัน ทั้งคู่พาเด็กน้อยมาหานายจิ่ง โดยให้ยืนรออยู่ข้างนอกก่อน ยังไม่ทันทีสองสามีภรรยาจะอธิบายถึงเจตนาดีของตน นายจิ่งก็ปฏิเสธเสียงขรมยืนกรานไม่ยอมรับเสียท่าเดียว ทั้งสองสามีภรรยารบเล้าอยู่เป็นนานสองนาน ว่าอยากน้อยก้อยากให้เห็นหน้าตาก่อนสักนิดก็ยังดี และแล้วใครบ้างจะคาดคิด.....ทันทีที่เด็กน้อยก้าวเข้าประตูมา นายจิ่งถึงกับตะลึงงัน ! ในขณะที่เด็กชายคนนั้นมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ทั้งคู่โผเข้ากอดกันแน่น น้ำตาแห่งความยินดีพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ที่แท้.....เด็กคนนี้ ก็คือลูกชายของเขาที่ถูกโจรลักพาตัวไปนั่นเอง เมื่อได้ถามไถ่เหตุการณ์ลำดับความเป็นมาทั้งหมดแล้ว โดยไม่รอช้า นายจิ่งพาลูกชายกลับไปพบแม่ ทั้งสามจึงกลับคืนสู่ความเป็นครอบครัวอีกครั้ง นี่แหละหนาที่ว่า "เรื่องบางอย่างไม่อาจได้มาด้วยเงิน หนึ่งในนั้นก็คือ ความอบอุ่นในครอบครัว"