collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คุณธรรมบรรพชน : คำนำ  (อ่าน 25774 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                 คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                         เรื่องที่ 24  :  ช่วยผู้อื่น คือ ช่วยตน

        ในสมัยก่อน ความทุกข์ยากลำบากมีมาก บางคนอยู่ตัวคนเดียวพอสู้ไหว แต่บางคนต้องดูแลหลายชีวิตก็สุดปัญญาจะแบกรับ ดังนั้นจึงเป็นยุคที่ผู้คนต้องชัดเซพเนจรพลัดพราก ต้องดิ้นรนแม้กระทั่งขายภารรยา ขายลูกด้วยความจำใจ  อย่างเช่นชายแซ่ "จิ่ง" ที่ต้องพยายามดิ้นรน เพื่อหาเลี้ยงลูกชายและภรรยา จึงต้องจำใจจากครอบครัวโดยไปทำงานเป้นเสมียนอยู่ต่างเมือง ทิ้งให้ภรรยาดูแลลูกชายอยู่เพียงลำพัง แต่เมื่อเคราะห์กรรมมาถึง ไม่นึกเลยว่าลูกชายของนายจิ่งจะถูกพวกโจรขโมยเด็กจับตัวเอาไป ! ภรรยาของเขาโศกเศร้าตรอมใจเป็นที่สุด ซ้ำร้ายเรื่องราวทั้งหมดนี้ ตัวนายจิ่งเองก็ไม่มีโอกาสจะรู้ได้เลย เวลาผ่านไปหลายปี...นายจิ่งพอจะเก็บออมสะสมเงินไว้ได้ราว 2 - 3 ตำลึง แม้จะแทบไม่พอเป็นค่าเดินทาง กระนั้น เขาก็อยากจะกลับบ้านไปพบหน้าลูกเมีย แต่แล้ววันต่อมา ระหว่างเดินออกจากที่ทำงานเพื่อกลับไปยังที่พัก ขณะนั้นเขาเหลียบไปเห็นชายยากจนคนหนึ่ง พร้อมทั้งลูกและเมียยืนอยู่ริมถนน กำลังพร่ำพรรณาถึงความทุกข์ยากลำบากที่ครอบครัวประสบ ทั้งภัยแล้ง ภัยสงคราม บ้านเมืองจลาจลวุ่นวาย พวกโจรปล้นฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน หันไปทางไหนมีแต่ภัยรอบด้าน จนไม่รู้จะมีชีวิตรอดกันได้อย่างไรแล้ว ท้ายที่สุด ชายยากจนก็ได้วิงวอนผู้คนที่เดินผ่านไปมาว่า ขอช่วยพาลูกและเมียของเขาไปอุปการะเอาบุญเถิด ส่วนตัวของเราเองขอเพียงเศษเงินสักเล็กน้อย สำหรับประทังชีวิตเพื่อไปตายเอาดาบหน้า นายจิ่งยืนฟังมาตั้งแต่ต้น  ทำให้เขาตระหนักในความจริงที่ว่า "ในโลกนี้ยังมีผู้ที่ทุกข์ระทมกว่าเราอีกมากมายหลายเท่า" ความรู้สึกเศ้าสลดรันทดใจต่อเรื่องราวของชายยากจนผู้นั้น และอยากจะช่วยเหลือเป็นที่สุด นายจิ่งจึงัดสินใจเอาเงินที่สะสมมาทั้งหมด 3 ตำลึงมอบให้ชายยากจนผู้นั้นเพื่อนำไปเป็นทุนประกอบอาชีพ และกำชับเขาว่าอย่าได้ทอดทิ้งลุกเมียเป็นอันขาด !  ชายยากจนพร้อมภรรยาและลูก พากันคุกเข่าโขกศรีษะ ขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ปากก็พร่ำสาบานว่าจะไม่ลืมพระคุณของนายจิ่งเลยจนชั่วชีวิต  เวลาผ่านไปปีกว่า.....ชายยากจนอาศัยเงิน  3 ตำลึงที่ได้ไปทำกิจการเล็ก ๆ จนสามารถเลี้ยงครอบครัวให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ต่อมาไม่นานสองสามีภรรยา ก็พอจะเก็บรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง ด้วยความสำนึกในบุญคุณที่พ้นทุกข์ พวกเขาและลูกจึงเดินทางกลับมาหานายจิ่งเพื่อมอบเงินคืนให้บ้าง  ทว่า แม้นายจิ่งจะรู้สึกดีใจที่เห็นคนที่เคยช่วยเหลือพ้นจากความทุกข์ยากแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมรับเงินคืน เหตุฉะนี้ทั้งสองสามีภรรยาจึงต่างรู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งเมื่อได้เหลียวมองไปรอบ ๆ เห็นสภาพที่พักของนายจิ่งแสนจะคับแคบซอมซ่อ ทุกวันต้องซักผ้า ตักน้ำ หุงข้าว ไม่ว่างานอะไรต้องทำด้วยตัวเองทั้งหมด เมื่อลากลับออกมา สองสามีภรรยารู้สึกทนไม่ได้ ที่เห็นผู้มีพระคุณต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้น  พวกเขาจึงปรึกษาหารือแล้วตกลงกันว่าจะไปซื้อบ่าวไพร่สักคน ให้มาคอยรับใช้ดูแลความเป็นอยู่ของนายจิ่ง  ผ่านไปไม่กี่วัน มีชายพเนจรคนหนึ่งพาเด็กชายอายุราว 11 - 12 ขวบ ใบหน้าคมคายร่างกายสมบูรณ์ดี  เขาอ้างว่าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของตน ซึ่งซักเซพเนจรพลัดพรากจากบ้านมาด้วยกันเพราะหวังจะหางานให้ทำ แต่ก็อับจนหนทางจึงยินดีที่จะขายลูกคนนี้ให้ไปเป็นบ่าวรับใช้ เพื่อภาระของตนจะได้เบาบางลง  สองสามีภรรยาก็ไม่ได้ติดใจภูมหลังความเป็นมาอะไรมากนัก จึงซื้อเด็กเอาไว้ รุ่งขึ้นอีกวัน ทั้งคู่พาเด็กน้อยมาหานายจิ่ง โดยให้ยืนรออยู่ข้างนอกก่อน ยังไม่ทันทีสองสามีภรรยาจะอธิบายถึงเจตนาดีของตน นายจิ่งก็ปฏิเสธเสียงขรมยืนกรานไม่ยอมรับเสียท่าเดียว ทั้งสองสามีภรรยารบเล้าอยู่เป็นนานสองนาน ว่าอยากน้อยก้อยากให้เห็นหน้าตาก่อนสักนิดก็ยังดี และแล้วใครบ้างจะคาดคิด.....ทันทีที่เด็กน้อยก้าวเข้าประตูมา นายจิ่งถึงกับตะลึงงัน ! ในขณะที่เด็กชายคนนั้นมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ทั้งคู่โผเข้ากอดกันแน่น น้ำตาแห่งความยินดีพรั่งพรูออกมาไม่หยุด  ที่แท้.....เด็กคนนี้ ก็คือลูกชายของเขาที่ถูกโจรลักพาตัวไปนั่นเอง เมื่อได้ถามไถ่เหตุการณ์ลำดับความเป็นมาทั้งหมดแล้ว โดยไม่รอช้า นายจิ่งพาลูกชายกลับไปพบแม่ ทั้งสามจึงกลับคืนสู่ความเป็นครอบครัวอีกครั้ง นี่แหละหนาที่ว่า "เรื่องบางอย่างไม่อาจได้มาด้วยเงิน หนึ่งในนั้นก็คือ ความอบอุ่นในครอบครัว"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                            เรื่องที่ 25  :  ด่าให้สำนึก

        ในสมัยราชวงศ์หมิง มีขุนนางตำแหน่งผู้พิพากษาระดับสูง 2 คน ชื่อ หลูซง  กับ ขวงจั่ว ทั้งสองไม่เพียงเป็นเพื่อนสนืทกัน แต่ยังเป็นขุนนางชั่ว เหมือน ๆ กันภายหลังทั้งคู่ก็ตายตามกันไป !   ต่อมาลูกของหลูซงได้ตำแหน่งสืบต่อจากผู้เป็นพ่อ ก็ใช้อำนาจกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว  ส่วนลูกของขวงจั่วนั้นกลับเป็นคนโง่เขลา ไม่ได้ตำแหน่งอะไร วัน ๆ เอาแต่ดื่มกินเที่ยว เล่นการพนัน เรียกว่าอบายมุขเป็นทุกรูปแบบ เดิมทีครอบครัวของขวงจั่ว มีคฤหาสน์ซึ่งสร้างอย่างหรูหราโอ่อ่าเพื่อเอาไว้เป็นที่พักตากอากาศอยู่หลังหนึ่ง พอลูกของหลูซงไปพบเห็นก็อยากได้มาเป็นของตน  แรก ๆ ก็คิดจะใช้เงินซื้อโดยตกลงราคากับลูกของขวงจั่ว ถึงแม้ว่าลูกของขวงจั่วอยากจะขายเพื่อจะได้เอาเงินมากินมาเที่ยว แต่ก็ติดขัดอยู่ที่แม่เฒ่าขวงผู้ชรา ซึ่งยังตัดสินใจไม่ได้สักที เรื่องจึงค้างคากันอยู่ เมื่อลูกของหลูซงอยากได้คฤหาสน์หลังนั้นมาก แต่ไม่สมหวังจึงใช้อิทธิพลเถื่อนและเล่ห์เพทุบายวางแผนใส่ร้ายว่า ภรรยาและลูกของขวงจั่วสมคบกับพวกโจรทำความผิดต้องอาญาแผ่นดิน ! ดังนั้น ทั้งสองแม่ลูกจึงถูกจับตัวมาดำเนินคดี ระหว่างไต่สวนแม่เฒ่าภรรยาของขวงจั่ว ซึ่งฟุบหน้าร้องไห้ฟูมฟายได้คลานเข้าไปที่บัลลังก์พิพากษา ปากก็พร่ำพรรณาถึงความประพฤติของลูกชายว่ากระทำความผิดความชั่วอะไรบ้าง ! ลูกชายของขวงจั่วซึ่งคุกเข่าอยู่ด้านหลัง เห็นแม่พูดไม่หยุดจึงโวยวายว่า  "นี่แม่ !.....ลูกถูกคนใส่ร้าย จนจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว ! แม่ยังจะมาพูดขุดคุ้ยความผิดของลูกอีกทำไม ! " แม่เฒ่าขวงหันขวับกลับมาตะคอกว่า"ไอ้ลูกสารเลว !.....ไอ้ชิงมาเกิด.....ตายก็ตายซิวะ แกนั่นแหล่ะพูดมาก..... !  ด่าพลางนางก็ชี้ไปยังเก้าอี้บนบัลลังก์ผู้พิพากษา ซึ่งลูกของหลูซงผู้เป็นเพื่อนสนิทของสามีกำลังนั่งอยู่ พร้อมกับพูดว่า "พ่อของแก.....เมื่อก่อนก็เคยนั่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่นาน ตลอดเวลาทำแต่เรื่องอัปยศ เที่ยวใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้คนไว้มากมาย ลูกชั่วอย่างแกถึงได้มาเกิด เวลานี้กรรมมันตามมาสนองแล้ว แกยังอยากจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ ! " แม่เฒ่าขวงด่าคำก็สัตว์.....อีกคำก็เดรัจฉาน !  นาง.....ด่า!  ด่า.....! จนลูกชายได้แต่ก้มหน้านิ่งไม่กล้าจะพูดอะไร  ข้างฝ่ายลูกของหลูซง ซึ่งนั่งเก้าอี้สืบต่อจากพ่อ ไม่ผิดอะไรกับ "วัวสันหลังหวะ" ใบหน้าของเขาแดงขึ้น.....แดงขึ้น เหงื่อเม็ดโต ๆ ผุดออกมาจนหลังเปียกโชกไปหมด เขาทนฟังคำด่าต่อไม่ไหว จึงตบโต๊ะเสียงดังปังใหญ่ ปากก็พูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่า "เจ้า.!....เจ้า.!....พวกเจ้า.....ออกไปได้แล้ว ! ไป๊ !  เรื่องราวคดีความจึงเป็นอันยุติลงเพียงแค่นี้ คนที่มีอำนาจอยู่ในมือ เมื่อถูกกิเลสตัณหาความโลภเข้าครอบงำ ก็ทำให้ปัญญาเลอะเลือน และนำอำนาจหน้าที่ไปใช้ในทางมิชอบ ทำลายล้างผู้อื่น ช่วงชิงเอาผลประโยชน์ ฉ้อฉล โกงกิน  คนพวกนี้ไม่ค่อยเชื่อเรื่องบาป - บุญ ไม่ใส่ใจเรื่องกฏแห่งกรรม บางครั้ง กรรมชั่วที่ตนเคยก่อยังมาไม่ถึงตอนยังอยู่เป็นคน แต่ตายแล้วคิดหรือว่าจะไปสู่สุคติ มิหนำซ้ำผลของกรรมชั่วที่ทำไว้ ยังตามสนองถึงลูกถึงหลาน !  มองย้อนเอาเถิด.....จากอดีตคนมีอำนาจมากมายต่างแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจกัน หวังครอบครองแผ่นดินทั่วหล้า แต่ก็ไม่เห็นมีใครเหลืออยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายทิ้งเรื่องราวให้คนรุ่นหลังได้สาปแช่งด่านับพัน ๆ ปี บางทีคำด่าของแม่เฒ่าขวงคงพอมีประโยชน์ตรงที่ช่วยเคาะกระโหลกคนชั่ว ให้รู้จักตื่นขึ้นมาบ้างก็เป็นได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                    คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                            เรื่องที่ 26  :   ค้าขายอย่างเป็นธรรม

        ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีชายผู้หนึ่งชื่อ เวยจิ้ง เป็นชาวอำเภอหนันเฉิง เขาประกอบอาชีพพ่อค้าขายของชำ รายย่อยอยู่ในเมือง  ดังนั้น ทุก ๆ วัน เวยจิ้ง จึงต้องเดินทางไปซื้อสินค้าจากพ่อค้าคนกลางที่ท่าเรือ  การทำธุรกิจค้าขายในอดีต ก็ไม่ค่อยจะแตกต่างจากปัจจุบันนี้เท่าใดนัก นั่นก็คือผลผลิตจากชาวไร่ชาวนา จะขายผ่านพ่อค้าคนกลาง โดยมีพ่อค้าปลีกมาซื้อ เพื่อนำไปขายให้ลูกค้าบริโภคต่ออีกที ครั้งหนึ่ง ขณะที่เวยจิ้งกำลังติดต่อซื้อผลไม้เพื่อนำกลับไปขาย ประจวบเหมาะกับเวลานั้น ชาวไร่กำลังนำผลผลิตจากสวนของตนเองมาลงพอดี สักครู่ เมื่อชาวไร่นับเงินเสร็จเรียบร้อยและเดินออกไปได้ไม่นาน พ่อค้าคนกลางซึ่งเตรียมจะส่งมอบสินค้าให้กับเวยจิ้ง ได้พูดขึ้นว่า "นี่เห็นว่า...เราเป็นคนกันเองหรอกน่ะ เมื่อกี้ตอนที่ชาวไร่เอาผลไม้มาส่ง ข้าแอบปรับตาชั่ง ทำให้ข้าได้ของเพิ่มมาอีกเกือบเท่าตัวเชียวนา บริการพิเศษแบบนี้ ข้าไม่เอาอะไรมากหรอก ขอแค่เย็นนี้ท่านเลี้ยงเหล้าข้าสักไหก็พอ" พ่อค้าคนกลางกล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะคิดไปเองว่าการกระทำของตนจะเป็นที่พึงพอใจแก่ลูกค้า แต่สำหรับเวยจิ้งรู้สึกตกใจมาก เขารีบผลุนผลันวิ่งออกจากร้าน เพื่อไปตามหาชาวไร่ผู้นั้นทันที กระทั่งตามมาทันที่ริมท่าน้ำ ขณะที่ชาวไร่กำลังจะลงเรือกลับ เวยจิ้งรีบเข้าไปบอกว่า "ช้าก่อน ! ท่านลุง.....เมื่อกี้พ่อค้าคนกลางที่ท่านลุงเพิ่งเอาผลไม้ไปส่ง เขาคิดเงินผิดพลาดไปจึงให้ผู้น้อยนำมามอบคืนให้ ต้องขอโทษท่านลุงเป็นอย่างมากที่ทำงานสะเพร่าเช่นนี้ขอรับ" กล่าวจบ เวยจิ้งก็มอบเงินอีกหนึ่งเท่าตามจำนวนสินค้าคืนแก่ท่านลุงชาวไร่ จากนั้นจึงกลับไปหาพ่อค้าคนกลางเพื่อชำระเงินให้โดยมิพูดอะไร ครั้นตกถึงเย็น เขาก็ยังพาพ่อค้าคนกลางผู้นั้นไปเลี้ยงเหล้าตามคำขอ แต่ในระหว่างที่กำลังดื่มกินและรับประทานอาหารอยู่นั้น เวยจิ้งได้พูดกับพ่อค้าคนกลางว่า "การที่ท่านจัดสินค้าให้ข้าพเจ้าเกินมาเป็นพิเศษนั้น จุดประสงค์ของท่นก็เพีบงอยากดื่มเหล้า แต่สำหรับชาวสวนชาวไร่ที่ลำบาก แสนเหน็ดเหนื่อยและยากจน พวกเขาคงจะขาดทุนไปไม่ไหวจริง ๆ  อย่างไรเสียของให้ท่านช่วยพวกเขาบ้างก็แล้วกันน่ะ" พ่อค้าคนกลาง รู้สึกทราบซึ้งใจในคำสอนของเวยจิ้งยิ่งนัก นับจากนั้นมา พ่อค้าคนกลางก็ไม่แอบโกงตาชั่งเพื่อเอาใจลูกค้าของตนอีก พูดถึงเรื่องการค้าขาย สมัยโบราณของจีนมีการจัดอาชีพในสังคม 4 ประเภท โดยเรียงลำดับดังนี้ ข้าราชการ  ชาวไร่ชาวนา  กรรมกร  พ่อค้า  เหตุใดพ่อค้าจึงถูกจัดให้อยู่ในอันดับท้ายสุดของอาชีพในสังคม นั่นเป็นเพราะผู้คนในสมัยนั้นเห็นว่า  อาชีพพ่อค้ามักทำให้กลายเป็นคนเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะพ่อค้าคนกลาง ซึ่งในสมัยนั้น คงจะมากด้วยเล่ห์เพทุบายในการติดต่อค้าขาย จึงทำให้ประชาชนทั่วไป พากันตั้งฉายาให้ว่า "คนถ่อยกลางตลาด"  แต่ทุกวันนี้ สถานะภาพและอันดับของพ่อค้ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ? สำหรับผู้ฝึกฝนปฏิบัติบำเพ็ญธรรม มักมีคำถามว่า อาชีพพ่อค้าทำงานค้าขายได้มาซึ่งผลกำไร เป็นการผิดบาปไหม? "ผลกำไรที่ได้มาอย่างไร้คุณธรรม ย่อมเป็นบาป"  แต่ผลกำไรที่ได้มาอย่างเที่ยงธรรม ย่อมไม่เป็นบาป" แท้จริงแล้ว.....ความหมายของกำไรก็คือ ผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อหักต้นทุนแล้ว พ่อค้าลงทุนซื้อสินค้ามาราคาหนึ่ง ต้องบวกราคาเพิ่มขึ้น ก็เพราะมีค่าใช้จ่ายมากมาย เริ่มต้นจากค่าขนส่ง ค่ากรรมกรยกของ  ค่าหีบห่อบรรจุ ค่าจ้างพนักงานขาย ค่าเช่าร้าน ค่าภาษี ฯลฯ หากคิดรวบยอด กำไรที่เป็นเงินซึ่งหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ก็คือ ค่าแรงที่พ่อค้าหรือเจ้าของกิจการต้องเหน็ดเหนื่อยนั่นเอง  ดังนั้น  ผลกำไรที่ได้จากการคิดคำนวณต้นทุน ค่าใช้จ่ายอย่างยุติธรรม โดยคิดตามความเป็นจริง ถูกต้องเที่ยงธรรม ก็เรียกได้ว่าเป็นผลกำไรที่ได้มาอย่างมีคุณธรรม แต่หากเมื่อใดผลกำไรที่ได้ เกิดจากการคิดคำนวนที่เกินความเป็นจริง ไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรมต่อลูกค้า ก็ได้ชื่อว่าเป็นกำไรที่ได้มาอย่างไร้คุณธรรม พ่อค้าผู้มีคุณธรรม ย่อมจะทำการค้าขายด้วยความรู้สึกยินดี และมีความสุขที่ได้นำสินค้าดี มีคุณภาพ ราคายุติธรรม มาบริการให้แก่ลูกค้า  เหตุฉะนี้พ่อค้าผู้มีคุณธรรม จึงเกิดความภาคภูมิใจในอาชีพของตน ที่มีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคในสังคมให้ดีขึ้น จะเห็นได้ว่า พ่อค้าผู้มีคุณธรรมในใจ ล้วนประสบความสำเร็จและมีความเจริญรุ่งเรืองในงานของตน  แต่สำหรับพ่อค้าที่ไร้คุณธรรม คือพวกที่เห็นแก่เงินเป็นใหญ่ ค้าขายของคุณภาพต่ำ แต่คิดราคาสูงเกินจริง บ้างก็ขายสินค้าปลอมคุณภาพเลว บ้างก็โกงตาชั่ง บ้างปลอมปนของไม่ดีลงในสินค้า พฤติกรรมเหล่านี้ เรียกว่า ฉ้อโกง เจ้าเล่ห์ ยักยอก หลอกลวง มักพบเห็นในพ่อค้าที่ไร้คุณธรรม  ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน ก็ยังคงมีพ่อค้าดี และ พ่อค้าเลว มิใช่เฉพาะพ่อค้าคนกลางเท่านั้นที่ในอดีตถูกเรียกว่า "คนถ่อยกลางตลาด" แต่ทุกอาชีพ ไม่ว่าข้าราชการ หมอ ครู ตำรวจ ฯลฯ ล้วนมีดีชั่วปะปนกันอยู่ ทำให้เราพบเห็น คนถ่อยในชุดข้าราชการ คนถ่อยในโรงพยาบาล คนถ่อยในโรงเรียน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ล้วนเกืดจากสังคมขาดการเพาะบ่มอบรมสั่งสอนคุณธรรม ดังนั้น ทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน กอบกู้สถานการณ์ ไม่นิ่งดูดาย ปล่อยให้คนถ่อยสร้างความเดิอดร้อนและทำลายทุกสิ่ง มิเช่นนั้น สังคมต้องถึงกาลวิบัติเป็นแน่ !
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19/07/2554, 02:09 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                             เรื่องที่ 27  :   เพชรงามกลางโคลนตรม

        ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์จีน คงต้องทราบดีว่า ในชั่วระยะสมัยที่ 5 นับเป็นช่วงเวลาที่คุณธรรมในใจผู้คนตกต่ำลงจนถึงขีดสุด ที่เป็นเช่นนั้ก็เพราะเหตุจากการทำสงคราม สังคมผันผวน ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวายไปหมดการจะดำรงชีวิตให้อยู่รอดเป็นปกติทำได้ยาก จะกล่าวไปไยกับความมีคุณธรรม ยิ่งมิใช่เรื่องที่ผู้คนจะใส่ใจ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นในเวลานี้ ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใด คนชั่วก็คือคนชั่ว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สังคมวุ่นวายระส่ำระสาย คนชั่วก็จะฉวยโอกาสก่อความเลวร้ายกระหน่ำซ้ำให้สาหัสลงไปอีก นี่คงเป็นเพราะคิดว่า ชาติที่แล้วตัวเองยังสร้างกรรมชั่วไม่พอ ถึงได้เสาะหาหนทางให้ลวสู่นรกอเวจีเร็ว ๆ แต่สำหรับคนดีก็คือ คนดีอยู่วันยังค่ำ คนดีเหมือนเกลือคู่โลก ไม่ว่าจะกี่ร้อยกี่พันปี เกลือก็ยังมีรสเค็มเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนหรือหมดรสเค็ม คนดีผู้มีรากฐานบุญเดิม ต่อให้ฟ้าดินจะพลิกผันแปรเปลี่ยนไปอย่างไร เขาก็ยังคงยึดมั่นในคุณธรรมความดี โดยไม่คล้อยตามหรือแปรเปลี่ยนไปเป็นอื่น จะขอยกตัวอย่างผู้กล้าท่านหนึ่ง นั่นก็คือ เซี่ยเหยินเหลียง ท่านเป็นขุนนางราชสำนักในสมัยฮ่องเต้จวงจงแห่งราชวงศ์ถังตอนปลาย ขณะที่กษัตริย์จวงจงกรีฑาทัพไปทำศึกกับกษัตริย์ราชวงศ์  เหลียง  ซึ่งได้เข้ายึดเมือง เหลืองจู่ซื่อเอาไว้เป็นราชธานี ตลอดเส้นทางเดินทัพสามารถรบชนะมีชัยมาโดยตลอดตราบจนกระทั่งกองทัพของฮ่องเต้จวงจงเข้าตีเปี้ยนโจวได้ ราชวงศ์เหลียงก็ถึงกาลอวสาน ประชาชนชาวเหลียงต่างละทิ้งบ้านเรือนอพยพไปอยู่ที่อื่น ในเวลานั้น ที่ดินข้าวของสมบัติทรัพย์สิน ทุกอย่างต้องตกเป็นของชาวถังซึ่งบางคนก็เข้ามากอบโกยและฉวยโอกาสยึดครองโดยมิชอบ  แต่ทว่า สำหรับท่านขันนาง เซี่ย หาเป็นเช่นนั้นไม่ด้วยว่าเดิมทีท่านมีกระท่อมหลังเก่าหลังหนึ่งเป็นที่พักอาศัยอยู่แถบชนบทของเมืองเปี้ยนโจวนี้ ต่อมาถูกหลี่ปินผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ชาวเหลียงยึดเอาไป มาบัดนี้ เมื่อทหารถังมายึดเมืองเปี้ยนโจวคืน แม่ทัพหลี่ปิน หลบหนีออกจากเมืองไปก่อนแล้ว ดังนั้น ท่านเซี่ยเหยินเหลียง จึงได้กระท่อมกลับคืน แต่ขณะกำลังจะก้าวเข้าในกระท่อมของตนมีคนบอกกับท่านว่า ที่ผ่านมา.....แม่ทัพหลี่ปินได้ใช้กระท่อมเก่าหลังนี้ เป็นที่เก็บซ่อนเพชรนิลจินดาและสมบัติอื่น ๆ ของครอบครัวไว้มากมาย ครั้นท่านขุนนางเซี่ยรับทราบเช่นนั้น จึงได้สั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปติดตามหาญาติของแม่ทัพหลี่ปินมาพบ และในระหว่างนี้ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปในกระท่อมโดยเด็ดขาด เมื่อครอบครัวของแม่ทัพหลี่ปินมาถึง  ท่านจึงสั่งทหารให้ขนย้ายสมบัติที่อยู่ภายในกระท่อมออกมาส่งมอบให้พวกเขารับไปทั้งหมด เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อย ท่านเซี่ยจึงเข้าไปพักในกระท่อม ในเวลานั้น ผู้คนได้พบเห็นและรู้เรื่องราว ต่างชื่นชมในคุณธรรมอันสูงส่งของท่าน ด้วยจริยวัตรที่งดงามเสมอด้วยบรรพกษัตริย์แต่ครั้งโบราณ ท่านเซี่ยเหยินเหลียง ได้ปฏิบัติหน้าที่รับใช้แผ่นดินด้วยความจงรักภักดีจวบจนสิ้นรัชกาล เมื่อถึงราชวงศ์ซ่ง เซี่ยจวีเจิ้น บุตรชายของท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดี รับใช้ประเทศสืบต่อมา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                       คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ
                             
                               เรื่องที่ 28  :    ดีแท้ คือ ไม่อยากได้

        หู ซู่  เป็นบุคคลผู้มีชีวิตอยู่ในราชวงศ์ซ่ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต และเหนือสิ่งอื่นใดเขาเฝ้าดูแลปรนนิบัติแม่ด้วยความกตัญญูกตเวทีิยิ่งตั้งแต่ตอนที่เป็นวัยรุ่น หูซู่ ให้ความเคารพนับถือพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง อีกทั้งยังปวารณาตนเป็นโยมอุปฐาก คอยอนุเคราะห์ช่วยเหลือท่านเสมอมา เป็นที่รู้ดีกันว่าหลวงจีนท่านนี้มีวิชาที่เร้นลับแปลกประหลาดมากมาย นับสิบ ๆ ปีที่หูซู่ ไปมาหาสู่ดูแลท่าน จะเรียกว่าเป็นศิษย์ก้นกุฏิเลยก็ว่าได้ ต่อมา หลวงจีนท่านนี้ได้อาพาธด้วยโรคชรา ครั้งสุดท้ายที่หูซู่ มาเยี่ยม ขณะที่ใกล้จะมรณะภาพท่านได้เอามือของหูซู่มากุมไว้พร้อมกับกล่าวว่า  "คุณโยมหูซู่.....สังขารอันเน่าเหม็นหมดสภาพเช่นนี้ คงต้องรบกวนคุณโยมเป็นธุระจัดการให้ออีกแล้ว ตลอดหลายสิบปีมานี้คุณโยมคอยอุปฐากด้วยดีเสมอมา อาตมภาพก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนความมีน้ำใตของคุณโยม นอกเสียจากจะถ่ายทอดวิชาแปรเปลี่ยนหินให้เป็นทองแก่คุณโยมแล้วกันนะ่" หูซู่กราบเรียนหลวงจีนไปว่า "เรื่องงานฌาปณกิจ.....ขอพระคุณเจ้าอย่าได้เป็นห่วงไปเลย กระผมจะรับเอาเป็นธุระจัดการให้ทั้งหมด แต่สำหรับวิชาเปลี่ยนหินให้เป็นทองที่พระคุณเจ้าจะเมตตาถ่ายทอดให้นั้น กระผมคงไม่กล้าจะรับไว้ดอกขอรับ" หลวงจีนผู้ชราถอนหายใจยาว พร้อมกับกล่าวว่า "เฮ้อ.....ตลอดเวลาที่ผ่านมา ศรัทธาญาติโยมลูกศิษย์ลูกหา ต่างร่ำร้องรบเร้าอยากได้วิชานี้กันทั้งนั้น นี่แหละน่ะเขาว่า คนไร้คุณสมบัติ หวังแต่จะได้อยู่ร่ำไป แต่ผู้เปี่ยมด้วยคุณสมบัติ กลับไม่เคยแม้แต่จะหวัง" และแล้วหลวงจีนพระภิกษุผู้มีวิชาล้ำเลิศก็มรณะภาพ ! หูซู่ได้จัดการงานฌาปนกิจให้ท่านอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ ต่อมาเขาได้ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแห่งเมือง หยางโจว ช่วงเวลานั้นเกิดอุทกภัยใหญ่บ้านเรือนถูกน้ำท่วมเสียหายหมด ท่านได้ระดมทั้งเรือหลวง และเรือส่วนตัวออกไปช่วยเหลือทันที ทำให้ราษฏรหลายพันชีวิตรอดตาย เมื่อหมดวาระ ท่านหูซู่ได้ย้ายไปรับตำแหน่งข้าหลวงใหญ่แห่งหูโจว ที่นั่น ท่านได้สร้างอ่างเก็บน้ำด้วยหิน เพื่อป้องกันน้ำท่วม และยังนำน้ำที่เก็บกักไว้ไปใช้ในการเกษตร ประชาชนชาวเมืองทั้งหลายได้รูสึกสำนึกในพระคุณท่าน ถึงกับสร้าง "หอระลึกคุณ" เพื่อเป็นเกียรติ  ท่านหูซู่ ปฏิบัติหน้าที่ราชการเรื่อยมา จนตำแหน่งสูงสุดของท่านคือ "ราชครู" พระอาจารย์ผู้ถวายงานการศึกษาแก่พระราชโอรสของฮ่องเต้ แต่แม้จะอยู่ในตำแหน่งมราสูงศักดิ์ เพียบพร้อมด้วยศฐาบารมี ถึงกระนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าและของใช้ ตลอดจนที่พักอาศัยของท่านก็ยังคงเป็นเหมือนอย่างประชาชนคนธรรมดาทั่วไป  นี่ย่อมบ่งบอกถึงจิตใจของผู้มีความสมถะอย่างแท้จริง ยามหนุ่ม.....แม้วิชาเสกหินให้เป็นทองก้ไม่ขอรับ จิตใจของท่านหูซู่เหนือคนธรรมดาจริง ๆ  ลูกชายของท่าน จงเยี่ยน ตลอดจนถึงหลาน "จงอวี้และจงหุย" ก็ยึดถือความสมถะไม่เห็นแก่ได้ ทุกคนล้วนมุ่งมั่นสร้างสรรค์สังคม หนุนส่งใต้หล้า ร่วมใจเจริญปณิธานบรรพชนให้สำเร็จสมบูรณ์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                       คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                               เรื่องที่ 29  :    ยอมตายพร้อมคู่

        ท่าน เฉินต้าเจี้ย เป็นอาจารย์ผู้เล่าเรียนจากสำนักของท่านจอมปราชญ์ขงจื้อ วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังสอนหนังสือศิษย์อยู่หน้าบ้าน พอมองออกไปก็เห็นนายพรานคนหนึ่ง เล็งปืนไปที่ต้นไม้ใหญ่ เสียงปืนระเบิดดังปังใหญ๋ ! ทันใดนั้น.....มีนกพิราบตัวหนึ่งร่วงลงมาอยู่บนพื้น ยังไม่ทันที่นายพรานจะเข้าไปเก็บ ก็มีนกพิราบอีกตัวหนึ่งบินลงมาอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นคู่ของมันแน่นิ่ง มันจึงตรงไปยังริมน้ำและใช้ปีกจุ่มน้ำโดยไม่รอช้านกพิราบตัวนั้นรีบกลับมา แล้วเอาปีกที่เปียกชุ่มคลุมไว้ที่ปากแผลไฟไหม้บนร่างของนกที่นอนอยู่ พร้อมกับพยายามเอาลูกไม้ผลเล็ก ๆ ที่คาบอยู่ป้อนให้ แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ คู่ของมันก็ไม่อาจจะฟื้น นกพิราบตัวนั้นส่งเสียงร้องด้วยความเศร้าโศกเสียใจอยู่หลายครั้ง แล้วบินผละไปบนท้องฟ้า  ขณะที่นายพรานกำลังจะก้มลงไปเก็บนกที่ตายแล้วนั้น โดยไม่คาดคิด.....ทันใดนั้นนกพิราบที่คิดว่าบินจากไปแล้วนั้น มันพุ่งตัวลงมาจากบนอากาศด้วยความเร็ว กระแทกตัวกับพื้นดินอย่างแรงจนสิ้นใจตาย ! ในเวลานั้น นายพรานต้องชะงักด้วยความตกตะลึงยืนงงทำอะไรไม่ถูกอยุ่พักใหญ่ เหตุการณ์?ั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของท่านเฉินต้าเจี้ยโดยตลอด ท่านจึงออกไปพูดกับนายพรานว่าเธอรู้ไหมว่า ทำไมนกพิราบอีกตัวจึงพุ่งลงมาตาย นั่นเป็นเพราะมันเสียใจที่ไม่สามารถช่วยชีวิตคู่ได้ เธอยิงคู่ของมันตาย อีกตัวก็ยอมตายพร้อมกัน แม้แต่นกยังเปี่ยมด้วยพลังแห่งรักและซื่อสัตย์ต่อกัน แล้วจิตใจของเธอยังจะทนทำเรื่องเลวร้ายได้อีกหรือ" นายพรานผู้นั้นฟังคำตักเตือนชี้แนะแล้ว ได้แต่ก้มหน้าทอดถอนใจ เขารู้สึกสำนึกในความผิดอันใหญ่หลวงของตน จึงหักปืนไฟทิ้งทันที ตั้งแต่นั้นมาเขาก็หันไปประกอบอาชีพที่สุจริตแทน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                           เรื่องที่ 30  :    พลังรักของแม่นก

        ในสมัยสามก๊ก ขุนพลแห่งแคว้นเว่ย ชื่อ เจิ้งอาย ได้ยกกองทัพออกไปรบ ระหว่างทางจึงหยุดพักตั้งค่ายที่อำเภอฝู่หลิง ครั้นยามว่าง เขาก็ออกท่องเที่ยวไปบนเนินเขา วันนั้น ขุนพลเจิ้งอาย เห็นแม่นกตัวหนึ่งกำลังป้อนอาหารให้แก่ลูก ๆ เขาจึงง้าวธนูยิง เพราะเห็นว่าเป็นเป้านิ่งอยู่ดี ทว่า เสียงดีดสายธนู ทำให้แม่นกตกใจจึงบินหนีไป แต่เพราะไม่อาจทนพรากจากลูก ๆ ได้แม่นกจึงบินกลับมาที่รังอีก เจิ้งอายซึ่งเงื้อธนูคอยท่าเอาไว้แล้ว ยิงออกไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่พลาด เสียงดังฉึก ! ลูกธนูพุ่งเสียบเข้าที่ลำคอ แต่แม่นกตัวนั้นไม่ตาย มันยังคงพยายามป้อนอาหารให้แก่ลูก ๆ จนหมด จากนั้นมันจึงตะเกียกตะกายไปคาบอาหารที่อยู่ข้าง ๆ มาวางไว้ในรังหลายชิ้น พร้อมกับทำกริยาประหนึ่งจะสอนให้ลูก ๆ ของมันรู้ว่าต่อไปต้องจิกอาหารกินเอง และแล้วมันก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญติดต่อกันด้วยความอาลัยอาวรณ์จนสิ้นใจ !  ร่างของแม่นกร่วงตกจากกิ่งไม้ ในขณะที่บรรดาลูกนกต่างพากันยื่นหน้าออกจากรังมาดู พร้อม ๆ กับส่งเสียงร้องเรียกเพรียกหาแม่อยู่ไม่หยุด เจิ้งอาย มองดูด้วยความสลดหดหู่ใจ เขาเหวี่ยงคันธนูทิ้งลงพร้อมกับรำพึงกับตัวเองว่า "เราได้บั่นทอนบุญวาสนาของตัวเอง ด้วยการทำลายชีวิตผู้อื่นเห็นทีคงจะอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นานเป็นแน่ ! " สัญชาติของผู้เป็นแม่ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ แม่นั้น ยินดีไม่ว่าจะเหนื่อยยากหรือตายเพื่อลูก คนกล่าวว่าตนเป็นสัตวืประเสริฐจะไม่สะเทือนใจเลหรือ ?  ขุนพลเจิ้งอายก่อกรรมหนัก ฆ่าแม่นกเสียแล้ว ลูกนกก็ไม่รู้ว่าจะอยู่รอดหรือไม่ ถ้าไม่ตายก็กลายเป็นกำพร้า ต้องถูกพรากจากอกแม่ ! เหตุฉะนี้ แม้ว่าภายหลังต่อมา ขุนพลเจิ้งอายจะกรีฑาทัพออกรบได้ชัยชนะมีผลงานยิ่งใหญ่ แต่ก็ถูกคนอิจฉาใส่ร้ายว่าเขาวางแผนก่อกบฏ ซือหม่าเจา จึงสั่งประหารชีวิตเขาเสีย ! นี่ก็เป็นไปตามที่ตัวเขาพูดไว้ว่า "จะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                       คุณธรรมบรรพชน  :  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละ

                               เรื่องที่ 31  :    นกกระจอกตอบแทนพระคุณ

        ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีบุคคลท่านหนึ่งชื่อ เหอจิง เป็นชาวกว่างซัง ท่านดำรงตำแหน่ง เซี่ยนเว่ย แห่ง จิ่งเซี่ยน โดยรับผิดชอบดูแลพื้นที่  1000 หลังคาเรือน ท่านเหอจิง มีอุปนิสัยรักและเมตตาสัตว์มาแต่เกิด ดังน้น ทุกครั้งที่ออกตรวจราชการรอบชานเมือง หากพบเห็นคนจับนกกระจอกไปขาย ท่านจะเรียกคนเหล่านั้นมาตักเตือนว่า "มีอาชีพให้เลือกทำตั้งมากมาย  ไยพวกเจ้าต้องหากินด้วยการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ด้วยเล่า?" แล้วท่านก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ปล่อยนกกระจอกทั้งหมดให้เป็นอิสระ และทำลายแหที่ใช้ดักจับนกของพวกเขาเสีย จากนั้นจึงมอบเงินให้ตามราคาของจำนวนนกที่ปล่อยและแหที่ถูกทำลาย พร้อมกับแนะนำให้เปลี่ยนอาชีพใหม่คนเรานั้นใช่ว่าจะสิ้นคิดไร้จิตไร้ใจเสียทั้งหมด บรรดาคนจับนกกระจอกขายเมื่อถูกตักเตือนด้วยหลักธรรมความจริง ก็ไม่มีใครไม่ปฏิบัติตาม ท่านเหอจิงปฏิบัติเช่นนี้ตลอดมา จนกระทั่งใกล้หมดวาระกำลังจะพ้นจากตำแหน่ง ตอนนั้นในพื้นที่ที่ท่านดูแลรับผิดชอบ มีคดีกลุ่มโจรปล้นฆ่าอุกฉกรรจ์เกิดขึ้น ทางศาลได้กำหนดเวลาสืบสวนและให้ตามจับผู้ร้ายมาโดยเร็ว ท่านเหอจิงเป็นถึง เซี่ยนเว่ย ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้รักษาความสงบเรียบร้อย จับโจรผู้ร้ายและตรวจตราการกระทำผิดต่าง ๆ ดังนั้น งานนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของท่านโดยตรง แต่ไม่ว่าท่านจะพยายามอย่างหนักและใช้วิธีการอย่างไร ก็ไม่พบร่องรอยของคนร้ายเลยจนกระทั่งใกล้หมดเวลาที่ศาลกำหนดไว้ ท่านจึงยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น และแล้ววันต่อมา ขณะที่ท่านเหอจิงกำลังนำลูกน้องออกลาดตระเวนเพื่อสืบหาเบาะแสของพวกโจรไปไกลถึงนอกเมือง ทันใดนั้นมีนกกระจอกฝูงใหญ่จำนวนนับร้อยตัว บินวนเวียนไปมาพร้อมกับส่งเสียงร้องกันดังเซ็งแซ่อยู่เหนือศรีษะของท่าน ครั้นท่านเหอจิงหยุดม้าดูด้วยความประหลาดใจ พวกนกกระจอกก็บินนำหน้าไป ท่านจึงควบม้าติดตามไปทันที พวกนกกระจอกนั้นบินนำทางไปไกลหลายสิยลี้ จนกระทั่งมาถึงกระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มันจึงพากันร่อนลงเกาะ ท่านเหอจิงเห็นเช่นนั้นจึงหยุดม้า พร้อมกับสั่งกองกำลังเข้าไปตรวจค้น พอเปิดประตูเข้าไปเจ้าหน้าที่ก็พบชายฉกรรจ์จำนวน 7 คน ทั้งหมดนอนหลับไหลไม่ได้สติ ข้าง ๆ มีไหเหล้าทิ้งระเกะระกะอยู่หลายใบ อีกทั้งข้างฝากระท่อมยังพบหีบและห่อผ้าขนาดใหญ่จำนวนมากกองอยู่ จากพยานวัตถุที่พบเห็น อีกทั้งลักษณะท่าทางของชายฉกรรจ์เหล่านั้นเข้าข่ายผู้ต้องสงสัย ท่านเหอจิงจึงออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่นำตัวพวกเขาทั้งหมดไปที่อำเภอ เมื่อถูกสอบสวน ชายฉกรรจ์ทั้ง 7 คน จึงยอมรับสารภาพว่า พวกตนคือกลุ่มโจรที่ปล้นและฆ่าเจ้าทรัพย์ตายหลายรายนั่นเอง !  โจรทั้งหมดถูกส่งไปรับโทษ ด้วยความดีความชอบครั้งนี้ ทำให้ท่านเหอจิงได้เลื่อนตำแหน่งเป็น เซี่ยนหลิง ไปปฏิบัติหน้าที่ปกครองประชาชนหมื่นหลังคาเรือน ณ เมืองตงหยาง

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”